รายงานการแบ่งส่วนของตลาดของ Best หรือ Best’s Market Segment Report พบว่าบริษัทประกันวินาศภัยในประเทศไทยมีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์รุนแรง แต่ความท้าทายก็ยังคงมีอยู่

Logo

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–20 พ.ค. 2564

แม้จะมีการหดตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทยซึ่งเป็นผลมาจาก COVID-19 ในปี 2563  แต่ตลาดประกันวินาศภัยของประเทศก็ยังคงสามารถขยายตัวได้ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในกลุ่มสุขภาพ ข้อมูลจากรายงานฉบับใหม่ของ AM Best

ด้วยผลกระทบเชิงลบของการระบาดต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยทำให้ GDP ที่แท้จริงของประเทศหดตัวลง 6.1% ในปี 2564ในขณะที่ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยลง 75 คะแนนทำให้ไปสู่ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ที่ 0.5% ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในรายงาน Market Segment Report ของ Best ฉบับใหม่“ ตลาดประกันวินาศภัยของประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น แต่อย่างไรเสีย ความท้าทายก็ยังคงอยู่” AM Best ระบุว่า บริษัทประกันวินาศภัยที่อยู่ในประเทศมีกำไรจากการจัดจำหน่ายโดยรวม 12,500 ล้านบาท (0.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณหกเท่าเมื่อเทียบกับปี 2562 โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของเบี้ยประกัน พร้อมกับค่าใช้จ่ายและการเคลมที่ลดลง ตลาดประกันวินาศภัยขยายตัว 3.5% เป็น 253,000 ล้านบาท (8.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ในรูปของเบี้ยประกันภัยรับตรง หรือ direct premium written (DPW)

การประกันสุขภาพซึ่งเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการขยายตัว 44% ในปี 2563 โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มความตระหนักด้านสุขภาพเนื่องมาจากการระบาดของโรค ประกันภัยรถยนต์ซึ่งเป็นสายธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดและมีสัดส่วนมากกว่า 55% ของ DPW ทั้งหมด เติบโตขึ้น 1.4% ทั้งนี้ AM Best ตั้งข้อสังเกตว่าการลดลงของยอดขายรถยนต์และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงในปี 2563 ไม่ได้แปลว่าจะมีการลดลงของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นได้รับการชดเชยด้วยอัตราที่แข็งค่าขึ้นในบางส่วน

มาตรการกักกัน COVID-19 ที่รัฐบาลกำหนดได้กระตุ้นให้เกิดการปรับตัวสู่ดิจิทัลและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยของประเทศไทย ในฐานะบริษัทที่มีส่วนแบ่งในตลาดประกันวินาศภัยที่มีการแข่งขันสูงและกำลังพัฒนาในประเทศ แม้ความต้องการประกันการเดินทางจะลดลงซึ่งโดยปกติจะขายทางออนไลน์ แต่การขายประกันผ่านช่องทางออนไลน์ก็เพิ่มขึ้น 2 เท่าในปี 2563 เนื่องจากบริษัทประกันพยายามที่จะปรับปรุงแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครื่องมือเพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

AM Best คาดว่า บริษัทประกันจะให้ความสำคัญกับนวัตกรรมมากขึ้นในช่วงหลายปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยสามารถช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การกระจายสินค้า รวมทั้งเสริมสร้างความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการกำหนดราคา AM Best คาดว่าการเติบโตในส่วนงานประกันวินาศภัยของประเทศไทยจะดำเนินต่อไปโดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ GDP ในปี 2564 ที่เป็นบวก 2.6% อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะใกล้ถึงระยะกลางยังคงไม่แน่นอนโดยมีความท้าทายที่น่าจะเกิดจากการจัดการการระบาดที่กำลังดำเนินอยู่และความสามารถของประเทศไทยในการเปิดภาคการท่องเที่ยวอีกครั้ง

หากต้องการเข้าถึงสำเนาฉบับเต็มของรายงานการแบ่งส่วนตลาดฉบับนี้ โปรดไปที่ http://www3.ambest.com/bestweek/purchase.asp?record_code=308773

AM Best เป็นหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกผู้เผยแพร่ข่าวและผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมประกันภัย บริษัทมีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกาดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศโดยมีสำนักงานประจำภูมิภาคในลอนดอน อัมสเตอร์ดัม ดูไบฮ่องกง สิงคโปร์ และเม็กซิโกซิตี้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ambest.com

ลิขสิทธิ์© 2021 ของ A.M. Best Rating Services, Inc. และ / หรือ บริษัทในเครือ สงวนลิขสิทธิ์

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210519005767/en/

ติดต่อ:

Susan Tan

นักวิเคราะห์การเงิน

+65 6303 5023

susan.tan@ambest.com

Christopher Sharkey

ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์

+1 908 439 2200, ext. 5159

christopher.sharkey@ambest.com

Yuan Tian

นักวิเคราะห์การเงินอาวุโส

+65 6303 5016

yuan.tian@ambest.com

Jim Peavy

ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสาร

+1 908 439 2200, ext. 5644

james.peavy@ambest.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Asset Value Investors (AVI) เรียกร้องให้ผู้ถือหุ้นสนับสนุนให้ถอดและเปลี่ยนคณะกรรมการของ Symphony International Holdings

Logo

ลอนดอน–(บิสิเนสไวร์)–29 เม.ย. 2564

Asset Value Investor (“AVI”) เริ่มรณรงค์เพื่อเรียกร้องให้ผู้ถือหุ้นของ Symphony International Holdings Ltd (“SIHL”) ซึ่งเป็นหน่วยการลงทุนแบบปิดที่บริหารจัดการจากสิงคโปร์และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ให้ช่วยนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่บริษัทหลังจากที่มีผลงานไม่ดีมาหลายปี  AVI ถือหุ้น 15.4% ใน SIHL ในนามของลูกค้าสถาบัน  จากการลงทุนครั้งแรกในปี 2555 ทาง AVI ได้ข้อสรุปแล้วว่าแนวทางการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนไม่มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ

Tom Treanor  ผู้อำนวย Asset Value Investors เปิดตัวการรณรงค์ใหม่ โดยกล่าวว่า “ผลการดำเนินงานที่แย่ของ Symphony International Holdings Ltd (SIHL) ได้เกิดขึ้นมานานพอแล้ว  เรามีเป้าหมายหลักสองประการและเราต้องการการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมหุ้นของเราเพื่อทำให้เป็นจริง”

เรามุ่งมั่นที่จะ:

  1. ให้ผู้ถือหุ้นจะได้รับรู้เกี่ยวกับความกังวลของเราเรื่องการบริหารของ SIHL และความเป็นอิสระของคณะกรรมการ ซึ่งในมุมมองของเรานั้นมีความขัดแย้งอย่างแท้จริงและไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นไว้ก่อนหน้าผลประโยชน์ของทีมบริหาร
  2. รวบรวมการสนับสนุนที่เพียงพอ (30% รวมถึงสัดส่วนการถือหุ้น 15.4% ของเราเอง) เพื่อขอ EGM ให้ถอดถอนกรรมการปัจจุบันและแทนที่ด้วยกรรมการใหม่ที่เต็มใจและสามารถเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นได้อย่างเหมาะสม  หลังจากได้รับการแต่งตั้ง คณะกรรมการชุดใหม่จะได้รับมอบอำนาจในการปรึกษาหารือกับผู้ถือหุ้นอย่างกว้างขวางเพื่อสร้างฉันทามติสำหรับแนวทางที่ดีที่สุดในการเพิ่มมูลค่าสูงสุดเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทุกคน

SIHL จดทะเบียนในปี 2550 โดยมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนโดยมุ่งเน้นไปที่การเติบโตผ่านการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคในเอเชีย  อย่างไรก็ตาม ผลการลงทุนนั้นต่ำเมื่อวัดเทียบกับดัชนีตลาดหรือกองทุนที่ใกล้เคียงกัน  นอกจากนี้ SIHL ในวันนี้ซื้อขายด้วยส่วนลดมากกว่า 50% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) โดย AVI เห็นว่าส่วนลดจำนวนมากของ SIHL แสดงถึงคำตัดสินของตลาดเกี่ยวกับประวัติผลการดำเนินงานของบริษัท ข้อเสนอการลงทุน การกำกับดูแล ผู้จัดการ และคณะกรรมการ

ได้มีการเผยแพร่การนำเสนอย่างละเอียดบนเว็บไซต์เฉพาะ www.savesymphony.com และวิเคราะห์ประเด็นสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างกันซึ่งต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน:

  1. มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของทรัพย์สินและผลการดำเนินงานของราคาหุ้น
  2. การนำเสนอผลการดำเนินงานอย่างไม่ถูกต้องและการไม่เปิดเผยข้อมูล
  3. การลดราคาอย่างต่อเนื่องต่อ NAV
  4. ผลตอบแทนผู้จัดการมากกว่าของผู้ถือหุ้น
  5. คณะกรรมการที่ขัดแย้งกัน
  6. การลงคะแนนเสียงในปี 2560 ที่ล้มเหลว ผู้ถือหุ้นถอนออกเนื่องจากการความผิดหวัง
  7. ถูกบังคับขายการลงทุน Minor International บางส่วนในราคาต่ำ

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210429005468/en/

ติดต่อ:

Tom Treanor
tom.treanor@assetvalueinvestors.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ไตรคอร์กรุ๊ป (Tricor Group) และ Financial Times Board Director Programme เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับช่องว่างที่สำคัญระหว่างคณะกรรมการของบริษัทต่างๆในประเทศไทยในเรื่องของการกำกับดูแลเทคโนโลยีดิจิทัล ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการบริหารจัดการความเสี่ยง

Logo

ไตรคอร์กรุ๊ป (Tricor Group) และ Financial Times Board Director Programme ร่วมกันเผยแพร่รายงาน Asia Pacific Board Director Barometer Report 2021 ซึ่งระบุถึงความคิดเห็นของคณะกรรมการบริษัทที่มีต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกโดยมุ่งเน้นไปที่ประเทศไทยและตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ตามรายงาน Asia Pacific Board Director Barometer Report 2021 พบว่า

  • คณะกรรมการบริษัทต่างก็พยายามที่จะผลักดันนำระบบดิจิทัล มาเปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน เพื่อก้าวผ่านวิกฤติการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโรคโควิด 19 ไปให้ได้
  • การวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) ตลอดจนธรรมมาภิบาลบริษัท การจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด (GRC) ถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดที่คณะกรรมการองค์กรให้ความสำคัญ
  • คณะกรรมการองค์กรณ์ ยังไม่มีความพร้อมในด้านครื่องมือที่รองรับรูปแบบการประชุมแบบผสมผสานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นรูปแบบการประชุมที่จะเป็นที่นิยมเป็นอย่างสูงหลังจากการแพร่ระบาดของโรคระบาด
  • ความเหลื่อมล้ำทางด้านดิจิทัลในแต่ละองค์กรยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและคณะกรรมการองค์กรยังคงตามไม่ทันต่อวิวัฒนาการ ส่งผลทำให้เกิดความเสี่ยงในด้านการปฏิบัติงาน ความปลอดภัยของระบบไซเบอร์ รวมถึงความด้อยประสิทธิ์ภาพในการทำงาน
  • ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของเทคโนโลยีในองค์กร ส่งผลต่อกระบวนการดำเนินการของคณะกรรมการ และ ช่องโหว่นี้ก็ได้ส่งผลคุกคามต่อกระบวนการปฏิบัติงานและความซื่อสัตย์ของคนในองค์กร

รายงาน Asia Pacific Board Director Barometer Report 2021 ได้ระบุให้เห็นถึงความคิดเห็นและการแนวทางปฎิบัติของกรรมการขององค์กรทั่วโลก ในด้านการเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ความมั่นคงทางไซเบอร์ การดำเนินงานของคณะกรรมการ ธรรมมาภิบาลบริษัท การจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด (GRC) รวมถึงการวางแผนความต่อเนื่องของธุรกิจ (BCP) ทั้งนี้ ได้มีการสำรวจในเชิงลึกกับคณะกรรมการบริษัท 771 คนซึ่งเป็นตัวแทนของธุรกิจเกิดใหม่ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บริษัทข้ามชาติ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ตลอดจนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วทั้งอุตสาหกรรมหลัก 12 ประเภท การสุ่มตัวอย่างมุ่งเน้นไปที่ตลาดหลักๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (รวมทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย) รวมทั้งตัวอย่างเปรียบเทียบจากทวีปอเมริกา ยุโรป และแอฟริกา

สรุปประเด็นสำคัญจากรายงาน ดังนี้ :

  • BCP และ GRC ต่างสร้างแรงกดดันต่อคณะกรรมการองค์กร โดยร้อยละ 83 ของคณะกรรมการองค์กรทั่วโลกและร้อยละ 84 ของคณะกรรมการบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคเล็งเห็นว่าประเด็นนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อองค์กร กล่าวโดยสรุปแล้ว คณะกรรมการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคมั่นใจว่าจะสามารถจัดการวิกฤตต่างๆได้ อีกทั้งยังมีช่องว่างสำหรับการพัฒนาตลาดบางแห่ง ร้อยละ 52 ของคณะกรรมการบริษัทในประเทศไทยกล่าวว่าตนเองรู้สึกพอใจในวิธีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ในขณะที่ คณะกรรมการในประเทศเวียดนาม (ร้อยละ 42) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 45) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 50) ฮ่องกง (ร้อยละ 51) มาเลเซีย (ร้อยละ 56) จีนแผ่นดินใหญ่ (ร้อยละ 68) และสิงคโปร์ (ร้อยละ 71) ต่างก็มีความคิดเห็นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
  • นับตั้งแต่ที่มีการสร้างแบบจำลองการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ความปลอดภัยทางด้านข้อมูลกลายเป็นประเด็นที่กรรมการองค์กร กว่าร้อยละ 83% เป็นกังวล อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยังไม่ได้ถูกแก้ไขอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่ากรรมการบริษัทร้อยละ 91 ในประเทศญี่ปุ่นได้กล่าวว่าความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลเคยเป็นเรื่องที่เป็นกังวล แต่มีเพียงร้อยละ 79% ของคณะกรรมการที่ได้ดำเนินการเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยของข้อมูล และได้แสดงให้เห็นว่า คณะกรรมการส่วนใหญ่ ยังมีวิธีจัดการที่ไม่เหมาะสม และมีกรอบการดำเนินงานในเรื่องของความปลอดภัยของไซเบอร์ที่ล้าหลัง
  • คณะกรรมการบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคต่างไม่เห็นด้วยกับการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญภายนอก เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ขณะที่กรรมการกว่าร้อยละ 60 ในทวีปอเมริกากล่าวว่าจะพิจารณาเกี่ยวกับการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาช่วยเหลือในการประเมินกรอบการดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการ ความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด รวมทั้งการวางแผนเพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ เห็นได้ชัดว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่ไม่ค่อยให้การยอมรับเนื่องจากกรรมการน้อยกว่าครึ่ง (เพียงร้อยละ 48) กล่าวว่าจะพิจารณาใช้ผู้เชี่ยวชาญภายนอก รวมถึงประเทสไทย (ร้อยละ 49%)
  • คณะกรรมการองค์กรยังไม่มีการเตรียมตัวที่จะรับมือกับข้อกำหนดด้านของความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการประชุมเสมือนจริง (Virtual meeting)ทั้งในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคร้ายและภายหลังการแพร่ระบาดของโรคร้าย : การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ได้สะท้อนออกมาให้เห็นในผลสำรวจอย่างชัดเจน กล่าวคือ คณะกรรมการทั่วโลกรายงานว่า มีการประชุมเสมือนจริงเพียง 5% จากการประชุมทั้งหมด มาเป็นการประชุมแบบเข้าประชุมด้วยตัวเอง เพียง 5% แทน อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยของข้อมูล คณะกรรมการหลายคนไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการแบบผสมผสานดังกล่าว ซึ่งจะเป็นรูปแบบการดำเนินงานที่ได้รับความนิยมอย่างมากหลังการแพร่ระบาด โดยร้อยละ 9 ของคณะกรรมในประเทศไทย (เทียบกับอัตราของคณะกรรมการทั่วโลกจำนวน 5%) ที่ยังคงเข้าร่วมประชุมด้วยตนเอง และร้อยละ 9 (เทียบกับอัตราของคณะกรรมการทั่วโลกที่ 12%) ที่คิดว่าจะเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองหลังการแพร่ระบาดของโรค
  • ดังนั้น 1 ใน 4 ของคณะกรรมการบริษัทก็มิได้ดำเนินการเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจของตนเองเพื่อที่จะลดช่องว่างในการนำเอาระบบดิจิทัลที่แพร่หลายมาใช้ ทั้งนี้ ในการเตรียมตัวหลังจากการที่แพร่ระบาดของโรคร้ายผ่านพ้นไปในอนาคต ร้อยละ 73 ของกรรมการทั่วโลกกล่าวว่าตนเองจะหาเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ มาใช้ โดยสามารถแบ่งออกเป็นคณะกรรมการในประเทศไทย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในอัตราร้อยละ 79 78 และ 76 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประเทศที่ความต้องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆมาใช้ ในอัตราส่วนที่ค่อนข้างน้อยอยู่ เช่น ฮ่องกง (ร้อยละ 70) จีนแผ่นดินใหญ่ (ร้อยละ 68) และประเทศสิงคโปร์ (ร้อยละ 67) โดยระบุว่าคณะกรรมการองค์กรจำนวนมาก ยังไม่มีการใช้ดิจิทัลในการดำเนินงานของคณะกรรมการ หรือ การแก้ปัญหาอื่นๆที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้
  • คณะกรรมการบริษัทกำลังมองหาที่จะเข้ารับการฝึกอบรมด้านการกำกับดูแลกิจการให้มากขึ้นเพื่อที่จะเสริมสร้างศักยภาพของตนเอง – ร้อยละ 94 ของคณะกรรมการทั่วโลกกล่าวว่าตนเองต้องการฝึกอบรมเพิ่มเติม ในขณะที่กรรมการแค่เพียงร้อยละ 58 กำลังรับการฝึกอบรมดังกล่าว ตัวเลขทางสถิติเหล่านี้จะสอดคล้องกับตัวอย่างของคณะกรรมการบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคที่ปรากฏอยู่ในแบบสำรวจ สำหรับประเทศไทยแล้ว กรรมการร้อยละ 91 กล่าวว่าตนเองต้องการรับการฝึกอบรมเพิ่มเติม และมีแค่เพียงร้อยละ 55 ที่ปัจจุบันกำลังรับการฝึกอบรมดังกล่าว

คุณเลนนาร์ด ย้ง (Mr. Lennard Yong) ประธานกรรมการบริหารของไตรคอร์กรุ๊ป กล่าวว่า“การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์ของสัดส่วนที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชียและพื้นที่อื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคณะกรรมการบริษัทเกือบทุกองค์กรทั่วทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม” นับตั้งแต่การแพร่ระบาดเริ่มต้นขึ้น ไตรคอร์ก็ได้รับการสอบถามจากองค์กรต่าง ที่กำลังมองหาวิธีการในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของคณะกรรมการ โดยรวมรวมถึงการเอาวิธีการกำกับดูแลคณะกรรมการบริษัทแบบดิจิทัลมาใช้ ในขณะที่ยังคงต้องเผชิญหน้ากับความปั่นป่วนทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยการให้บริการในรูปแบบบูรณาการและส่งเสริมความเป็นดิจิทัลรวมทั้งโซลูชั่นในการกำกับดูแลกิจการที่มีความหลากหลาย พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่คณะกรรมการในการสร้างความคุ้นเคยกับสภาวะทางธุรกิจที่กำลังวิวัฒนาการและพยายามรับมือกับความไม่แน่นอน”

คุณซันไชน์ ฟาซาน (Ms. Sunshine Farzan) หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร ไตรคอร์กรุ๊ป กล่าวว่า “คณะกรรมการบริษัทต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการลดความเสี่ยง และนำพาธุรกิจให้ผ่านพ้นหายนะและเหตุการณ์ที่ไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับองค์กรและยังส่งผลต่อการลงทุนของผู้ถือหุ้น หากมองในแง่ของการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น ตามรายงาน Asia Pacific Board Director Barometer 2021 ได้ยืนยันแล้วว่า คณะกรรมการต่างก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับ วิกฤติของความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ GRC และ BCP และรายงานฉบับนี้จะสามารถช่วยให้คณะกรรมการมองเห็นถึงความท้าทาย ปัญหา รวมถึงด้านสำคัญที่ต้องการการแก้ไขพัฒนา เพื่อนำไปสู่ขั้นต่อไปในการดำเนินธุรกิจอย่างและความยืดหยุ่นอย่างต่อเนื่อง

คุณดีแลนด์ หม่า (Mr. Dyland Mah) กรรมการผู้จัดการ บริษัทไตรคอร์ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ธนาคารโลกได้จัดอันดับให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจในเอเชียในด้านของการกำกับดูแลกิจการซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิรูปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ประสบความสำเร็จในเรื่องของมาตรฐานด้านการกำกับดูแลกิจการรวมทั้งความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนดในระดับสูงในด้านที่สำคัญ อาทิเช่น การเปิดเผย ความโปร่งใส และการคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ หากแต่ในส่วนของการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสภาวการณ์ของตลาดที่เปี่ยมไปด้วยความท้าทายแล้ว ขณะนี้คณะกรรมการบริษัทในประเทศไทยก็กำลังรับมือกับสภาวะของความไม่แน่นอนที่แพร่กระจายไปทั่ว รวมทั้งความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด ตลอดจนข้อบังคับ และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ สำหรับไตรคอร์

ประเทศไทยแล้ว เราต่างก็ให้ความช่วยเหลือแก่คณะกรรมการบริษัทเพื่อที่จะสนับสนุนกรอบการทำงานในเรื่องของการกำกับดูแลกิจการรวมทั้งความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นสามารถที่จะส่งเสริมพนักงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้น ผู้มีอำนาจในการควบคุม และชุมชนได้ดีขึ้น”

นอกเหนือจากประเด็นหลักที่กล่าวมาข้างต้น รายงาน Asia Pacific Board Director Barometer 2021 ยังมีรายละเอียดสำหรับประเด็นรอง บทสรุปสำคัญ บทวิเคราะห์อุตสาหกรรม ประเด็นที่ควรพิจารณา และ วิธีการปฏิบัติด้านต่างๆ เพื่อช่วยให้คณะกรรมการ เข้าใจและชี้ทางเพื่อให้พัฒนาธุรกิจต่อไปท่ามกลางวิกฤติ

หากสนใจรับชมรายงานฉบับเต็ม สามารถเข้าชมรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.tricorglobal.com/2021-asia-pacific-board-director-barometer-report

ขอบคุณ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ

HONG KONG SAR (GROUP OFFICE)

Sunshine Farzan

Tricor Services Limited

Group Head of Marketing & Communications

Tel: +852 2980 1261

Email: Sunshine.Farzan@hk.tricorglobal.com

เกี่ยวกับ บริษัท ไตรคอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัทไตรคอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดตั้งขึ้นในปี 2005 และมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งบริการของเราครอบคลุมทั้งบริการจัดทำบัญชีและภาษีอากรให้กับบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก, บริการด้านเลขานุการและการจัดการทั่วไปสำหรับบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริการด้านการจัดทำเงินเดือน  หากท่านต้องการที่จะจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทย พนักงานผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมที่จะให้คำแนะนำในการเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ในระบบเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น โครงสร้างพื้นฐานชั้นแนวหน้า ทรัพยากรบุคคลที่มีความสามารถ และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากภาครัฐ

ไตรคอร์กรุ๊ป (“ไตรคอร์”) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านขยายธุรกิจระดับชั้นนำของเอเชีย ซึ่งมีองค์ความรู้ระดับโลก และมีสำนักงานซึ่งให้บริการทางธุรกิจ บริการด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบริษัท บริการให้คำแนะนำแก่นักลงทุน บริการทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน บริการทรัสต์สำหรับองค์กร (Corporate trust & debt services) การจัดการด้านธุรการกองทุน และบริการให้คำปรึกษาทางด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจ   ไตรคอร์มีสำนักงานใหญ่ประจำที่ฮ่องกง เราให้บริการมากกว่า 21 ประเทศ/เขตการปกครอง มีเครือข่ายสำนักงานใน 47 เมือง เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในความดูแลมากกว่า 50,000 รายทั่วโลก  โดยจำนวนลูกค้าดังกล่าว กว่า 2,000 บริษัทเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย และมากกว่า 40 % เป็นบริษัทที่อยู่ในรายชื่อบริษัทชั้นนำ 500 แห่งทั่วโลกจากการรวบรวมและจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune  นอกจากนี้ไตรคอร์มีพนักงานกว่า 2,800 คน ซึ่งเป็นพนักงานที่มีใบรับรองทางวิชาชีพถึง 630 คน โดยเราพร้อมให้บริการที่สำคัญเพื่อสนับสนุนบริษัทที่มีความมุ่งมั่นในการเติบโตทั้งในระดับเอเชียและระดับต่อไป

จุดแข็งของไตรคอร์ประกอบขึ้นจากประสบการณ์เชิงลึกในทุกๆ อุตสาหกรรม พนักงานที่มุ่งมั่น การดำเนินการที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การปฏิบัติการตามมาตรฐาน การให้ความสนใจในการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและกฎระเบียบ และการติดต่อสื่อสารกับอุตสาหกรรมที่หลากหลาย  ไตรคอร์มีความสามารถเฉพาะเพื่อปลดล็อกศักยภาพของธุรกิจของท่าน และช่วยให้ท่านก้าวไปข้างหน้าในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและหลากหลายในปัจจุบัน

 โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา: www.tricorglobal.com/locations/thailand

WebEngage แพลตฟอร์มการตลาดอัตโนมัติอยู่ในรายชื่อบริษัทเอเชียที่มีการเติบโตสูงประจำปี 2564 ของ Financial Times

Logo

มุมไบ อินเดีย–(บิสิเนสไวร์​)–21 เม.ย. 2564

WebEngage บริษัทด้านการตลาดอัตโนมัติเต็มรูปแบบได้รับการยอมรับจาก Financial Times ว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตสูง 500 อันดับแรกของเอเชียแปซิฟิกโดยเปิดตัวในอันดับที่ 206 และเป็นบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

รายงานนี้รวบรวมโดยความร่วมมือกับ Nikkei Asia และผู้ให้บริการวิจัย Statista โดยจัดอันดับบริษัทในเอเชียแปซิฟิกตามอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ของรายได้ระหว่างปี 2559 ถึง 2562

การยอมรับนี้ตอกย้ำชื่อเสียงของบริษัทในมุมไบในฐานะแพลตฟอร์มมาร์เทคชั้นนำระดับโลกสำหรับธุรกิจผู้บริโภคดิจิทัล  การรวม WebEngage ในฐานะบริษัทที่มีการเติบโตสูงนั้นมาจากอัตราการเติบโตแบบสัมบูรณ์ที่ 233.7% และ CAGR 49.4% ระหว่างปี 2559 ถึง 2562

เมื่อเร็วๆ นี้ WebEngage ได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดของอินเดียในปี 2021โดย The Economic Times และ Statista

เมื่อพูดถึงการได้รับการยอมรับ Avlesh Singh ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวว่า “นับเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีที่เราได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตสูงในภูมิภาค APAC โดย FT  เราอยู่ในปีที่ 10 ของการดำเนินงานและนับเป็นการสร้างแบรนด์ที่เป็นที่เรารัก  ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราได้ประสบความสำเร็จในการช่วยให้แบรนด์ผู้บริโภคสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่สมจริงและขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้  เราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะได้รับผลกระทบจาก COVID ในปี 2563 โดยเรากำลังดำเนินการเพื่อให้เติบโต 100% ในปี 2564  ด้วยความรักจากลูกค้าที่น่าทึ่งของเรา เราที่มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีและขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมที่ชาญฉลาด

WebEngage เริ่มต้นจากการเป็นเครื่องมือบนเว็บและต่อมาได้ถูกนำไปใช้กับแพลตฟอร์มการตลาดอัตโนมัติแบบ full stack ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  ทางบริษัทเป็นผู้นำในด้านบริการซอฟท์แวร์ Software-as-a-Service (SaaS) และขับเคลื่อนการเติบโตผ่านการมีส่วนร่วมและการรักษาลูกค้าอย่างชาญฉลาดสำหรับแบรนด์ชั้นนำของโลกใน 35 ประเทศ  WebEngage ให้บริการลูกค้าระดับกลางและระดับองค์กรหลายพันรายใน 35 ประเทศในประเภทธุรกิจเช่น อีคอมเมิร์ซ ฟินเทค การค้าออนไลน์ Edtech, Foodtech, การท่องเที่ยว และ OTA อุตสาหกรรมเกม เป็นต้น  WebEngage มี Blume Ventures, Indian Angel Network Fund, Capital Group, Social Capital, and India Quotient เป็นนักลงทุน

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210421005408/en/

ติดต่อ:

Priyam Jha, WebEngage, priyam.jha@webengage.com, +919560331169

Anusree Saha, WebEngage, anusree.saha@webengage.com, +918007166611

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Walgreens ประกาศขยายเพิ่มกลยุทธ์ธุรกิจบริการด้านการเงินด้วย InComm Payments

Logo

Walgreens เสนอบัญชีธนาคารรูปแบบใหม่พร้อมบัตรเดบิตมาสเตอร์การ์ดที่ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม InComm Payments

InComm Payments เพื่อยกระดับโปรแกรมบัตรของขวัญแบรนด์ Walgreens

เดียร์ฟีลด์ อิลลินอยส์ และ แอตแลนตา–(BUSINESS WIRE)–30 มีนาคม 2564

วันนี้ Walgreens ได้ประกาศข้อตกลงกับ InComm Payments ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีการชำระเงินชั้นนำระดับโลก โดยมอบตัวเลือกบริการทางด้านการเงินที่สะดวกและเข้าถึงได้ให้กับลูกค้า บริษัทจะเปิดตัวบัญชีธนาคารรูปแบบใหม่ที่เสนอให้กับลูกค้าที่จะจัดตั้งขึ้นที่ MetaBank * ด้วยบัตรเดบิตมาสเตอร์การ์ดที่จะให้บริการแก่นักช้อปของ Walgreens ทั้งในร้านค้าและทางออนไลน์และช่วยให้พวกเขาได้รับรางวัล myWalgreens Cash จากการซื้อสินค้าทั้งหมดโดยเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมความภักดีของลูกค้า myWalgreens ในรูปแบบใหม่ซึ่งได้เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา

ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การทำกำไรทางเลือกของ Walgreens และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ประกาศความคิดริเริ่มที่กว้างขึ้น ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ ๆ ที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการนำเสนอบริการและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างให้กับลูกค้า โซลูชันการธนาคารรูปแบบใหม่จะช่วยเสริมแผนการของ Walgreens ในการมุ่งเน้นด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีต่อไปและยกระดับโปรแกรมความภักดีและการปรับเปลี่ยนในแบบของลูกค้า โซลูชันนี้ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลแบงก์กิ้งที่ทันสมัยของ InComm Payments นักช้อปของ Walgreens จะสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ในร้านค้าหรือลงทะเบียนโดยตรงทางออนไลน์จากนั้นสามารถจัดการด้านการเงินในชีวิตประจำวันของพวกเขาได้อย่างง่ายดายในแอปธนาคารบนมือถือใหม่ที่ใช้งานง่าย บัญชีธนาคารดังกล่าวคาดว่าจะสามารถใช้ได้ที่ร้านค้าและทางออน์ไลน์ของ Walgreens เกือบ 9,000 แห่ง ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564

 “Walgreens มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือลูกค้าเกี่ยวกับความต้องการด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีและเรายินดีที่จะขยายบริการทางด้านการเงินของเราเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์และวิธีที่เราตอบสนองความต้องการทางการเงินของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น”  John Standley ประธาน Walgreens กล่าว “เราหวังว่าจะได้บุกเบิกและแนะนำโครงการด้านสุขภาพและการชำระเงินเพื่อความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้พร้อมกับสร้างช่องทางรายได้ใหม่ ๆ ”

 “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ Walgreens ได้เลือกโซลูชันบริการทางด้านการเงินของ InComm Payments เพื่อมอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมให้กับลูกค้าและชุมชน”  Stefan Happ ประธานของ InComm Payments กล่าว “การนำเสนอผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่นี้จะทำให้ Walgreens เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับบริการทางด้านการเงิน โดยสร้างจากชื่อเสียงของ Walgreens ในฐานะร้านค้าแบบครบวงจร (one-stop shop) สำหรับร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อ”

นอกจากนี้ Walgreens และ InComm Payments มีแผนที่จะเปิดตัวโปรแกรมบัตรของขวัญแบรนด์ Walgreens อีกครั้ง InComm Payments จะดูแลการจัดการโปรแกรมบัตรของขวัญที่มีอยู่แล้วของ Walgreens โดยเปิดตัวบัตรของขวัญดิจิทัลของ Walgreens และเปิดใช้งานการซื้อสินค้าและแลกของกำนัลแบบดิจิทัลบน walgreens.com InComm Payments ยังช่วยอำนวยความสะดวกในการกระจายบัตรของขวัญ Walgreens ให้กว้างขึ้นผ่าน B2B โปรแกรมความภักดี รางวัลและช่องทางอีคอมเมิร์ซ การขยายตัวนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการเป็นหุ้นส่วน 12 ปีของ InComm Payments และ Walgreens ในขณะที่ยกระดับแบรนด์ Walgreens และประสบการณ์ของลูกค้าทั้งในร้านค้า ออนไลน์ และผ่านมือถือ

* บัญชีธนาคารจะเป็นบัญชีเงินฝากตามความต้องการที่จัดตั้งขึ้นโดยมีบัตรเดบิตที่ออกโดยMetaBank®, N.A. สมาชิก FDIC ตามใบอนุญาตของ Mastercard International Incorporated

เกี่ยวกับ Walgreens

Walgreens (www.walgreens.com) รวมอยู่ในแผนก Retail Pharmacy USA ของ Walgreens Boots Alliance, Inc. (Nasdaq: WBA) ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านร้านขายยาในรูปแบบขายปลีกและขายส่ง ในฐานะร้านขายยา บริษัทดูแลสุขภาพและความงาม ที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในอเมริกา Walgreens มีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกชุมชนในอเมริกา โดยดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกมากกว่า 9,000 แห่งทั่วอเมริกา เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา Walgreens ภูมิใจที่จะเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพในบริเวณใกล้เคียงที่ให้บริการลูกค้าประมาณ 8 ล้านคนในแต่ละวัน เภสัชกรของ Walgreens แสดงบทบาทที่สำคัญในระบบการดูแลสุขภาพของสหรัฐอเมริกา โดยให้บริการร้านขายยาและบริการด้านการดูแลสุขภาพที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้ป่วยให้ดีที่สุด Walgreens นำเสนอประสบการณ์ในทุกช่องทางโดยมีแพลตฟอร์มที่รวบรวมทางกายภาพและดิจิทัลเข้าด้วยกัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงในชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ

เกี่ยวกับ InComm Payments

InComm Payments เป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการชำระเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีแบบไดนามิกและความเชี่ยวชาญที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว InComm Payments นำเสนอแพลตฟอร์มการชำระเงินแบบ end-to-end ที่ได้รับการยกระดับและโซลูชันเทคโนโลยีทางการเงินที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรมรวมถึงการค้าปลีก การดูแลสุขภาพ การเรียกเก็บเงินค่าผ่านทางและการขนส่ง เงินจูงใจ การชำระเงินผ่านมือถือ และบริการทางด้านการเงิน ด้วยการเปิดใช้งานการเชื่อมต่อในทุกช่องทางกับฐานผู้บริโภคที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระบบนิเวศดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น InComm Payments จะสร้างประสบการณ์การค้าที่ราบรื่นและมีประโยชน์ทั่วโลก ด้วยประสบการณ์มากกว่า 27 ปี การจัดจำหน่ายมากกว่า 500,000 จุด ถือสิทธิบัตรทั่วโลก 386 รายการ และปรากฎอยู่ในกว่า 30 ประเทศ InComm Payments เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการชำระเงินจากสำนักงานใหญ่ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เรียนรู้เพิ่มเติมที่ www.InCommPayments.com

เกี่ยวกับ MetaBank®, N.A.

MetaBank®, N.A. เป็นธนาคารแห่งชาติในเครือของ Meta Financial Group, Inc.® (Nasdaq: CASH) และบริษัทที่ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้น ตั้งอยู่ในเซาท์ดาโกตา MetaBank ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการทางด้านการเงินที่ประกอบธุรกิจเพื่อเพิ่มความพร้อมทางด้านการเงิน ทางเลือก และโอกาสสำหรับทุกคน MetaBank มุ่งมั่นที่จะขจัดอุปสรรคที่สถาบันดั้งเดิมได้วางไว้ในการเข้าถึงทางการเงิน และส่งเสริมความคล่องตัวทางเศรษฐกิจด้วยการจัดหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความรับผิดชอบ ปลอดภัย และมีคุณภาพสูง ซึ่งมีส่วนทำให้เข้าถึงบุคคลและชุมชนซึ่งเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจที่แท้จริง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.metapay.com หรือ www.metafinancialgroup.com

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210330005424/en/

ติดต่อ:

Walgreens
Emily Hartwig-Mekstan
media@walgreens.com

InComm Payments
Nilce Piccinini
npiccinini@incomm.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

การวิจัยของ Standard Chartered พบว่าบริษัทในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องในการเติบโตของตลาดนอกประเทศ

Logo

เอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตที่สำคัญ โดยแอฟริกาและตะวันออกกลางมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ลอนดอนและนิวยอร์ก–(บิสิเนสไวร์)–11 มี.ค. 2564

การศึกษาวิจัยที่สองโดย Standard Chartered ในด้านกลยุทธ์การเจริญเติบโตระหว่างประเทศและความท้าทายที่ซีเอฟโอและฝ่ายการเงินประสบในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี และฝรั่งเศสสื่อให้เห็นว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนที่เกิดจากโลกการแพร่ระบาดและผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมา ตลาดต่างประเทศนั้นยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโต  การศึกษายังเผยให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล การปลดล็อกเงินสดที่ติดค้างอยู่ และการเพิ่มความสนใจไปที่ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมสังคมและธรรมาภิบาล (ESG) ที่เกี่ยวข้องกับการค้าและห่วงโซ่อุปทาน

นับตั้งแต่การศึกษาครั้งแรกเมื่อ 6 เดือนก่อน ผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่ามีความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในการเติบโตข้ามพรมแดน โดยบริษัท 42% (เพิ่มขึ้นจาก 37%) มองเห็นโอกาสในการเติบโตที่ดีที่สุดอยู่ในตลาดต่างประเทศ

เอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตที่สำคัญ (โดยบริษัทมากกว่า 85% ที่ดำเนินงานในเอเชียหรือกำลังพิจารณาเพิ่มกิจกรรมทางธุรกิจ)  แอฟริกาและตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (เพิ่มขึ้น 4%) ในฐานะตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตในอีกหกถึงสิบสองเดือนข้างหน้า  แม้จะมีความทะเยอทะยานในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ แต่การทำความเข้าใจกฎระเบียบในตลาดต่างประเทศยังคงเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (35%) สำหรับบริษัทที่ต้องการขยายหรือเสริมสร้างการดำเนินงานระหว่างประเทศ  สิ่งนี้จึงทำให้มีความจำเป็นในการสร้างความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์และปรับตัวโลจิสติกส์อุปทาน (21%)

ในขณะที่บริษัทต่างๆ มองไปยังสภาพแวดล้อมหลังการระบาดของโรค ลำดับความสำคัญสามอันดับแรกของผู้ตอบแบบสอบถามได้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากปัญหาต่างๆ รวมถึงความล้มเหลวของห่วงโซ่อุปทาน (ลดลง 2% เป็น 50%) ความต้องการสภาพคล่อง (ลดลง 2% เป็น 47%) และการเพิ่มการลงทุนในรูปแบบดิจิทัลเพื่อระดมสภาพคล่อง (เพิ่มขึ้น 4% เป็น 66%) และ ESG (เพิ่มขึ้น 5% เป็น 23%)

Torry Berntsen ซีอีโอของ Standard Chartered ในยุโรปและอเมริกาส กล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าธุรกิจต่างๆ เริ่มให้ความสนใจกับการเติบโตในต่างประเทศและการลงทุนในอนาคตมากขึ้น  ความยั่งยืน การแปลงเป็นดิจิทัล และความจำเป็นในการทำความเข้าใจกฎระเบียบไม่ได้เป็นเพียงกุญแจสำคัญในการดำเนินธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับบริษัทต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เติบโตในระดับสากล และอยู่เหนือคู่แข่ง”

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ

เกี่ยวกับการศึกษาธุรกิจไร้พรมแดน

โดยดำเนินการระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2563 ทางซีเอฟโอและผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินอาวุโสกว่า 1,000 คนของบริษัทที่มีมูลค่าการซื้อขายเกิน 500 ล้านดอลลาร์ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี และฝรั่งเศสเข้าร่วมในการสำรวจ

  • แต่ละประเทศมีตัวแทนเท่ากัน 25%
  • ผู้ตอบแบบสอบถาม 50%เป็นตัวแทนบริษัทที่มีมูลค่าการซื้อขาย 500 ล้านถึง 1 พันล้านเหรียญ  ส่วนที่เหลืออีก 50% เป็นตัวแทนของบริษัทที่มีมูลค่าการซื้อขายเกิน 1 พันล้านดอลลาร์
  • 16% มาจากภาคเทคโนโลยีประกอบ โดยตัวแทนภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ จะมีสัดส่วนราวๆ 6-8% และไม่รวมภาคบริการทางการเงินในแบบสำรวจ

Standard Chartered

เราเป็นกลุ่มธนาคารระหว่างประเทศชั้นนำที่มีตัวตนใน 59 ตลาดที่มีพลวัตมากที่สุดในโลกและให้บริการลูกค้าในอีก 85 แห่ง  จุดประสงค์ของเราคือการขับเคลื่อนการค้าและความเจริญรุ่งเรืองผ่านความหลากหลายที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา โดยภูมิหลังและคุณค่าของเราอยู่ในคำมั่นสัญญาแบรนด์ของเรา การอยู่เพื่อความดี

Standard Chartered PLC จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนและฮ่องกง

สำหรับเรื่องราวและความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ โปรดเยี่ยมชมข้อมูลเชิงลึกที่ sc.com  ติดตาม Standard Chartered บน Twitter, LinkedIn, Instagram และ Facebook

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210311005310/en/

ติดต่อ:

Simon Kutner
Regional Head of Communications, Europe (Interim) (ตัวแทนหัวหน้าฝ่ายการสื่อสารระดับภูมิภาค)
Standard Chartered Bank
โทร: +44 (0)7880 296 947
อีเมล: simon.kutner@sc.com

Chris Teo
Head of Corporate & Business Communications, Americas (หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรและธุรกิจในภูมิภาคอเมริกา)
Standard Chartered Bank
โทร: +1 212 667 0446
อีเมล: Chris.Teo@sc.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ReNew Power บริษัทพลังงานทดแทนชั้นนำในอินเดียเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนผ่านการรวมธุรกิจกับ RMG Acquisition Corporation II ด้วยมูลค่าทางธุรกรรม 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Logo

  • ReNew Power บริษัทพลังงานทดแทนชั้นนำของอินเดียได้เข้าสู่ข้อตกลงการรวมธุรกิจอย่างสมบูรณ์กับ RMG Acquisition Corporation II (“RMG II”) หลังจากปิดดีลซื้อขายแล้ว องค์กรที่รวมขึ้นมาใหม่นี้จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ภายใต้ชื่อ “RNW”
  • มูลค่าสิทธิของกิจการทั้งหมดจะอยู่ประมาณ 8 พันล้านดอลล่าร์ การซื้อขายคาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ภายใต้เงื่อนไขการปิดบัญชีตามปกติ
  • รายได้ที่คาดการณ์ไว้ทั้งหมดจะอยู่ที่ 12,000 ล้าน ซึ่งประกอบไปด้วย 855 ล้านจากการเสนอขายหุ้นสามัญที่เพิ่มขึ้นของ ReNew Power (the “PIPE”) ให้แก่บุคคลในวงจำกัด และเงินสดรวม 345 ล้านดอลลาร์ภายใต้การดูแลของ RMG II ซึ่งจะมีการไถ่ถอน คาดว่าจะมีรายได้หลักสุทธิประมาณ 610 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นเงินทุนรองรับกลยุทธ์การเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัท และชำระหนี้
  • มูลค่าหุ้น PIPE ที่เพิ่มขึ้นถูกถือโดยนักลงทุนสถาบันใหญ่ ๆ รวมถึงกองทุนและบัญชีที่บริหารโดย BlackRock, BNP Paribas Energy Transition Fund, Mr. Chamath Palihapitiya, Sylebra Capital, TT International Asset Management Ltd, TT Environmental Solutions Fund และ Zimmer Partners
  • รูปแบบธุรกิจที่บูรณาการในแนวตั้งของ ReNew Power และกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ ซึ่งได้รับจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ทำให้บริษัทได้รับผลกำไรสูงสุดในภาคธุรกิจนี้ทั้งในอินเดียและทั่วโลก และด้วยพลังงานทดแทนที่มีราคาถูกกว่าพลังงานจากฟอสซิลค่อนข้างมาก จึงมีการคาดการณ์ว่าการพัฒนาพลังงานทดแทนจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในทศวรรษหน้า
  • การบริหารงานของ RMG II มีประสบการณ์อันโดดเด่นในภาคธุรกิจพลังงานระดับนานาชาติ

นิวเดลี และ นิวยอร์ก — (BUSINESS WIRE)–24 กุมภาพันธ์ 2564

ReNew Power Private Limited (“ReNew” หรือ “the Company”) ผู้ผลิตพลังงานทดแทนบริสุทธิ์ชั้นนำของอินเดีย และ RMG Acquisition Corporation II (“RMG II”) (NASDAQ: RMGB) วันนี้ประกาศการบรรลุข้อตกลงซื้อขายธุรกิจทำให้ ReNew กลายเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210224005431/en/

หลังจากการซื้อขายเสร็จสิ้น บริษัทใหม่จะมีชื่อว่า ReNew Energy Global PLC และจะจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนภายใต้ชื่อ RNW การรวมธุรกิจจะช่วยรักษาตำแหน่งผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในตลาดอินเดียให้แก่บริษัท ReNew โดยการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างการเติบโตระยะกลาง รวมทั้งทำการชำระหนี้

ReNew Power – บริษัทพลังงานทดแทนบริสุทธิ์ชั้นนำของอินเดีย

ReNew เป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทนอิสระ (IPP) ชั้นนำของอินเดีย ก่อตั้งขึ้นในปี 2554 และเป็นหนึ่งใน 15 ผู้ผลิตพลังงานทดแทนอิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก พิจารณาจากปริมาณการผลิต โดยมีผลงานโครงการผลิตพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการสาธารณูปโภคมากกว่า 100 โครงการทั่วทั้ง 9 รัฐในอินเดีย บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินโครงการพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อแจกจ่ายให้แก่ลูกค้าเชิงพานิชย์และอุตสาหกรรมมากกว่า 150 แห่งในอินเดีย

ReNew เป็นบริษัทพลังงานทดแทนรายแรกของอินเดียที่มีความสามารถในการผลิตมากกว่า 1 กิกะวัตต์ (GW) และ 2 กิกะวัตต์ (GW) และปัจจุบันเป็นบริษัทเดียวในกลุ่มพลังงานทดแทนของอินเดียที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 5 กิกะวัตต์ ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวมเกือบ 10 กิกะวัตต์ (รวมถึงความสามารถในการเสนอราคาแข่งขันแล้ว)

การเติบโตของ ReNew ได้รับการช่วยเหลือจากเงินสดที่มั่นคงและปลอดภัยผ่านสัญญาระยะยาวกับคู่สัญญาที่มีชื่อเสียง ปัจจุบันการผลิตพลังงานเพื่อสาธารณูปโภคทั้งหมดของ ReNew ทำสัญญาภายใต้ข้อตกลงการซื้อขายพลังงาน (PPA) ที่มีระยะเวลาเฉลี่ยมากกว่า 24 ปี สัญญาเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำกับหน่วยงานรัฐบาลกลา งเช่น Solar Energy Corporation of India (SECI) และ NTPC Limited ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ReNew ได้สร้างเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่มั่นคงมากมาย ทำให้สามารถใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดกับผลงานโครงการต่าง ๆ ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

นอกเหนือจากการผลิตพลังงานสะอาดแล้ว ReNew ยังได้พัฒนาความเชี่ยวชาญเพิ่มเติม เช่น การกักเก็บพลังงาน ในปี 2020, ReNew ได้รับรางวัลการประมูลที่โดดเด่น 2 ครั้งจาก SECI เพื่อแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีการจัดหาพลังงานสีเขียวที่มั่นคง น่าเชื่อถือ และราคาไม่แพง รางวัลประกอบด้วยการประมูลครั้งแรกของอินเดียจากแหล่งจ่ายพลังงาน 24 ชั่วโมงด้วยพลังงานหมุนเวียน และการประมูลสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่มากขึ้น โดยการรวมการผลิตพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เข้าด้วยกัน และผสมผสานเข้ากับแบตเตอรี่

ระหว่างปี 2020, ReNew ได้เข้าสู่ธุรกิจบริการด้านดิจิทัลที่กำลังเติบโตด้วยการซื้อกิจการบริษัท Climate Connect ซึ่งเป็นบริษัทในเมือง ปูเน (Pune) รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย และเป็นผู้เล่นชั้นนำด้านการจัดการกริดโดยใช้เทคโนโลยี AI และการพยากรณ์ความต้องการพลังงาน

ภาพรวมการตลาด – ความต้องการพลังงานทดแทนในอินเดียยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โมเดลธุรกิจของ ReNew ได้รับการสนับสนุนจากเทรนด์ใหม่ ๆ ในตลาดพลังงานของอินเดีย รวมถึงเป้าหมายด้านพลังงานสีเขียวของรัฐบาลอินเดียไปจนถึงทศวรรษหน้า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่อหัวของอินเดียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในทศวรรษหน้า ซึ่งประมาณ 2 ใน 3 ของความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้จะได้รับการดูแลจากพลังงานทดแทน คำมั่นสัญญาด้านสภาพอากาศทั่วโลกของอินเดียที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในการผลิตพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล และให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทน ในขณะเดียวกันรัฐบาลอินเดียตั้งเป้าการผลิตพลังงานทดแทนปริมาณ 450 กิกะวัตต์ภายในปี 2573 เพิ่มขึ้น 5 เท่าจากปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการตลาดที่มีศักยภาพสูง ส่วนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแข่งขันประมูลช่วยลดต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่องและจะช่วยเร่งการนำพลังงานทดแทนไปใช้

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานในอินเดียได้ก้าวไปอีกขั้น ความหลากหลายของวิทยาการทางเทคโนโลยีและภูมิศาสตร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการดำเนินโครงการอและจัดการเงินอย่างมีวินัยจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาเส้นทางการเติบโตได้

ความเห็นจากผู้บริหารและผู้ถือหุ้น

Sumant Sinha ผู้ก่อตั้ง ผู้อำนายการ และซีอีโอของ ReNew กล่าวว่า “ภาคพลังงานทดแทนของอินเดียมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา ระหว่างนี้ ReNew ได้เร่งสร้างความมั่นใจว่าแหล่งพลังงานจะมีความยั่งยืน และมีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้ ในทศวรรษหน้า ReNew วางแผนรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดให้เติบโตขึ้น และสร้างพลังงานสีเขียวในภาคธุรกิจพลังงานในอินเดีย รวมถึงเร่งบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานทดแทนของรัฐบาล เมื่อเวลาผ่านไป เราจะยังขยายความสามารถไปเรื่อย ๆ พร้อมสำรองพลังงานเพื่อใช้สำหรับสาธารณูปโภค และโซลูชั่นส์พลังงานอันชาญฉลาดที่เน้นให้ลูกค้าได้ประโยชน์ วิสัยทัศน์ของ ReNew คือการขยับเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดระดับโลก เดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงพลังงานสะอาดในอินเดีย และช่วยสร้างพลังงานไฟฟ้าและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในแวดล้อมเศรษฐกิจอินเดีย”

Bob Mancini ซีอีโอและผู้อำนวยการแห่ง RMG II กล่าวว่า “หลังจากปิดการเสนอขายหุ้นครั้งแรกในเดือนธันวาคม เราต้องการเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโลกผ่านผลงานที่พิสูจน์ให้เห็น และการจัดการที่ดีที่สุด เมื่อรู้ว่าบริษัทอยู่กับ ReNew เราตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมธุรกิจกับทีมผู้บริหารมากความสามารถซึ่งนำโดยคุณ Sumant การร่วมมือกับ ReNew ยืนยันได้ว่าบริษัทไม่เพียงแต่เป็นผู้นำเท่านั้น แต่ยังเป็นบริษัทพลังงานทดแทนชั้นเลิศในอินเดีย ความมุ่งมั่นต่อการเติบโตผ่านการเป็นพันธมิตรระยะยาวกับหน่วยงานรัฐบาลกลางและหน่วยงานรัฐของอินเดีย ตำแหน่ง นวัตกรรมเทคโนโลยี และฐานะการเงินที่แข็งแกร่งน่าจะช่วยให้ ReNew สามารถใช้ประโยชน์จากเทรนด์เชิงบวกในตลาดพลังงานของอินเดียในทศวรรษหน้าและต่อ ๆ ไป เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวสุดพิเศษนี้”

Michael Bruun กรรมการผู้จัดการ แผนกจัดการทรัพย์สินแห่ง Goldman Sachs กล่าวว่า “ตั้งแต่การร่วมมือกับพันธมิตรก่อตั้งอย่างคุณ Sumant Sinha, ReNew Power ได้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนทีมผู้บริหารมากฝีมือและผู้นำทางการตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในธุรกิจพลังงานทดแทน เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับนักลงทุนชื่อดังระดับโลกหลายท่านที่ได้ร่วมธุรกิจกับเราหลายปี ด้วยการเดินทางนี้ เราจึงมีความยินดีที่นักลงทุนจำนวนมากเพิ่มขึ้นได้มีส่วนร่วมกับการเดินทางสำคัญของ ESG นี้”

ภาพรวมการซื้อขาย

มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหลังจากซื้อขายจะอยู่ประมาณ 4.4 พันล้านดอลล่าร์ ที่ราคาซื้อขายหุ้น PIPE 10 ดอลล่าร์ต่อหุ้น โดยสันนิษฐานว่าผู้ถือหุ้นจาก RMG II ไม่ใช้สิทธิ์ไถ่ถอน รายได้รวมของเงินสดคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งประกอบด้วย 855 ล้านดอลลาร์จาก PIPE และเงินสดประมาณ 345 ล้านดอลลาร์ซึ่งอยู่ในความดูแลของ RMG II ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนใด ๆ เนื่องจากอาจมีการไถ่ถอนจากผู้ถือหุ้น RMG II

รายได้จะนำไปใช้ในการสนับสนุนกลยุทธ์สร้างการเติบโตของ ReNew รวมถึงการสร้างกำลังการผลิตพลังงานทดแทนเพื่อใช้ในระบบสาธารณูปโภคตามสัญญา และการลดภาระหนี้ ทีมผู้บริหารจาก ReNew และสมาชิกผู้ถือหุ้นปัจจุบัน รวมถึง Goldman Sachs, the Canada Pension Plan Investment Board (CPP Investments), Abu Dhabi Investment Authority และ JERA Co., Inc. (JERA) และอื่น ๆ ที่เป็นเจ้าของ ReNew ร่วมกัน 100% จะทำการโยกกรรมสิทธิ์ส่วนใหญ่ไปยังบริษัทใหม่ และคาดว่าจะมีสิทธิ์ครอบครองบริษัททันที 70% หลังเสร็จสิ้นการซื้อขาย

การเป็นบริษัทชั้นนำของ ReNew จะยังคงอยู่พร้อมกับคุณ Sumant Sinha ซึ่งเป็นประธานและซีอีโอของบริษัท ที่จะบริหารการเติบโตเชิงกลยุทธ์และการขยายบริษัท

คณะกรรมการบริหารของบริษัทใหม่นี้จะประกอบด้วยผู้ถือหุ้นเดิมจาก ReNew, RMG II และผู้อำนวยการอิสระ Bob Mancini จะเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก RMG II ไปยังบอร์ด ส่วนการแต่งตั้งบอร์ดคนอื่น ๆ จะดำเนินการก่อนปิดการขาย

การซื้อขายได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารของ ReNew และ RMG II การซื้อขายจะเสร็จสิ้นด้วยการปิดบัญชีตามปกติ รวมทั้งการอนุมัติจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าแห่งอินเดีย และผู้ถือหุ้นจาก RMG II การซื้อขายคาดว่าจะปิดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564

คณะที่ปรึกษา

Goldman Sachs (India) Securities Private Limited และ Morgan Stanley India Company Private Limited (“Morgan Stanley”) ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแก่ ReNew ในเรื่องการรวมธุรกิจ Morgan Stanley & Co. LLC เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายหุ้น PIPE ร่วมกับ RMG II ส่วน Latham & Watkins LLP, Nishith Desai & Associates และ Cyril Amarchand Mangladas รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับ ReNew

บริษัทหลักทรัพย์ BofA รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินพิเศษแก่ RMG II และยังทำหน้าที่เป็นผู้แทนจัดจำหน่ายหลัก PIPE ด้าน Skadden, Arps, Slate, Meagher & Flom LLP เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายแก่ RMG II และ Khaitan & Co LLP เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายแก่ RMG II ในประเด็นกฎหมายของอินเดีย

Ropes & Gray LLP เป็นที่ปรึกษาแก่ผู้แทนจำหน่ายหุ้น PIPE

ข้อมูลการประชุมทางไกลของนักลงทุน

ReNew และ RMG II จะจัดการประชุมทางไกลกับนักลงทุนเพื่อหารือเกี่ยวกับการซื้อขายในวันนี้ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 08.30 น. EST

หากต้องการฟังข้อสรุปทางโทรศัพท์ โทร 1-877-407-9039 (สหรัฐฯ) หรือ 1-201-689-8470 (ระหว่างประเทศ) แล้วเจ้าหน้าที่จะให้ความช่วยเหลือ การฟังซ้ำทางโทรศัพท์จะมีให้บริการที่หมายเลข 1-844-512-2921 (สหรัฐฯ) หรือ 1-412-317-6671 (ระหว่างประเทศ) รหัสผ่าน: 13716796, ถึงวันที่ 10 มีนาคม 2564 เวลา 23.59 น. EST

เกี่ยวกับ ReNew Power Private Limited

ReNew Power Private Limited เป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทนอิสระ (IPP) ชั้นนำของอินเดีย และเป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทนอิสระที่ใหญ่อันดับ 12 ของโลกในเชิงความสามารถการผลิต ReNew พัฒนา สร้างรรค์ เป็นเจ้าของ และดำเนินโครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการบริโภค รวมถึงโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตให้กับลูกค้าเชิงพานิชย์และอุตสาหกรรม ณ เดือนธันวาคม ปี 2563, ReNew มีกำลังการผลิตพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วอินเดีย รวมถึงโครงการที่ได้รับมอบหมายรวมเกือบ 10 กิกะวัตต์ บริษัท ReNew มีประวัติการเติบโตที่แข็งแกร่งในด้านอินทรีย์และอนินทรีย์ กลุ่มผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ ReNew ประกอบด้วยนักลงทุนหลายราย ได้แก่ Goldman Sachs, CPP Investments, Abu Dhabi Investment Authority, GEF SACEF และ JERA www.renewpower.in

เกี่ยวกับ RMG Acquisition Corporation II

RMG Acquisition Corporation II (NASDAQ: RMGB) คือบริษัทเช็คเปล่าที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการควบรวมกิจการ การควบรวมบริษัท การแลกเปลี่ยนหุ้น การซื้อสินทรัพย์ การซื้อหุ้น การปรับโครงสร้างองค์กร หรือธุรกิจอื่นที่คล้ายคลึงกัน RMG II ระดมทุนได้ 345 ล้านดอลลาร์ในการเสนอขายหุ้น IPO ในวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากความต้องการจำนวนมาก รวมถึงเสนอตัวเลือกการจัดสรรหุ้นส่วนเกินของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ RMG II ได้รับการสนับสนุนและบริหารโดยทีมผู้บริหารจาก Jim Carpenter, Bob Mancini และ Phil Kassin ซึ่งมีประสบการณ์ร่วมกันกว่า 100 ปีในธุรกิจการลงทุน การดำเนินงาน การซื้อขาย และการเป็น CEO และผู้นำในบอร์ดบริหารของบริษัทมหาชน RMG II จะใช้ความสามารถของทีมผู้บริหารในการชี้เป้า ซื้อกิจการ และดำเนินธุรกิจในหลากหลายภาคส่วนที่สร้างโอกาสผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะยาว www.rmgacquisition.com/

ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการรวมธุรกิจและสถานที่ตั้ง

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรวมธุรกิจนี้ RMG II ตั้งใจที่จะยื่นคำแถลง/หนังสือชี้ชวนมอบฉันทะขั้นตอนเบื้องต้นและสุดท้ายต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“ ก.ล.ต. ”) คำแถลง/หนังสือชี้ชวนของผู้รับมอบฉันทะเบื้องต้นและสุดท้าย และเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จะถูกส่งหรือมอบให้กับผู้ถือหุ้นของ RMG II ณ วันบันทึกที่กำหนดไว้เพื่อลงคะแนนเสียงในการรวมธุรกิจ และจะมีข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการรวมธุรกิจและประเด็นที่เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้นของ RMG II และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ได้รับคำแนะนำให้อ่านหนังสือมอบฉันทะ/หนังสือชี้ชวนเบื้องต้น และการแก้ไขใด ๆ แล้วคำชี้แจงการมอบฉันทะ/หนังสือชี้ชวนที่เกี่ยวข้องกับการเชิญผู้รับมอบฉันทะของ RMG II สำหรับการประชุมของผู้ถือหุ้นที่จะจัดขึ้นเพื่ออนุมัติการรวมธุรกิจเนื่องจากคำสั่งมอบฉันทะ/หนังสือชี้ชวนจะมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ RMG II, ReNew และการรวมธุรกิจ ข้อความมอบฉันทะ/หนังสือชี้ชวนฉบับสุดท้ายจะถูกส่งไปยังผู้ถือหุ้นของ RMG II ณ วันที่บันทึกไว้เพื่อลงคะแนนเสียงในการรวมธุรกิจ ผู้ถือหุ้นยังสามารถขอรับสำเนาหนังสือมอบฉันทะ/หนังสือชี้ชวนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.gov/ หรือส่งคำขอไปที่: RMG Acquisition Corporation II, 50 West Street, Suite 40C , New York, NY 10006, เรียนเลขานุการ, โทรศัพท์: (212) 785-2579 ข้อมูลที่มีอยู่ หรือข้อมูลที่อาจเข้าถึงได้ เว็บไซต์ที่กล่าวถึงในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่ได้รวมไว้ในอ้างอิง และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้

ผู้มีส่วนร่วมในการชักชวน

RMG II, ReNew และผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่บริหารตามอาจถือว่ามีส่วนร่วมในการชักชวนผู้รับมอบฉันทะจากผู้ถือหุ้นของ RMG II ที่เกี่ยวข้องกับการรวมธุรกิจ ผู้ถือหุ้นของ RMG II และผู้ที่สนใจอื่น ๆ สามารถขอรับข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่ของ RMG II ได้ในหนังสือชี้ชวนฉบับสุดท้ายของ RMG II ที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2563 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสนอขายครั้งแรกของ RMG II (ไม่มีค่าใช้จ่าย) ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล ภาจใต้กฎของ ก.ล.ต. ที่อาจถือว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการเชิญชวนมอบฉันทะให้กับผู้ถือหุ้นของ RMG II ที่เกี่ยวข้องกับการรวมธุรกิจจะระบุไว้ในคำชี้แจงตัวแทน/หนังสือชี้ชวนสำหรับการรวมธุรกิจ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลประโยชน์ของผู้เข้าร่วมในการชักชวนผู้รับมอบฉันทะที่เกี่ยวข้องกับการรวมธุรกิจจะรวมอยู่ในคำสั่งมอบฉันทะ/หนังสือชี้ชวนที่ RMG II ตั้งใจจะยื่นต่อ ก.ล.ต.

แถลงการณ์คาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยข้อความบางอย่างที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเพื่อจุดประสงค์ของบทบัญญัติการคุ้มครองความปลอดภัยภายใต้กฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลของสหรัฐอเมริกาปี 1995 โดยทั่วไปข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าจะมาพร้อมกับคำต่าง ๆ เช่น "เชื่อว่า” “อาจ” “จะ” “ประมาณ” “ต่อไป” “คาดการณ์” “ตั้งใจ” “คาดหวัง” “ควร” “จะ” “วางแผน” “คาดการณ์” “ดูเหมือน” “แสวงหา” “อนาคต” “แนวโน้ม” และคำที่คล้ายคลึงกันซึ่งคาดการณ์หรือบ่งชี้เหตุการณ์หรือแนวโน้มในอนาคต หรือที่ไม่ใช่ข้อความของเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ข้อความทั้งหมด นอกเหนือจากข้อเท็จจริงปัจจุบันหรืออดีต ที่รวมอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เกี่ยวกับการรวมธุรกิจของ RMG II กับ ReNew ความสามารถของ RMG II ในการซื้อขาย ประโยชน์จากการซื้อขาย และรายได้การดำเนินงานในอนาคตของบริษัท รวมทั้งกลยุทธ์ในอนาคตของบริษัท การดำเนินงานในอนาคต คาดการณ์ตำแหน่งทางการเงิน คาดการณ์รายได้และขาดทุน งบประมาณที่วางแผน อนาคต แผนการ และเป้าหมายของผู้บริหารคือการคาดการณ์ล่วงหน้า ข้อความเหล่านี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะระบุไว้ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้หรือไม่ และตามความคาดหวังในปัจจุบันของผู้บริหารของ RMG II และ ReNew และไม่ใช่การคาดการณ์ประสิทธิภาพที่แท้จริง ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้จัดทำขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการอธิบายเท่านั้น และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็น และต้องไม่ใช้เป็น คำรับรองการรับรองการคาดคะเนหรือคำชี้แจงที่ชัดเจนของข้อเท็จจริงหรือความน่าจะเป็นเหตุการณ์และสถานการณ์จริงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก และจะแตกต่างจากสมมติฐาน เหตุการณ์และสถานการณ์จริงหลายอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมของ RMG II หรือ ReNew ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงต่างจากที่แสดงหรือบอกเป็นนัยยะจากแถลงการณ์คาดการณ์ล่วงหน้า รวมถึงแต่ไม่จำกัด การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ สถานการณ์ทางการเงิน การเมือง การตลาด และกฎหมาย การไร้ความสามารถของคู่สัญญาในการรวมธุรกิจได้สำเร็จหรือทันเวลา รวมถึงความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับการอนุมัติตามกฎระเบียบใด ๆ เกิดความล่าช้า หรืออยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่คาดคิดซึ่งอาจส่งผลเสียต่อบริษัท หรือผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการรวมธุรกิจ หรือการไม่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ RMG II หรือ ReNew ความล้มเหลวในการตระหนักถึงประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการรวมธุรกิจ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอนของข้อมูลทางการเงินของ ReNew; จำนวนคำขอไถ่ถอนโดยผู้ถือหุ้นของ RMG II ระดับความต้องการโดยรวมของผู้บริโภคสำหรับผลิตภัณฑ์ของ ReNew สภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปและปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อความเชื่อมั่น ความชอบและพฤติกรรมของผู้บริโภค การหยุดชะงักและความผันผวนในตลาดสกุลเงิน เงินทุน และสินเชื่อทั่วโลก ความแข็งแกร่งทางการเงินของลูกค้าของ ReNew; ความสามารถของ ReNew ในการใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของรัฐบาล ReNew มีการเรียกร้องการฟ้องร้องดำเนินคดีและการสูญเสียอื่น ๆ การหยุดชะงักและผลกระทบอื่น ๆ ต่อธุรกิจของ ReNew อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และการดำเนินการของรัฐบาลและมาตรการที่เข้มงวดเพื่อตอบสนองความมั่นคงของซัพพลายเออร์ของ ReNew ตลอดจนความต้องการของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ของบริษัท ในแง่ของการระบาดของโรคและความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การระบาดของ COVID-19 ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกต่อ ReNew และซัพพลายเออร์และลูกค้า ความสามารถของ ReNew ในการปกป้องสิทธิบัตรเครื่องหมายการค้าและสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ การละเมิดหรือการขัดจังหวะในระบบข้อมูลของ RMG II ความผันผวนของราคา ความพร้อมใช้งาน และคุณภาพของไฟฟ้าและวัตถุดิบอื่น ๆ และผลิตภัณฑ์ที่ทำสัญญาตลอดจนความผันผวนของเงินตราต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษีและหนี้สินภาษี ความเสี่ยงทางกฎหมายข้อบังคับการเมืองและเศรษฐกิจ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อผลงานทางรายได้ของ RMG II หรือ ReNew ในรายงานสาธารณะของ RMG II ที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. รวมถึงรายงานประจำปีในแบบฟอร์ม 10-K รายงานประจำไตรมาสในแบบฟอร์ม 10-Q และปัจจุบัน รายงานสถานการณ์ปัจจุบันในแบบฟอร์ม 8-K ตลอดจนคำแถลง/หนังสือชี้ชวนของผู้รับมอบฉันทะเบื้องต้นและสุดท้ายที่ RMG II ตั้งใจจะยื่นต่อ ก.ล.ต. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการชักชวนของผู้รับมอบฉันทะของ RMG II เพื่อให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ เหนือสิ่งอื่นใด การรวมธุรกิจหากความเสี่ยงเหล่านี้เกิดขึ้นจริง หรือสมมติฐานของ RMG II หรือ ReNew ไม่ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างจากผลลัพธ์ที่แสดงโดยนัยของข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ อาจมีความเสี่ยงเพิ่มเติมที่ทั้ง RMG II และ ReNew ไม่ทราบในปัจจุบันหรือว่า RMG II และ ReNew ในปัจจุบันเชื่อว่าไม่มีสาระสำคัญซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงแตกต่างไปจากที่มีอยู่ในแถลงการณ์คาดการณ์ล่วงหน้า นอกจากนี้ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้ายังสะท้อนถึงความคาดหวังแผนหรือการคาดการณ์ของ RMG II และ ReNew ของเหตุการณ์ในอนาคตและมุมมอง ณ วันที่ของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ RMG II และ ReNew คาดการณ์ว่าเหตุการณ์และการพัฒนาที่ตามมาจะทำให้การประเมินเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตาม RMG II และ ReNew อาจเลือกที่จะอัปเดตข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ ณ จุดใดจุดหนึ่งในอนาคต RMG II และ ReNew จะปฏิเสธข้อผูกมัดใด ๆ ในการดำเนินการดังกล่าวโดยเฉพาะ ยกเว้นตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ควรใช้ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ในการประเมินของ RMG II หรือ ReNew ณ วันใดก็ตามหลังจากวันที่ของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ ดังนั้น ไม่ควรใช้ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่ไม่เหมาะสม

ไม่มีข้อเสนอหรือการชักชวน

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือเป็นการเสนอขายหรือการชักชวนให้ซื้อหลักทรัพย์ใด ๆ ตามธุรกรรม หรืออื่น ๆ และจะไม่มีการขายหลักทรัพย์ในเขตอำนาจศาลใด ๆ ที่ข้อเสนอ การชักชวน หรือการขายอาจไม่ชอบด้วยกฎหมายก่อนการจดทะเบียนหรือตรวจคุณสมบัติภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ของเขตอำนาจศาลดังกล่าว จะไม่มีการเสนอขายหลักทรัพย์ใด ๆ เว้นแต่ใช้หนังสือชี้ชวนที่เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ปี 2476 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ไม่ถือเป็นการโฆษณา การเชิญชวน การเสนอขาย หรือการชักชวนให้สมัครสมาชิกหรือซื้อหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอขายแบบส่วนตัวหรือสาธารณะในอินเดีย หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรูปแบบพื้นฐาน หรือถูกใช้ในสัญญา คำมั่น หรือการตัดสินใจลงทุนใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นในอินเดีย

จะไม่มีการเสนอขายหรือขายหลักทรัพย์ และยังไม่เคยเสนอขายหรือขายในอินเดีย โดยวิธีการเกี่ยวกับเอกสารเสนอขายหรือเอกสารหรือวัสดุอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม หรือต่อบุคคลใด ๆ หรือต่อสาธารณะในอินเดีย การสื่อสารหรือบันทึกข้อตกลงการเสนอขายหรือหนังสือชี้ชวนใด ๆ (หรือเอกสารการเปิดเผยข้อมูลที่เทียบเท่า) ที่จัดทำขึ้นโดยเกี่ยวข้องกับการเสนอขายหลักทรัพย์ ไม่ใช่เอกสารคำเสนอซื้อหรือหนังสือเวียนการเสนอขาย หรือ "จดหมายสมัครบุคคลในวงจำกัดพร้อมจดหมายสมัครงาน" หรือ "หนังสือชี้ชวน" ภายใต้พระราชบัญญัติ บริษัท 2556 ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของอินเดีย (ฉบับที่เกี่ยวกับทุนและข้อกำหนดในการเปิดเผยข้อมูล) ปี 2561 ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในอินเดีย ประกาศนี้ยังไม่ได้รับและจะไม่ได้รับการจดทะเบียนเป็น "หนังสือชี้ชวน" รือคำแถลงแทนหนังสือชี้ชวนในส่วนที่เกี่ยวกับข้อเสนอสาธารณะบันทึกข้อมูลหรือ "จดหมายสมัครบุคคลในวงจำกัด พร้อมใบสมัคร" หรือเอกสารเสนอขายอื่นใดกับนายทะเบียน บริษัท ใด ๆ ในอินเดียหรือคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของอินเดียหรือหน่วยงานตามกฎหมายหรือข้อบังคับอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกันในอินเดียบันทึกและยกเว้นข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ซึ่งจำเป็นต้องเปิดเผยหรือยื่นในอินเดียภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้และ จะไม่มีการเผยแพร่หรือแจกจ่ายเอกสารดังกล่าวให้กับบุคคลใดในอินเดีย

ดูต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210224005431/en/

ReNew Power Private Limited

สำหรับนักลงทุน:

IR@renewpower.in

Caldwell Bailey, ICR Inc.

สำหรับสื่อ:

PR@renewpower.in

Cory Ziskind, ICR, Inc.

RMG Acquisition Corporation II

สำหรับสื่อและนักลงทุน:

Philip Kassin

ประธานและผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ

pkassin@rmginvestments.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Solidatus แพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลรุ่นใหม่ระดมทุนได้ 14 ล้านปอนด์ในรอบ Series A

Logo

  • Solidatus มอบมุมมองของกระแสข้อมูลองค์กรที่ครอบคลุม 360 องศาที่เชื่อถือได้ ทำให้การจัดการข้อมูลเชิงลึกได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
  • Solidatus ได้ระดมทุน 14 ล้านปอนด์ในรอบ Series A หลังปีที่ประสบความสำเร็จ โดยเติบโตขึ้นสองเท่า มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่า และกระตุ้นการขยายตัวสู่ตลาดที่รวมถึงสหรัฐอเมริกาและเอเชีย
  • กองทุน B2B ของ AlbionVC เป็นผู้นำในรอบนี้ซึ่งรวมถึงลูกค้าองค์กรระดับโลกของ Solidatus สองรายคือ HSBC และ Citi

ลอนดอน–(บิสิเนสไวร์)–16 ก.พ. 2564

Solidatus บริษัทจัดการข้อมูลและเมทาดาต้าที่ได้รับรางวัลประกาศว่าได้ระดมทุน 14 ล้านปอนด์ ($19.2m+) ในการระดมทุนรอบ Series A เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการที่องค์กรทำความเข้าใจและจัดการข้อมูล  AlbionVC เป็นผู้นำในรอบนี้ซึ่งรวมถึง HSBC Ventures และ Citi ลูกค้าองค์กรระดับโลกสองรายของ Solidatus ข้อตกลงนี้นำโดย Emil Gigov และ Jay Wilson จาก AlbionVC โดย Jay Wilson เข้าร่วมคณะกรรมการบริหาร Solidatus หลังจากการลงทุน

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210215005028/en/

L-R Solidatus co-founders Philip Miller and Philip Dutton (Photo: Business Wire)

ผู้ร่วมก่อตั้ง LR Solidatus Philip Miller และ Philip Dutton (รูปภาพ: บิสิเนสไวร์)

Solidatus ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการและสร้างรายได้กับข้อมูลของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกกำลังจัดการกับจุดข้อมูลที่ซับซ้อนและแนวทางของ Solidatus ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับวิธีการแบบเดิม  ลูกค้ารวมถึงบริษัทการเงิน เภสัชกรรม และที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกกำลังใช้ซอฟต์แวร์เพื่อแสดงภาพและทำความเข้าใจฐานข้อมูลของตนโดยใช้ประโยชน์จากความสามารถในการติดตามข้อมูลผ่านองค์กรเพื่อขับเคลื่อนระบบธุรกิจอัจฉริยะ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

ปีที่แล้วถือเป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของบริษัท โดย Solidatus เติบโตขึ้นกว่าสองเท่า เพิ่มรายได้เป็นสี่เท่าในขณะที่ยังคงรักษาผลกำไร  จากความสำเร็จดังกล่าวทางบริษัทยังกลายเป็นผู้เข้าร่วมใหม่เพียงรายเดียวของ Gartner Magic Quadrant ในด้านการจัดการข้อมูลเมทาดาต้า ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับตำแหน่งนี้  ทางบริษัทได้ขยายไปสู่ภาคส่วนใหม่ๆ มากมาย รวมถึงการบินและอวกาศ การผลิต การสื่อสารโทรคมนาคม และรัฐบาลและมีลูกค้าเป็นธนาคารที่สำคัญระดับโลก (GSIB) 4 ใน 10 อันดับแรกในตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกา   นอกจากนี้ Solidatus ยังได้รับรางวัล Best Data Governance Solution จาก Data Management Insights และยังเข้าร่วม RegTech 100 อีกเช่นกัน

การลงทุน Series A ได้มีหุ้นส่วน AlbionVC และหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ HSBC เข้าร่วม Citi เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ของ Solidatus ในการปฏิวัติวิศวกรรมข้อมูล จุดมุ่งหมายคือเร่งแผนการขยายตัวทั่วโลกและเข้าตลาดใหม่รวมถึงสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชียรวมทั้งส่งมอบความสามารถในการจัดการข้อมูลที่ดีที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ

Kate Platonova ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลและสถาปัตยกรรม HSBC กล่าวว่า “ในฐานะธนาคารรายใหญ่ระดับโลก เราจัดการข้อมูลเมทาดาต้าขององค์กรที่ซับซ้อน  ด้วยความร่วมมือกับ Solidatus เราได้ปรับปรุงขั้นตอนการทำงานบางส่วนของเราอย่างมากโดยลดทั้งความเสี่ยงและระยะเวลาสู่ตลาดสำหรับโปรแกรมระดับนานาชาติที่สำคัญบางโปรแกรมของเรา  เทคโนโลยีกราฟของพวกเขามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้  เนื่องจากการจัดการข้อมูลเมทาดาต้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ เราเชื่อว่า Solidatus จะมีบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้นต่อ HSBC ในอนาคต”

Philip Dutton ผู้ร่วมก่อตั้ง Solidatus กล่าวว่า “Solidatus ถูกสร้างขึ้นเพื่อปฏิวัติเศรษฐกิจข้อมูล การปิดรอบ Series A เป็นการยืนยันว่าเราได้ออกแบบโซลูชันที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนขององค์กรที่มีข้อมูลจำนวนมาก โดยนำเสนอโซลูชันที่ทันสมัย คล่องตัว และขยายขนาดได้  เรารอคอยที่จะทำงานร่วมกับนักลงทุนของเราเพื่อเร่งการส่งมอบการเปลี่ยนแปลงองค์กรและการควบคุมไปยังตลาดใหม่และลูกค้าตามความมุ่งมั่นต่อมาตรฐานการบริการสูงสุดซึ่งเป็นกุญแจสำคัญใของ Solidatus”

Philip Miller ผู้ร่วมก่อตั้ง Solidatus กล่าวว่า “การมีธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกสองรายเป็นลูกค้าและนักลงทุนในการระดมทุนรอบแรกของเรานั้นเป็นการตอกย้ำความเชื่อในความสามารถของ Solidatus ในการส่งมอบคุณค่าในบริการทางการเงินในระดับองค์กร  เราหวังว่าจะได้ร่วมงานกับผู้ลงทุนของเราทุกรายเพื่อช่วยให้ Solidatus ก้าวไปสู่นวัตกรรมและการเติบโต”

Jay Wilson นักลงทุนจาก AlbionVC และสมาชิกในคณะกรรมการ Solidatus กล่าวว่า “ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของฐานข้อมูลขององค์กรและการรับรู้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นทำให้การจัดการข้อมูลกลายเป็นประเด็นสำคัญ  Solidatus ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเพื่อแก้ปัญหาของอุตสาหกรรมนี้ และเรายินดีที่จะเป็นผู้นำในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนผู้ร่วมก่อตั้งและบริษัทในการปรับเปลี่ยนข้อมูลและหมวดหมู่การจัดการข้อมูลที่กว้างขึ้น”

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210215005028/en/

ติดต่อสอบถามสำหรับสื่อมวลชน:
Kat Jackson, Franklin Rae PR
solidatus@franklinrae.com 
020 3011 1023
press@solidatus.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

WorldRemit ร่วมมือกับ Palawan Pawnshop ในฟิลิปปินส์เพื่อให้ชาวฟิลิปปินส์รับเงินโอนได้ในสถานที่ต่างๆ มากขึ้นในปี 2564 นี้

Logo

WorldRemit สั่นระฆังเป็นสัญญาณเริ่มปีใหม่กับพันธมิตรในการชำระเงินรูปแบบใหม่

มะนิลา, ฟิลิปปินส์ –(BUSINESS WIRE)–09 กุมภาพันธ์ 2564

WorldRemit บริษัทผู้ให้บริการธุรกิจการชำระเงินข้ามพรมแดนแบบดิจิทัลชั้นนำ ซึงกำลังดำเนินการให้บริการในช่วงปีใหม่กับพันธมิตรในการชำระเงินรูปแบบใหม่ในฟิลิปปินส์กับ Palawan Pawnshop ด้วยความร่วมมือครั้งนี้ ผู้รับ WorldRemit สามารถอ้างอิง WorldRemit ได้โดยตรงในการยืนยันสิทธิ์ในการโอนเงินที่ Palawan Pawnshop กว่า 3,300 สาขาทั่วประเทศและในสถานที่พันธมิตร 2,000 แห่งเช่นกัน

 “WorldRemit เป็นที่พวกเราต้องการให้เชื่อมั่นว่า การส่งเงินจะถูกส่งกลับไปยังฟิลิปปินส์อย่างรวดเร็วและปลอดภัย และเพื่อให้ผู้รับผลประโยชน์สามารถยืนยันการรับเงินได้อย่างหมดห่วงไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ด้วยความร่วมมือกับ Palawan Pawnshop เรายังคงขยายเครือข่ายแข็งแกร่งของเราที่มีอยู่แล้วในประเทศซึ่งเป็นสถานที่พันธมิตรที่สามารถรับเงินสด 25,000 แห่ง และจะเพิ่มขึ้นอีก 5,000 แห่ง” Earl Melivo ผู้อำนวยการ WorldRemit ของฟิลิปปินส์กล่าว

ด้วยการคืนสถานะการปิดเมืองในประเทศผู้ส่งและข้อจำกัดอย่างต่อเนื่องในการขับเคลื่อนภายในฟิลิปปินส์ บทบาทของผู้ให้บริการดิจิทัลอย่าง WorldRemit กำลังพิสูจน์ความสำคัญในการเชื่อมโยงผู้คนกับคนที่พวกเขารักและทำให้การโอนเงินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

 “เป้าหมายของพวกเราที่ WorldRemit คือการทำให้บริการทางการเงินดิจิทัลสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับทั้งผู้ส่งและผู้รับ ในปี 2564 เรายังคงพัฒนาเทคโนโลยีของเราอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเพิ่มการรับเครือข่ายพันธมิตรของเราเพื่อให้แรงงานอพยพชาวฟิลิปปินส์ในต่างประเทศ (OFW) ได้อุ่นใจว่าพวกเขาสามารถช่วยเหลือครอบครัวของพวกเขาที่บ้านได้อย่างต่อเนื่อง”  Melivo กล่าวเสริม

 “Palawan Pawnship และ กลุ่ม Palawan Express Pera Padala ยังคงตอบสนองความต้องการทางการเงินของชาวฟิลิปปินส์ในทุกๆ วัน พวกเราช่วยให้ครอบครัวชาวฟิลิปปินส์มีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการเป็นร้านเพื่อให้บริการทางการเงิน การส่งเงินไม่ได้เป็นเพียงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังทำให้สามารถได้มาซึ่งใบประกาศนียบัตร บ้านและการดำรงชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วย” Lilian Concepcion C. Selda รองประธานฝ่ายการเงินและการควบคุมของ Palawan Pawnshop กล่าว

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการส่งและรับเงินอย่างง่ายผ่าน WorldRemit, กรุณาเยี่ยมชมที่: www.worldremit.com  คุณสามารถดาวน์โหลดแอป WorldRemit บน Google Play  และ App Store.

เกี่ยวกับ WorldRemit

WorldRemit เป็นบริษัทผู้ให้บริการธุรกิจการชำระเงินข้ามพรมแดนแบบดิจิทัลชั้นนำ และพลิกโฉมอุตสาหกรรมที่ก่อนหน้านี้ควบคุมโดยผู้เล่นที่ให้บริการโอนเงินออฟไลน์แบบดั้งเดิมด้วยการนำบริการโอนเงินระหว่างประเทศมาไว้บนโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีความปลอดภัยขึ้น รวดเร็วขึ้น และมีต้นทุนที่น้อยลง ปัจจุบันเราให้บริการโอนเงินจากกว่า 50 ประเทศสู่ 150 ประเทศ มีจุดให้บริการกว่า 6,500 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 1100 คนทั่วโลก

ในฝั่งของผู้โอนเงิน WorldRemit ให้บริการแบบดิจิทัล 100% (ไร้เงินสด) ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกและยกระดับความปลอดภัย สำหรับผู้รับเงิน มีช่องทางรับเงินให้เลือกหลายช่องทาง ซึ่งรวมถึงการโอนเข้าบัญชีธนาคาร การถอนเงินสด การเติมเงินค่าโทรศัพท์มือถือ และรับผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลบนมือถือ

WorldRemit ซึ่งมีผู้สนับสนุนอย่าง Accel, TCV และ Leapfrog มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และมีสำนักงานประจำภูมิภาคอยู่ในทั้งสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ โซมาลีแลนด์ ยูกันดา เคนยา รวันดา แทนซาเนีย ซิมบับเว และเบลเยียม

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยียมชมได้ที่ www.worldremit.com

เกี่ยวกับ Palawan Pawnshop

Palawan Pawnshop – Palawan Express Pera Padala เป็นร้านให้บริการด้านการเงินแบบครบวงจรที่ให้บริการทางการเงินที่หลากหลายแก่ชาวฟิลิปปินส์ทั่วประเทศ โดยเปิดให้บริการเจ็ดวันต่อสัปดาห์ มาเป็นเวลา 35 ปี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2528 ในเมืองปูเวร์โตปรินเซซา โดยให้บริการเฉพาะนายหน้ารับจำนำ และได้ขยายบริการไปสู่การโอนเงิน การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การโอนเงินระหว่างประเทศ การโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร บัตรเงินสด/การถอน ATM การชำระค่าใช้จ่าย การประกันอุบัติเหตุ โหลดอิเล็กทรอนิกส์ (e-loading) และโอนเงินออนไลน์

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210208005918/en/

สำหรับสื่อมวลชน
Kyara Kwan
APAC PR Lead
WorldRemit
kkwan@worldremit.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Interactive Brokers ยกเลิกข้อจำกัดการเทรดสัญญา option ทั้งหมด

Logo

เกรนิช คอนเนตทิคัต–(บิสิเนสไวร์)–31 ม.ค. 2564

Interactive Brokers Group (Nasdaq: IBKR) บริษัทโบรคเกอร์หุ้นระดับโลกประกาศว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าทางบริษัทได้ยกเลิกข้อจำกัดการซื้อขายทั้งหมดของ option หุ้น AMC, BB, EXPR, GME, KOSS และ option อื่นๆ ที่ล่าสุดประสบกับความผันผวนของตลาด  สัญญา option และหุ้นดังกล่าวอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ margin ที่เพิ่มขึ้นซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด  บริษัทยังคงติดตามตลาดที่ผันผวนเหล่านี้

เกี่ยวกับ Interactive Brokers Group, Inc. :

บริษัทในเครือ Interactive Brokers Group ให้บริการการเทรดอัตโนมัติ การดูแลหลักทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ตลอดเวลาในกว่า 135 ตลาดในหลายประเทศและสกุลเงินโดยใช้บัญชี IBKR เพียงบัญชีเดียวทั่วโลก  เราให้บริการนักลงทุนรายย่อย กองทุน บริษัทเทรดมืออาชีพ ที่ปรึกษาทางการเงิน และโบรกเกอร์แนะนำสินค้า  ในสี่ทศวรรษเราได้มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ ทำให้เราสามารถมอบแพลตฟอร์มที่มีฟังก์ชั่นหลากหลายเฉพาะตัวให้กับลูกค้าเพื่อจัดการพอร์ตการลงทุนของพวกเขา  เรามุ่งมั่นที่จะจัดหาราคาเทรดที่เหนือกว่า เครื่องมือบริหารความเสี่ยง และพอร์ตการลงทุนสิ่ง ข้อมูลการวิจัยและผลิตภัณฑ์การลงทุนให้กับลูกค้าของเราโดยมีต้นทุนต่ำหรือไม่มีเลยเพื่อให้เขาได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่า  Barron ติดอันดับ Interactive Brokers ที่ #1 ด้วย 5 ดาวเต็ม 5 ดาวใน Best Online Broker Review วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563

อ่านที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210130005024/en/

ติดต่อ:

Interactive Brokers Group, Inc.
media@ibkr.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

The Bangkok Reporter