“วิตามิน” ไม่ใช่ “ยา” ความคล้ายที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิด ไบโอฟาร์ม แนะใช้ให้ถูกวิธีเพื่อสุขภาพที่ดีและปลอดภัย

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–24 มิถุนายน 2563

imgร่างกายของคนเรา มีสารต่าง ๆ ประกอบอยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น  โปรตีน น้ำตาล วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ  การได้รับ “วิตามิน” ที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะวิตามินสามารถช่วยบำรุงและฟื้นฟูสุขภาพ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับและไต  แตกต่างกับ “ยา”  ซึ่งหากใช้ติดต่อกันเป็นประจำ อาจส่งผลเสียต่อตับและไตได้ บทความฉบับนี้ มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ  วิตามิน และ ยา จากทีมเภสัชกรไบโอฟาร์มมาฝากกัน

ความแตกต่างของ “วิตามิน” กับ “ยา”

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า ยา กับ วิตามิน  เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายเหมือนกัน  แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยา คือสิ่งที่ร่างกายไม่มี ร่างกายเราไม่สามารถผลิตยาเองได้ ดังนั้น ยาจึงไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในภาวะร่างกายปกติ ในทางกลับกัน ยามีไว้ใช้รักษาอาการผิดปกติของร่างกายที่มีอาการรุนแรง เช่น อาการปวดหัว ต้องได้รับยาพาราเซตามอลที่มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ ซึ่งยามีการออกฤทธิ์ที่เร็ว สามารถระงับอาการต่าง ๆ ได้  แตกต่างจากการรับประทานอาหารเสริมที่จะเข้าไปช่วยบำรุงและฟื้นฟูร่างกาย

หลักการใช้ยาที่ถูกต้อง

เมื่อเรารับประทานยาจนหายป่วยแล้ว ต้องหยุดใช้ยา หากหายแล้วยังรับประทานยาต่อไปเรื่อยๆอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เพราะยาส่วนใหญ่ผลิตจากสารเคมี  หากใช้เป็นประจำและเกินความจำเป็น  ท้ายที่สุดอาจเกิดการสะสมในร่างกาย และส่งผลเสียต่อตับและไตได้

“วิตามิน” สิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้

วิตามิน คือ สารที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้ว และเป็นสิ่งจำเป็นที่ร่างกายขาดไม่ได้ หากขาดวิตามินแล้ว ร่างกายจะแสดงความผิดปกติออกมาให้เห็นทันที  และเมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติต่างๆเกิดขึ้น สามารถตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุของการขาดวิตามินได้  และรับประทานวิตามินเสริมเข้าไป

วิตามินแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 7     บี 9 บี 12 และวิตามินซี โดยวิตามินชนิดนี้จะสามารถอยู่ในร่างกายได้ 2-4 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือจากการดูดซึมไปใช้งานก็จะถูกขับออกทางไต  โดยการปัสสาวะนั่นเอง  ดังนั้น วิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ จะมีโอกาสสะสมในร่างกายน้อยมาก จึงไม่ค่อยมีผลข้างเคียง วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ซึ่งจะละลายได้ในไขมันเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่สามารถขับออกทางปัสสาวะได้ หากได้รับวิตามินเหล่านี้มากเกินไป อาจเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ ผูที่รับประทานวิตามินชนิดนี้จึงควรมีช่วงที่หยุดรับประทานบ้าง เพื่อไม้ให้เกิดการสะสมในร่างกายมากจนเกินไป 

วิตามินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่อาหารหลัก

แม้ว่าการได้รับวิตามินอย่างเพียงพอและเหมาะสมจะสามารถช่วยบำรุงและฟื้นฟูร่างกายได้ ช่วยเสริมในส่วนที่ร่างกายขาดได้ หากเลือกรับประทานอย่างเหมาะสม แต่การรับประทานวิตามินก็ไม่สามารถมอบสารอาหารอันหลากหลายได้เหมือนอาหารจานหลัก 

สำหรับวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายและควรได้รับทุกวัน ได้แก่ วิตามินซี และวิตามินบี  ซึ่งเป็นวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ หลังจากดูดซึมไปใช้งานแล้วจะถูกกำจัดออกทางปัสสาวะ ไม่สะสมในร่างกาย จึงสามารถรับประทานเป็นประจำทุกวันได้อย่างปลอดภัย

ถึงแม้ว่าวิตามินจะไม่สามารถทดแทนอาหารจานหลักได้ แต่วิตามินและแร่ธาตุเสริม 1 เม็ด มักจะอัดแน่นด้วยปริมาณแร่ธาตุและสารอาหารที่คนปกติอาจไม่สามารถรับได้จากการรับประทานอาหารเพียง 1 มื้อหรือ 1 วันเพื่อให้ได้สารอาหารเหล่านั้นเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่น ต้องกินฟักทอง 1 ผลเพื่อให้ได้เบตาแคโรทีน 2 มิลลิกรัม เท่ากับการรับประทานเบตาแคโรทีน 1 เม็ด ซึ่งคนปกติอาจไม่สามารถรับประทานฟักทองได้ถึง 1 ผล

วิตามิน เกราะป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ

สารอนุมูลอิสระ เปรียบเสมือนยาพิษ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสม  เช่น นอนดึก นอนไม่พอ สูบบุหรี่  ดื่มเหล้า หรือ เจอกับมลภาวะ เช่น ฝุ่น PM 2.5   ซึ่งความน่ากลัวของอนุมูลอิสระคือ แม้จะไม่ทำให้เกิดโรคในทันที แต่ทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อม ทำลายเม็ดเลือด ทำลายอวัยวะต่างๆ และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพในระยะยาว 

ท้ายที่สุดแล้วการเสริมวิตามินและเกลือแร่ จะเป็นเกราะป้องกันอนุมูลอิสระชั้นดีให้กับร่างกาย    แต่สิ่งที่ควรทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือ  การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  หมั่นออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทำลายสุขภาพ  ก็จะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง          

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับไบโอฟาร์มทาง Line Official : @biopharm ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm

##

นูทานิคซ์เสริมแกร่งให้กับโซลูชั่น Desktop as a Service (DaaS)

Logo

นำเสนอโซลูชั่นพร้อมใช้งานระดับองค์กร รวมถึงช่วยให้การทำงานจากระยะไกล

เป็นไปอย่างง่ายดาย ด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ Nutanix Xi Frame

กรุงเทพฯ – 23 มิถุนายน 2563 – นูทานิคซ์ อิงค์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านคลาวด์คอมพิวติ้งสำหรับองค์กร ประกาศเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ใน Xi Frame ซึ่งเป็นโซลูชั่น Desktop as a Service (DaaS) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าองค์กร รวมถึงเพิ่มการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่น และความพร้อมใช้งานให้ครอบคลุมมากขึ้น

imgฟีเจอร์ใหม่ดังกล่าวประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเวิร์กโหลดต่าง ๆ ที่อยู่ในเดสก์ท็อปในองค์กรบนนูทานิคซ์อะโครโพลิสไฮเปอร์ไวเซอร์ (Nutanix AHV) เพิ่มการสนับสนุนการจัดการยูสเซอร์โปรไฟล์ รวมถึงความสามารถในการแปลง Windows แอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ให้เป็น Progressive Web Apps (PWA) และเพิ่มการให้การสนับสนุนจากดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเป็น 69 แห่งที่อยู่บน Microsoft Azure, Google Could Platform และ Amazon Web Services (AWS)

Xi Frame เป็นโซลูชั่นที่แข็งแกร่งที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการการทำงานจากระยะไกลได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที Xi Frame ทำสถิติด้านรายได้เป็นประวัติการณ์ไตรมาสต่อไตรมาส โดยอ้างอิงจากรายได้รวมของไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2563 ของนูทานิคซ์ และเป็นส่วนสร้างรายได้สำคัญในหมวดธุรกิจ end user computing ของนูทานิคซ์ โดยสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ได้ประมาณ 20% ในไตรมาสเดียวกัน 

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทส่วนใหญ่ทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โซลูชั่นต่าง ๆ เช่น Xi Frame เป็นกระบวนการที่ช่วยให้บริษัทหลายแห่งต้องปรับตัวตามสถานการณ์อย่างเร่งด่วน เพื่อให้พนักงานของตนสามารถทำงานจากระยะไกลได้ในชั่วข้ามคืน 

ในขณะที่หลายประเทศเริ่มทยอยเปิดประเทศอีกครั้งอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ผลจากการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพการทำงานระหว่างการล็อคดาวน์ทำให้บริษัทหลายแห่งกำลังพิจารณายืดระยะเวลาในการทำงานจากระยะไกลต่อไปอีก  ผนวกกับการต้องปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้โซลูชั่นรีโมทเดสก์ท็อป และ DaaS ที่สามารถรองรับความต้องการขององค์กรในระยะยาวได้รับการยอมรับและมีการนำมาใช้งานมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นายนิโคลา โบซิโนวิคซ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายการให้บริการเดสก์ท็อป นูทานิคซ์ กล่าวว่า
“นูทานิคซ์ให้ความสำคัญกับลูกค้าเสมอมา เราคิดเสมอว่าจะทำอย่างไรจึงจะช่วยให้การดำเนินงานด้านไอทีของลูกค้าเป็นเรื่องง่ายและสามารถนำเสนอโซลูชั่นที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าให้เดินหน้าต่อไป
และเราทำเช่นนั้นตลอดระยะสองสามเดือนในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา  สถานการณ์ทั่วโลกในปัจจุบันผลักดันให้บริษัทจำนวนมากยอมรับวิธีการทำงานจากระยะไกล แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีพื้นฐานด้านนี้มาก่อนก็ตาม Nutanix Xi Frame จึงเป็นโซลูชั่นที่เหมาะสมอย่างมากที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ เราจึงช่วยเหลือลูกค้าของเราด้วยการให้ความสำคัญกับการส่งมอบบริการพิเศษ และช่วยให้ลูกค้านำบริการของเราไปผสานรวมและทำงานร่วมกับสภาพแวดล้อมไอทีที่ลูกค้าใช้อยู่แล้วได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก"

Xi Frame ซึ่งเป็นบริการ DaaS ของนูทานิคซ์ที่ทำงานบนระบบคลาวด์ ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ เรียกใช้เวอร์ชวลแอปพลิเคชั่น และเวอร์ชวลเดสก์ท็อปบนโครงสร้างพื้นฐานที่ลูกค้าเลือกเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ on-premises ด้วย Nutanix AHV หรือใช้บนระบบพับลิคคลาวด์ของ Microsoft Azure, Google Cloud Platform หรือ AWS

Xi Frame ช่วยลดความยุ่งยากที่มักจะเกิดขึ้นกับการขยายจำนวนผู้ใช้งานระบบการทำงานจากที่บ้าน
ในขณะเดียวกันก็จัดหาบริการเวอร์ชวลเวิร์กสเปซที่ปลอดภัยให้กับพนักงานและลูกค้าได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเดสก์ท็อป และการใช้งานแอปพลิเคชั่นให้เหลือน้อยที่สุด

นายโทนี่ แมคคีวิคซ์ ผู้อำนวยการของ Physician and Tactical Healthcare Service, LLC (PATHS)
ซึ่งเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นทางการเงินด้านสุขภาพกล่าวว่า “เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทาง PATHS ต้องการโซลูชั่นการเข้าใช้งานจากระยะไกลที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้กับพนักงานที่ประจำอยู่ไซต์งานหลายสิบแห่ง รวมถึงโซลูชั่นที่ให้พนักงานหลายร้อยคนทำงานจากที่บ้านได้ Nutanix Xi Frame ทำงานอยู่บน AHV ช่วยให้เราสร้างระบบการเข้าใช้งานจากระยะไกลที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการทำงานของพนักงาน 200 คนที่ทำงานจากที่บ้านโดยไม่มีปัญหาในการเชื่อมต่อใด ๆ  ปัจจุบันพนักงานสามารถเข้าใช้งานระบบและแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่ต้องการได้จากระยะไกล จากทุกที่บนอุปกรณ์ทุกประเภท”

ฟีเจอร์ใหม่ของ Xi Frame เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ลูกค้าองค์กร มีดังนี้

  • ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน Nutanix AHV: นับจากการเปิดตัว Xi Frame ที่ทำงานบน AHV เพื่อรองรับการใช้งาน on-premises ของลูกค้า นูทานิคซ์ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่หลายรายการ
    เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น ซึ่งรวมถึง Cloud Connector Appliance เวอร์ชั่นใหม่
    ที่เพิ่มความคล่องตัวในการใช้งาน นอกจากนี้ยังมี Streaming Gateway Appliance (SGA) ซึ่งเป็น reverse proxy ที่ปลอดภัย รองรับการใช้งาน Frame Remoting Protocol (FRP)
  • เพิ่มการรองรับโปรไฟล์ผู้ใช้งานในองค์กร: ปัจจุบัน Xi Frame สามารถรองรับโปรไฟล์ผู้ใช้งานภายในองค์กร สำหรับกรณีใช้งานเดสก์ท็อปที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับโดเมน ซึ่งก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้จะรองรับเฉพาะเวอร์ชวลแมชชีน (VMs) ที่เชื่อมต่อภายในโดเมนเท่านั้น ความยืดหยุ่นที่ปรับเพิ่มขึ้นมานี้จะช่วยให้มีการใช้งาน Xi Frame มากขึ้น  ฟีเจอร์โปรไฟล์ของผู้ใช้งานในองค์กรที่ติดตั้งมากับโซลูชั่นนี้สามารถเปิดใช้งานได้อย่างง่ายดายในคลิกเดียว ผ่านความร่วมมือกับ Liquidwear ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นในการจัดการเวิร์กสเปซที่ปรับเปลี่ยนได้

  • รองรับ Progressive Web Apps: ปัจจุบัน Xi Frame รองรับการแปลง Windows แอปพลิเคชั่นข้ามแพลตฟอร์มไปเป็น Progressive Web Apps (PWAs) โดยอัตโนมัติ PWA เป็นเว็บแอปพลิเคชั่นที่ปกติแล้วจะใช้งานผ่านหน้าเว็บหรือเว็บไซต์ในเบราว์เซอร์ แต่ยังสามารถนำเสนอรูปลักษณ์และการใช้งานเนทีฟแอปพลิเคชั่นที่ติดตั้งอยู่ได้อย่างง่ายดาย

เมื่อ “ติดตั้ง” PWA แล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าใช้งานซอฟต์แวร์โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผ่านเบราว์เซอร์ใด ๆ และสามารถคลิกที่ไอคอนของแอปพลิเคชั่นเพื่อเรียกใช้งานได้โดยง่าย เมื่อเทคโนโลยีสามารถใช้ข้ามแพลตฟอร์มได้นั่นหมายความว่า Windows แอปพลิเคชั่นที่สตรีมโดย Xi Frame จากคลาวด์
สามารถไปปรากฎและใช้งานได้ไม่เพียงแต่บนอุปกรณ์ที่ใช้ Windows เท่าน้้น แต่ยังสามารถทำงานบน ChromeBooks, Mac และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Windows ได้อีกด้วย การรองรับ PWA ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ Xi Frame เชื่อมช่องว่างระหว่าง Windows ซอฟต์แวร์แบบเก่ากับเว็บแอปพลิเคชั่นที่ทันสมัย ซึ่งนับเป็นการบุกเบิกการทำงานวินโดวส์ซอฟต์แวร์บนเบราวซ์เซอร์หนึ่ง ๆ

  • ขยายจำนวนดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลก: ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Nutanix Xi Frame ได้ขยายการรองรับดาต้าเซ็นเตอร์ระดับภูมิภาคเพิ่มขึ้นในแอฟริกาใต้ ฝรั่งเศส ฮ่องกง ฟินแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ขณะนี้โซลูชั่น DaaS เปิดให้ใช้งานได้แล้วในดาต้าเซ็นเตอร์ทั้ง 69 แห่งทั่วโลก ด้วยความร่วมมือกับ Microsoft Azure, Google Cloud Platform และ AWS

ฟีเจอร์ใหม่ของ Xi Frame ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้พร้อมให้บริการลูกค้าแล้ว กรุณาเยี่ยมชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Nutanix Xi Frame หรือ Test Drive ได้ที่นี่

เกี่ยวกับนูทานิคซ์

นูทานิคซ์เป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ ช่วยให้การประมวลผลทางคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นได้ทุกที่ บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกใช้ซอฟต์แวร์ของนูทานิคซ์ เพื่อใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มเพียงแพลตฟอร์มเดียว ในการบริหารจัดการแอปพลิเคชั่นได้ทุกแอป ทุกที่ และทุกขนาด ไม่ว่าแอปพลิเคชั่นนั้นจะอยู่บนสภาพแวดล้อมแบบไพรเวท ไฮบริด และมัลติคลาวด์ก็ตาม เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับนูทานิคซ์ได้ที่ www.nutanix.com หรือติดตามทางทวิตเตอร์ที่ @nutanix

© 2020 Nutanix, Inc. All rights reserved. Nutanix, the Nutanix logo and all Nutanix product and service names mentioned herein are registered trademarks or trademarks of Nutanix, Inc. in the United States and other countries. All other brand names mentioned herein are for identification purposes only and may be the trademarks of their respective holder(s). This release may contain links to external websites that are not part of Nutanix.com. Nutanix does not control these sites and disclaims all responsibility for the content or accuracy of any external site. Our decision to link to an external site should not be considered an endorsement of any content on such a site. 

This release may contain express and implied forward-looking statements, which are not historical facts and are instead based on our current expectations, estimates and beliefs. The accuracy of such statements involves risks and uncertainties and depends upon future events, including those that may be beyond our control, and actual results may differ materially and adversely from those anticipated or implied by such statements. Any forward-looking statements included herein speak only as of the date hereof and, except as required by law, we assume no obligation to update or otherwise revise any of such forward-looking statements to reflect subsequent events or circumstances.

ข้อมูลสำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ

นภา สุทธิญาณโสภณ

บริษัท เอฟเอคิว จำกัด

โทรศัพท์ 02 970 6051

อีเมล: napa@pc-a.co.th

OPPLE ร่วมมือกับ 4 แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้านเพื่อก่อตั้งพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำของจีนระดับโลก (GACTB) มุ่งสู่การพัฒนาช่องทางการขายในต่างประเทศ

Logo

เซี่ยงไฮ้–(บิสิเนสไวร์)–23 มิ.ย. 2563

วันที่ 18 มิถุนายน 2563 ได้มีการก่อตั้งพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำของจีนระดับโลก (Global Alliance of Chinese Top BrandsGACTB) เป็นครั้งแรกโดย OPPLE, Dongpeng, Micoe, Robam และHolike  ทั้งห้าเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการตกแต่งบ้าน โดยได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือผ่านระบบคลาวด์เนื่องจากการระบาดของโรค Covid-19  GACTB มุ่งมั่นที่จะให้บริการผู้บริโภคทั่วโลกด้วยโซลูชั่นแบบครบวงจรสำหรับบริการตกแต่งบ้านที่มีคุณภาพสูง

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200623005619/en/

Founding of the Global Alliance of Chinese Top Brands (Graphic: Business Wire)

การก่อตั้งพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำของจีนระดับโลก (กราฟิก: บิสิเนสไวร์)

เพื่อขยายช่องทางการขายผ่านพันธมิตรแบรนด์

เมื่อชีวิตและการทำงานกลับสู่ภาวะปกติหลังจากการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 เจ้าของบ้านในต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี  เพราะเหตุนี้ชื่อเสียงของแบรนด์และคุณภาพของผลิตภัณฑ์จะเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในกระบวนการตัดสินใจของลูกค้า  GACTB จะรักษาคุณค่าของการสร้างแบรนด์ สังคม ลูกค้าและสมาชิก เพิ่มช่องทางการขายในต่างประเทศโดยการแบ่งปันทรัพยากรลูกค้า และเพิ่มความร่วมมือในการพัฒนาตลาดใหม่ การประมูลโครง การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการจัดจำหน่าย และส่งเสริมแบรนด์บนพื้นฐานประโยชน์ส่วนรวม

เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในตลาดโลกผ่านการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น

เนื่องจากสมาชิก GACTB แต่ละรายมีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่โต มีชื่อเสียงที่โด่งดัง และมีความพรีเมียมของแบรนด์ในภาคธุรกิจของตนนั้น GACTB จะส่งเสริมอิทธิพลของแต่ละแบรนด์ต่อไป  นอกจากนี้สมาชิกแต่ละรายมีความสามารถในการวิจัยและพัฒนาการสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียวเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

“จีนเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมไฟ เรามุ่งที่จะร่วมมือกับสมาชิก GACTB และเปลี่ยนประสิทธิภาพการผลิตที่แข็งแกร่งของจีนให้มีอิทธิพลในระดับโลก โดยมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นสำหรับผู้บริโภคทั่วโลกในราคาที่ต่ำลง” Jin Xin ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศของ OPPLE Lighting กล่าว

เกี่ยวกับ OPPLE

OPPLE ก่อตั้งขึ้นในปี 2539 โดยมีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนา การผลิต การจัดจำหน่าย และบริการหลังการขายของแสงไฟ การติดตั้ง และการควบคุมแสงสว่าง โดยดำเนินธุรกิจในกว่า 70 ประเทศและภูมิภาคในเอเชียแปซิฟิก ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้  OPPLE ขยายสายผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องไปยังสวิตช์ศิลปะ การตกแต่งบ้านแบบรวม ห้องครัว และเครื่องใช้ในห้องน้ำและอุปกรณ์เสริม ด้วยเป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการระบบแสงและอุปกรณ์ในบ้านแบบครบวงจรชั้นนำในอุตสาหกรรม  OPPLE มีร้านค้ากว่า 100,000 แห่งที่ขายสินค้าหลากหลายประเภท  OPPLE เป็นบริษัทจดทะเบียนในปี 2559

อ่านที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200623005619/en/

ติดต่อ:

OPPLE Lighting
Jenny Qian, +86 21 38550000
Globalservice@opple.com


กสิกรไทย เปิดตัว ‘Wealth PLUS’ ฟีเจอร์ช่วยจัดพอร์ตลงทุนส่วนตัวบน K PLUS

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–23 มิถุนายน 2563

imgธนาคารกสิกรไทย เปิดตัว ‘Wealth PLUS’ ฟีเจอร์ช่วยจัดพอร์ตลงทุนส่วนตัวบน K PLUS ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการเริ่มลงทุน เพิ่มความมั่นคงให้ชีวิต แต่ไม่มีเวลาบริหารจัดการด้วยตนเอง ทำให้หลายคนพลาดโอกาสในการลงทุน  ชูจุดเด่นช่วยจัดพอร์ตลงทุนส่วนตัวให้เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคน ติดตามและปรับพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอตามภาวะตลาด กระจายความเสี่ยง ถึงเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มลงทุน ทั้งแบบลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง และ แบบมีเป้าหมายทางการเงิน เช่น เก็บเงินซื้อรถ เดินทางท่องเที่ยว เป็นต้น หรือคนที่มองหาความมั่นคงในวัยเกษียณ เริ่มต้นง่ายๆ ลงทุนเพียง 10,000 บาท ไม่ต้องไปสาขา และไม่ต้องใช้เอกสารเพิ่มเติม ใช้ฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียม โดย

จัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน Wealth PLUS จะเลือกกองทุนรวมที่กระจายความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมที่สุดตามความเสี่ยงที่ลูกค้ายอมรับได้ รวมถึงเหมาะกับสภาวะตลาด และระยะเวลาเป้าหมายการลงทุนของลูกค้าแต่ละคน

กระจายความเสี่ยงให้โดยอัตโนมัติ ลูกค้าไม่ต้องคำนวณเอง Wealth PLUS ลงทุนเป็นพอร์ต คือลงทุนในกองทุนรวมที่หลากหลายในสัดส่วนที่เหมาะสม เป็นการกระจายความเสี่ยงให้อัตโนมัติ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องคำนวณเอง

ติดตามและดูแลพอร์ตให้ตลอด 24 ชั่วโมง  Wealth PLUS จะปรับพอร์ตให้อัตโนมัติ (Auto Rebalance) เมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและส่งผลกระทบกับพอร์ต โดยที่ลูกค้าไม่ต้องคอยกังวลกับสถานการณ์ แต่หากเหตุการณ์เป็นปกติจะปรับพอร์ตให้อัตโนมัติทุกๆ 6 เดือน

ใช้เงินเริ่มต้นลงทุนน้อย เพียง 10,000 บาท และลงทุนครั้งต่อไปขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยที่สามารถเลือกให้ระบบลงทุนอัตโนมัติทุกเดือน (DCA) หรือลงทุนเมื่อลูกค้าสะดวกก็ได้

ใช้งานฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากค่าธรรมเนียมการซื้อ ขาย สับเปลี่ยนกองทุนตามปกติ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของ Wealth PLUS ได้ที่ https://kbank.co/2N29qtU  หรือโทร K-Contact Center 02-888-8888 กด 4 กด 1

เครือสหพัฒน์ ประกาศจัดงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ ปี 63” ครั้งแรกของการผนึก 3 แพลตฟอร์ม LAZADA-SHOPEE-JD CENTRAL ขายพร้อมกัน ลดกระหน่ำสูงสุด 80% เสริมทัพ 11 สถาบันการเงินและกองทุน กระตุ้นเศรษฐกิจ 2-5 ก.ค.นี้

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–23 มิถุนายน 2563

imgนายธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ ปี 63 เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลได้รณรงค์ให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม เครือสหพัฒน์จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการจัดงานในปีนี้มาเป็น สหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ ปี 63 เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อ อีกทั้งยังสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่นิยมการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น

งานสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ ปี 63 กำหนดจัดในวันที่ 2-5 กรกฎาคม 2563 เป็นการยกงานสหกรุ๊ปแฟร์ที่เคยจัดที่ไบเทคมาจัดบน http://www.sahagroupfair.com/ โดยจะมีลิงค์จากเว็บไปยัง LAZADA SHOPEE และ JD CENTRAL ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการจำหน่ายสินค้าบน 3 แพลตฟอร์มพร้อมกัน แบ่งสินค้าออกเป็น 7 หมวด คือ Fashion, Lingerie, Health & Beauty, Baby & Toddler, Household, Grocery และ Services & Education มีสินค้ามาจำหน่ายกว่า 100 แบรนด์ กว่า 20,000 SKU อาทิ วาโก้ บีเอสซี แอร์โรว์ ลาคอสท์ แอล (ELLE) เอราวอน กี ลาโรช อองฟองต์ แอ็บซอร์บา ฟาร์มเฮ้าส์ มาม่า มองต์เฟลอ ริชเชส ซื่อสัตย์ เอสเซ้นต์ เปา ซิสเท็มมา คิเรอิคิเรอิ โชกุบุสซึ วาเซดะ บุนกะ ซึ่งสินค้า 7 หมวดนี้ จะมีทั้งสินค้านวัตกรรม สินค้าใหม่ สินค้าขายดี และสินค้า Clearance ที่นำมาลดพิเศษสูงสุดถึง 80% ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค

ในเว็บมีการไลฟ์สดช่วง Flash Sale และการแจกคูปองส่วนลดเพื่อนำไปลดเพิ่มใน LAZADA SHOPEE และ JD CENTRAL ซึ่งทุกบิลที่ซื้อสามารถนำมากรอกข้อมูลชิงรางวัลในเว็บ กว่า 3,000 รางวัล รวมกว่า 9 แสนบาท สำหรับผู้ที่ต้องการสั่งซื้อล่วงหน้าจะเปิดให้มีพรีออเดอร์(PRE SALES) สินค้าใหม่ในวันที่ 27 มิถุนายน–1 กรกฎาคม 2563 เฉพาะที่ LAZADA

นอกจากนี้ ในเว็บยังมีกิจกรรมที่สร้างสีสัน อาทิ แฟชั่นโชว์ เวิร์กชอป กิจกรรมจากดาราและเซเลบริตี้มากมาย การรับสมัครงาน การรับสมัครสมาชิกและสะสมคะแนน His & Her

นอกจากการจำหน่ายสินค้าแบบ B2C ให้กับผู้สนใจทั่วไปแล้ว จะมีการจำหน่ายแบบ B2B ให้กับร้านค้าทั่วไป ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และผู้ที่ซื้อสินค้าไปจำหน่ายต่อ

ในงานนี้ เครือสหพัฒน์ยังได้ร่วมกับสถาบันการเงินและกองทุน 11 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC) บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เพื่อให้ส่วนลดเงินสดและเครดิตเงินคืนสำหรับการซื้อแบบ B2C และให้สินเชื่อพิเศษสำหรับการซื้อแบบ B2B ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อได้อีกทางหนึ่ง

“หนึ่งในนโยบายสำคัญของเครือสหพัฒน์ คือ การทำ Digital Transformation เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในยุคดิจิทัล การจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบที่สุดของเครือสหพัฒน์ ซึ่งเปิดตัวมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม เป็นยุคที่ผู้บริโภคนิยมการซื้อสินค้าทางออนไลน์ และเหมาะกับสถานการณ์ที่ทุกคนควรเว้นระยะห่างทางสังคม” นายธรรมรัตน์ กล่าว

###

สื่อมวลชนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร. 081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

           

สมาคมธนาคารไทยหนุนนโยบาย ธปท. เชื่อช่วยระบบแบงก์พาณิชย์แข็งแกร่งระยะยาว เป็นเสาหลักดันเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัว

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–23 มิถุนายน 2563

imgนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำแผนบริหารจัดการระดับเงินกองทุนสำหรับระยะ 1-3 ปีข้างหน้า โดยคำนึงถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต และศักยภาพของลูกหนี้ในการทำธุรกิจภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 คลี่คลาย และในระหว่างที่ธนาคารพาณิชย์จัดทำแผนบริหารจัดการระดับเงินกองทุนใหม่นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานในปี 2563 รวมถึงงดการซื้อหุ้นคืนนั้น เป็นมาตรการเพื่อให้มั่นใจว่า ธนาคารพาณิชย์จะรักษาระดับเงินกองทุนให้เข้มแข็งและรองรับการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การงดจ่ายเงินปันผลข้างต้นนั้น จะเป็นเฉพาะเงินปันผลเฉพาะกาล ไม่ใช่การจ่ายเงินปันผลรายปีที่ธนาคารพาณิชย์ยังพิจารณาจ่ายได้ตามสมควร นอกจากนี้ แนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าว ถือว่าสอดคล้องกับความเห็นและแนวทางที่เสนอโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษ ที่มองว่าธนาคารพาณิชย์ควรให้น้ำหนักกับการสะสมทุนให้เข้มแข็งเพื่อรองรับเหตุการณ์เสี่ยงในภาวะวิกฤตระดับโลก (Pandemic) ในปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อให้สามารถทำหน้าที่หลักในการให้สินเชื่อกับภาคธุรกิจและครัวเรือน และรับมือกับภาระการตั้งสำรองสำหรับหนี้ด้อยคุณภาพที่จะเพิ่มขึ้น ด้วยการงดกิจกรรมอื่น ๆ ที่กระทบต่อเงินกองทุน อาทิ การจ่ายเงินปันผล หรือการซื้อหุ้นคืน แม้ระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งในสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร จะมีสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงในปี 2563 สูงถึงร้อยละ 18.4 และกว่าร้อยละ 20 ตามลำดับ ก็ตาม นอกจากนี้ IMF ยังมองว่าทางเลือกดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นและนักลงทุนผ่านผลตอบแทนที่มีโอกาสเพิ่มขึ้น เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินกลับเข้าสู่ภาวะปกติ  

สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน ระบบธนาคารพาณิชย์ไทย มีระดับเงินกองทุนที่เข้มแข็ง โดย ณ สิ้นเมษายน 2563 ที่ผ่านมา มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2,616,162 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ร้อยละ 18.9 ซึ่งนับว่ามีความเข้มแข็งกว่าเกณฑ์เงินกองทุนที่ต้องดำรงขั้นต่ำของ ธปท.ที่ร้อยละ 11.0 (ระดับเงินกองทุนขั้นต่ำที่ร้อยละ 8.5 และ Conservation Buffer ร้อยละ 2.5) และสูงกว่ามาตรฐานสากลของ Basel Committee on Banking Supervision (BCBS) ที่ร้อยละ 10.5  ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ก็มีการวางแผนเพื่อบริหารจัดการเงินกองทุนเป็นปกติประจำอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยก็ยังมีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ซึ่งเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจตามปกติ รวมไปถึงรองรับการชำระคืนเงินฝากแก่ประชาชน ตลอดจนหุ้นกู้ให้แก่นักลงทุน โดยระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีสินทรัพย์สภาพคล่องที่ใกล้เคียงเงินสด อาทิ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยและพันธบัตรรัฐบาลถึง 4.38 ล้านล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับความต้องการถอนเงินและใช้เงินในระยะสั้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน (Liquidity Coverage Ratio: LCR) อีกทั้งยังสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยถึง 1.8 เท่า

“ด้วยสถานะทุนและสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ที่เข้มแข็งในระดับมาตรฐานโลก ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังสามารถทำหน้าที่สำคัญในการขยายสินเชื่อ ช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบปัญหาทุกกลุ่ม และดูแลจัดการปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพ ขณะเดียวกันมาตรการต่างๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ก็จะช่วยบรรเทาปัญหาต่าง ๆ ไปได้เช่นกัน ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าเราจะผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนี้ไปด้วยกัน” นายปรีดีกล่าว

เครือสหพัฒน์ มอบชุดผลิตภัณฑ์ซื่อสัตย์ ให้ร้านค้าทั่วประเทศ เพื่อแบ่งปันใส่ตู้ปันสุข ในสถานการณ์โควิด-19

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–19 มิถุนายน 2563

imgเครือสหพัฒน์ ปันน้ำใจเพื่อคนไทยทั่วประเทศ มอบชุดผลิตภัณฑ์ซื่อสัตย์ ซึ่งประกอบด้วย บะหมี่ซื่อสัตย์ 1 แพ็ค จำนวน 6 ซอง ปลากระป๋องซื่อสัตย์ จำนวน 2 กระป๋อง รวมทั้งสิ้น 2,000 ชุด ให้กับร้านค้าในต่างจังหวัด 20 ร้าน โดยมอบให้ร้านค้าละ 100 ชุด เพื่อนำไปแบ่งปันใส่ในตู้ปันสุขทั่วประเทศ โดยเครือสหพัฒน์มีความตั้งใจดี พร้อมช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนคนไทยสามารถฝ่าวิกฤตในสถานการณ์โควิด-19 ไปได้ด้วยดี

###

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ 

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร.081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

กสิกรไทย ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกออกหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศด้วยบล็อกเชน

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–19 มิถุนายน 2563

imgนายจงรัก รัตนเพียร (ที่ 2 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย นายธาดา พฤฒิธาดา (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย นายธิติ ตันติกุลานันท์ (ที่ 2 จากขวา) ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย  และนายศีลวัต สันติวิสัฏฐ์ (ขวา) รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย ร่วมแถลงข่าว การเสนอขายและออกหุ้นกู้สกุลเงินยูโรให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศผ่านเทคโนโลยี Distributed Ledger Technology (DLT) หรือบล็อกเชน (Blockchain) ภายใต้โครงการทดสอบและพัฒนานวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการให้บริการเกี่ยวกับตลาดทุน ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกในประเทศไทยที่เสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศด้วยบล็อกเชน

Hillstone Networks ได้รับการยอมรับในคู่มือตลาด Gartner 2020 สำหรับการตรวจจับเครือข่ายและการตอบสนองสำหรับผลิตภัณฑ์sBDS

Logo

ซานตาคลาร่า แคลิฟอร์เนีย–(บิสิเนสไวร์)–17 มิ.ย. 2563

Hillstone Networks ผู้ให้บริการชั้นนำด้านผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยของเครือข่ายระดับองค์กรและการจัดการความเสี่ยง มีความยินดีที่จะประกาศว่า Hillstone Networks ได้รับการแนะนำจากคู่มือตลาดสำหรับการตรวจจับและตอบสนองเครือข่ายสำหรับผลิตภัณฑ์ Server Breach Detection System (sBDS)

รายงานนี้ได้แสดงภาพรวมของตลาดและวิเคราะห์ผู้ให้บริการการตรวจจับและตอบสนองของเครือข่าย (เดิมชื่อการวิเคราะห์การรับส่งข้อมูลเครือข่าย) ที่เป็นที่แนะนำต่อผู้นำด้านความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยงระดับโลก

"องค์กรควรพิจารณาผลิตภัณฑ์ NDR อย่างยิ่งเพื่อเสริมเครื่องมือที่ใช้ลายเซ็นและกล่องรับเครือข่าย" นักวิเคราะห์ของ Gartner Lawrence Orans, Jeremy D'Hoinne และ Josh Chessman กล่าว "ลูกค้า Gartner หลายรายระบุว่าเครื่องมือ NDR ได้ตรวจพบการใช้งานเครือข่ายที่น่าสงสัยที่เครื่องมือรักษาความปลอดภัยอื่นๆ มองข้าม"

ระบบ Hillstone Server Breach Detection System (sBDS) ใช้เทคโนโลยีการตรวจจับภัยคุกคามหลายอย่างที่มีทั้งเทคโนโลยีลายเซ็นตามแบบดั้งเดิม รวมถึงการวิเคราะห์ภัยคุกคามขนาดใหญ่อย่างอัจฉริยะและการวิเคราะห์พฤติกรรมซึ่งมอบวิธีการตรวจจับการโจมตีภัยคุกคามที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างเหมาะสมเพื่อปกป้องเซิร์ฟเวอร์ที่มีมูลค่าสูง เซิร์ฟเวอร์ที่สำคัญ และข้อมูลที่สำคัญไม่ให้รั่วไหลหรือถูกขโมย

“Hillstone sBDS รวมเทคโนโลยีการตรวจจับแบบดั้งเดิมและเครื่องมือวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อตรวจจับภัยคุกคามความปลอดภัยบนอินทราเน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ Hillstone อื่นๆ เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคาม สิ่งนี้ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยของลูกค้าสามารถมองเห็น ทำความเข้าใจ และดำเนินการเพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว” Timothy Liu, CTO และผู้ร่วมก่อตั้งที่ Hillstone Networks กล่าว

* Gartner, คู่มือตลาดสำหรับการตรวจจับและตอบสนองเครือข่าย, Lawrence Orans, Jeremy D'Hoinne, Josh Chessman, 11 มิถุนายน 2563

หมายเหตุของ Gartner:

Gartner ไม่ได้สนับสนุนผู้ขาย ผลิตภัณฑ์ หรือบริการใดๆ ที่ปรากฎในเอกสารการวิจัยของเราและไม่แนะนำผู้ใช้เทคโนโลยี ให้เลือกเฉพาะผู้จำหน่ายที่มีอันดับสูงสุดหรืออันดับอื่นๆ  สื่อพิมพ์งานวิจัยของ Gartner ประกอบด้วยความคิดเห็นขององค์กรวิจัยของ Gartner และไม่ควรถูกตีความว่าเป็นข้อเท็จจริง Gartner ขอปฏิเสธการรับประกันทั้งหมดที่แสดงหรือบอกเป็นนัยเกี่ยวกับการวิจัยนี้รวมถึงการรับประกันใดๆ เกี่ยวกับการซื้อขายหรือความเหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ

เกี่ยวกับ Hillstone Networks

ผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยของเครือข่ายระดับองค์กรและการจัดการความเสี่ยงของ Hillstone Networks ให้การมองเห็น สติปัญญา และการป้องกันเพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรสามารถมองเห็นและเข้าใจอย่างทั่วถึง  ผลิตภัณฑ์ของ Hillstone ได้รับการยอมรับจากนักวิเคราะห์ชั้นนำและได้รับความไว้วางใจจากองค์กรระดับโลก โดยครอบคลุมตั้งแต่ระดับเบื้องต้นไปจนถึงระบบคลาวด์ พร้อมกับปรับปรุงต้นทุนการเป็นเจ้าของโดยรวม เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.hillstonenet.com

ติดต่อ:

Zeyao Hu
Marketing Manager (ผู้จัดการฝ่ายการตลาด) inquiry@hillstonenet.com

ดัชนีชี้วัดความดีของ Centre for Asian Philanthropy and Society นำทางไปสู่โลกหลังโควิด-19

Logo

  • ปัญหาในการตอบสนองความต้องการด้านสังคมที่เพิ่มขึ้นของรัฐจำเป็นต้องได้รับความเชื่อเหลือจากภาคเอกชนและสังคม
  • นโยบายที่สมดุลกัน สิ่งจูงใจ สามารถผลักดันให้เงินทุนจากภาคเอกชนเข้าสู่ภาคสังคมได้ ซึ่งจะทำให้รัฐเพิ่มประสิทธิผลได้มากขึ้น

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–18 มิถุนายน 2563

วันนี้ Centre for Asian Philanthropy and Society (CAPS) ได้เผยแพร่รายงานดัชนีความดี หรือ Doing Good Index (DGI2020) ฉบับที่สอง โดยการศึกษานี้เผยให้เห็นถึงบทบาทอันสำคัญของภาคสังคมและวิธีที่ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียเข้ามาช่วยหรือขัดขวางบทบาทนั้น รายงาน DGI2020 ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจะต้องทำงานกันมากขึ้น แต่การบริจาคโดยภาคเอกชน/องค์กรจะต้องเข้ามามีส่วนในการตอบสนองความต้องการของผู้คนด้วย

“ขณะนี้ การหยุดชะงักในวงกว้างซึ่งมีสาเหตุจากโรคระบาดและตามมาด้วยผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สร้างความยากลำบากอย่างมากให้กับผู้คนที่มีความเปราะบางที่สุดในชุมชน เราจะต้องสร้างสังคมขึ้นมาใหม่” Ronnie Chan ประธาน CAPS กล่าว “ดัชนีความดีของ CAPS นำเสนอกลยุทธ์ต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้ภาคสังคมเข้ามามีบทบาทในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าในทั่วทั้งเอเชียได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

หลังเกิดการระบาดของโควิด-19 การให้เพื่อการกุศลได้มุ่งความสำคัญมาที่การตอบสนองของชุมชนในท้องถิ่น การสนับสนุนในระดับนานาชาติกำลังลดลงและองค์กรการกุศล “Asia for Asia” ต้องเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ หากชาวเอเชียบริจาคเป็นจำนวนเท่ากับ 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศนั้น ๆ เงินบริจาคจะมีมูลค่าเท่ากับ 5.87 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่าความช่วยเหลือจากต่างประเทศถึง 12 เท่า และมีมูลค่าเกือบ 40% ของเงินมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต้องจ่ายทุกปีเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนปีพ.ศ. 2573 ขององค์การสหประชาชาติ

“ความมั่งคั่งของเอเชียคิดเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของโลก แต่จำนวนคนจนยังมีมากถึงสองในสามของโลก” Dr. Ruth Shapiro ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ CAPS กล่าว “ตอนนี้เรามีโอกาสที่หาได้ยากในการใช้ความมั่งคังที่เกิดขึ้นใหม่นี้บรรเทาความขาดแคลน ปกป้องสิ่งแวดล้อม และรณรงค์เรื่องความยืดหยุ่นทางสังคม”

รายงาน DGI2020 ได้ระบุแนวโน้มอย่างกว้างทั่วทั้งเอเชียไว้หลายข้อ ดังนี้:

1. การเข้ามามีส่วนร่วมของรัฐบาลมีความสำคัญ ดังนั้นนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับภาคสังคมไม่เพียงมีผลกระทบโดยตรงแต่ยังเป็นมุมมองที่ส่งสัญญาณที่ขยายผลกระทบนั้น

  • ปัจจุบัน 45% ขององค์กรพัฒนาสังคม (SDO) ในเอเชียได้รับเงินจากแหล่งสนับสนุนต่างประเทศ  (ราว 25% ของงบทั้งหมด) แต่เศรษฐกิจในประเทศเอเชียมากกว่าครึ่งต่างกำลังประสบปัญหาการสนับสนุนด้านเงินทุนจากต่างประเทศที่ลดลง

2.ภาษีและนโยบายด้านการเงินคือสิ่งจูงใจหลักให้เกิดการให้เพื่อการกุศล แต่ความสับสนในวงกว้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้การบริจาคถูกระงับอยู่บ่อยครั้ง

  • 25% ขององค์กรพัฒนาสังคมในเอเชียไม่ทราบว่าการบริจาคเพื่อการกุศลสามารถใช้ในการลดหย่อนภาษีได้

3. การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐบาลสามารถเป็นต้นทางการเติบโตที่สำคัญสำหรับภาคสังคม แต่ระบบเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังทำได้ไม่ดีนักทางด้านนี้

  • 61% ขององค์กรพัฒนาสังคมที่มีสัญญากับรัฐบาลพบความยากลำบากในการเข้าถึงข้อมูลจัดซื้อจัดจ้าง

4. รัฐบาลปรึกษาองค์กรพัฒนาสังคมเกี่ยวกับปัญหาด้านนโยบายมากขึ้น

  • องค์กรสามในสี่แห่งทำการสำรวจรายงานที่เข้าไปมีส่วนในการให้คำปรึกษาด้านนโยบาย พบว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึงครึ่ง

5. ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) และการเป็นพันธมิตรระหว่างหน่วยงานด้านสาธารณะและเอกชนกำลังมีบทบาทมากขึ้นในเอเชีย

  • ระบบเศรษฐกิจ 11 ใน 18 แห่งเผยว่ากิจกรรม CSR และการเป็นพันธมิตรระหว่างหน่วยงานด้านสาธารณะและเอกชนกำลังเป็นที่สนใจมากขึ้น

งานวิจัย DGI2020 ได้ทำการสำรวจองค์กรพัฒนาสังคม 2,189 แห่งและสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจาก 145 ประเทศใน 18 ระบบเศรษฐกิจในเอเชีย ได้แก่บังกลาเทศ กัมพูชา จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย เมียนมา เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม

ดาวน์โหลดรายงาน DGI2020 ที่นี่

เกี่ยวกับ CAPS

CAPS ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2556 อุทิศตนให้กับการพัฒนาด้านการให้เพื่อการกุศลทั่วทั้งเอเชียทั้งในเรื่องของจำนวนและคุณภาพ CAPS มีสำนักงานอยู่ในฮ่องกง ได้ทำการวิจัยด้านต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้บริจาคและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรด้านสังคม สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัยและบริการโดย CAPS สามารถดูได้ที่: http://caps.org/

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200617005325/en/

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายสัมภาษณ์ โปรดติดต่อ:

Thomas Rippe
โทร: +852 5597 8567
อีเมล: thomas.rippe@fleishman.com

Gayatri Bery
โทร: +852 3616 0835
อีเมล: gayatri@caps.org

The Bangkok Reporter