ยอดขาย Dragon’s Dogma 2 ของ Capcom สูงถึง 2.5 ล้านชุด!

Logo

 ยอดขายสะสมของซีรีส์ Dragon’s Dogma ทะลุ 10 ล้านชุดแล้วตอนนี้

OSAKA, Japan–(BUSINESS WIRE)–02 เมษายน 2024

Capcom Co., Ltd. (TOKYO:9697) ประกาศในวันนี้ว่า ยอดขายทั่วโลกของ Dragon’s Dogma 2 ได้ทะลุ 2.5 ล้านชุดแล้ว

Dragon's Dogma 2 is the latest game in Capcom's beloved action RPG series. (Graphic: Business Wire)

Dragon's Dogma 2 เป็นเกมใหม่ล่าสุดในซีรีส์แอคชั่น RPG อันเป็นที่ชื่นชอบของ (กราฟิก: Business Wire)

หลังจากภาคแรกถึงสิบสองปี กว่าที่จะมีการเปิดตัว Dragon’s Dogma 2 ซึ่งเป็นเกมแอคชั่นที่มีฉากอยู่ในโอเพนเวิล์ดที่กว้างใหญ่และอิสระในระดับสูง ในเกมนี้ ผู้เล่นจะสามารถเพลิดเพลินไปกับฉากแฟนตาซีต่างๆ ที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างประณีตและสมจริง ในขณะเดียวกัน ก็มีกลิ่นอายการผจญภัยสำหรับผู้เล่นเป็นกลุ่มมากสุดสี่คน ในขณะที่ผู้เล่นเดี่ยวก็มีตัวละครที่ควบคุมโดย AI มาเป็นเพื่อนร่วมทาง Capcom มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดไม่เฉพาะแฟนพันธุ์แท้ของซีรีส์นี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้เล่นใหม่ด้วยเช่นกัน รวมทั้งการเปิดตัวแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถสร้างอวตาร์ของตัวเองก่อนที่เกมจะมีการวางจำหน่าย พร้อมทั้ง “pawn” ซึ่งเป็นผู้ร่วมผจญภัยในเกมที่เป็นการร่วมมือกับเซเลบริตี้จากหลากหลายประเทศและนักกีฬาระดับชาติของญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

มีการดำเนินการอัปเดตเกี่ยวกับการเพิ่มเติมและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ สำหรับข้อกำหนดบางรายการใน Dragon’s Dogma 2 มาอย่างต่อเนื่อง สามารถดูรายละเอียดได้จากโฮมเพจอย่างเป็นทางการขอเกม https://www.dragonsdogma.com/2/en-us/topics/update/

Capcom ยังคงมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะตอบสนองความคาดหวังของหุ้นส่วนทุกคน โดยใช้ประโยชน์จากความสามารถในการพัฒนาเกมชั้นนำของอุตสาหกรรม เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมที่มีความสนุกสนานอย่างยิ่งยวด

เกี่ยวกับ Dragon’s Dogma

ซีรีส์ Dragon’s Dogma ประกอบด้วยเกมแอคชั่นในฉากแฟนตาซีที่ผู้เล่นจะผจญภัยในโอเพนเวิล์ดอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยดาบและเวทมนตร์ นับตั้งแต่เปิดตัวภาคแรกในปี 2012 ซีรีส์นี้ก็ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกสำหรับฟีเจอร์ในเกม เช่น “pawn” ผู้ร่วมผจญภัยที่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเอง ส่งผลให้ซีรีส์นี้มียอดขายสะสมทะลุ 10 ล้านชุด

เกี่ยวกับ CAPCOM

Capcom เป็นกลุ่มนักพัฒนา ผู้เผยแพร่ และผู้จัดจำหน่ายเกมแบบโต้ตอบชั้นนำระดับโลกสำหรับเกมคอนโซล พีซี อุปกรณ์พกพา และอุปกรณ์ไร้สาย บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1983 และมีการสร้างเกมขึ้นกว่าร้อยเกม รวมถึงแฟรนไชส์ที่ล้ำสมัยอย่าง Resident Evil™, Monster Hunter™, Street Fighter™, Mega Man™, Devil May Cry™ และ Ace Attorney™ Capcom มีการดำเนินงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และโตเกียว โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Capcom ได้ที่ https://www.capcom.co.jp/ir/english/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53921068/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Capcom Public Relations & Investor Relations Section
Daniel Levine
+81-6-6920-3623
daniel-levine@capcom.com

Yoshiko Ikeda
+81-6-6920-3623
yoshiko-ikeda@capcom.com

แหล่งข้อมูล: Capcom Co., Ltd.

SMART Modular Technologies เปิดตัวโมดูลหน่วยความจำ Zefr ZDIMM ที่มีประสิทธิภาพความน่าเชื่อถือสูงพิเศษสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ต้องการสมรรถนะสูง

Logo

นวร์ก แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–03 เมษายน 2024

SMART Modular Technologies, Inc. (“SMART”) หรือแผนกของ SGH (Nasdaq: SGH) ร่วมกับผู้นำโซลูชันอุปกรณ์หน่วยความจำ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล SSD และผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลไฮบริด เปิดตัวโซลูชันอุปกรณ์หน่วยความจำ  หรือแรมที่ใช้โมดูลแบบ Zefr™ ZDIMM™ โมดูล ZDIMM เหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูล ศูนย์ข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกล แพลตฟอร์มที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่มีการใช้งานหน่วยความจำขนาดใหญ่ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรทุกส่วนของแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจัยสำคัญสำหรับศูนย์ข้อมูลคือประสิทธิภาพความน่าเชื่อถือของหน่วยความจำ เพราะหากเกิดเหตุระบบขัดข้อง ก็จะทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงตามมา โมดูล ZDIMM มีลักษณะของเมนบอร์ด (Form factor) ทั้งในรูปแบบ DDR4-3200 และ DDR5-5600 และในรูปแบบดิสก์ความหนาแน่นสูง (HD) ให้บริการ

SMART Modular’s Zefr ZDIMM ultra-high reliability memory modules are ideally suited for data centers, hyperscalers, high performance computing (HPC) platforms and other environments that run large memory applications. (Photo: Business Wire)

มดูลหน่วยความจำ Zefr ZDIMM ที่มีความน่าเชื่อถือสูงเป็นพิเศษของ SMART Modular เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับศูนย์ข้อมูล ไฮเปอร์สเกลเลอร์ แพลตฟอร์มการประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่ใช้งานแอปพลิเคชันหน่วยความจำขนาดใหญ่ (รูปภาพ: Business Wire)

โมดูล ZDIMM ใช้การประมวลผลหน้าจอ Zefr ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ SMART ซึ่งให้ประสิทธิภาพของช่วงเวลาที่ระบบทำงานและความน่าเชื่อถือในระดับสูงสุด โดยทั่วไปจะสามารถทำงานได้ดีกว่าหน่วยความจำโมดูลมาตรฐานอุตสาหกรรมถึง 90%  โมดูล ZDIMM จะทำงานผ่านการประมวลผลหน้าจอที่จำลองสภาวะโลกจริง ซึ่งเป็นการรับรองถึงความทนทานและความสามารถในการกลับคืนสู่การทำงานปกติของโมดูล ZDIMM สำหรับการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ต้องการสมรรถนะสูง

“จำนวนของเสียต่อการผลิตหนึ่งล้านชิ้น หรือ DPPM ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับโมดูล DRAM อยู่ในช่วง 3,000 ถึง 5,000 ชิ้น สำหรับโมดูล Zefr ZDIMM จะมี DPPM อยู่ในช่วง 200 ถึง 300 ชิ้น ประสิทธิภาพความน่าเชื่อถือสูงพิเศษนี้มีค่ามากต่อสภาพแวดล้อมที่การประมวลผลข้อมูลมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด โดยช่วงเวลาที่ระบบทำงานมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดและค่าความเสียหายจากช่วงเวลาที่ระบบขัดข้องสามารถเพิ่มขึ้นสูงได้อย่างรวดเร็ว” Tom Quinn รองประธานอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ SMART กล่าว

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน่วยความจำ Zefr ZDIMM ของ SMART โปรดดูที่ DDR4 ZDIMM และ DDR5 ZDIMM ดูที่ smartm.com หรือติดต่อ info@smartm.com

Zefr, ZDIMM, รูปแบบอักษร “S” และ “SMART” รวมถึง “SMART Modular Technologies” เป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ SMART Modular Technologies, Inc. เครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนอื่น ทั้งหมดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองเครื่องหมายนั้น

เกี่ยวกับ SMART Modular Technologies

เป็นเวลามากกว่า 30 ปีที่ SMART Modular Technologies ช่วยให้ลูกค้าจากทั่วโลกได้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงผ่านการออกแบบ การพัฒนา และการนำเทคโนโลยี advanced packaging มาใช้ในโซลูชันอุปกรณ์หน่วยความจำที่ใช้ความชำนาญพิเศษ ผลงานอันโดดเด่นของเรามีตั้งแต่เทคโนโลยีชั้นนำที่ทันสมัย ไปจนถึงผลิตภัณฑ์หน่วยความจำแฟลชและ DRAM ที่มีมาก่อนหน้า เราให้บริการโซลูชันสำหรับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลและหน่วยความจำที่ได้มาตรฐาน ทนทานและสามารถปรับให้เหมาะสมได้ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการการใช้งานที่หลากหลายในตลาดที่มีการเติบโตสูงได้

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/53915134/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ติดต่อฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์
Arthur Sainio
Director, DRAM Product Marketing
SMART Modular Technologies
39870 Eureka Dr., Newark, CA 94583
+1 (510) 364-3647
info@smartm.com

ติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์
John Crook
Sr. Marketing Communications Specialist
SMART Modular Technologies
John.Crook@smartm.com

ที่มา: SMART Modular Technologies, Inc.

MidOcean Energy ของ EIG ประกาศการลงทุนเชิงกลยุทธ์จาก Mitsubishi Corporation

Logo

Anchor Investment ตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์การเติบโตของ MidOcean

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–02 เมษายน 2024

MidOcean Energy (“MidOcean”) เป็นบริษัทก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ระดับโลกที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ได้ประกาศการลงทุนเชิงกลยุทธ์โดย Mitsubishi Corporation (“Mitsubishi Corp”) ในวันนี้ การลงทุนของ Mitsubishi Corp จะช่วยเร่งกลยุทธ์ของ MidOcean เพื่อสร้างบริษัท LNG บูรณาการระดับโลกที่มี ‘pure play’ คุณภาพสูง อีกทั้งมีความหลากหลาย

Mitsubishi Corp มีบทบาทอย่างแข็งขันในภาคส่วน LNG มานานกว่า 50 ปี โดยมีการลงทุนครอบคลุมถึง 12 โครงการใน 8 ประเทศ ความร่วมมือครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทที่มีต่อ LNG และบทบาทของบริษัทในฐานะผู้ขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน Mitsubishi Corp มีเป้าหมายที่จะพัฒนาธุรกิจเพื่อบรรลุสังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ขณะเดียวกันก็ตอบสนองความรับผิดชอบในฐานะซัพพลายเออร์พลังงานที่มั่นคง และตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าอีกด้วย

การลงทุนครั้งนี้ทำให้ฐานนักลงทุนระดับบลูชิพของ MidOcean ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และต่อยอดจากแรงผลักดันที่สำคัญของ MidOcean นับตั้งแต่เปิดตัวในช่วงปลายปี 2022 เมื่อไม่นานมานี้ MidOcean ได้ประกาศปิดการเข้าซื้อหลักทรัพย์โครงการ LNG ของออสเตรเลียจาก Tokyo Gas

De la Rey Venter ซีอีโอของ MidOcean Energy กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ Mitsubishi Corp จะเข้าร่วมในฐานะนักลงทุนหลักใน MidOcean Energy ซึ่ง Mitsubishi Corp เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรม LNG ระดับโลก และได้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและการมองการณ์ไกลในการระบุโอกาสอันมีค่าอย่างต่อเนื่อง การลงทุนของพวกเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพื้นฐานที่แข็งแกร่งของตลาด LNG และกลยุทธ์ของ MidOcean ในการสร้างแพลตฟอร์มการเติบโตในระยะยาวที่สามารถแข่งขันได้สำหรับนักลงทุน”

R. Blair Thomas ประธานและซีอีโอของ EIG กล่าวว่า “การต้อนรับบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่าง Mitsubishi Corp ในฐานะนักลงทุนหลักและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ช่วยเร่งความก้าวหน้าของ MidOcean ในการสร้างบริษัท LNG ระดับโลกขนาดใหญ่และบริสุทธิ์ ความต้องการในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานของโลกมีส่วนทำให้ความต้องการ LNG ทั่วโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว และเราหวังว่าจะได้ดำเนินการต่อไปตามโอกาสที่น่าสนใจและสำคัญนี้ร่วมไปกับนักลงทุนและพันธมิตรของเรา”

เกี่ยวกับ EIG
EIG คือนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก โดยมีมูลค่าภายใต้การบริหาร $22.9 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2023 โดย EIG เชี่ยวชาญในการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ในช่วงประวัติศาสตร์ 41 ปี EIG ได้ทุ่มเงินกว่า $47.1 พันล้านดอลลาร์ให้กับภาคพลังงานผ่านโครงการหรือบริษัทมากกว่า 405 แห่งใน 42 ประเทศใน 6 ทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยสำนักแผนบำนาญ บริษัทประกันภัย กองทุนการกุศล มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งชั้นนำหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีสำนักงานอยู่ในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ รีโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ MidOcean Energy
MidOcean Energy ซึ่งเป็นบริษัท LNG ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG มุ่งมั่นที่จะสร้างหลักทรัพย์ LNG ระดับโลกที่มีความหลากหลาย มีความยืดหยุ่น มีต้นทุนและคาร์บอนที่แข่งขันได้ โดยสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของ EIG ที่มีต่อ LNG ในฐานะตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงพลังงาน และความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ LNG ในฐานะทรัพยากรพลังงานเชิงกลยุทธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ MidOcean Energy นำโดย De la Rey Venter ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมมา 26 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึง Global Head of LNG ของ Shell Plc

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com หรือเว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com

เกี่ยวกับ Mitsubishi Corporation
Mitsubishi Corp ดำเนินธุรกิจที่หลากหลายครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมและดูแลโดยกลุ่มธุรกิจเฉพาะอุตสาหกรรม 8 กลุ่ม ได้แก่ พลังงานสิ่งแวดล้อม โซลูชันวัสดุ ทรัพยากรแร่ การพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน การเคลื่อนย้าย อุตสาหกรรมอาหาร การสร้างชีวิตอัจฉริยะ (Smart-Life) และโซลูชันพลังงาน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัท Mitsubishi Corporation ได้ที่ www.mitsubishicorp.com/jp/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

แหล่งที่มา: EIG

Black & Veatch ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสกัดไฮโดรเจนธรรมชาติในออสเตรเลีย

Logo

ผู้นำด้านวิศวกรรมและการก่อสร้างระดับโลกจะเป็นผู้จัดทำแนวความคิดในการออกแบบสำหรับโครงการไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติของ H2EX

เมลเบิร์น ออสเตรเลีย–(BUSINESS WIRE)–01 เมษายน 2024

Black & Veatch ผู้นำระดับโลกในด้านโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานสำคัญจะดำเนินการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสำรวจหาและการสกัดไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติในออสเตรเลีย

การศึกษาเพื่อการพัฒนานี้เป็นข้อตกลงว่าด้วยบริการด้านวิศวกรรมระหว่างบริษัทไฮโดรเจนธรรมชาติของออสเตรเลียอย่าง H2EX Limited ซึ่งเป็นผู้นำในการสำรวจหาไฮโดรเจนที่มีอยู่ตามธรรมชาติกับ Black & Veatch การศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางออสเตรเลียที่ดำเนินการโดย H2EX

ไฮโดรเจนธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าไฮโดรเจนสีทองหรือไฮโดรเจนสีขาว หมายถึง ไฮโดรเจนที่พบอยู่ในรูปแบบแก๊สธรรมชาติที่เกิดอยู่อย่างอิสระ

“ความพยายามดำเนินการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในเอเชียแปซิฟิกจัดว่ามีความสำคัญในอันดับต้น ๆ สำหรับ Black & Veatch ซึ่งรวมถึงการสกัดไฮโดรเจนธรรมชาติที่อาจเป็นแหล่งพลังงานสะอาดของภูมิภาคนี้” กล่าวโดย Yatin Premchand ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการด้านการเติบโตเชิงกลยุทธ์ ฝ่ายที่ปรึกษาระดับสากลของ Black & Veatch

Yatin Premchand ยังระบุเพิ่มว่า “Black & Veatch มีประสบการณ์กว่า 80 ปีในการปฏิบัติงานด้านการผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียในหลายอุตสาหกรรม ทางบริษัทได้จัดทำโครงการแปลงการผลิตพลังงานไฮโดรเจนโครงการแรกและเปิดใช้สถานีเติมไฮโดรเจนแห่งใหญ่แห่งแรกในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้เชี่ยวชาญของเราก็นำเสนอนวัตกรรมที่เชื่อถือได้และโซลูชันที่คิดค้นขึ้นมาใหม่เป็นแห่งแรกมาอย่างต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ด้านไฮโดรเจน”

ไฮโดรเจนมีศักยภาพในการลดและทดแทนการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการจัดเก็บพลังงานระยะยาว การทำความร้อน การขนส่ง และการผลิตสารเคมีสีเขียวและปุ๋ย นอกจากนี้ ไฮโดรเจนยังสามารถนำไปเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียสีเขียว ซึ่งจะผลิตขึ้นโดยใช้พลังงานหมุนเวียน 100 เปอร์เซ็นต์โดยปราศจากการปล่อยคาร์บอน

มีการนำฮีเลียมไปใช้งานในด้านกลาโหม การแพทย์ การผลิต และการนำพลังงานไปใช้ รวมถึงเครื่องตรวจสแกนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging หรือ MRI) และการผลิตสายไฟเบอร์ออฟติก

Black & Veatch จะดำเนินการจัดทำแนวความคิดในการออกแบบ 2 รายการสำหรับใบอนุญาต PEL 691 ในการสำรวจของ H2EX ที่คาบสมุทรEyre ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย โดยเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อการพัฒนานี้ แนวความคิดในการออกแบบรายการหนึ่งจะจัดทำขึ้นสำหรับการขุดเจาะและการดำเนินการกับบ่อสำรวจจนเสร็จสมบูรณ์ ส่วนแนวคิดในการออกแบบอีกรายการจะจัดทำขึ้นเพื่ออาคารสถานที่บนพื้นผิวสำหรับกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ การแปรรูป และการนำส่งไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติ รวมถึงการผลิตพร้อมกันของทรัพยากรในกรณีที่พบร่วมกัน

“เรารู้สึกยินดีที่จะร่วมมือกับบริษัทบริการด้านวิศวกรรมระดับโลกที่เป็นที่รู้จักด้านเทคโนโลยีและมีประสบการณ์อย่าง Black & Veatch การศึกษาเพื่อการพัฒนาครั้งนี้จะช่วยให้ H2EX เร่งดำเนินการกับบ่อสำรวจ และแผนการพัฒนาครั้งแรกของเราได้ ซึ่งหากประสบความสำเร็จได้ ไฮโดรเจนจะกลายเป็นแหล่งพลังงานที่ยอดเยี่ยมสำหรับการผลิตพลังงานและการขนส่งในคาบสมุทรEyre” กล่าวโดย Mark Hanna ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO และกรรมการผู้จัดการของ H2EX

Mark Hanna ระบุเพิ่มว่า “ไฮโดรเจนธรรมชาติจะช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในภูมิภาคนี้ที่ใช้เชื้อเพลิงเหลวเป็นหลักสำหรับพลังงานและการขนส่ง ฮีเลียมก็เป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงและขาดแคลน การขุดเจาะเมื่อเร็ว ๆ นี้ในเซาท์ออสเตรเลียยังพบฮีเลียมที่มีความเข้มข้นสูงด้วย”

Black & Veatch จะวิเคราะห์หลักปฏิบัติของอุตสาหกรรมแก๊สในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานดั้งเดิมสำหรับการขุดเจาะบ่อและการสกัด จากนั้นจึงระบุข้อควรพิจารณาที่สำคัญเพื่อปรับใช้หลักปฏิบัติเหล่านี้สำหรับไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติ

การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโซลูชันการสกัดจะเป็นแนวทางในการขุดเจาะและสกัดไฮโดรเจนโดยใช้ต้นทุนต่ำที่สุด ซึ่งอาจถูกลงถึง 75 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับกาผลิตไฮโดรเจน

วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือการเปิดโอกาศให้ประเทศออสเตรเลียเป็นผู้นำในภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก พร้อมสร้างโอกาสภายในประเทศและโอกาสในการส่งออกโดยยังคงรักษาความเป็นผู้นำในการแข่งขันและความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและวิศวกรรมของประเทศ

การศึกษานี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนบางส่วนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของออสเตรเลียผ่านโครงการริเริ่มให้เงินอุดหนุนรอบที่ 14 สำหรับโครงการคณะกรรมการศึกษาวิจัยร่วม (Cooperative Research Council Project หรือ CRC-P) โดยเงินอุดหนุนของ CRC-P จะให้การสนับสนุนการร่วมมือศึกษาวิจัยตามอุตสาหกรรมในระยะสั้น ทั้งนี้คาดการณ์ว่าจะดำเนินการศึกษาเสร็จสิ้นภายในกลางปี 2024

รัฐบาลออสเตรเลียลงทุนกว่า 500 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (332 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาศูนย์รวมไฮโดรเจนในภูมิภาคออสเตรเลีย โครงการศูนย์รวมไฮโดรเจนภูมิภาค (Regional Hydrogen Hub) เป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนมูลค่า 40 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อปฏิรูปประเทศให้เป็นมหาอำนาจในการผลิตและนวัตกรรมพลังงานสีเขียว

ติดต่อ Black & Veatch เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทด้านวิศวกรรม การจัดหา การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับสากลที่พนักงานเป็นผู้ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประสบการณ์ด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่ปี 1915 เราได้ช่วยให้ลูกค้าของเรายกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยอาศัยความยืดหยุ่นในการฟื้นตัวและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ติดตามเราบน www.bv.com และโซเชียลมีเดีย

เกี่ยวกับ H2EX

H2EX Limited เป็นบริษัทไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติ โดย H2EX นั้นจะดำเนินการค้นหาและสูบไฮโดรเจนและฮีเลียมธรรมชาติตามใบอนุญาต PEL 691 ในการสำรวจหาทรัพยากรของบริษัท (~6,000 ตร.ม. กิโลเมตร) ในเซาท์ออสเตรเลีย H2EX จะพัฒนาและดำเนินการศึกษาวิจัยในหัวข้อที่ยังไม่มีผู้ใดศึกษา รวมถึงดำเนินกิจกรรมสำรวจในพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้ H2EX มีการยื่นสำรวจเพิ่มเติมอีก 52,000 ตารางกิโลเมตร รวมถึงในเซาท์ออสเตรเลีย ติดตามเราบน www.h2ex.com.au และ H2EX Ltd: Overview | LinkedIn

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผู้ติดต่อ

Black & Veatch:
EMILY CHIA | +65 6335 6623 สำนักงาน | +65 9875 8907 มือถือ | Chialp@bv.com
อีเมลสำหรับสื่อตลอด 24 ชั่วโมง | Media@bv.com

H2EX Limited:
Greschen Brecker | CFO & ผู้อำนวยการ | +61 433 133 417 มือถือ | greschen.brecker@h2ex.com.au

แหล่งที่มา: Black & Veatch

Midea Group เผยแพร่เรื่องราวของแบรนด์ ESG เป็นครั้งแรกพร้อมการเยี่ยมชมแบบวีไอพีโดยไม่คาดคิด ซึ่งเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืน

Logo

ฝอซาน ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–29 มีนาคม 2024

Midea Group:

ความเป็นมา:

Midea Group ซึ่งเป็นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ได้เปิดตัวรายงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ประจำปี 2023 โดยมีการตั้งเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนอันทะเยอทะยานไว้สำหรับปี 2030

อีกทั้งยังได้รวมการบรรลุเป้าหมายในการผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์มากกว่า 500 เมกะวัตต์ ลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ขอบเขตที่ 1 และ 2) ลง 0.040 ได้รับการรับรองระบบการจัดการพลังงานสำหรับโรงงาน 50 แห่ง และบรรลุการบัญชีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 100% ซึ่งคิดเป็นหมวดหมู่หลักของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอัจฉริยะ

สิ่งนี้สอดคล้องกับมาตรฐานรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืนของมาตรฐานรายงานระดับโลกของ Global Reporting Initiative (GRI)

รายงานและแคมเปญใหม่มุ่งเน้นไปที่สี่มิติ ได้แก่ ปกป้องดาวเคราะห์สีน้ำเงิน สร้างชุมชนที่มีความสามัคคี ปฏิบัติตาม 'แนวทางการนำนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมมาสู่ชีวิต' และร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่เจริญรุ่งเรือง

การรณรงค์:

ข้อมูลรับรอง ESG ของ Midea นั้นครอบคลุม แต่การสื่อสารกับผู้ชมในวงกว้างอาจมีความซับซ้อนและเสี่ยงที่จะฟังดูเย็นชาเกินไป

สำหรับภาพยนตร์แบรนด์ ESG เรื่องแรก เป็นเรื่องง่ายที่จะทำตามแบบแผนด้วยการตัดต่อมหาสมุทร ป่าฝน และพลังงานทดแทนตามด้วยเสียงพากย์แบบธรรมดาๆ แต่เพื่อที่จะให้ตรงเป้าหมาย ความบันเทิงคือกุญแจสำคัญ

ด้วยเหตุนี้ ภาพยนตร์ที่เน้นการเล่าเรื่องจึงถูกสร้างขึ้นโดยบอกเล่าเรื่องราวของการเยี่ยมชมโรงงานที่มีวีไอพีคนสำคัญที่สุดของ Midea The Next Generation (ผู้ที่เป็นรุ่นต่อไป)

การวางข้างกันเพื่อเทียบเคียงอย่างสร้างสรรค์นี้เน้นให้เด็ก ๆ เป็นวีไอพีตลอดจนผู้รับประโยชน์ในอนาคตจากโครงการริเริ่ม ESG ตัวละครของพวกเขานำมาซึ่งความอบอุ่น ความเรียบง่าย และเสน่ห์ที่เด็ก ๆ เท่านั้นสามารถมอบให้ได้ ช่วยให้แบรนด์สามารถนำเสนอข้อเท็จจริงที่แข็งกระด้างได้ด้วยสัมผัสที่นุ่มนวล

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวทั่วโลกเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2024 บนแพลตฟอร์ม Linkedin, Facebook, X และ Youtube

ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อความยั่งยืน Midea Group อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะเป็นผู้นำในการมุ่งสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนยิ่งขึ้นต่อไป

ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Midea ESG:

– ปัจจุบัน Midea มีโรงงาน Global Lighthouse 5 แห่ง และโรงงาน 28 แห่งที่ได้รับชื่อว่าเป็นโรงงานสีเขียวระดับชาติ

– นอกจากนี้ ยังจัดให้มีระบบการพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลายให้แก่พนักงานจำนวน 190,000 คน และจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรมเป็นประจำ

– ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังได้เปิดเผยแผนการลงทุน 140 ล้านหยวนเพื่อพัฒนาการศึกษาในชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย

– ในฐานะพลเมืองที่มีความรับผิดชอบระดับโลก Midea Group มีเป้าหมายที่จะสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ และได้เข้าร่วมกับองค์กร United Nations Global Compact นอกจากนี้ Midea Building Technology ยังได้เป็นส่วนหนึ่งของ SBTi (โครงการริเริ่มเป้าหมายทางคาร์บอนที่อิงหลักวิทยาศาสตร์)

– เพื่อเป็นการยกย่องการอุทิศตนเพื่อความยั่งยืน Midea Group ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อบริษัทชั้นนำสำหรับผู้หญิงของโลกประจำปี 2023 ของ Forbes

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Lori luo, luory17@midea.com

แหล่งที่มา: Midea Group

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53916811/en

คำบรรยายวิดีโอ:

ภาพยนตร์แบรนด์ ESG เรื่องใหม่ของ Midea บอกเล่าเรื่องราวการเยี่ยมชมโรงงานจากแขกวีไอพีคนสำคัญที่สุดของพวกเขา พวกเขาจะได้เห็นด้วยตนเองถึงความมุ่งมั่นอันน่าประทับใจของแบรนด์ต่อแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ ด้วยความคิดริเริ่มที่ยังคงน้อมรับอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสดใสยิ่งขึ้นร่วมกัน เชิญเข้าร่วมทัวร์กับพวกเขาผ่านภาพยนตร์ที่มีเสน่ห์เรื่องนี้

#TheNextGeneration #ESG #Midea

โตชิบาเปิดตัว SmartMCD™ Series Gate Driver ICs พร้อมไมโครคอนโทรลเลอร์แบบฝังตัว

Logo

– ผลิตภัณฑ์เปิดตัวนำเสนอการควบคุมมอเตอร์กระแสตรงไร้แปรงถ่านสามเฟสแบบไร้เซ็นเซอร์ –

คาวาซากิ ประเทศญี่ปุ่น–((BUSINESS WIRE)–28 มีนาคม 2024

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) ได้เริ่มจัดส่ง SmartMCD™ Series of gate driver[1] ICs จํานวนมากพร้อมไมโครคอนโทรลเลอร์แบบฝังตัว (MCU) แล้ว ผลิตภัณฑ์แรก “TB9M003FG” เหมาะสําหรับการควบคุมมอเตอร์กระแสตรงไร้แปรงถ่านสามเฟสแบบไร้เซ็นเซอร์ ในการใช้งานยานยนต์ รวมถึงปั๊มน้ำและน้ำมัน พัดลม และเครื่องเป่าลม

Toshiba: SmartMCD™ Series gate driver ICs with embedded microcontroller (Graphic: Business Wire)

Toshiba: SmartMCD™ Series gate driver ICs ไมโครคอนโทรลเลอร์แบบฝังตัว (กราฟิก: Business Wire)

TB9M003FG รวมไมโครคอนโทรลเลอร์ (Arm® Cortex-M0®) หน่วยความจําแฟลช ฟังก์ชันควบคุมพลังงาน และฟังก์ชันอินเทอร์เฟซการสื่อสาร เข้ากับตัวขับเกตที่ควบคุมและขับเคลื่อน MOSFET พลังงาน N-ch สําหรับไดรฟ์มอเตอร์กระแสตรงไร้แปรงถ่านสามเฟส การบูรณาการนี้จะช่วยลดขนาดของระบบและจํานวนส่วนประกอบ ในขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงการควบคุมมอเตอร์ขั้นสูงและซับซ้อน สําหรับการใช้งานมอเตอร์ยานยนต์ที่หลากหลาย ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ยังรวมเอาเครื่องยนต์เวกเตอร์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Toshiba ฮาร์ดแวร์ สําหรับการควบคุมคลื่นไซน์แบบไร้เซ็นเซอร์ การลดภาระบนไมโครคอนโทรลเลอร์ และขนาดของซอฟต์แวร์

การออกแบบอ้างอิงโดยใช้ TB9M003FG “Motor Driving Circuit for Automotive Body Electronics Using SmartMCD™ มีอยู่ในเว็บไซต์ของโตชิบาแล้ว

ตลาดที่กําลังขยายตัวสําหรับรถยนต์ไฟฟ้า (xEV) ต้องการการใช้พลังงานไฟฟ้า การรวมส่วนประกอบ ชุดควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) ที่ลดขนาดลง และมอเตอร์ที่เงียบกว่า ในการตอบสนองผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มีส่วนช่วยในการลดขนาด ECU โดยบูรณาการไมโครคอนโทรลเลอร์เข้ากับตัวขับเกต และมอเตอร์ที่เงียบขึ้นโดยใช้การควบคุมแบบเวกเตอร์

หมายเหตุ:

[1] ตัวขับเกต: ตัวขับสำหรับขับเคลื่อน MOSFETs

การใช้งาน

ยานยนต์

  • ปั๊มน้ำ
  • ปั้มน้ำมัน
  • พัดลม
  • เครื่องเป่าลม ฯลฯ

คุณสมบัติ

  • IC  ตัวขับเกตควบคุมแบบไร้เซ็นเซอร์สําหรับมอเตอร์กระแสตรงไร้แปรงถ่านสามเฟส (วงจรปั๊มชาร์จในตัว)
  • MCU 32 บิต (Arm® Cortex-M0®) ความถี่ในการทํางาน: 40MHz (ออสซิลเลเตอร์ความเร็วต่ำ/ความเร็วสูงในตัว)
  • หน่วยความจําในตัว

แฟลช 64Kbytes รอม 12Kbytes แรม 4KBytes

  • เครื่องยนต์เวกเตอร์ในตัวและตัวขับมอเตอร์ที่ตั้งโปรแกรมได้
  • แอมพลิฟายเออร์ตรวจจับกระแสตัวต้านทานแบบ 1 แชนท์ในตัว ตัวแปลง A/D 12 บิต และตัวแปลง A/D 10 บิต
  • วงจรตรวจจับต่างๆ

ตัวจํากัดกระแส กระแสเกิน แรงดันไฟฟ้าเกิน Vbat อุณหภูมิเกิน ฯลฯ

  • วิธีการสื่อสาร: เลือกการสื่อสาร LIN และ PWM ได้ UART
  • AEC-Q100 (เกรด 0) ผ่านการรับรองชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์

ข้อมูลจําเพาะหลัก

หมายเลขชิ้นส่วน

TB9M003FG

มอเตอร์ที่รองรับ

มอเตอร์กระแสตรงไร้แปรงถ่านสามเฟส

ฟังก์ชั่นหลัก

แอมพลิฟายเออร์ตรวจจับกระแสไฟฟ้าของตัวต้านทาน 1 แชนท์ วิธีแบบไร้เซ็นเซอร์ การควบคุมเวกเตอร์, การควบคุมคลื่นสี่เหลี่ยม

การตรวจจับข้อผิดพลาดหลัก

แรงดันตก แรงดันเกิน พลังงานภายนอก MOSFET เปิด / ลัดวงจร อุณหภูมิเกิน

ค่าสูงสุดสัมบูรณ์

แรงดันไฟจ่าย Vbat (V)

-0.3 ถึง +40

ระยะของการหมุน

แรงดันไฟจ่าย Vbat (V)

6 ถึง 18

อุณหภูมิในการใช้งาน

Topr (°C)

Ta=-40 ถึง 150

Tj=-40 ถึง 175

แพ็คเกจ

ชื่อ

P-HTQFP48-0707-0.50-001

ขนาด (มม.)

ประเภท

9.0 × 9.0

ความน่าเชื่อถือ

ผ่านการรับรอง AEC-Q100 (เกรด 0)

ไปที่ลิงก์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่
TB9M003FG

ไปที่ลิงก์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไดรเวอร์มอเตอร์ในยานยนต์ของ Toshiba
อุปกรณ์อนาล็อก

* Arm และ Cortex เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Arm Limited (หรือบริษัทในเครือ) ในสหรัฐอเมริกาและ/หรือที่อื่นๆ

* SmartMCD™ เป็นเครื่องหมายการค้าของ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้นๆ

* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจําเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ซัพพลายเออร์ชั้นนําด้านโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง อาศัยประสบการณ์และนวัตกรรมกว่าครึ่งศตวรรษ เพื่อนําเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และ HDD ที่โดดเด่นแก่ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ

พนักงานของบริษัท 21,500 คนทั่วโลก มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงสุด และส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้า ในการร่วมสร้างมูลค่า และตลาดใหม่ร่วมกัน ด้วยยอดขายต่อปีที่ใกล้ถึง 800 พันล้านเยน (6.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ตั้งตารอที่จะสร้างและมีส่วนร่วมในอนาคตที่ดีกว่าสําหรับผู้คนทั่วโลก

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53916033/en

ติดต่อ

สอบถามข้อมูลของลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์อนาล็อกและยานยนต์

โทร: +81-44-548-2219
ติดต่อเรา

สอบถามข้อมูลสื่อ:
Chiaki Nagasawa

ฝ่ายการตลาดดิจิทัล

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

ที่มา: Toshiba Electronic Devices &; Storage Corporation


SRS Distribution บริษัทในเครือของ Leonard Green & Partners และ Berkshire Partners บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการของ The Home Depot ในราคา 18.25 พันล้านเหรียญสหรัฐ

Logo

LOS ANGELES & BOSTON–(BUSINESS WIRE)–28 มีนาคม 2024

SRS Distribution (“SRS”) บริษัทในเครือของ Leonard Green & Partners และ Berkshire Partners บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการของ The Home Depot ในราคา 18.25 พันล้านเหรียญสหรัฐ รายละเอียดของการซื้อขายในครั้งนี้ได้รับการเผยแพร่ต่อสาธารณะในข่าวประชาสัมพันธ์ที่ออกโดย The Home Depot และ SRS เมื่อเช้าวันนี้ SRS เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาคารที่พักอาศัยและอาคารพาณิชย์ชั้นนำในสหรัฐอเมริกา โดยมีสาขามากกว่า 760 แห่งใน 47 รัฐ The Home Depot เป็นผู้ค้าปลีกอุปกรณ์ปรับแต่งที่พักอาศัยรายใหญ่ที่สุดของโลก

เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสในการลงทุนและเป็นพันธมิตรกับ SRS และพนักงานกว่า 11,000 คน” Jonathan Seiffer หุ้นส่วนอาวุโสของ Leonard Green & Partners กล่าว “เราขอขอบคุณอย่างจริงใจและขอแสดงความยินดีกับทีมงานทั้งหมดของ SRS สำหรับประวัติศาสตร์การเติบโตที่น่าทึ่ง ความสำเร็จและทุกการดำเนินงานที่บรรลุความสำเร็จที่ผ่านมาของ SRS จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากผู้นำที่ยอดเยี่ยมอย่างซีอีโอ Dan Tinker และทีมงาน และประธาน Ron Ross รวมถึงวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบการดำเนินงานที่มีการสร้างไว้ใน SRS”

“นับจากที่เรามีการลงทุนใน SRS เมื่อ 11 ปีที่แล้ว เรามีความสุขที่ได้ร่วมมือและเป็นหุ้นส่วนกับซีอีโอ Dan Tinker และทีมผู้บริหารของ SRS ทุกคน และเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้บรรลุเป้าหมายความสำเร็จในการซื้อขายกิจการให้กับ The Home Depot ตามการประกาศในครั้งนี้” Josh Lutzker กรรมการผู้จัดการของ Berkshire Partners กล่าว “SRS เริ่มต้นจากบริษัทเล็กๆ ระดับภูมิภาค และเติบโตขึ้นจนเป็นแพลตฟอร์มระดับประเทศที่รองรับตลาดหลายแห่ง เราทุกคนมีความภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับทีมงานที่ยอดเยี่ยมและเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวการเติบโตของบริษัท”

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับ The Home Depot ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทของทีมงานทุกคนที่ SRS” Dan Tinker ประธานและซีอีโอของ SRS Distribution กล่าว “ผมมีความภูมิใจในบริษัทของเรา วัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง และเรื่องราวการเติบโตที่น่าประทับใจของเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราบรรลุความสำเร็จมากมายสำหรับลูกค้า ซัพพลายเออร์ ชุมชน และพนักงานของเรา ผมขอขอบคุณในการสนับสนุนและคำแนะนำที่เราได้รับจากหุ้นส่วนของเรา – Leonard Green & Partners และ Berkshire Partners บริษัททั้งสองนี้มีการนำเสนอแนวทางการทำงานร่วมกันในระยะยาวเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างมูลค่า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในธุรกิจของเรา”

Berkshire Partners มีการลงทุนใน SRS ในปี 2013 เมื่อบริษัทสร้างรายได้ประมาณ 650 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสาขาน้อยกว่า 100 แห่ง จำหน่ายวัสดุมุงหลังคาที่พักอาศัยเป็นหลัก ในวันนี้ SRS มีสาขามากกว่า 760 แห่งในเกือบทุกรัฐ และสร้างรายได้สูงกว่า 10 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

ในปี 2018 Leonard Green & Partners กลายเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของ SRS โดย Berkshire Partners ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญ ตลอดระยะเวลาการเป็นหุ้นส่วน บริษัทไพรเวทอีควิตี้ทั้งสองได้ช่วยกันพัฒนาและสร้างทีมผู้นำที่ดีเยี่ยมที่สุดให้กับ SRS ในการเข้าสู่ภาคส่วนธุรกิจการจัดจำหน่ายด้านการจัดสวนในปี 2019 และการจัดจำหน่ายสระว่ายน้ำในปี 2021 SRS ยังขยายอุตสาหกรรมที่ให้บริการอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้ง SRS ยังมีความมุ่งมั่นที่โดดเด่นเพื่อให้พนักงานมีส่วนเป็นเจ้าของ ซึ่งขับเคลื่อนวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ โครงการส่งเสริมความเป็นเจ้าของสำหรับพนักงานและโปรแกรมการปันหุ้นของบริษัทส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและผลการดำเนินงานของบริษัทที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เกี่ยวกับ LGP

LGP เป็นบริษัทลงทุนไพรเวทอีควิตี้ชั้นนำที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1989 และตั้งอยู่ที่ Los Angeles โดยมีสินทรัพย์ภาพใต้การบริหารจัดการกว่า 75 พันล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทเป็นพันธมิตรกับทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และร่วมกับผู้ก่อตั้งเพื่อลงทุนในบริษัทชั้นนำในตลาด นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้น LGP มีการลงทุนในบริษัทกว่า 120 แห่งในรูปแบบของการซื้อกิจการแบบดั้งเดิม การทำธุรกรรมภาคเอกชน การเพิ่มทุน การเพิ่มหุ้น และการลงทุนในตราสารสาธารณะและตราสารหนี้ที่ผ่านการคัดเลือก บริษัทมุ่งเน้นในบริษัทที่ให้บริการ รวมถึงบริการสำหรับผู้บริโภค การดูแลสุขภาพ และธุรกิจ รวมถึงการค้าปลีก การจัดจำหน่าย และอุตสาหกรรม สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.leonardgreen.com

เกี่ยวกับ Berkshire Partners

Berkshire Partners เป็นนักลงทุนที่เชี่ยวชาญในหลายภาคส่วน โดยพนักงานเป็นเจ้าของ 100% ทั้งภาคเอกชนและสาธารณะ ทีมไพรเวทอีควิตี้ของบริษัทมีการลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีและมีการเติบโตในภาคส่วนบริการและอุตสาหกรรม เทคโนโลยีและการสื่อสาร ผู้บริโภค และการดูแลสุขภาพ นับตั้งแต่ก่อตั้ง Berkshire Partners มีการลงทุนในไพรเวทอีควิตี้มากกว่า 150 รายการ และมีประวัติในการร่วมมือกันกับทีมผู้บริหารมาอย่างยาวนานในการขยายบริษัทที่มีการลงทุนไว้ Stockbridge ซึ่งเป็นกลุ่มไพรเวทอีควิตี้ของบริษัทได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี 2007 มีการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอที่กระจุกตัวเพื่อแสวงหาการลงทุนระยะยาวที่น่าดึงดูดใจ Stockbridge และไพรเวทอีควิตี้ของบริษัทจะร่วมมือกันและใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมโดยรวมในภาคส่วนต่างๆ บ่อยครั้ง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.berkshirepartners.com

เกี่ยวกับ SRS Distribution

SRS Distribution ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี 2008 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ McKinney, Texas และได้กลายเป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาคารที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท มีการสร้างกลยุทธ์การเติบโตที่แตกต่างกันและมีวัฒนธรรมการเป็นผู้ประกอบการที่มุ่งเน้นในการให้บริการแก่ลูกค้า การเป็นพันธมิตรกับซัพพลายเออร์ และการดึงดูดผู้ที่มีความสามารถที่ดีเยี่ยมในอุตสาหกรรม ในปัจจุบัน SRS มีการดำเนินงานภายใต้กลุ่มแบรนด์ท้องถิ่นที่แตกต่างกัน โดยมีสาขากว่า 760 แห่งใน 47 รัฐ SRS Distribution เป็นบริษัทในเครือของ Leonard Green & Partners, L.P. และ Berkshire Partners LLC สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.srsdistribution.com

ราคาที่นำเสนอได้รับการรับรองโดยผู้บริหารของบริษัทในเครือซึ่ง Berkshire Partner เป็นเจ้าของกองทุน ผู้บริหารไม่ได้รับค่าตอบแทนในการให้การรับรอง อย่างไรก็ตาม ผลจากโครงสร้างการเป็นเจ้าของบริษัทในเครือของ Berkshire Partners Private Equity ทำให้เกิดความขัดแย้งในผลประโยชน์ร่วม เนื่องด้วยผู้บริหารมีแรงจูงใจที่จะแถลงเชิงบวกเกี่ยวกับ Berkshire Partners และประสบการณ์ที่มีต่อ Berkshire Partners เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับ Berkshire Partners

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Leonard Green & Partners (LGP)
communications@leonardgreen.com

Berkshire Partners
Greg Winter
617-316-6260
gwinter@berkshirepartners.com

SRS Distribution
PR@srsdistribution.com

แหล่งข้อมูล: Berkshire Partners

Midea Group ทำลายสถิติรายได้และกำไรด้วยยอด 373.7 พันล้านหยวนในปี 2023

Logo

FOSHAN, China–(BUSINESS WIRE)–28 มีนาคม 2024

Midea Group ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์เครื่องใช้ในบ้านรายใหญ่ที่สุดของโลก รายงานการเติบโตที่น่าประทับใจและสถิติผลกำไรที่เป็นประวัติการณ์ในรายงานประจำปี 2023 บริษัทมีรายได้รวม 373.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 8.10% เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน กำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 33.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 14.10% ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา

ความสำเร็จของบริษัทเป็นผลมาจากกลยุทธ์ “ผลกระทบระดับโลก” ซึ่งส่งผลให้ยอดขายในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 40% ของยอดขายรวมในเวลาหลายปีที่ผ่ามา ผลิตภัณฑ์ของ Midea ได้รับการส่งออกไปยังกว่า 200 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก และยังคงมีการขยายโครงสร้างการผลิตในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยมีการส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในอินโดนีเซีย อินเดีย ไทย บราซิล เม็กซิโก อิตาลี อียิปต์ และประเทศอื่นๆ

เทคโนโลยีใหม่ด้านพลังงานและอุตสาหกรรมของ Midea เป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และเป็นการพัฒนาแบบกรีนอย่างยั่งยืนในกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วโลก และได้รับตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรม ธุรกิจคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศที่ใช้ในครัวเรือนของบริษัทครองอันดับหนึ่งในปี 2023 โดยครองส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกที่ 45% ในส่วนของมอเตอร์เครื่องปรับอากาศที่ใช้ในครัวเรือนและเครื่องซักผ้าของบริษัทก็ครองตำแหน่งสูงสุดระดับโลกเช่นกัน โดยครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 40% และ 22% ตามลำดับ นอกเหนือจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ New Energy ของบริษัทก็มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่า จะมีปริมาณการจัดส่งถึง 750,000 ยูนิตในปี 2023 คิดเป็นสัดส่วนการเติบโตเป็น 400% เมื่อเทียบต่อปี นอกจากนี้ การเข้าซื้อกลุ่มบริษัทด้านพลังงาน เช่น CLOU Electronics และ Hiconics Eco-energy ทำให้ Midea เข้าสู่อุตสาหกรรมการจัดเก็บพลังงาน ซึ่งมีศักยภาพทางการตลาดมหาศาล

KUKA ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Midea เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรม “Big Four” ระดับโลก และเป็นบริษัทผลิตหุ่นยนต์น้ำหนักสูงที่ใหญ่เป็นอันดับสองเมื่อพิจารณาจากยอดขายในปี 2023 ในปี 2023 KUKA Group มีรายได้และปริมาณการสั่งซื้อสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีการตอบรับสูงมากเป็นพิเศษในตลาดจีน

เทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะของ Midea นำเสนอโซลูชันบูรณาการระบบนิเวศอัจฉริยะสำหรับการก่อสร้างอาคาร จากข้อมูลของ Frost & Sullivan บริษัทถือเป็นซัพพลายเออร์เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ และใหญ่เป็นอันดับห้าของโลกในปี 2023

Midea Group มีการลงทุนกว่า 14.5 พันล้านหยวนในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยมีบุคลากรด้านการวิจัยมากกว่า 23,000 คนทั่วโลก ในปี 2022 บริษัทอยู่ในอันดับที่เจ็ดของโลกในกลุ่มสิทธิบัตรทั้งหมด โดยเป็นอันดับแรกในกลุ่มบริษัทจีนและอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนทั่วโลก โดยมีสิทธิบัตรการประดิษฐ์มากกว่า 28,000 ฉบับ

Midea Group มีบริษัทในเครือ 200 แห่งโดยประมาณ มีศูนย์วิจัยและพัฒนา 33 แห่ง และมีฐานการผลิตหลัก 40 แห่งทั่วโลก มีพนักงานกว่า 190,000 คน การเติบโตที่น่าประทับใจและผลกำไรที่ทำลายสถิติของบริษัทแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในนวัตกรรม ความยั่งยืน และการขยายธุรกิจไปทั่วโลก

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Lori Luo
Luory17@midea.com

แหล่งข้อมูล: Midea Group

MidOcean Energy ของ EIG เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการของ Tokyo Gas ในโครงการ LNG เชิงบูรณาการของออสเตรเลีย

Logo

WASHINGTON–(BUSINESS WIRE)–28 มีนาคม 2024

MidOcean Energy (“MidOcean”) บริษัทด้านก๊าซเหลวธรรมชาติ (LNG) ซึ่งก่อตั้งและบริหารโดย EIG ซึ่งเป็นนักลงทุนสถานบันชั้นนำในภาคส่วนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ได้ประกาศในวันนี้ถึงความสำเร็จในข้อตกลงเข้าซื้อกิจการของ Tokyo Gas Co., Ltd’s (“Tokyo Gas”) ในโครงการ LNG เชิงบูรณาการของออสเตรเลียที่มีการประกาศไว้ก่อนหน้านี้

การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวรวมถึงผลประโยชน์ของ Tokyo Gas ในโครงการ Gorgon LNG, Pluto LNG และ Queensland Curtis LNG projects โดยจะได้รับประโยชน์จากผู้ดำเนินงานที่มีประสบการณ์ รวมถึง Chevron, Woodside and Shell และมีการขยายห่วงโซ่มูลค่าของ LNG จากการดำเนินงานต้นน้ำไปถึงกลางน้ำ การทำให้เป็นของเหลว และการขาย MidOcean จะเปิดสำนักงานใน Perth, Australia เพื่อสนับสนุนและดูแลโครงการต่างๆ เหล่านี้ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของธุรกรรมในครั้งนี้

R. Blair Thomas ประธานและซีอีโอของ EIG กล่าว “เราเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในบทบาทของ LNG ในฐานะตัวขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน และมีการก่อตั้ง MidOcean ขึ้น เพื่อให้พันธมิตรและนักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ประเภทที่แตกต่างกัน ด้วยสินทรัพย์พื้นฐานเหล่านี้ MidOcean มีส่วนร่วมในโครงการและตลาดสำคัญต่างๆ ในเอเชีย โดยเป็นศูนย์กลางธุรกิจ LNG ทั่วโลก De la Rey และทีมงานมีกลยุทธ์การเติบโตที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะสามารถต่อยอดและขยายจากรากฐานนี้ไปได้ในเชิงภูมิศาสตร์ เรามุ่งเน้นในโครงการเชิงบูรณาการซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ และเปิดโอกาสให้ MidOcean สามารถเพิ่มมูลค่าตลอดห่วงโซ่มูลค่า LNG อย่างเต็มรูปแบบ”

“การเข้าซื้อโครงการ LNG ที่มีกระแสเงินสดไหลเวียนคุณภาพสูงเหล่านี้ถือเป็นหลักชัยสำคัญในกลยุทธ์ของ MidOcean ในการสร้างบริษัท LNG เชิงบูรณาการแบบ ‘pure play’ ระดับโลกที่มีความหลากหลาย โดยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของโลกเข้าสู่โลกที่มีคาร์บอนต่ำในอนาคต” De la Rey Venter ซีอีโอของ MidOcean กล่าว “ธุรกรรมครั้งนี้จะช่วยทำให้เราบรรลุการเป็นผู้นำในภาคส่วน LNG ระดับโลกที่เรามุ่งเน้นมานานหลายทศวรรษ และเราคาดหวังที่จะได้ให้บริการแก่ลูกค้า LNG รายสำคัญของเราในญี่ปุ่น เอเชีย และทั่วโลก”

Barrenjoey, Barclays และ JP Morgan ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ EIG และ MidOcean ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมในครั้งนี้ White & Case ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของ EIG และ MidOcean

เกี่ยวกับ EIG

EIG เป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคส่วนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก โดยมีมูลค่าการบริหารจัดการ 22.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 31 เดือนธันวาคม ปี 2023 EIG มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ในช่วง 41 ปีที่ผ่านมา EIG มีการทุ่มเงินกว่า 47.1 พันล้านเหรียญสหรัฐให้กับภาคส่วนพลังงานผ่านโครงการหรือบริษัทมากกว่า 405 แห่งใน 42 ประเทศภายใต้หกทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยบริษัทประกันพร้อมแผนบำนาญชั้นนำ กองทุนการกุศล มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งชั้นนำในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Washington, D.C. โดยมีสำนักงานอยู่ที่ Houston, London, Sydney, Rio de Janeiro, Hong Kong และ Seoul

เกี่ยวกับ MidOcean Energy

MidOcean Energy เป็นบริษัท LNG ที่ก่อตั้งขึ้นและบริหารจัดการโดย EIG และมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลกที่มีความหลากหลาย มีความเสถียร ต้นทุนต่ำ และคาร์บอนต่ำ โดยสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของ EIG ที่มีต่อ LNG ในฐานะตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน และความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ LNG ในฐานะทรัพยากรพลังงานเชิงกลยุทธ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ MidOcean Energy นำโดย De la Rey Venter ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมมาเป็นเวลา 26 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสหลายตำแหน่ง รวมถึง Global Head ของ LNG สำหรับ Shell Plc

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com หรือเว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

แหล่งข้อมูล: EIG

Fetch.ai Ocean Protocol และ SingularityNET ผนึกกำลัง เพื่อสร้าง Artificial Superintelligence Alliance

Logo

ผู้บุกเบิกปัญญาประดิษฐ์รวมตัวกันเพื่อสร้างทางเลือกแบบกระจายอํานาจ ให้กับโครงการ AI ที่มีอยู่ซึ่งควบคุมโดยเทคโนโลยีขนาดใหญ่

มูลค่ารวมของโทเค็น $FET, $OCEAN และ $AGIX อยู่ที่ 7.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ณ วันที่ 26 มีนาคม 2024

ซูก สวิตเซอร์แลนด์ และสิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–27 มีนาคม 2024

SingularityNET (SNET) เครือข่ายปัญญาประดิษฐ์ (AI) แบบกระจายอํานาจแห่งแรกของโลก Fetch.ai แพลตฟอร์ม Web3 สําหรับเศรษฐกิจ AI ใหม่ และ Ocean Protocol แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบกระจายอํานาจเพื่อปกป้องข้อมูล วันนี้ประกาศเปิดตัว  Artificial Superintelligence Alliance การสร้างเครือข่ายแบบโอเพ่นซอร์สและกระจายอํานาจที่ใหญ่ที่สุด ผ่านการควบรวมกิจการโทเค็นมูลค่าหลายพันล้านเป็นก้าวสําคัญที่เร่งการแข่งขันไปสู่ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI)

Alliance เป็นผลงานของสามผู้นําด้าน AI แบบกระจายอํานาจ Dr. Ben Goertzel ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “บิดาแห่ง AGI” ได้ก่อตั้ง SNET ขึ้นมา ในฐานะตลาดกลางและกรอบการทำงานบนบล็อคเชนสําหรับบริการ AI Humayun Sheikh นักลงทุนผู้ก่อตั้ง DeepMind สร้าง Fetch.ai ให้เป็นแพลตฟอร์มหลายตัวแทนแบบกระจายอํานาจ เพื่อปรับใช้และจำหน่ายแอปพลิเคชัน AI Trent McConaghy สถาปนิกของซอฟต์แวร์ที่ใช้ AI ซึ่งนักออกแบบชิปส่วนใหญ่ใช้เพื่อขับเคลื่อนกฎของมัวร์ ได้ก่อตั้ง Ocean Protocol เพื่อเป็นแพลตฟอร์มสําหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ข้อมูลโทเค็นอย่างราบรื่น

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการก่อตั้ง Alliance, โทเค็น $FET $OCEAN และ $AGIX ที่ขับเคลื่อนเครือข่ายสมาชิก Alliance ทั้งสาม จะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นโทเค็น $ASI เดียวที่จะทํางานในครือข่าย AI แบบกระจายอํานาจที่รวมกัน ซึ่งให้ขนาดและพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน

สร้างมาเพื่อ Super Intelligence

“ในขณะที่การปฏิวัติ AI ทวีความรุนแรงขึ้น จําเป็นอย่างยิ่งที่ AGI และ ASI จะต้องไม่เป็นเจ้าของและควบคุมโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีผลประโยชน์แบบอคติของตนเอง” Dr. Ben Goertzel ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง SNET กล่าว “พวกเขาควรเปิดตัวในลักษณะที่เปิดกว้าง เป็นประชาธิปไตย และกระจายอํานาจ นี่เป็นวิสัยทัศน์ร่วมกันของ SNET Fetch.ai และ Ocean Protocol ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง และด้วยเหตุนี้จึงสมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่ทั้งสามโครงการของเรามารวมกัน เพื่อสร้างเครือข่ายเศรษฐศาสตร์ของโทเค็น ที่มีพลังมากขึ้นในการรับมือกับ Big Tech และเปลี่ยนจุดศูนย์กลางของโลก AI ไปสู่ระบบนิเวศแบบกระจายอํานาจ”

“ในโลกแก่งนวัตกรรม AI แบบก้าวกระโดด ยักษ์ใหญ่ของ Big Tech ครองพาดหัวข่าวและการสนทนา'” Humayun Sheikh ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Fetch.ai กล่าว “เรากําลังสร้างเส้นทางที่แตกต่างออกไป ภารกิจของเราในการควบรวมโทเค็นนี้ คือการรวมแพลตฟอร์มของเราเพื่อให้แน่ใจว่า AI มีจริยธรรมและโปร่งใส ซึ่งอํานวยความสะดวกในการโต้ตอบโดยตรงระหว่างนักพัฒนาและผู้ใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงผู้เฝ้าประตูแบบดั้งเดิมของหน่วยงานที่รวมศูนย์ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและปูทางไปสู่ระบบนิเวศ AI ที่เป็นประชาธิปไตยและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น และสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมทั่วโลกมีส่วนร่วม”

เหตุผลเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจ

  • แรงกระตุ้นจากการเพิ่มขึ้นของ AI และการเติบโตของโครงการ AI สามโครงการ: การรวมกันนี้เกิดจากช่วงเวลาแห่งการเติบโตอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนสําหรับโครงการ AI ข้อตกลงดังกล่าวมอบโอกาสที่ไม่มีใครเทียบได้สําหรับผู้นําที่ทรงอิทธิพลทั้งสามนี้ ในการสร้างทางเลือกที่ทรงพลังแทนการควบคุมการพัฒนา AI การใช้งาน และการสร้างรายได้ของ Big Tech
  • สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบกระจายอํานาจตามขนาด: AI แบบกระจายอำนาจ ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อเปลี่ยนระบบ AI ซึ่งการทํางานภายในถูกซ่อนไม่ให้เปิดเผยต่อสาธารณะ ให้เป็นเครือข่ายแบบเปิดสำหรับประสานงานความฉลาดของเครื่องจักรไปสู่วัตถุประสงค์ร่วมกัน การผสมผสานระหว่างการวิจัย แบรนด์ เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ของ SNET Fetch.ai และ Ocean Protocol ทำให้เกิดรากฐานในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ปรับขนาดได้ ซึ่งรับประกันแนวทางปฏิบัติที่มีจริยธรรมและน่าเชื่อถือ
  • เร่งการลงทุนใน AGI: Goertzel Sheikh และ McConaghy เป็นผู้ติดตาม และผู้สนใจนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้งานรายแรกๆ มาช้านาน ทั้งหมดนี้มุ่งเน้นไปที่การทําให้ AGI เป็นจริง Superintelligence Alliance นี้อํานวยความสะดวกในเชิงพาณิชย์ของเทคโนโลยีของแต่ละมูลนิธิ และช่วยให้สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์ม AI ที่ล้ำสมัยและฐานข้อมูลขนาดใหญ่ในวงกว้าง การเคลื่อนไหวที่ก้าวล้ำนี้ทําให้เส้นทางสู่ AGI บนบล็อกเชนก้าวหน้ายิ่งขึ้น

รายละเอียดการทําธุรกรรม

Bruce Pon ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Ocean Protocol เชื่อว่าการรวมกันนี้สามารถส่งมอบตามคํามั่นสัญญาของเทคโนโลยีการกระจายอํานาจแบบบูรณาการในแนวตั้ง พร้อมขนาดที่สามารถแข่งขันได้ทั่วโลก “การผสมผสานเทคโนโลยีของเราสร้างผู้นําด้านการวิจัยและพัฒนา การใช้งาน และการพาณิชย์ของ AGI” Pon กล่าว “โทเค็น $ASI แบบครบวงจรเป็นกาวในการประสานนักแสดงทุกคนด้วยสิ่งจูงใจร่วมกัน โทเค็น $ASI ใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยเครือข่ายสาธารณะ เป็นโทเค็นการเข้าถึงข้อมูล และเพื่อปลดล็อกการคํานวณโดยไม่ต้องใช้ระบบธนาคาร และการชําระเงินแบบเดิม มันเป็นสกุลเงินท้องถิ่นสําหรับเศรษฐกิจเครื่องจักร”

หากข้อเสนอได้รับการอนุมัติส่วนใหญ่จากชุมชนที่เกี่ยวข้อง จะเกิดสิ่งต่อไปนี้:

– $FET จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น $ASI โดยมีปริมาณโทเค็นทั้งหมด2.63055 พันล้านโทเค็น

– โทเค็น $AGIX ย้ายไปยัง $ASI ที่อัตราการแปลง 0.433350:1

– โทเค็น $OCEAN ย้ายไปยัง $ASI ที่อัตราการแปลง 0.433226:1

– หาก FDV ของโทเค็นทั้งสาม ณ วันที่ 26 มีนาคม 2024 ถูกโอนไปยัง $ASI อย่างสมบูรณ์ จะมียอดรวม FDV อยู่ที่ 7.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ภาวะผู้นําและการอภิบาลระบบ

เมื่อปิดการควบรวมโทเค็นนี้ สภาปกครองของ Artificial Superintelligence Alliance จะจัดตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบและแนะนําการดําเนินงานของเครือข่ายเศรษฐศาสตร์โทเค็นที่เพิ่งควบรวมกิจการ พันธมิตรจะนําโดย Ben Goertzel, Humayun Sheikh, Bruce Pon และ Trent McConaghy องค์กรที่เป็นแนวทางในการพัฒนาเครือข่ายที่ควบรวมทั้งสาม ได้แก่ Fetch.ai, Ocean Protocol Foundation และ SNET Foundation จะยังคงดําเนินการเป็นหน่วยงานที่แยกจากกัน แต่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในระบบนิเวศเศรษฐศาสตร์โทเค็น $ASI ที่ใช้ร่วมกัน และในการดําเนินงานของ Alliance

“ในบรรดาเป้าหมายทางการค้าและการวิจัยมากมายของเรา เพื่อให้เครือข่ายที่รวมกันนี้ทํางานได้ คือการเปิดตัวระบบ AGI ประสาทสัญญลักษณ์แบบกระจายอํานาจ ที่มีความสามารถที่เหนือกว่าทั่วโลกในด้านสําคัญ เช่น การให้เหตุผลเชิงตรรกะและวิทยาศาสตร์ และความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะ” Goertzel กล่าวต่อ “ผลกระทบของระบบดังกล่าวอาจเกินกว่าสิ่งที่เราแคยห็นจาก LLM ที่สําคัญอย่างมาก และนําเศรษฐกิจโลกไปสู่ยุคใหม่ของ AGI และ ASI แบบกระจายอํานาจที่เป็นประโยชน์”

เกี่ยวกับ SingularityNET

SingularityNET ก่อตั้งโดย Dr. Ben Goertzel โดยมีภารกิจในการสร้างปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) แบบกระจายอํานาจ เป็นประชาธิปไตย ครอบคลุม และเป็นประโยชน์ ตามที่ Dr. Goertzel กล่าว AGI ควรเป็นอิสระจากหน่วยงานกลางใด ๆ เปิดกว้างสําหรับทุกคน และไม่จํากัดอยู่เพียงเป้าหมายแคบๆ ของบริษัทเดียว หรือแม้แต่ประเทศเดียว ทีม SNET ประกอบด้วยวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ผู้ประกอบการ และนักการตลาดที่มีประสบการณ์ แพลตฟอร์มหลักและทีม AI ได้รับการเสริมกำลังเพิ่มเติมโดยทีมงานเฉพาะทางที่ทุ่มเทให้กับการใช้งานด้านต่างๆ เช่น การเงิน หุ่นยนต์ AI ชีวการแพทย์ สื่อ ศิลปะ และความบันเทิง

สําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SNET โปรดไปที่: https://singularitynet.io/

เกี่ยวกับ Fetch.ai

Fetch.ai บริษัท AI ในเคมบริดจ์ กําลังกําหนดนิยามใหม่ให้กับความเป็นไปได้ของโลกอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกันผ่านเทคโนโลยีที่ใช้ตัวแทน AI เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานของ Fetch.ai ช่วยให้นักพัฒนาและธุรกิจสามารถสร้าง ปรับใช้ และสร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มโมดูลาร์ที่ใช้ตัวแทนสําหรับแอปพลิเคชัน AI รุ่นใหม่ ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท DeltaV ได้หลอมรวมโมเดลภาษา (LLM) และตัวแทน AI เข้าด้วยกันเพื่อสร้างตลาดที่เปิดกว้างและมีไดนามิกที่เชื่อมโยงผู้ใช้กับบริการ และพลิกโฉมประสบการณ์การค้นหาในปัจจุบัน

เรียนรู้เพิ่มเติมที่ www.fetch.ai และบน X

เกี่ยวกับ Ocean Protocol

Ocean ก่อตั้งขึ้นเพื่อยกระดับการแข่งขันด้าน AI และข้อมูล เครื่องมือ Ocean ช่วยให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไปสามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ข้อมูลโทเค็นได้อย่างราบรื่น เพื่อจัดการข้อมูลตลอดวงจรชีวิตของโมเดล AI แอปที่ขับเคลื่อนโดย Ocean ประกอบด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลระดับองค์กร การแข่งขันวิทยาศาสตร์ข้อมูล และ DAO ข้อมูล ผลิตภัณฑ์ Ocean Predictoor มีปริมาณมากกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน หลังเปิดตัวเป็นเวลาหกเดือน พร้อมแผนงานในการปรับขนาดโมเดลพื้นฐานทั่วโลก

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ
การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ติดต่อสื่อมวลชน

FTI Consulting
Fetch.ai@fticonsulting.com

ที่มา: Fetch.ai, Ocean Protocol และ SingularityNET

The Bangkok Reporter