Toshiba เดินหน้าขยายเซต Photorelay ในแพ็กเกจ DIP8 อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ระบบไฟฟ้าแรงดันปานกลาง

Logo

บริษัทยังคงเดินหน้าขยายสายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Current อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัว Drive Current ที่สูงกว่า 1A สำหรับการใช้งานแทน Mechanical Relay ในแอปพลิเคชันอุตสาหกรรม

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–6 พ.ค. 2560

วันนี้ บริษัท Storage & Electronic Devices Solutions Company ในเครือ Toshiba Corporation (TOKYO: 6502) ได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ระบบไฟฟ้าแรงดันปานกลางใหม่ 2 รายการ คือ 100V "TLP3823" ที่มาพร้อมกับ 3A Drive Current และ 200V "TLP3825" ที่มาพร้อมกับ 1.5A Drive Current เพื่อขยายสายผลิตภัณฑ์โฟโตรีเลย์ (Photorelay) สำหรับใช้งานแทนเมคแคนิคัลรีเลย์ (Mechanical Relay) โดยจะเริ่มจัดส่งการผลิตล็อตใหญ่ในวันนี้

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้อยู่ในรูปแบบสื่อมัลติมีเดียอัจฉริยะ อ่านฉบับเต็มได้ทาง: http://www.businesswire.com/news/home/20170515006838/en/

Toshiba: A 100V "TLP3823" with a 3A drive current housed in a DIP8 package. (Photo: Business Wire)

Toshiba: 100V "TLP3823" ที่มาพร้อมกับ 3A Drive Current บรรจุอยู่ในแพ็กเกจ DIP8 (ภาพ: Business Wire)

การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่มาพร้อมกับ Drive Current ขนาดสูงกว่า 1A นี้นับเป็นการขยายสายผลิตภัณฑ์แอปพลิเคชัน Photorelay ของ Toshiba หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เปิดตัว 60V “TLP3547” ที่มาพร้อมกับ 5A Drive Current

สำหรับการนำ Photorelay มาใช้งานแทน Mechanical Relay ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน และเพื่อเป็นการตอบรับและสนับสนุนกระแสดังกล่าว Toshiba จึงเลือกใช้ MOSFET ล่าสุด ซึ่งเป็น UMOS รุ่นที่ 8 เพื่อรองรับการจ่ายพลังงานที่สูงเกิน 1A

Photorelay แตกต่างจาก Mechanical Relay คือ Photorelay มีจุดเด่นที่ช่วยให้การทำงานมีเสถียรภาพ เนื่องจากไม่ต้องสัมผัสโดนวัตถุ จึงไม่เกิดความเสียหาย นอกจากนี้ยังสามารถใช้งาน Photorelay ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กและบางกว่าได้อีกด้วย สำหรับ Photorelay ใหม่ของ Toshiba ยังมีคุณสมบัติพิเศษที่รับประกันกระแส On-State Current รูปแบบ Pulse ได้มากกว่ากระแส On-State Current ในรูปแบบต่อเนื่องถึง 3 เท่าตัว ทำให้สามารถออกแบบเพื่อรองรับความปลอดภัยได้ดียิ่งขึ้น

รายงานล่าสุดของ Gartner Market ระบุว่า Toshiba คือผู้นำการผลิต Optocoupler เมื่อพิจารณาจากยอดขายปี 2558 และ 2559 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเมื่อพิจารณาจากยอดขายในปี 2559 อยู่ที่ 23% (แหล่งที่มา: รายงาน “ส่วนแบ่งการตลาดสำหรับแอปพลิเคชันและเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกประจำปี 2559” หรือ Market Share Semiconductor Devices and Applications Worldwide 2016 ของ Gartner ณ วันที่ 30 มี.ค. 2559)

Toshiba มุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Photocoupler และ Photorelay ที่หลากหลาย เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสนิยมของตลาด

คุณสมบัติ

TLP3823: VOFF=100V(min), ION=3A(max), ION(pulse)=9A(max)@t=100ms, Duty=1/10

TLP3825: VOFF=200V(min), ION=1.5A(max), ION(pulse)=4.5A(max)@t=100ms, Duty=1/10

ส่วนประกอบหลัก

• อุปกรณ์สำหรับใช้งานในอุตสาหกรรม
• อินเวอร์เตอร์สำหรับการใช้งานทั่วไป
• ระบบ HVAC (ความร้อน การระบายอากาศ และปรับอากาศ)
• เทอร์โมสตัด
• อุปกรณ์สำหรับระบบบริหารจัดการอัตโนมัติ
• ตัวทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (Memory, SoC, LSI)
• อุปกรณ์ทดสอบต่าง ๆ
• การใช้งานแทน Mechanical Relay

คุณสมบัติจำเพาะที่สำคัญ

(@Ta=25℃)

หมายเลขชิ้นส่วน

อัตราการใช้งานสูงสุด

On-state

Resistance

Trigger

LED

current

IFT

max

(mA)

Off-State

Current

เวลาที่ใช้เปิด

tON

typ.

(ms)

เวลาที่ใช้ปิด

tOFF

typ.

(ms)

แพ็กเกจ

Off-state

output

terminal

Voltage

VOFF

(V)

On-state

Current

ION

(A)

On-state

current

(pulsed)

IONP

(A)

Isolation

voltage

BVS

(Vrms)

RON

typ.

(mΩ)

RON

max

(mΩ)

IOFF

max

(μA)

@VOFF

(V)

TLP3547

60

5

15

2500

22

50

5

1

(@VOFF=60(V))

2.5

0.1

DIP8

TLP3823[1]

100

3

9

2500

60

150

5

1

(@VOFF=100(V))

1.5

0.1

TLP3825[1]

200

1.5

4.5

2500

250

500

5

1

@VOFF=200(V))

0.25

0.1

หมายเหตุ
[1] ผลิตภัณฑ์ใหม่

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่และผลิตภัณฑ์กลุ่ม Photorelay สามารถเยี่ยมชมได้ทาง:
https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/product/opto/photocoupler/photorelay.html

ช่องทางการติดต่อสำหรับลูกค้า:
แผนก Optoelectronic Device Sales & Marketing  
โทร: +81-3-3457-3431
https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/contact.html

ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงราคาและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ ข้อมูลการให้บริการ และข้อมูลสำหรับการติดต่อนั้นเป็นข้อมูลปัจจุบัน ณ เวลาเผยแพร่เอกสารฉบับนี้ โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba

Toshiba Corporation เป็นบริษัทที่ติดโผการจัดอันดับ Fortune Global 500 โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกขั้นสูงระดับโลกมากมาย และได้แบ่งธุรกิจออกเป็น 3 สาขาหลักด้วยกันคือ พลังงานที่สะอาดและปลอดภัยยิ่งกว่าเพื่อสนับสนุนการใช้งานในชีวิตประจำวัน ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และคลังข้อมูลเพื่อรองรับแหล่งข้อมูลระดับก้าวหน้า Toshiba ยึดมั่นในหลักพันธสัญญาพื้นฐานของกลุ่ม Toshiba Group คือ “Committed to People, Committed to the Future” (มุ่งมั่นเพื่อมนุษยชาติ มุ่งมั่นเพื่ออนาคต) จึงได้ส่งเสริมการปฏิบัติงานทั่วโลก และมีส่วนร่วมในการตระหนักถึงการสร้างโลกที่ผู้คนทุกยุคทุกสมัยจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น

Toshiba ก่อตั้งขึ้นในกรุงโตเกียว ปี 1875 (พ.ศ. 2418) ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายบริษัทในเครือทั่วโลก 550 แห่ง มีพนักงานรวมกัน 188,000 คนทั่วโลก มียอดขายประจำปีกว่า 5.6 ล้านล้านเยน (5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) ณ วันที่ 31 มี.ค. 2559

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Toshiba กรุณาเยี่ยมชมได้ทาง www.toshiba.co.jp/index.htm

http://cts.businesswire.com/ct/CT?id=bwnews&sty=20170515006838r1&sid=58983&distro=ftpอ่านข่าวจากแหล่งที่มาได้ทาง businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20170515006838/en/

ช่องทางการติดต่อสำหรับสื่อมวลชน:
Toshiba Corporation
Storage & Electronic Devices Solutions Company
Digital Marketing Department
Chiaki Nagasawa, +81-3-3457-4963
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น กระตุ้นผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรับพฤติกรรมการกินให้สมดุล ขจัดภัยโรคอ้วน

Logo

ศ.ดร. ชิน-คุน หวัง สมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ กล่าวในงานสัมมนาโภชนาการสาธารณสุขแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Public Health Nutrition Conference) ย้ำบทบาทสำคัญของโภชนาการที่สมดุล เพื่อต่อสู้กับโรคอ้วน

กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย–(BUSINESS WIRE)—10 พ.ค. 2560

เฮอร์บาไลฟ์ (NYSE:HLF) บริษัทโภชนาการระดับโลก ออกมากระตุ้นให้ผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับภาวะโรคอ้วนอย่างจริงจัง โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาบริโภคอาหารที่มีโภชนาการสมดุลในชีวิตประจำวัน ศ.ดร. ชิน-คุน หวัง สมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาทางด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ ขึ้นบรรยายวิชาการในช่วง Lunch Symposium ในงานสัมมนาสาธารณสุขแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA-PHN) ครั้งที่ 1 โดยย้ำบทบาทของโภชนาการที่สมดุลในการต่อสู้กับโรคอ้วน พร้อมแสดงความห่วงใยที่ภูมิภาคไม่ได้ให้ความตระหนักถึงสถานการณ์โรคอ้วนบ่อยเท่าที่ควร งานสัมมนา SEA-PHN จัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 14-17 พ.ค. โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมการดูแลโภชนาการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างยั่งยืน

“เฮอร์บาไลฟ์นิวทริชั่น ได้รับเกียรติเป็นผู้สนับสนุนระดับไดมอนด์ของงานสัมมนาโภชนาการสาธารณสุขครั้งที่ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเรามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมพฤติกรรมทางโภชนาการที่ดีทั่วโลก งานสัมมนาในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีให้เราได้ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับประโยชน์ของโภชนาการที่สมดุลในภูมิภาคนี้ เราได้ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในงานโดยหวังที่จะได้แบ่งปันองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เบื้องหลังแนวคิดดังกล่าวร่วมกับบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในสายสุขภาพและโภชนาการ พร้อมร่วมงานกับพันธมิตรที่มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อร่วมมือต่อสู้กับโรคอ้วนในภูมิภาค” คุณ Stephen Conchie รองประธานและกรรมการผู้อำนวยการเฮอร์บาไลฟ์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าว

ศ.ดร. หวัง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเมตาบอลิซึมและโภชนาการ ประธานสมาคมโภชนเภสัชและอาหารฟังก์ชันระหว่างประเทศ (International Society for Nutraceuticals and Functional Foods) และสมาชิกสมาพันธ์ชมรมโภชนาการเอเชีย (Federation Association of Asian Nutrition Societies) กล่าวว่า “ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ประชากรที่มีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนมีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นจาก 19.8% ในปี 2553 มาอยู่ที่ 22% ในปี 2557 ผู้บริโภคจึงต้องตระหนักถึงภัยด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน แม้ว่าวิธีการต่าง ๆ ในการต่อสู้กับภาวะโรคอ้วนจะเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีโภชนาการสมดุลนับว่าเป็นวิธีการรับมือกับโรคอ้วนที่มีความปลอดภัยและยั่งยืนกว่าวิธีการอื่น ๆ และเหมาะสำหรับกลุ่มประชากรส่วนใหญ่”

ในงาน ศ.ดร. หวัง และผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ตลอดจนผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์ ร่วมแบ่งปันเคล็ดลับวิธีการปฏิบัติตนเพื่อเป็นผู้มีพฤติกรรมทางโภชนาการที่สมดุล พร้อมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านโภชนาการในหมู่ผู้บริโภค เพื่อที่จะได้สามารถวางแผนจัดการมื้ออาหารได้ดียิ่งขึ้นและป้องกันการรับประทานอาหารมากเกินความจำเป็นได้ ศ.ดร. หวัง กล่าวเสริมด้วยว่า พฤติกรรมสำคัญที่จะช่วยในการควบคุมน้ำหนักคือ การคำนวณแคลอรีที่รับประทานเข้าไปร่วมกับการบริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูง พร้อมแนะนำผู้บริโภคให้เน้นโปรตีนจากถั่วเหลือง เนื่องจากเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิเช่น ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคกระดูกพรุน และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด”

เฮอร์บาไลฟ์นิวทริชั่นยังจัดบูธนิทรรศการ พร้อมด้วยกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานเข้าใจปรัชญาด้านโภชนาการที่สมดุลของเฮอร์บาไลฟ์ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่โภชนาการที่สมดุลในชีวิตประจำวัน

เกี่ยวกับเฮอร์บาไลฟ์

เฮอร์บาไลฟ์บริษัทโภชนาการระดับโลก ช่วยส่งเสริมให้ชีวิตผู้คนทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523  ผลิตภัณฑ์คุณภาพของเฮอร์บาไลฟ์ ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์โภชนาการ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการจัดการน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมสร้างพลังงานและเพื่อการกีฬา ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเส้นผม จัดจำหน่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัวของสมาชิกอิสระของเฮอร์บาไลฟ์และผ่านสมาชิกไปยังผู้บริโภคในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก   เฮอร์บาไลฟ์มุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับภาวะการได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วน และสภาวะน้ำหนักเกินของผู้คนทั่วโลก ด้วยการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง พร้อมคำแนะนำเฉพาะบุคคลจากสมาชิกและชมรมของเฮอร์บาไลฟ์ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีและมีวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉง

บริษัทให้การสนับสนุน เฮอร์บาไลฟ์ แฟมิลี่ ฟาวเดชั่น (Herbalife Family Foundation : HFF) และโครงการคาซ่า เฮอร์บาไลฟ์ เพื่อนำพาโภชนาการที่ดีไปสู่เด็ก ๆ ที่ขาดแคลน อีกทั้งยังให้การสนับสนุนนักกีฬา สโมสรกีฬา รวมถึงการจัดการแข่งขันระดับโลกรวมกว่า 200 รายการ อาทิ คริสเตียโน โรนัลโด ทีมฟุตบอลแอลเอ กาแล็กซี่ และนักกีฬาระดับแชมเปี้ยนของกีฬาประเภทต่าง ๆ

ปัจจุบัน เฮอร์บาไลฟ์มีพนักงานทั่วโลกกว่า 8,000 คน และมียอดขายสุทธิ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ของเฮอร์บาไลฟ์แสดงข้อมูลสำคัญด้านการเงินและข้อมูลอื่น ๆ ของบริษัทที่ ir.Herbalife.com บริษัทแนะนำให้ผู้ลงทุนเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีการอัพเดทข้อมูลและเพิ่มข้อมูลใหม่ในเว็บไซต์ หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ Herbalife.co.th หรือ IAmHerbalife.com

อ่านข่าวจากแหล่งที่มาได้ทาง businesswire.com: http://www.businesswire.com/cgi-bin/mmg.cgi?eid=51556307&lang=en 

ช่องทางการติดต่อ:

Herbalife Asia Pacific
Daliea Mohamad-Liauw, +852-3589-2643
VP, Corporate Communications, Asia Pacific
dalieal@herbalife.com

Kennedy Wilson ประกาศขายอาคารสำนักงาน 130,000 ตารางฟุตให้กับ J.P. Morgan เป็นรายแรกในโครงการพัฒนา “ท่าเรือแห่งการลงทุน” Capital Dock

Logo

การพัฒนาพื้นที่ทั้งหมด 660,000 ตารางฟุตจะเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2561

เบเวอรี่ ฮิลล์ แคลิฟอร์เนีย และ ดับลิน–(BUSINESS WIRE)–15 พฤษภาคม 2560

บริษัทการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก Kennedy Wilson (NYSE:KW) ร่วมกับ Fairfax Financial Holdings Limited และ National Asset Management Agency (NAMA) ได้ประกาศในวันนี้ว่า JP Morgan Bank (Ireland) plc ('JP Morgan') จะเป็นบริษัทรายใหญ่รายแรกที่จะครอบครองพื้นที่ Capital Dock อันเป็นที่ต้องการอย่างสูงผ่านข้อตกลงการขายล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคุณลักษณะมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: http://www.businesswire.com/news/home/20170515005539/en/

(Photo: Business Wire)

(ภาพ: Business Wire)

พื้นที่ Capital Dock จำนวนกว่า 4.8 เอเคอร์นี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจระหว่างประเทศในดับลินที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว  พื้นที่นี้ตั้งอยู่ใน Sir John Rogerson's Quay ในใจกลางย่านท่าเรือของดับลินและเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในดับลินด้วยพื้นที่กว่า 660,000 ตารางฟุต  แนวคิดโครงสร้างที่คล้ายพื้นที่มหาวิทยาลัยนี้ได้รับการออกแบบโดยบริษัทสถาปัตยกรรมเจ้าของรางวัลชนะเลิศของไอร์แลนด์ O'Mahony Pike ซึ่งรวมถึงพื้นที่สำนักงาน 345,000 ตารางฟุตที่อยู่ตรงข้ามที่อยู่ 100 200 และ 300 Capital Dock รวมถึงที่อยู่อาศัยที่มีวิวริมน้ำในสามด้านจำนวน 190 หน่วย และอาคารสูง 23 ชั้นซึ่งจะเป็นเครื่องหมายประตูสู่เมืองดับลิน

ผู้อยู่อาศัยใน Capital Dock จะได้รับบริการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการระดับมืออาชีพของ Kennedy Wilson Residential พร้อมกับพื้นที่จำนวน 1.5 เอเคอร์ที่จะเป็นพื้นที่สาธารณะ ร้านขายปลีก และร้านอาหาร  Kennedy Wilson ได้นำเสนอการเป็นอยู่ระดับพรีเมียมในดับลินตั้งแต่ปี 2012 และโครงการ Capital Dock จะให้บริการระดับสูงขึ้นอีก

J.P. Morgan ได้ตกลงซื้อ “200 Capital Dock” ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานชั้นนำขนาด 130,000 ตารางฟุตที่ติดกับแม่น้ำลิฟฟีย์ผ่านข้อตกลงการขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าซึ่งจะมีผลตรงกับวันเสร็จการก่อสร้องของอาคารที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ. 2561  อาคารนี้สามารถรองรับพนักงานได้กว่า 1,000 คนและจะเป็นหนึ่งในอาคารที่มีคุณสมบัติสูงสุดในดับลินโดยได้รับการรับรอง LEED Gold

“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ J.P. Morgan ผ่านทางการซื้อกิจการ 200 Capital Dock ในฐานะผู้ครอบครองสำนักงานรายใหญ่รายแรกในการพัฒนาพื้นที่ผสมผสานระดับสูงที่สุดเพื่อขยายธุรกิจที่มีอยู่และบรรลุแผนระยะยาวในไอร์แลนด์ “ William McMorrow ประธานและ CEO ของ Kennedy Wilson กล่าว

"ความมุ่งมั่นของเราในโครงการ Capital Dock เริ่มขึ้นในปี 2555 เมื่อเราได้รับเงินกู้ค้ำประกันโดยอาคาร State Street และพื้นที่ที่อยู่ติดกัน  การดำเนินการของทีมของเราในการแปลงเงินกู้ดังกล่าวให้เป็นอสังหาริมทรัพย์โดยตรง การรวมพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ การจัดโครงสร้างกิจการร่วมค้ากับ NAMA และการวางแผนขนาดใหญ่ทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายในการสร้างและส่งมอบวิสัยทัศน์ของเราสำหรับพื้นที่พลวัตอันทรงพลังนี้ให้กับพนักงาน JP Morgan"

Mary Ricks ประธานและ CEO ของ Kennedy Wilson Europe กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเซ็นสัญญากับผู้ถือครองที่โดนเด่นอย่าง J.P. Morgan เปรียบเสมือนเป็นการตั้งเสาหลักให้กับ Capital Dock เพราะนับว่าเป็นการรับรองค่านิยมและวิสัยทัศน์ของเราสำหรับโครงการที่โดดเด่นและมีชีวิตชีวาแห่งนี้  ตลาดผู้ถือครองในกรุงดับลินกำลังเจริญรุ่งเรืองและเรากำลังเจรจากับทั้งชาวไอริชและบริษัทต่างชาติที่มีความประสงค์ที่จะตั้งอยู่ใจกลางกรุงดับลินและสนใจในโครงการ Capital Dock"

"ดับลินมีชุมชนธุรกิจและเทคโนโลยีที่รุ่งเรืองซึ่งเหมาะกับบริษัทระดับโลกอย่างบริษัทของเรา" Carin Bryans เจ้าหน้าที่อาวุโสของ J.P. Morgan ประเทศไอร์แลนด์กล่าว “ด้วยแรงผลักดันจากธุรกิจในท้องถิ่นของเรา อาคารหลังใหม่นี้ทำให้เรามีพื้นที่และความยืดหยุ่นภายเพิ่มในสหภาพยุโรป"

นอกเหนือจากการขาย 200 Capital Dock แล้ว Deutsche Bank ได้อนุมัติเงินกู้จำนวน 125 ล้านยูโรเพื่อการพัฒนาพื้นที่ทั้งหมด 660,000 ตารางฟุต  เงินกู้นี้จะนำไปใช้กับค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของโครงการ

เกี่ยวกับ Kennedy Wilson

Kennedy Wilson (NYSE:KW) เป็นบริษัทด้านการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก  KW เป็นผู้ถือ ผู้ดำเนินธุรกิจ และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วยตัวเองและผ่านเครือข่ายการจัดการลงทุน  KW มุ่งเน้นไปที่พื้นที่ทางพาณิชยกรรมหลายรูปแบบและเชิงพาณิชย์ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาฝั่งตะวันตก อังกฤษ ไอร์แลนด์ สเปน อิตาลี และญี่ปุ่น  เพื่อเสริมธุรกิจการลงทุน KW ยังให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์แก่ลูกค้าบริการทางการเงิน  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Kennedy Wilson กรุณาเยี่ยมชม www.kennedywilson.com

เกี่ยวกับ NAMA

NAMA (the National Asset Management Agency) มุ่งมั่นที่จะอำนวยความสะดวกในการพัฒนาพื้นที่สำนักงานเกรด A พื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย และการเป็นอยู่เชิงวัฒนธรรมในเขตพัฒนายุทธศาสตร์ Dublin Docklands SDZ (Strategic Development Zone) และทำงานร่วมกับคู่ค้า ลูกหนี้ และผู้ร่วมทุนด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว  NAMA มีส่วนได้เสีย 75% ในที่ดินจำนวน 22 เฮคเตอร์ที่ยังไม่ได้พัฒนาใน Docklands SDZ  การคาดการณ์ชี้ว่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ 4 ล้านตารางฟุตและอพาร์ทเมนท์จำนวนเกินกว่า 2,000 หน่วยจะเสร็จสิ้นในพื้นที่ 15 แห่งที่ NAMA มีความสนใจอยู่เดิม  

ดูเวอร์ชันต้นฉบับที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20170515005539/en/

ติดต่อ:

Kennedy Wilson
การลงทุน:
Daven Bhavsar, CFA, +1 310-887-3431
dbhavsar@kennedywilson.com
หรือ
สื่อมวลชน:
Q4 Public Relations
Martin Mackin, +353 1 475 1444
martin@q4pr.ie
หรือ
NAMA
Gordon MRM
David Clerkin
david@gordonmrm.ie


เดอะ โมนาโก อินเวสท์เมนท์ คอร์ปอเรชัน (The Monaco Investment Corporation) ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นผู้นำในโครงการเพื่อการลงทุนโดยตรงแห่งชาติระดับโลก

Logo

มอนติ คาร์โล, โมนาโก–(BUSINESS WIRE)- 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ได้มีการประกาศจัดตั้งหน่วยงานการลงทุนของโมนาโก หรือ The Monaco Investment Corporation (MIC) ขึ้น พร้อมกับการสนับสนุนของ เจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก เพื่อเป็นหน่วยงานผู้นำใน โครงการลงทุนโดยตรง โดยเน้นไปที่การเข้ารับตำแหน่งที่มีอำนาจจัดการในบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งหน่วยงานนี้จะได้รับการบริหารจัดการโดย Scepter Partners ซึ่งเป็นกลุ่มการลงทุนและธนาคารพาณิชย์ที่ก่อตั้งโดยนาย Rayo Withanage และที่มีคณะกรรมการอำนวยการที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ ซึ่งรวมถึงนาย Brady Dougan อดีตซีอีโอของ Credit Suisse นาย William Doyle อดีตซีอีโอของ PotashCorp of Saskatchewan และนาย Bob Diamond ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Atlas Merchant Capital และอดีตซีอีโอของ Barclays ทั้งนี้หน่วยงานการลงทุนโดยตรงแห่งชาติ (MIC) ที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่นี้ มุ่งเน้นการให้บริการนักลงทุนเฉพาะรายตามที่ได้รับเชิญจาก Scepter และจาก the Principality โดย MIC จะเป็นผู้นำโครงการลงทุนด้านสถาบันการเงินและแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในระยะแรก และจะขยายไปสู่สาขาอื่น ๆ เมื่อมีความสามารถในการลงทุนเพิ่มขึ้น

ข่าวประชาสัมพันธ์สมาร์ทนิวส์นี้ อยู่ในรูปแบบสื่อมัลติมีเดีย สามารถเข้าไปอ่าน ฉบับเต็มได้ที่: http://www.businesswire.com/news/home/20170510005927/en/

HSH Prince Albert II of Monaco (Photo: Business Wire)

เจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่ง โมนาโก (Photo: Business Wire)

เจ้าชาย อัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก กล่าวว่า "The Monaco Investment Corporation” หรือ MIC  จะเปลี่ยนวิธีที่ความมั่งคั่งแห่งชาติ และนักลงทุนรายย่อย จะทำการลงทุนขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยผู้ก่อตั้งของ Scepter และข้าพเจ้าเองขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนสถาบันแห่งนี้ และเราจะใช้เงินทุนและความสัมพันธ์ของเราอย่างเต็มความสามารถเพื่อความสำเร็จ เราเชื่อมั่นในการเป็นผู้ริเริ่มทางการเงิน และการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของ Sceptor และเรามั่นใจว่า MIC จะเติบโตกลายเป็นสถาบันที่พวกเราทุกคนภาคภูมิใจอย่างมากได้ "

Sceptor ก่อตั้งขึ้นโดยสมาชิกของครอบครัว-ของผู้ปกครองประเทศในแถบเอเชียและอ่าวอาหรับ โดยเป็นการรวมตัวกันของนักลงทุนแห่งชาติ ซึ่งรวมมูลค่าประมาณ 14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมาจากสินทรัพย์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับจาก Sceptor ทั้งหมด ทั้งนี้ เจ้าชาย อับดุล อาลี ยาบิน คาบีเยร์ (Abdul Ali Yil Kabier) เจ้าชายแห่งบรูไนและผู้ร่วมก่อตั้ง Sceptor ระบุด้วยว่า "เหล่ากษัตริย์องค์อื่น ๆ และข้าพเจ้า มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนโมนาโก ให้กลายเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการลงทุนโดยตรงทั่วโลก พร้อม ๆ ไปกับการสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยผ่านการพัฒนาอย่างยั่งยืน เรามีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในการเป็นผู้นำของ Sceptor และเราสนับสนุนวิสัยทัศน์ในการพัฒนา ของ เจ้าชายอัลเบิร์ต ที่ 2 แห่งโมนาโก "

นาย Withanage ประธานบริหารของ Scepter กล่าวว่า "เราทุ่มเทให้กับการสร้าง MIC ให้เป็นสถาบันระดับโลกซึ่งรวมนักลงทุนและผู้ประกอบการระดับโลกเข้าด้วยกัน เพื่อการพัฒนา บริษัทต่าง ๆ ให้มีศักยภาพและความมั่นคง" โดยสถาบันจะเป็นดั่งยานพาหนะการลงทุนระหว่างประเทศ ที่เปิดรับเฉพาะ นักลงทุนเชิงสถาบันและนักลงทุนระดับชาติเท่านั้น โดยในปีแรกที่เริ่มจัดตั้ง สถาบันอาจเลือกเชิญครอบครัวที่มีรายชื่อใน Forbes 500 ที่อาศัยอยู่ในโมนาโก หรือที่เป็นมิตรกับโมนาโกก่อน ครอบครัวเหล่านี้จะได้รับการคัดเลือกจากเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์ และด้านประเภทของอุตสาหกรรม เพื่อให้มาเป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งของสถาบัน และเพื่อเป็นเจ้าของร่วมในบริษัทที่ดูแลด้านการจัดการ นาย Mark Thomas รองประธานของ The Sovereign Trust ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดใน Sceptor กล่าวว่า "MIC เป็นสถาบันที่มีโครงสร้างแบบการลงทุนแห่งชาติสถาบันแรก ที่พยายามสานความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างทรัพยากรเงินทุนระยะยาวที่มีนัยสำคัญ กับนักลงทุนรายย่อยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ MIC ตั้งขึ้นเพื่อทำงานร่วมกับทั้งทรัพยากรที่เป็นดาวเด่นของโมนาโก และกับมิตร และผู้ที่อาศัยอยู่ในโมนาโกทั้งหลายด้วย"

ในระยะแรก MIC จะใช้ประโยชน์จากการผสมผสานเอกลักษณ์เฉพาะของ Scepter ในด้านความเป็นเลิศในด้านการบริหารการให้บริการด้านการเงิน และทรัพยากรธรรมชาติ ผู้บริหารจะมุ่งเน้นอย่างเต็มที่ในด้านการลงทุนต่าง ๆ ของ MIC ในช่วงแรกเป็นหลัก ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้ และจะตัดสินใจแต่งตั้งผู้จัดการการลงทุนภายในและสถาบันการเงิน เพื่อการดำเนินงานของสถาบันต่อไป โดย MIC อยู่ในสถานะที่จะทำงานเฉพาะกับสถาบันการเงินทั่วโลก ที่มีพันธะกิจในโมนาโกและเพื่อเปิดโอกาสรับผู้จัดการการลงทุน ที่ต้องการย้ายมาสู่แพลตฟอร์มแบบทุนอย่างถาวร อาจกล่าวได้ว่า Sceptor กำลังขนย้ายทีมผู้นำมาสู่โมนาโก ที่ซึ่งขณะนี้กำลังมีการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ระดับโลกอยู่

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เข้าไปที www.scepterpartners.com.

http://cts.businesswire.com/ct/CT?id=bwnews&sty=20170510005927r1&sid=58983&distro=ftpดูเวอร์ชั่นต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20170510005927/en/

ติดต่อ:

Hill+Knowlton Strategies หรือ ฝ่ายกลวิธี Hill+Knowlton
Christopher Winans, 1-212-885-0381
chris.winans@hkstrategies.com


โตชิบาเพิ่มผลิตภัณฑ์รุ่น 60 โวลต์ และ 100 โวลต์ เข้าไปในสายผลิตภัณฑ์โฟโต้รีเลย์กำลังไฟฟ้าสูง (High Current Photorelays) โดยมาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์ S-VSON4 ที่มีขนาดเล็กที่สุดในวงการอุตสาหกรรม

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)- 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บริษัท สตอเรจ แอนด์ อิเล็กทรอนิกส์ ดีไวเซส โซลูชันส์ ในเครือของโตชิบา คอร์ปอเรชัน (TOKYO:6502) ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบกำลังไฟฟ้าสูง 2 รุ่นได้แก่ "TLP3407S" ขนาด 60V และ "TLP3409S" ขนาด 100V "ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมในสายผลิตภัณฑ์โฟโต้รีเลย์ที่ได้รับการบรรจุอยู่ใน S-VSON4[1] ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีพื้นที่ติดตั้งเล็กที่สุดในอุตสาหกรรม[2] การจัดส่งสินค้าจำนวนมากเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ข่าวสมาร์ทนิวส์นี้มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย สามารถเข้าไปดูฉบับเต็มได้ที: http://www.businesswire.com/news/home/20170510005618/en/

Toshiba: "TLP3407S", an addition to line-up of photorelays packaged in S-VSON4, the package with the ...

โตชิบา เพิ่ม "TLP3407S" เข้าไปในสายผลิตภัณฑ์โฟโต้รีเลย์ที่บรรจุอยู่ในใน S-VSON4 ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีพื้นที่ติดตั้งที่เล็กที่สุดในอุตสาหกรรมขณะนี้ (ภาพ:Business Wires)

ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่นี้สร้างกำลังไฟฟ้าที่สูง แต่ยังคงรักษาคุณสมบัติของ TLP3406S ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นก่อนไว้เหมือนเดิม ซึ่งมีรูปร่างและขนาดที่เล็ก แต่สามารถสร้างกำลังไฟฟ้า 30 โวลต์ที่มีอัตรากระแส on-state ที่ใหญ่ กระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นทำให้สามารถสนับสนุนการใช้งานของ DPS ได้ เช่น  ตัวทดสอบ SoC หรือ SOC testers ซึ่งต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเทียบเท่ากับกระแสไฟฟ้าที่ใช้ใน Automotive ICs โดยบรรจุภัณฑ์ S-VSON4 มีพื้นที่ติดตั้งที่เล็กกว่าถึง 22.5% เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์ VSON4 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน[4]. ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่นี้ยังยกระดับอุณหภูมิในการทำงานให้สูงขึ้นจาก 85 องศาเซลเซียส เป็น 110 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบโดยการลดขนาดของบอร์ดทดสอบ เพิ่มจำนวนวงจรรีเลย์ และพัฒนาด้านความหนาแน่นของการบูรณาการ (Integration Density)

รายงานการตลาดล่าสุดของ Gartner ได้ให้การยอมรับว่าโตชิบาเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เชื่อมต่อทางแสง หรือ ออปโตคัปเปลอร์ชั้นนำ โดยในปีพ.ศ. 2558 และ 2559 มีส่วนแบ่งการตลาด 23% ใน CY2016 (ที่มา: Gartner "ส่วนแบ่งการตลาด: อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์และแอพพลิเคชั่นทั่วโลก, 2559" 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

โตชิบาจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่องโดยการส่งเสริมการพัฒนาโฟโต้คัปเปลอร์ และ โฟโต้รีเลย์หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด

การใช้งานหลัก
ตัวตรวจสอบ เซมิคอนดักเตอร์ หรือ Semiconductor testers (Memory, SoC, LSI)
Probe cards ซึ่งเป็น อุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ใช้ร่วมกับเครื่องมือวัดเพื่อใช้วัดอุปกรณ์ขนาดเล็กมากๆ
อุปกรณ์ทางการแพทย์
การเปลี่ยนรีเลย์กล (Replacement of mechanical relays)

คุณสมบัติหลัก

(@Ta=25℃)

ชิ้นส่วนหมายเลข

แอบโซลูท

แม็กซิมัม

เรทติ้ง

กระแส

ออน

เสตท

เอาท์พุท คาปาซิแทนซ์
COFF
typ.
(pF)

กระแส

ออฟ

สเตท

เวลาเปิด
tON

max
(ms)

เวลาปิด
tOFF

max
(ms)

บรรจุภัณฑ์

กระแสเทอร์มินัลเอาท์พุทออฟเสตท
VOFF
(V)

กระแสออนสเตท
ION
(A)

อุณหภูมิปฏิบัติงาน
Topr
(℃)

RON
typ.
(Ω)

RON
max
(Ω)

IOFFmax
(nA)

@VOFF
(V)

TLP3406S

30

1.5

-40 – 110

0.1

0.2

120

1

20

2.0

1.0

S-VSON4

TLP3407S[5]

60

1.0

0.2

0.3

80

1

50

2.0

0.3

TLP3409S[5]

100

0.65

0.4

0.6

50

1

80

2.0

0.3

หมายเหตุ
[1] บรรจุภัณฑ์ S-VSON: 2.00 มม.×1.4 มม. (typ.)
[2] สำหรับผลิตภัณฑ์โฟโต้รีเลย ณ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 ข้อมูลโดยโตชิบ้า เซอร์เวย์
[3] อุปกรณ์จ่ายไฟ DPS (Device Power Supply): ผ่านการตรวจสอบที่หลากหลายกับอุปกรณ์ต่อพ่วงการจ่ายกระแสไฟฟ้าต่างๆ
[4] บรรจุภัณฑ์ VSON: 2.4 มม. ×1.4 มม. (typ.)
[5] ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ

เข้าไปดูลิงค์ข้างล่างนี้ เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และสายผลิตภัณฑ์โฟโต้รีเลย์ของโตชิบ้า
https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/product/opto/photocoupler/photorelay.html

ติดต่อสอบถามสำหรับลูกค้า:
แผนกการขายและการตลาดอุปกรณ์ออปโตอิเล็กทรอนิกส์ (Optoelectronic Device)
โทร: +81-3-3457-3431
https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/contact.html

ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวมถึงราคา ข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาการบริการและข้อมูลการติดต่อ ถูกต้องในวันประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับโตชิบา

โตชิบาคอร์ปอเรชั่นซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟอร์จูนโกลบอล 500 ให้ความสำคัญกับการสร้างประสิทธิภาพระดับโลกในผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์และระบบไฟฟ้าขั้นสูง โดยโตชิบาเน้นไปที่ 3 สาขาธุรกิจที่สำคัญ คือด้านพลังงานที่ช่วยยกระดับชีวิตในปัจจุบันให้สะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยรักษาคุณภาพชีวิต และด้านการจัดเก็บข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนการจัดเก็บข้อมูลที่มาตรฐานสูงในสังคม และเพราะว่าโตชิบาปฏิบัติตามหลักการของเครือโตชิบาในการ "ทำเพื่อทุกคน ทำเพื่ออนาคต" อย่างแน่วแน่ ดังนั้นโตชิบาจึงส่งเสริมการดำเนินงานร่วมกันทั่วโลก และการมีส่วนร่วมในการสร้างโลกที่คนรุ่นหลังสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้

ก่อตั้งขึ้นในกรุงโตเกียวในปี พ.. 2418 ปัจจุบันโตชิบาเป็นหัวใจสำคัญของเครือข่ายบริษัทจดทะเบียนกว่า 550 แห่ง มีพนักงานรวมกันกว่า 188,000 คนทั่วโลก โดยมียอดขายประจำปีเกินกว่า 5.6 ล้านล้านเยน (50 พันล้านเหรียญสหรัฐ) (ณ วันที่ 31 มีนาคม พ.. 2559)

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโตชิบาได้ที่  www.toshiba.co.jp/index.htm

ดูเวอร์ชั่นต้นฉบับได้ที่: businesswire.comhttp://www.businesswire.com/news/home/20170510005618/en/

ติดต่อสอบถามสำหรับสื่อ:
โตชิบา คอร์ปอเรชัน
บริษัท สตอเรจ แอนด์ อิเล็กทรอนิกส์ ดีไวเซส โซลูชันส์
แผนกการตลาดดิจิทัล
Chiaki Nagasawa, +81-3-3457-4963
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

EIG ปิดการระดมทุนกองทุนเอกชนระดับโลก

Logo

กองทุน EIG Direct Lending ระดมทุนได้ถึง $2 พันล้าน

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–4 พฤษภาคม 2560

EIG Global Energy Partners (EIG) ประกาศความสำเร็จในการปิดการระดมทุนให้กองทุนปิด Global Private Debt Fund (GPF IV) ซึ่งเป็นความต่อเนื่องของแพลตฟอร์มชั้นนำด้านการให้สินเชื่อด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานและการให้กู้ยืมโดยตรง  GPF IV เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ปิดการระดมทุนครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2015 และนำไปดำเนินการลงทุนใน 5 โครงการซึ่งได้ผลตอบแทนเต็มตัว 2 ครั้ง  เงินทุนจากนักลงทุนสถาบันที่มีภูมิลำเนาอยู่นอกสหรัฐคิดเป็น 68% ของเงินในกองทุน ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นธุรกิจนานาชาติของ EIG  การปิดการระดมทุน GPF IV ถือว่าเป็นการสานต่อความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของ EIG ในการให้กู้ยืมโดยตรงแก่โครงการและบริษัทด้านพลังงานต่าง ๆ ทั่วโลก

CEO ของ EIG R. Blair Thomas กล่าวว่า "เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้าและที่ปรึกษาของเราและรู้สึกขอบคุณสำหรับความเชื่อมั่นของพวกเขาในการปิดการระดมทุน GPF IV ในครั้งนี้  ผลสำเร็จนี้เป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่งเพราะการระดุมทุนได้เกิดขึ้นท่ามกลางการลดลงของราคาน้ำมันถึง 71% จึงเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของ EIG ในการให้กู้ยืมโดยตรงในห่วงโซ่คุณค่าด้านพลังงานทั่วโลก  ด้วยแพลตฟอร์มการระดมทุนเชิงลึกของ EIG เราเชื่อว่าเรามีความพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง และสามารถต่อเติมในสิ่งที่ผู้ให้กู้ทั่วไปไม่สามารถดำเนินงานได้เพราะขีดจำกัดด้านกฎระเบียบ  เราเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของตลาดที่แข็งแกร่งจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น  ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ ประวัติอันยาวนาน และแพลตฟอร์มระดับโลกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง EIG พร้อมที่จะเข้าถึงโอกาสมากมายที่มีในตลาดปัจจุบัน"

ผู้แทนจัดจำหน่ายของ EIG สำหรับ GPF IV คือ Credit Suisse และที่ปรึกษาด้านกฎหมายคือ Debevoise & Plimpton LLP

เกี่ยวกับ EIG

EIG Global Energy Partners เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนภาคเอกชนในโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับพลังงานและพลังงานทั่วโลกและมีเงินทุนภายใต้การบริหารจัดการ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 มูลค่า 15.1 พันล้านดอลลาร์  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 EIG เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการชั้นนำด้านทุนจดทะเบียนของสถาบันในอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นผู้จัดหาโซลูชันทางการเงินสำหรับบริษัทและโครงการต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานและพลังงานทดแทน ทั่วโลก  EIG ได้ลงทุน 23.7 พันล้านดอลลาร์ใน 317 โครงการใน 36 ประเทศ  EIG มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และมีสาขาตั้งอยู่ที่ฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ ริโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม www.eigpartners.com

ดูเวอร์ชันต้นฉบับที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20170504006056/en/

ติดต่อ:

Sard Verbinnen & Co.
Robert Rendine / Brandon Messina, 212-687-8080

พื้นที่เพาะปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพและพืชจีเอ็มเพิ่มขึ้นเป็น 185.1 ล้านเฮกตาร์ในปี พ.ศ. 2559

Logo

พื้นที่ทั่วโลกฟื้นตัวจากปี พ.ศ. 2558  หลังจากที่เกษตรกรปรับใช้วิธีการปลูกพืชแบบเทคโนโลยีชีวภาพอย่างต่อเนื่อง

ปักกิ่ง–(BUSINESS WIRE)–4 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

วันนี้ the International Service for the Acquisition of Agri-biotech Applications หรือ ISAAA ได้เปิดเผยรายงานประจำปีซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของพื้นที่การเพาะปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพที่เพิ่มขึ้นถึง 110 เท่าทั่วโลก ภายในเวลาเพียง 21 ปีหลังจากมีการนำเข้าสู่ตลาด โดยมีการใช้พื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นจาก 1.7 ล้านเฮกตาร์ในปี พ.ศ. 2539 เป็น 185.1 ล้านเฮกตาร์ในปี พ.ศ. 2559 ทั้งนี้รายงานของ ISAAA ซึงมีหัวข้อว่า "สถานะของพืชเทคโนโลยีชีวภาพและพืชจีเอ็มเชิงพาณิชย์ทั่วโลก: 2016" ยังแสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่ดำรงอยู่อย่างยาวนาน ของพืชเทคโนโลยีชีวภาพสำหรับเกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนา และประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งรวมไปถึงผลประโยชน์ของผู้บริโภคที่ได้รับจากพืชเทคโนโลยีชีวภาพอันหลากหลาย ที่เพิ่งได้รับอนุมัติให้มีการวางขายในท้องตลาดอีกด้วย

"พืชเทคโนโลยีชีวภาพได้กลายเป็นทรัพยากรทางการเกษตรที่สำคัญสำหรับเกษตรกรทั่วโลก เนื่องจากประโยชน์อันมหาศาลที่เกิดจากผลผลิต ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น และความสามารถในการเก็บรักษาได้ดีขึ้น" ประธานคณะกรรมการของ ISAAA คุณ Paul S. Teng กล่าวไว้ "หลังจากที่ได้มีการการอนุมัติในเชิงพาณิชย์ให้มีการเพาะปลูกมันฝรั่งและแอปเปิ้ลพันธุ์เทคโนโลยีชีวภาพ ผู้บริโภคจะเริ่มได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากเทคโนโลยีชีวภาพ จากการที่ผลผลิตมีโอกาสเน่าเสีย หรือได้รับความเสียหายน้อยลง ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการลดขยะที่เกิดจากอาหาร และลดค่าใช้จ่ายในการซื้อผลผลิตอาหารอีกด้วย "

เมื่อกล่าวถึงผลประโยชน์อื่น ๆ ของเทคโนโลยีชีวภาพ ISAAA รายงานว่า การใช้วิธีปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 เสมือนกับการลดรถตามท้องถนนลง เป็นจำนวนประมาณ 12 ล้านคันต่อปี ต่อเนื่องทุกปีในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คือการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพโดยการลดการใช้พื้นดินทางการเกษตรลง 19.4 ล้านเฮกตาร์ ในปีพ.ศ. 2558 อีกทั้งยังลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชและการใช้สารเคมีกำจัดแมลงลงไป 19%1 ในส่วนของประเทศกำลังพัฒนา การเพาะปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพช่วยบรรเทาความหิวโหยโดยการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยและครอบครัวทั้งหมด 18 ล้านราย นำเสถียรภาพทางการเงินที่ดีขึ้นมาสู่กว่า 65 ล้านคน

"เทคโนโลยีชีวภาพเป็นเครื่องมือที่จำเป็นอย่างหนึ่งในการช่วยเกษตรกรปลูกอาหารให้มากขึ้นโดยใช้พื้นที่น้อยลง" Randy Hautea ผู้ประสานงานของ ISAAA กล่าว "อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของพืชเทคโนโลยีชีวภาพจะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็เฉพาะในกรณีที่เกษตรกรสามารถหาซื้อและปลูกพืชเหล่านี้ได้โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์การตรวจสอบและอนุมัติ ทางวิทยาศาสตร์"

เนื่องจากมีอัตราการอนุมัติและการขายของพืชเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการนำไปใช้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น ISSA คาดว่าอัตราการปลูกเพื่อการสร้างประโยชน์ให้กับเกษตรกรจากประเทศกำลังพัฒนาจะเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในหมู่ประเทศในแอฟริกาที่เคยมี กระบวนการเชิงกฎเกณฑ์ที่สร้างอุปสรรคต่ออัตราการยอมรับพืชเทคโนโลยีชีวภาพ ปัจจุบันนี้ก็มีการยอมรับพืชเทคโนโลยีชีวภาพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี พ. ศ. 2559 แอฟริกาใต้และซูดาน เพิ่มการเพาะปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง และฝ้าย เทคโนโลยีชีวภาพจาก 2.29 ล้านเฮกตาร์ ในปี 2558 เป็น 2.66 ล้านเฮกตาร์ ในปี พ.ศ. 2559 ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในทวีป อันได้แก่ เคนยา มาลาวี ไนจีเรีย เอธิโอเปีย กานา ไนจีเรีย สวาซิแลนด์ และยูกันดา ก็เกิดคลื่นลูกใหม่ของการยอมรับขึ้น ส่งผลต่อความก้าวหน้าในการทบทวนกฎระเบียบ และกฎการอนุมัติในเชิงพาณิชย์สำหรับพืชเทคโนโลยีชีวภาพหลากหลายชนิดส่วนหนึ่ง

"แม้จะมีปัญหาเกี่ยวกับอุปสรรคด้านกฎระเบียบมายาวนาน แต่เกษตรกรชาวแอฟริกันก็ยังคงปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพต่อไปเนื่องจากความคุ้มค่าที่เกิดขึ้นจากความสามารถในการผลิต และความทนทานของพันธุ์พืชเทคโนโลยีชีวภาพ" Hautea กล่าว "ขณะนี้หลาย ๆ ประเทศอื่น ๆ กำลังเดินหน้าในการทบทวนกฎระเบียบสำหรับพืชเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น กล้วย พืชจำพวกถั่ว และข้าวฟ่าง เราเชื่อว่าการเพาะปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพจะยังคงเติบโตในประเทศอื่น ๆ ในแอฟริกา และในที่อื่น ๆ ด้วย "

นอกจากนี้ ในปี พ. ศ. 2559 บราซิลเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพเป็นร้อยละ 11 ให้กับการปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง ฝ้าย และคาโนลา ทำให้บราซิลยังคงเป็นประเทศผู้ผลิตพืชเทคโนโลยีชีวภาพรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา พื้นที่เพาะปลูกถั่วเหลืองเทคโนโลยีชีวภาพในบราซิลมีขนาดถึง 32.7 ล้านเฮกตาร์ จากพื้นที่เพาะปลูกถั่วเหลืองทั้งหมด 91.4 ล้านเฮกตาร์ที่ปลูกทั่วโลก

สำหรับปี พ. ศ. 2559 ISAAA มีรายงานถึงความสำเร็จของการทำการตลาดและการปลูกพืชผักและผลไม้เทคโนโลยีชีวภาพที่เกิดผลประโยชน์โดยตรงแก่ผู้บริโภค ซึ่งความสำเร็จนี้รวมถึงรวมถึงการอนุมัติเชิงพาณิชย์ของ Innate ™ Russet Burbank Gen 2 มันฝรั่งที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเพื่อขายในสหรัฐอเมริกา และ Simplot Gen 1 White Russet ™ หรือ มันฝรั่งที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การสุขภาพของแคนาดา (Health Canada) สำหรับการขายในตลาดสด ในแคนาดา. พันธุ์พืชเทคโนโลยีชีวภาพเหล่านี้มีระดับแอสพาราจีน (asparagine) ต่ำกว่าปกติ ซึ่งจะช่วยลดการสร้างสารอะคริลาไมด์ (acrylamide) ในระหว่างการปรุงอาหารแบบใช้ความร้อนสูง นอกจากนี้ยังได้มีการเก็บเกี่ยวแอปเปิ้ลรุ่น Arctic® Apples ในปริมาณมากพอสำหรับการขายเชิงพาณิชย์  ในปี พ. ศ. 2559 ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในช่วงฤดูหนาว และคาดว่าจะนำออกขายในร้านขายของชำในสหรัฐอเมริกาต่อไปในปี พ. ศ. 2560

ข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงาน ของ ISAAA ปี พ.ศ. 2559 ยังรวมถึง:

  • พื้นที่เพาะปลูกทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นในปี พ.ศ. 2559 ด้วยการใช้พื้นที่เพาะปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพ 185.1 ล้านเฮกตาร์เทียบกับ 179.7 ล้านเฮกตาร์ในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งลดลงจากพื้นที่ 181.5 ล้านเฮกตาร์ในปี  พ.ศ. 2557
  • ในปี พ.ศ. 2559 มีทั้งหมด 26 ประเทศ ซึ่งได้แก่ 19 ประเทศกำลังพัฒนาและ 7 ประเทศอุตสาหกรรม ที่ปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพ การเพาะปลูกของประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ 54% เมื่อเทียบกับ 46% ของประเทศอุตสาหกรรม
  • 8 ประเทศในเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงจีนและอินเดียมีการปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพโดยใช้พื้นที่ 18.6 ล้านเฮกตาร์ ในปี พ. ศ. 2559
  • 10 ประเทศในลาตินอเมริกา ซึ่งรวมถึง ปารากวัยและอุรุกวัย มีการปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพโดยใช้พื้นที่ 80 ล้านเฮกตาร์ ในปี พ. ศ. 2559
  • ในปี พ. ศ. 2559 ประเทศผู้นำในการปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพยังคงเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา บราซิล อาร์เจนตินา แคนาดา และอินเดีย ซึ่ง 5 ประเทศเหล่านี้ใช้พื้นที่ปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพเป็นจำนวน 91% ของพื้นที่เพาะปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพทั่วโลก
  • 4 ประเทศในยุโรปซึ่งได้แก่ สเปน โปรตุเกส สาธารณรัฐเช็ก และสโลวาเกีย ใช้พื้นที่มากกว่า 136,000 เฮกตาร์ในการปลูกพันธุ์ข้าวโพดเทคโนโลยีชีวภาพ ในปี พ. ศ. 2559 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นจากปี พ. ศ. 2517 ถึง 17% นับเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการข้าวโพดที่ทนต่อแมลงของสหภาพยุโรป
  • พื้นที่เพาะปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพที่มีลักษณะรวม หรือ แบบ stacked traits คิดเป็น 41% ของพื้นที่โลก ถือเป็นอันดับสอง โดยเป็นรองแค่พื้นที่ปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพที่มีลักษณะ ทนทานต่อสารเคมีกำจัดวัชพืช ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูก 47%
  • พื้นที่เพาะปลูกถั่วเหลืองเทคโนโลยีชีวภาพคิดเป็น 50% ของพื้นที่ปลูกพืชเทคโนโลยีชีวภาพทั้งหมดทั่วโลก โดยทั้งนี้ เมื่อเจาะจงลงไปในพืชแต่ละชนิด 78% ของถั่วเหลือง 64% ของฝ้าย 26% ของข้าวโพดและ 24% ของกระเจี๊ยบที่ปลูกในโลกมั้งหมด เป็นพันธุ์ที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ
  • ประเทศที่มีการนำถั่วเหลืองเทคโนโลยีชีวภาพไปใช้มากกว่า 90% ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา แคนาดาแอฟริกาใต้ และอุรุกวัย เกือบถึงหรือมากกว่า 90% ของการเพาะปลูกข้าวโพดเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นของ สหรัฐอเมริกา บราซิล อาร์เจนตินา แคนาดา แอฟริกาใต้ และอุรุกวัย มากกว่า 90% ของการปลูกฝ้ายเทคโนโลยีชีวภาพ 90% เป็นของ สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา อินเดีย จีน ปากีสถาน แอฟริกาใต้ เม็กซิโก ออสเตรเลีย และพม่า และ 90% หรือมากกว่าของการเพาะปลูกคาโนลาเทคโนโลยีชีวภาเป็นของประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือบทสรุปผู้บริหารของรายงาน โปรดเข้าไปอ่านได้ที่ www.isaaa.org.

เกี่ยวกับ ISAAA:

The International Service for the Acquisition of Agri-biotech Applications (ISAAA) เป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรที่มีเครือข่ายระหว่างประเทศ ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยบรรเทาความหิวโหย และความยากจน ด้วยการแบ่งปันความรู้และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพด้านพืชผล Clive James, ประธานกิตติมศักดิ์และผู้ก่อตั้ง ISAAA ได้ใช้เวลาอยู่อาศัย และทำงานเป็นเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา ในประเทศกำลังพัฒนา ในภูมิภาคเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา โดยเขาได้ทุ่มเทความพยายามของเขาในการวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร โดยมุ่งเน้นด้านพืชเทคโนโลยีชีวภาพ และความมั่นคงด้านอาหารทั่วโล

1 Brookes and Barfoot, 2017, Forthcoming

ดูเวอร์ชั่นต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20170503005134/en/

ติดต่อ ISAAA
Caitlyn Lower, 512-495-7188
caitlyn.lower@fleishman.com

รางวัลผู้ลี้ภัย Sharjah’s Refugee Award เชิดชูความสำเร็จของมูลนิธิจากประเทศเยเมนด้วยเงินมูลค่า 100,000 เหรียญสหรัฐ

Logo

ชาร์จาห์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)– 3 พฤษภาคม 2560

มูลนิธิ Sustainable Development Foundation (SDF) ในเยเมนได้รับเงินรางวัล 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะความพยายามด้านมนุษยธรรมในการช่วยชีวิตและฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  มูลนิธิได้จัดหาปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ น้ำ อาหาร และที่พักพิง รวมทั้งโครงการด้านการศึกษาและภารกิจล้างกับระเบิดให้กับเขตความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคุณลักษณะมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: http://www.businesswire.com/news/home/20170503005543/en/

SIARA

SIARA

รางวัลสำหรับการอุทิศตนอย่างต่อเนื่องนี้นำเสนอโดย Sharjah International Award for Refugee Advocacy and Support ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มจาก ชาร์จาห์ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  รางวัลนี้จัดทำโดยข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และมูลนิธิ Big Heart ของเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลเพื่อมนุษยธรรมระดับโลกที่อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและคนที่ยากไร้ทั่วโลก  แม้จะเผชิญกับอันตรายอย่างต่อเนื่องและสภาพที่เลวร้ายในชีวิตประจำวัน SDF ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2546 โดยกลุ่มอาสาสมัครขนาดเล็ก ได้ดำเนินการโครงการด้านชุมชนและด้านมนุษยธรรมในย่านที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยให้การคุ้มครองพลเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท

รางวัลนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างการรับรู้และยกย่องผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านมนุษยธรรมซึ่งได้ช่วยเหลือผู้ต้องการหลบภัยและครอบครัวที่พำนักในเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ  โครงการนี้ถูกจัดขึ้นภายใต้การอุปถัมภ์ของ His Highness Sheikh Dr Sultan Bin Muhammad Al Qasimi สมาชิกสภาของชาร์จาห์ และพระมเหสี Her Highness Sheikha Jawaher bint Mohammed Al Qasimi ประธานมูลนิธิ Big Heart และผู้สนับสนุนทรงเกียรติประเด็นเด็กผู้ลี้ภัยของ UNHCR

Her Highness Sheikha Jawaher bint Mohammed Al Qasimi ทรงตรัสว่า “โครงการริเริ่มของมูลนิธินี้นับว่าเป็นแบบอย่างที่คู่ควรสำหรับองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ในภูมิภาคที่จะปฏิบัติตามเพื่อช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ ป่วย และไร้ที่อยู่อาศัย  การเชิดชูและให้รางวัลแก่ผู้ที่อุทิศเวลาและความทุ่มเทให้กับความมุ่งหมายอันสูงส่งเหล่านี้นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง”

ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการเตือนความจำว่าโลกนี้มีผู้คนและสิ่งดี ๆ อยู่มากมาย และ Sharjah International Award for Advocate and Supporting Refugee เป็น เครื่องหมายแสดงความเคารพและขอบคุณทุกคนที่ได้ขยายแรงช่วยเหลือดังกล่าวไปยังผู้ลี้ภัยทั่วโลก”

ดูเวอร์ชันต้นฉบับที่  businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20170503005543/en/

ติดต่อ:

National Network Communications
Fadia Daouk, 052 617 2111
f.daouk@nncpr.com

ณ งานออโต้ โชว์ Auto Shanghai ปี 2560: JAC นำเสนอรถใหม่เกือบ 40 รุ่น

Logo

เซี่ยงไฮ้–(BUSINESS WIRE)–27 เมษายน พ.ศ. 2560

JAC ได้จัดแสดงรถทุกรุ่นที่มี ซึ่งเป็นจำนวนเกือบทั้งหมด 40 รุ่น ณ งานออโต้ โชว์ เซี่ยงไฮ้ ณ วันที่ 17 ถึง 28 เมษายนที่ผ่านมา โดยรถที่นำมาแสดงมีตั้งแต่ รถยนต์เชิงพาณิชย์ รถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคล ตลอดไปจนถึงรถพลังงานสีเขียว JAC  โดยรถรุ่น A60 รุ่น M6 และรถบรรทุก N-series truckได้รับความสนใจสูงสุดจากสาธารณชน ในขณะที่รถรุ่น S7 SUVของ  JAC ซึ่งเพิ่งเปิดตัวออกมาใหม่ ก็ถือว่าเป็นจุดสนใจในงานออโต้โชว์นี้เช่นกัน

ประสิทธิภาพที่สูงที่มาพร้อมกับความพิถีพิถัน

 S7  เป็นรถโดยสารของ JAC  อีกหนึ่งรุ่น ที่มีการตั้งค่าค่าในระดับไฮเอนด์อัจฉริยะ เช่น การมีระบบควบคุมความเร็วให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้วยตนเอง ระบบแจ้งเตือนการออกจากเลน ระบบการเตือนเพื่อกันการชน ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ และการตรวจสอบจุดบอด เป็นต้น หากมองลงไปภายใต้ประทุนของ  S7 ก็จะพบระบบส่งกำลัง แพลทินัมแบบ 1.5T GDI และ 6DCT, เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จเจอร์ และ DVVT ในส่วนของกำลังสูงสุดของ SUV มีค่าอยู่ที่ 128Kw ขณะที่แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 251Nm รถรุ่นนี้ถูกจัดให้อยู่ใน 10 อันดับเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในประเทศจี

รถบรรทุก JAC Trucks ก้าวเข้าสู่ตลาดโลก

JAC World Truck ถือเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมรถบรรทุกเพราะความหลากหลายของตัวเลือกการปรับแต่ง เมื่อเปรียบเทียบกับสายผลิตภัณฑ์รถบรรทุกกว่า 220 รุ่น จะเห็นว่า JAC  World Truck สามารถตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะของแต่ละบริษัทขนส่งทั่วโลก นอกจากนี้ JAC World Truck ยังสามารถผลิตรถบรรทุกที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมใด ๆ ที่ลูกค้าอาจพบเจอได้ในอนาคต ทำให้เป็นผู้ผลิตสามารถเข้าถึงการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ได้ มากกว่า 300 รายการที่หลากหลาย

JAC World Truck มีคุณลักษณะทางการตลาดชั้นนำสิบประการ เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ถุงลมนิรภัยคู่ ระบบการแสดงภาพ 360 องศา และระบบเสียงอัจฉริยะ เป็นต้น การสรรสร้างรถบรรทุกที่เหนือชั้นกว่าเช่นนี้ ช่วยเพิ่มมูลค่าโดยการมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพให้กับผู้ใช้ยานพาหนะ

เพราะความเชื่อในนโยบายพลังงานสีเขียว JAC จึงได้พัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าขนาดกลางและขนาดเล็ก (light-duty trucks) สองรุ่น ด้วยการร่วมมือกับ Navistar JAC จะสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงของผลิตภัณฑ์ลง 30% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 50%

การเปิดตัวรถบรรทุกขนาดใหญ่ JAC K7 Heavy-Duty Truck

รถบรรทุกขนาดใหญ่รุ่นล่าสุดที่จะถูกเพิ่มลงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ JAC คือรุ่น K7 ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงทันทีในงานออโต้ โชว์ โดยรถรุ่นนี้มีเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะ 540 แรงม้า ระบบส่งกำลัง ZF AMT แรงบิดขนาดใหญ่ เพลาล้อขนาดเล็ก และความเร็วที่ 95 กม.ต่อชั่วโมง เมื่อเครื่องยนต์ไต่ระดับถึง 1300 รอบต่อนาที นอกจากนี้ K7 ยังมาพร้อมกับหลังคาที่สูง (ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถยืนและเดินได้) พื้นที่เก็บของขนาด 910 ลิตร เบาะที่กว้าง, ซันรูฟอัตโนมัติ, โต๊ะพับ, ตู้เย็น และหน่วยเครื่องปรับอากาศ ซึ่งในระหว่างงานออโต้ โชว์ครั้งนี้  JAC ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าเป็นบริษัทที่มาแรงมากในอุตสาหกรรมยานยนต์

ดูเวอร์ชั่นต้นฉบับที่businesswire.comhttp://www.businesswire.com/news/home/20170427005785/en/

ติดต่อ:

JAC Motors
Crystal Feng, +86-551-62296885
jacmotors@jac.com.cn
http://jacen.jac.com.cn/showroom/s5.html
http://goal.jac.com.cn/

Keio Plaza Hotel Tokyo จัดนิทรรรศการโชว์พัดญี่ปุ่น-ยุโรป

Logo

ภายใต้ความร่วมมือกับเมืองเกียวโตและสถาบัน POLA

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)—2 พ.ค. 2560

Keio Plaza Hotel Tokyo ซึ่งเป็นโรงแรมนานาชาติที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในย่านชินจูกุ กรุงโตเกียว เตรียมจัดนิทรรศการพิเศษ “Ogi Mystique -Exhibition of Japanese & European Fans-” หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “มนตร์แห่งโอกิ – นิทรรศการแสดงพัดญี่ปุ่นและยุโรป” เพื่อโชว์ความสวยงามของพัดญี่ปุ่นสำหรับตกแต่ง สำหรับพัดญี่ปุ่นเหล่านี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปจนถึงทวีปยุโรป จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับพัดของเหล่าสตรีชั้นสูงในยุโรป สำหรับงานนี้จะมีการแสดงพัดหลากหลายรูปแบบราว 50 เล่มที่อวดโฉมอันงดงามของตนจนกลายเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในกลุ่มขุนนางสตรีแห่งสมัยโรโกโกในศตวรรษที่ 18 งานนี้เปิดให้เข้าชมฟรีในเดือน พ.ค. นี้

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้อยู่ในรูปแบบสื่อมัลติมีเดียอัจฉริยะ อ่านฉบับเต็มได้ทาง: http://www.businesswire.com/news/home/20170502005725/en/

The exhibition of Japanese and European fans shows their beautiful allure and how they came to be hi ...

พัดญี่ปุ่นและยุโรปเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในกลุ่มขุนนางสตรีแห่งสมัยโรโกโกในศตวรรษที่ 18 ซึ่งจะนำมาจัดแสดงในงาน (ภาพ: Business Wire)

สำหรับพัดญี่ปุ่นแบบ “โอกิ” ที่จะนำมาจัดแสดงนั้นยืมมาจากพิพิธภัณฑ์หัตถกรรมโบราณเมืองเกียวโต (Kyoto Museum of Traditional Crafts) สมาคมความร่วมมือทางการค้าพัดพับและพัดกลมเมืองเกียวโต (Kyoto Folding Fans and Round Fans Commercial Cooperative Association) และองค์กรมรดกทางวัฒนธรรม (Organization of Cultural Inheritance) เพื่อนำมาบอกเล่าประวัติศาสตร์ของพัด “ฮิโอกิ” ซึ่งใช้ในราชสำนักญี่ปุ่นในอดีต พัดอันวิจิตรงดงามเหล่านี้มีวิธีการใช้งานหลากหลายรูปแบบ โดยในงานจะมีการถ่ายทอดวิธีการใช้งานผ่านการเต้นรำแบบญี่ปุ่นและศิลปะการเล่าเรื่องแบบระขุโกะ ตลอดจนจัดแสดงพัดราว 30 เล่มเพื่อแสดงภาพความงดงามของศิลปะวัฒนธรรมญี่ปุ่น

ขณะเดียวกัน สถาบันวิจัยความงามและวัฒนธรรม POLA (The POLA Research Institute of Beauty and Culture) จะยืมพัดอีกราว 20 เล่มจากทวีปยุโรปมาร่วมจัดแสดงในงาน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสวยงามและคุณค่าทางวัฒนธรรมของพัดเหล่านี้ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพัดโอกิของญี่ปุ่น และนิยมใช้กันในหมู่สตรีชั้นสูงในยุโรปสมัยศตวรรษที่ 18-20

พัดที่จะนำมาจัดแสดงนั้นมีด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ผลิตจากวัสดุแตกต่างกันหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นพัดที่บรรจงถักขึ้นจากเชือกโปร่งแสงเหมือนกับที่ใช้ในงานแต่งงาน พัดสไตล์โกธิคที่มีขอบปักด้วยใบไม้ทองคำ พัดทรงประหลาดจากประเทศจีน และพัดแนวศิลปะสมัยใหม่ที่ทำขึ้นสำหรับครอบครัวชนชั้นสูง พร้อมคำบรรยายบอกเล่าประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของพัดเหล่านี้มาตั้งแต่อดีต ผู้เข้าชมงานยังจะได้เรียนรู้บทบาทของพัดในประวัติศาสตร์ และการนำพัดไปใช้งานเพื่ออวดโฉมความวิจิตรงดงาม

เกี่ยวกับ Keio Plaza Hotel

Keio Plaza Hotel Tokyo ตั้งอยู่ในย่านชินจูกุ กรุงโตเกียว เป็นโรงแรมนานาชาติชั้นนำแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น บริการอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเราช่วยให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นห้องพักธีม Hello Kitty การทดลองสวมชุดแต่งงานแบบกิโมโน พิธีชงชา  การจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น และอื่น ๆ อีกมากมาย

อ่านข่าวจากแหล่งที่มาได้ทาง businesswire.com: http://www.businesswire.com/news/home/20170502005725/en/

ช่องทางการติดต่อ:

Keio Plaza Hotel Tokyo
Sunaho Nakatani, +81-3-5322-8010
Public Relations Manager
s-nakatani@keioplaza.co.jp