ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพการประชุมสัมมนาเพื่อส่งเสริมการเติบโตและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยูเครน

Logo

เจ้าหน้าที่ภาคส่วนรัฐบาลและตัวแทนภาคธุรกิจสามร้อยคนรวมตัวกันเพื่อแสดงการสนับสนุนการฟื้นตัวของยูเครนจากญี่ปุ่น

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–29 กุมภาพันธ์ 2024

วันที่ 19 เดือนกุมภาพันธ์ ตัวแทนภาคส่วนรัฐบาลญี่ปุ่นและยูเครน รวมถึงองค์กรธุรกิจต่างๆ รวมตัวกันที่โตเกียวเพื่อเข้าร่วมการประชุมสัมมนาญี่ปุ่น-ยูเครน เพื่อส่งเสริมการเติบโตและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

Prime Minister Kishida Fumio emphasized how Japan can contribute to Ukraine’s post-war reconstruction. (Photo by: Cabinet Public Affairs Office)

นายกรัฐมนตรี Kishida Fumio เน้นย้ำเกี่ยวกับญี่ปุ่นจะสามารถมีส่วนร่วมในการฟื้นตัวหลังสงครามของยูเครนได้อย่างไร (ภาพถ่ายโดย: Cabinet Public Affairs Office)

คณะผู้แทนรัฐบาลญี่ปุ่น นำโดย Kishida Fumio นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ให้คำมั่นว่า จะให้การสนับสนุนการฟื้นตัวของยูเครนในระยะยาวผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน คณะผู้แทนยูเครน นำโดย Denys Shmyhal นายกรัฐมนตรียูเครน กล่าวขอบคุณญี่ปุ่นสำหรับความช่วยเหลือ และเรียนเชิญภาคส่วนธุรกิจของญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนเพื่อการฟื้นตัวของยูเครน คณะผู้แทนแต่ละคณะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐและองค์กรมากกว่า 100 คน มีผู้เข้าร่วมการประชุมทั้งหมดประมาณ 300 คนและบริษัท 130 แห่ง รัฐบาลทั้งสองเห็นพ้องในการร่วมกันในเจ็ดประเด็นหลัก ได้แก่ การดำเนินการปรับพื้นที่กับระเบิดและการกำจัดขยะ ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูวิถีชีวิต การพัฒนาด้านการเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ โครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและพลังงาน และมาตรการต่อต้านการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล

ในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ นายกรัฐมนตรี Kishida กล่าวถึงการสนับสนุนการฟื้นตัวของยูเครนจากสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ว่า เป็น "การลงทุนเพื่ออนาคต" และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศมีส่วนร่วม “ภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นจะทำงานร่วมกันผ่านแนวทางแบบญี่ปุ่น โดยใช้ความรู้ที่ได้รับจากความพยายามในการฟื้นฟูหลังสงครามและภัยพิบัติของญี่ปุ่น” เขากล่าวในสุนทรพจน์ของเขา “การส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจไม่เพียงแต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของยูเครนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลงทุนในญี่ปุ่นและทั่วโลกด้วยเช่นกัน” มีการร่างโครงการริเริ่มใหม่สำหรับภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นเพื่อการสนับสนุนยูเครน Kishida ยังประกาศอีกด้วยว่า ญี่ปุ่นจะผ่อนปรนข้อกำหนดวีซ่าเข้าประเทศสำหรับพลเมืองยูเครนที่เกี่ยวข้องกับโครงการความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่น-ยูเครน

นายกรัฐมนตรี Shmyhal กล่าวขอบคุณญี่ปุ่นที่ให้ความช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง และขอบคุณนายกรัฐมนตรี Kishida สำหรับการเยือนยูเครนในปี 2023 เขากล่าวเสริมว่า “การประชุมสัมมนาในวันนี้จะเป็นก้าวต่อไปในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างต่อเนื่อง” Shmyhal กล่าวถึงความสำเร็จทางการเงินของบริษัทญี่ปุ่นในยูเครนจนถึงขณะนี้ และมีการเชิญชวนภาคส่วนธุรกิจต่างๆ ให้เข้ามาลงทุนใน “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของยูเครน” ที่จะมีขึ้น เขายังเน้นย้ำภาคส่วนหลักต่างๆ เช่น พลังงาน การเกษตร และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการนำเสนอโอกาสในการลงทุนที่สำคัญ และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ผู้นำทั้งสองเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในความร่วมมือกันตลอดจนความสำคัญของภาคเอกชนในการฟื้นตัวของยูเครน

การประชุมสัมมนาดังกล่าวส่งผลให้มีการประกาศเอกสาร 56 ฉบับ รวมถึงข้อตกลงระหว่างรัฐบาล โดยรัฐบาลทั้งสองมีการลงนามในอนุสัญญาการจัดการเก็บภาษีซ้ำซ้อน โดยจะสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นในยูเครน ยังได้ลงนามในข้อตกลงด้านการให้สินเชื่อทวิภาคี แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเงินช่วยเหลือเพื่อการฟื้นฟูฉุกเฉิน และให้คำมั่นว่า จะร่วมมือกันด้านการศึกษาและเทคโนโลยี

เอกสารอื่นๆ ได้แก่ ข้อตกลงระหว่างหน่วยงานรัฐบาลและภาคส่วนธุรกิจแต่ละรายและองค์กรธุรกิจ บริษัทญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงกับบริษัทยูเครนและหน่วยงานรัฐบาลเพื่อพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านพลังงาน สร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ กำจัดกับระเบิด และอื่นๆ อีกมากมาย

นับตั้งแต่การรุกรานของรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 ญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและความช่วยเหลือด้านอื่นๆ แก่ยูเครนมาโดยตลอด โดยการประกาศความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการประชุมสัมมนาครั้งนี้ ญี่ปุ่นวางแผนที่จะใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและประสบการณ์ในการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ เพื่อเสริมสร้างการสนับสนุนเพื่อการฟื้นตัวสำหรับยูเครน

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53903285/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Ministry of Foreign Affairs
+81-(0)3-3580-3311

แหล่งข้อมูล: Ministry of Foreign Affairs of Japan


Rimkus เฉลิมฉลองการดำเนินงานมาเป็นเวลา 40 ปี พร้อมการลงทุนจาก HGGC

Logo

ความร่วมมือกับ HGGC จะเพิ่มศักยภาพให้กับ Rimkus ในการเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญและขยายการเข้าถึงตลาดได้มากยิ่งขึ้น

HOUSTON–(BUSINESS WIRE)–22 กุมภาพันธ์ 2024

Rimkus Consulting Group, Inc. ("Rimkus") ผู้นำระดับโลกในการให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมและทางเทคนิค ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้รับการลงทุนเพื่อการเติบโตเชิงกลยุทธ์จาก HGGC ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำในการลงทุนตลาดระดับกลาง โดยนักลงทุนรายย่อยปัจจุบันของ Century Equity Partners และทีมผู้บริหารของ Rimkus จะนำหุ้นที่มีนัยสำคัญนี้เข้าสู่ธุรกรรมดังกล่าว แต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินของข้อตกลงนี้

“เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับ HGGC ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเรา การลงทุนของบริษัทไม่เพียงแต่เป็นการตระหนักถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของทีม Rimkus แต่ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของพวกเราอีกด้วย ด้วยความเชี่ยวชาญและทรัพยากรของ HGGC เราพร้อมที่จะก้าวไปสู่มิติใหม่ และขยายข้อเสนอการบริการของเราเพื่อมอบมูลค่าที่มากยิ่งขึ้นแก่ลูกค้าของเรา” Jonathan Higgins ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Rimkus กล่าว

Rimkus ให้บริการด้านการให้คำปรึษาทางวิศวกรรมและทางเทคนิคให้แก่ลูกค้าทั่วโลก รวมถึง องค์กร สำนักงานกฎหมาย บริษัทประกันภัย ผู้บริหารจัดการบุคคลที่สาม และหน่วยงานภาครัฐ ความร่วมมือครั้งใหม่กับ HGGC จะช่วยให้ Rimkus สามารถขยายการบริการให้กว้างยิ่งขึ้น ให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และสร้างชื่อเสียงให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำทางเทคนิคในอนาคต

“Rimkus เป็นบริษัทชั้นนำที่ได้รับการพิสูจน์แล้วด้วยแบรนด์ที่ยอดเยี่ยมและวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างแท้จริง ประวัติและชื่อเสียงของบริษัทเป็นที่รู้จักและยอมรับกันในหมู่ลูกค้า จึงเป็นพันธมิตรที่น่าดึงดูดใจยิ่งสำหรับเรา” HGGC กล่าว “เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ Rimkus สามารถบรรลุการเติบโต โดยขยายขอบเขตการให้บริการ เพิ่มพูนความเชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว และลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเสริมการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น”

ตั้งแต่ปี 2020 Rimkus มีการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์มาแล้ว 15 แห่ง มีการขยายเครือข่ายจนปัจจุบันมีพนักงานกว่า 1,500 คน และมีสำนักงานมากกว่า 110 แห่งทั่วโลก นับจากมีการรีแบรนด์เชิงกลยุทธ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Rimkus ได้ปรับปรุงขอบเขตการดำเนินงานที่มีอยู่ให้ก้าวนำความต้องการของลูกค้าทั่วโลก และมีการลงทุนมหาศาลในโซลูชันทางเทคโนโลยี และบุคลากร ซึ่งทำให้บริษัทยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบริการที่ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง

“ด้วยแรงผลักดันการเติบโตที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เรามีความยินดีที่จะให้การสนับสนุน Rimkus และร่วมมือกับ HGGC รวมถึงทีมผู้บริหารเพื่อขยายความเป็นผู้นำในตลาดให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น” Century Equity Partners กล่าว

J.P. Morgan ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ Rimkus โดย Baird เป็นที่ปรึกษาของ Century Equity Partners และ Piper Sandler เป็นที่ปรึกษาของ HGGC

เกี่ยวกับ Rimkus
Rimkus เป็นผู้ให้บริการให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมและทางเทคนิคทั่วโลกแก่องค์กรต่างๆ บริษัทประกันภัย สำนักงานกฎหมาย และหน่วยงานภาครัฐ Rimkus มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศาในการให้คำปรึกษาด้านนิติวิทยาศาสตร์ การระงับข้อพิพาท และการบริการบริหารจัดการด้านการก่อสร้าง โซลูชันสำหรับสภาพแวดล้อม และการสนับสนุนปัจจัยสำหรับมนุษย์ในภาคส่วนอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และการดูแลสุขภาพ เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วที่วิศวกร สถาปนิก นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคมืออาชีพของบริษัทได้รับการยอมรับในความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศจากชุมชนธุรกิจในท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ Rimkus มีสำนักงานมากกว่า 110 แห่งทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.rimkus.com

เกี่ยวกับ HGGC
HGGC เป็นองค์กรด้านการลงทุนภาคเอกชนที่มุ่งเน้นคุณค่าและการเป็นหุ้นส่วน ระบบนิเวศขององค์กรประกอบด้วยนักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้เชี่ยวชาญต่างมีภารกิจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในการพัฒนาองค์กรชั้นนำ และสร้างคุณค่าระยะยาวร่วมกัน HGGC มีการลงทุนในเทคโนโลยี บริการทางธุรกิจ บริการทางการเงิน และองค์กรผู้บริโภค ซึ่งมีมูลค่าโดยทั่วไประหว่าง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ – 1.5 พันล้านเหรียญสหรัญ บริษัทมีที่ตั้งอยู่ในเมือง Palo Alto, CA และบริหารจัดการภาระผูกพันด้านทุนสะสมมากกว่า 6.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2007 HGGC มีการลงทุนในกว่า 600 แพลตฟอร์ม มีการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม มีการเพิ่มทุน และมีการปรับสภาพคล่องกว่าโดยมีมูลค่าธุรกรรมรวมกว่า 71 พันล้านเหรียญสหรัฐ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงรายการลงทุนทั้งหมดทั้งในปัจจุบันและอดีตได้ที่ www.hggc.com

เกี่ยวกับ Century Equity Partners
Century Equity Partners, LLC ("Century") เป็นองค์กรเอกชนด้านเงินทุน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Boston โดยมีการจัดหาเงินทุนสำหรับบริษัทในตลาดระดับกลางและระดับล่างที่กำลังมองหาการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโต หรือซื้อกิจการกองทุน มีการซื้อหุ้นบางส่วน หรือมีการปรับฐานเพื่อเพิ่มทุน Century มุ่งเน้นในบริษัทที่ดำเนินงานภาคประกันภัย การบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่ง การเงินเฉพาะด้าน และภาคส่วนการบริการทางการธนาคารและกู้ยืม

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53899544/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ
สำหรับ Rimkus
Victoria Cook
Pierpont Communications for Rimkus
vcook@piercom.com
+1-713-627-2223

สำหรับ HGGC
Trevor Blaisdell
Stanton
TBlaisdell@StantonPRM.com
+1-646-502-3532

แหล่งข้อมูล: Rimkus Consulting Group, Inc.

การประชุมเชิงปฏิบัติการระดับนานาชาติด้านวัสดุขั้นสูงครั้งที่ 15th ที่ Ras Al Khaimah

Logo

ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และอาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์วัสดุขั้นสูงที่มีชื่อเสียงระดับโลกกว่า 200 คน

RAS AL KHAIMAH, United Arab Emirates–(BUSINESS WIRE)–20 กุมภาพันธ์ 2024

วันนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการระดับนานาชาติด้านวัสดุขั้นสูง (IWAM) ครั้งที่ 15th จัดขึ้นโดยศูนย์ Ras Al Khaimah สำหรับวัสดุขั้นสูง (RAKCAM) ที่ Mövenpick Resort บนเกาะ Al Marjan

HH Saud bin Saqr attends the opening of the 15th #IWAMRasAlKhaimah and takes part in a fireside discussion that highlights Ras Al Khaimah’s commitment to scientific progress and innovation. #Science (Photo: AETOSWire)

HH Saud bin Saqr เข้าร่วมพิธีเปิดงาน #IWAMRasAlKhaimah ครั้งที่ 15 และเข้าร่วมในการอภิปรายโต๊ะกลมที่เน้นย้ำความมุ่งมั่นของ Ras Al Khaimah ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม #Science (ภาพถ่าย: AETOSWire)

IWAM ครั้งที่ 15 รวบรวมนักวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ นักวิจัย และนักศึกษาที่มีชื่อเสียงกว่า 200 คนจากสถาบันการศึกษาที่ได้รับการยกย่องระดับนานาชาติ และผู้เข้าร่วมกว่า 100 คนจากมหาวิทยาลัยใน UAE เพื่อเข้าร่วมหารือเกี่ยวกับการที่วัสดุขั้นสูงจะสามารถกำหนดอนาคตได้อย่างไร งานนี้มีการจัดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากชีค Saud bin Saqr Al Qasimi สมาชิกสภาสูงสุดของ UAE และผู้ปกครองเมือง Ras Al Khaimah ซึ่งเข้าร่วมในการอภิปรายโต๊ะกลมเกี่ยวกับความสำคัญของวัสดุขั้นสูงในการช่วยแก้ไขปัญหาที่มีความท้าทายยิ่งของโลกด้วยเช่นกัน

วัสดุขั้นสูงนี้สามารถพบได้ในโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ระบบพลังงาน รวมถึงโลหะ เซรามิก และโพลีเมอร์ ซึ่งอาจเป็นวัสดุใหม่หรือผ่านการปรับปรุงให้ดีกว่าสภาพเดิม นวัตกรรมในวัสดุขั้นสูงเหล่านี้มีศักยภาพในการปฏิวัติอุตสาหกรรมหลายประเภท รวมถึงการบินและอวกาศ การขนส่ง การก่อสร้างและการดูแลสุขภาพ โดยช่วยให้ภาคส่วนเหล่านี้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการใช้พลังงานได้

IWAM ยินดีต้อนรับนักวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุขั้นสูงที่มีชื่อเสียงจากสถาบันต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ และสถาบัน Max Planck รวมถึงศาสตราจารย์ Andre Geim จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ผู้ชนะเลิศได้รับรางวัลโนเบล

โดยเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของ IWAM ที่นำเยาวชนเข้ามีส่วนร่วมในด้านวิทยาศาสตร์ นักเรียนนักศึกษากว่า 500 คนจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยใน Ras Al Khaimah ได้เข้าร่วมในโครงการ ‘Innovation and Sustainability Challenge’ โดยร่วมสร้างโซลูชันนวัตกรรมเพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลก จะมีการประกาศผลผู้ชนะการแข่งขันสำหรับความท้าทายในครั้งนี้และรวมถึงรางวัล Sheikh Saud International Prize สาขาวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุอันทรงเกียรติประจำปี (โดยจะได้รับรางวัลมูลค่า 100,000 เหรียญสหรัฐ) ในปลายสัปดาห์นี้

Sir Anthony Cheetham ประธานของศูนย์ Ras Al Khaimah สำหรับวัสดุขั้นสูง ให้ความเห็นว่า “ชีค Saud ทรงอุทิศตนเพื่อใช้ประโยชน์จากการศึกษาและวิทยาศาสตร์เป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมที่มีส่วนช่วยในการพัฒนามนุษยชาติ และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสาขาวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น IWAM มีบทบาทสำคัญในวิสัยทัศน์นี้ โดยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับ Ras Al Khaimah และเมืองอื่นๆ รวมทั้งช่วยสร้างอนาคตที่สดใสสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป”

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IWAM ได้ที่นี่

*แหล่งข้อมูล: AETOSWire

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53897910/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Steven McCombe
Media@rakmediaoffice.ae

แหล่งข้อมูล: Ras Al Khaimah Government Media Office

การออกแบบเพื่อเท่าเทียม: แบบจําลองสําหรับการจัดการความเสี่ยงที่เลือกปฏิบัติของ AI

Logo

Mary Kay สนับสนุนมาตรฐานทางกฎหมายชุดใหม่เกี่ยวกับการออกแบบเพื่อเท่าเทียมที่บุกเบิกโดย Equal Rights Trust

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)--16 กุมภาพันธ์ 2024

ตั้งแต่ปี 2021 Mary Kay Inc. ได้ร่วมมือกับ Equal Rights Trust (ERT) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีภารกิจในการพัฒนาความเท่าเทียมกันผ่านกฎหมายทั่วโลก ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือนี้ Mary Kay Inc. ได้สนับสนุนการวิจัยใหม่ ที่มุ่งเน้นไปที่การทําความเข้าใจ และจัดการกับผลกระทบที่เลือกปฏิบัติของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และผลกระทบต่อความเท่าเทียมทางเพศ และการพัฒนา "แนวทางการออกแบบเพื่อเท่าเทียม" ใหม่

“Our collaboration with Equal Rights Trust underscores our dedication to ensuring that technological advancements, especially in AI, champion gender equality. The impact of the Principles on Equality by Design in Algorithmic Decision-Making has already been transformative for key stakeholders in AI and echoes our commitment to helping create an inclusive digital economy where women entrepreneurs can excel without bias or barriers,” said Melinda Foster Sellers, Chief People Officer at Mary Kay Inc. (Photo: Mary Kay Inc.)

"ความร่วมมือของเรากับ Equal Rights Trust ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของเราในการสร้างความมั่นใจว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน AI สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ ผลกระทบของหลักการว่าด้วยการออกแบบเพื่อเท่าเทียมในการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วสําหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักใน AI และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเรา ในการช่วยสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ครอบคลุม ซึ่งผู้ประกอบการสตรีสามารถเป็นเลิศได้โดยปราศจากอคติหรืออุปสรรค” Melinda Foster Sellers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Mary Kay Inc. กล่าว (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

ความคิดริเริ่มนี้จบลงด้วยการเปิดตัวมาตรฐานทางกฎหมายชุดใหม่ – หลักการว่าด้วยการออกแบบเพื่อเท่าเทียมในการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึม – พัฒนาโดย Equal Rights Trust และได้รับการรับรองโดยกลุ่มองค์กรความเสมอภาคระหว่างประเทศชั้นนํา หลักการนี้อธิบายอย่างละเอียดว่าเหตุใดรัฐบาลและภาคธุรกิจของประเทศต่างๆ จึงต้องนําแนวทางดังกล่าวมาใช้ และให้คําแนะนําโดยละเอียดสําหรับการนําไปปฏิบัติ

Jim Fitzgerald ผู้อํานวยการ Equal Rights Trust เพิ่งเผยแพร่บทความที่เน้นย้ำถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงของปัญญาประดิษฐ์ ในขณะเดียวกันก็เตือนเกี่ยวกับผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ และภัยคุกคามที่เลือกปฏิบัติที่ระบบอัลกอริทึมที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจก่อให้เกิด

  • อ่านบทความของ Jim Fitzgerald เรื่อง การออกแบบเพื่อเท่าเทียม: แบบจำลองสำหรับการจัดการความเสี่ยงที่เลือกปฏิบัติของ AI ที่นี่

คําแถลงจาก Jim Fitzgerald ผู้อํานวยการ Equal Rights Trust และ Melinda Foster Sellers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Mary Kay Inc. มีดังต่อไปนี้:

  •      "ในช่วงสามปีที่ผ่านมา Mary Kay ได้สนับสนุนการวิจัย การวิเคราะห์ และการให้คําปรึกษาของเราเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติด้วยอัลกอริทึม และช่วยให้เราสามารถพัฒนาหลักการว่าด้วยการออกแบบเพื่อเท่าเทียม" Jim Fitzgerald ผู้อํานวยการ Equal Rights Trust กล่าว  "ตอนนี้ Mary Kay กําลังทํางานร่วมกับเราในขณะที่เราก้าวไปสู่ขั้นตอนต่อไป: ความพยายามร่วมกันในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติสําหรับธุรกิจ เกี่ยวกับวิธีการนําการออกแบบเพื่อเท่าเทียมมาใช้ ในการทําเช่นนั้น มันกําลังก้าวไปอีกขั้นในการเดินทางซึ่งเริ่มต้นด้วยนโยบายความเท่าเทียมภายในและการไม่เลือกปฏิบัติที่แข็งแกร่ง ย้ายไปที่การทำงานร่วมกันและสนับสนุนเราและผู้มีบทบาทอื่นๆ ในสาขานี้ และตอนนี้มุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะ และนําร่องแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ในการเดินทางครั้งนี้ Mary Kay กําลังช่วยสร้างแบบจําลองว่าธุรกิจต่างๆ สามารถมีบทบาทเชิงรุกในการพัฒนาแนวทางที่ได้รับการปรับปรุง เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติและพัฒนาความเท่าเทียมกันได้"
  •      "ที่ Mary Kay เราตระหนักถึงผลกระทบอันลึกซึ้งที่ AI มีต่อการกําหนดอนาคตของธุรกิจและสังคม" Melinda Foster Sellers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Mary Kay Inc. กล่าว "ความร่วมมือของเรากับ Equal Rights Trust ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของเราในการสร้างความมั่นใจว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน AI สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ ผลกระทบของหลักการว่าด้วยการออกแบบเพื่อเท่าเทียมในการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วสําหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักใน AI  และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเรา ในการช่วยสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ครอบคลุม ซึ่งผู้ประกอบการสตรีสามารถเป็นเลิศได้โดยปราศจากอคติหรืออุปสรรค ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพันธกิจที่ยั่งยืนของเรา ในการส่งเสริมผู้หญิงเป็นผู้นำ และส่งเสริมความเท่าเทียมกันในทุกด้าน"

เกี่ยวกับ Equal Rights Trust

Equal Rights Trust เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศที่เป็นอิสระ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติและรับรองว่าทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ องค์กรจึงทํางานร่วมกับเพื่อให้การสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญแก่ผู้ที่อยู่ในแนวหน้าในการต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถผลักดันให้มีการพัฒนา การยอมรับ และการบังคับใช้กฎหมายความเท่าเทียมกัน และใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ปี 2007 Trust ได้สนับสนุนนักเคลื่อนไหวด้านความเท่าเทียมในกว่า 50 ประเทศ ขณะเดียวกันก็พัฒนาฉันทามติในระดับสากล เกี่ยวกับความต้องการและเนื้อหาของกฎหมายความเท่าเทียมที่ครอบคลุม เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ equalrightstrust.org

เกี่ยวกับ Mary Kay

ตั้งแต่นั้นมา  เดี๋ยวนี้  เสมอ  Mary Kay Ash หนึ่งในผู้ที่สามารถทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จได้ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของเธอในเท็กซัสเมื่อปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือการยกระดับชีวิตของผู้หญิง ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลก ที่มีสมาชิกพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่โอกาสของ Mary Kay ได้เพิ่มศักยภาพให้กับผู้หญิงในการกําหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คําปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงาม และการผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสําอางตกแต่งสี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และน้ำหอมที่ทันสมัย Mary Kay เชื่อในการอนุรักษ์โลกของเราสําหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการล่วงละเมิดในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนทําตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมที่ marykayglobal.com พบกับเราบน Facebook, Instagram และ LinkedIn หรือติดตามเราได้ที่ X (เดิมชื่อ Twitter)

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53896783/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Mary Kay Inc. ฝ่ายสื่อสารองค์กร
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc




Tsuno Group ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและยื่นขอรับสิทธิบัตรสำหรับสูตรเสถียรที่มี FERULIC ACID ในปริมาณสูง โดยมีส่วผสมจากพืชธรรมชาติที่หายากและมีหน้าที่ในการดูดซับรังสียูวี

Logo

WAKAYAMA, Japan–(BUSINESS WIRE)–31 มกราคม 2024

Tsuno Group Co., Ltd. ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Katsuragi-cho, Ito-gun, Wakayama และนำโดยประธาน Fumi Tsuno และ Matsumoto Trading Co., Ltd. ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Chuo-ku, Tokyo โดยมี Shunsuke Matsumoto เป็น CEO ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสูตรครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Ferulic Acid โดย Ferulic Acid เป็นตัวดูดซับรังสียูวีที่เป็นพืชธรรมชาติหายาก และมีความคงตัวพร้อมการละลายได้ยากใน ferulic acid ที่มีความเข้มข้นสูง

สำหรับ ferulic acid

Tsuno Group เป็นรายแรกในโลกที่ประสบความสำเร็จในการผลิต ferulic acid ปริมาณมาก ซึ่งเป็นโพลีฟีนอลจากรำข้าว Ferulic acid มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ยอดเยี่ยม และได้รับการยอมรับว่า มีศักยภาพในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ เบาหวาน และคอเลสเตอรอลสูง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตวานิลลินธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนผสมในเครื่องปรุงวานิลลา ในเครื่องสำอาง ก็เป็นสารช่วยยับยั้งการผลิตเมลานิน โดยปิดกั้นการทำงานของไทโรซิเนส และมีคุณบัติด้านการอักเสบ ต้านจุลชีพ และต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้น จึงมีการนำมาใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอสงหลากหลายชนิด

“ในฐานะบริษัทชั้นนำด้านเคมีภัณฑ์จากข้าวและรำข้าวของโลก เราได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงฟังก์ชันจำนวนหนึ่งด้วยความพยายามเป็นอย่างมาก โดยใช้เทคโนโลยีในการผสานรวม รวมทั้งยังมีการวิจัยระดับความปลอดภัยและผลกระทบ เพื่อให้ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีในอุตสาหกรรมยา อาหาร อาหารสัตว์ และเครื่องสำอาง ปัจจุบัน เรามีการเปิดตัวเทคโนโลยีในการใช้ ferulic acid จากรำข้าง เพื่อใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ และเป็นตัวดูดซับรังสียูวี ซึ่งเป็นนวัตกรรมแรกของโลก เรามั่นใจว่า คุณจะพบว่า ผลิตภัณฑ์นี้มีเอกลักษณ์และสร้างผลดีไม่เฉพาะเพียงต่อสุขภาพและความงามของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจแบบหมุนเวียนของโลกอีกด้วย” —— Fumi Tsuno ประธานของ Tsuno Group Co., Ltd.

ผลการดูดซับรังสียูวีของ ferulic acid

Ethylhexyl methoxycinnamate (EHMC) ซึ่งเป็นตัวกรองรังสียูวีจากปิโตรเคมี มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในครีมกันแดด อย่างไรก็ตาม มีผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า มีผลกระทบด้านลบต่อสภาวะแวดล้อมทางน้ำ รวมถึงการฟอกขาวของปะการัง Ferulic acid ซึ่งเป็นส่วนผสมของสารพันแดดจากธรรมชาติจากข้าว จะช่วยดูดซับรังสียูวีในช่วงสเปกตรัมที่ใกล้เคียงกันกับ octyl methoxycinnamate (OMC) คุณลักษณะดังกล่าวเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทน EHMC ท่ามกลางความกังวลทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ศักยภาพของ ferulic acid เนื่องจากเป็นส่วนผสมของครีมกันแดดที่เป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพดี มีแนวโน้มที่จะได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น มีศักยภาพที่สำคัญเมื่อนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลากหลายประเภทของญี่ปุ่น

การพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ดูแลรังสียูวีที่มีความเสถียรสูง โดยมีส่วนประกอบ Ferulic Acid ที่มีความเข้มข้นสูง

การได้รับการยอมรับด้านคุณสมบัติดูดซับรังสียูวี สำหรับ ferulic acid ที่เป็นส่วนผสมจากพืชธรรมชาติ ทำให้มีการนำเสนอความท้าทายในด้านความสามารถในการละลาย และความคงตัวที่ความเข้มข้นสูงสำหรับสูตรครีมกันแดด เพื่อเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้  Matsumoto Trading จึงทุ่มเทในการวิจัยและการพัฒนา โดยบุกเบิกเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ โดยใช้ ferulic acid ที่มีความเข้มข้นสูงในสูตรที่เป็นแท่งสติ๊ก สูตรใหม่นี้ได้รับการพัฒนาให้มี SPF50+ และ PA++ (in vitro) โดยมีเพียงส่วนผสมของ ferulic acid ซึ่งเป็นสารดูดซับรังสียูวีธรรมชาติที่สกัดได้จากรำข้าวเท่านั้น สูตรเฉพาะนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ส่วนผสมป้องกันรังสียูวีอื่นๆ ที่มีการใช้กันโดยทั่วไป ในขณะที่ยังสามารถคงประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดในระดับสูง และอยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร

เกี่ยวกับ Tsuno Rice Fine Chemicals Co., Ltd.

Tsuno Rice Fine Chemicals ผลิตส่วนผสมต่างๆ จากผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นในกระบวนการกลั่นน้ำมันรำข้าว และสามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเพื่อสุขภาพ วัตถุเจือปนอาหาร อาหารสัตว์ และสารเคมีทางอุตสาหกรรม นอกจากนี้ เรายังมีส่วนร่วมในการผลิตเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ของเราเองโดยใช้ส่วนผสมเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

โปรไฟล์ธุรกิจของ Tsuno Group Co., Ltd.

เรามีการส่งเสริมการใช้รำข้าวขั้นสูงและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสุขภาพและความงามที่ได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยโบราณ เรากำลังพัฒนาธุรกิจสามประเภท ได้แก่ ธุรกิจการผลิตน้ำมันรำข้าว ธุรกิจเคมีภัณฑ์ละเอียด และธุรกิจเคมีภัณฑ์ Oleo

ก่อตั้งเมื่อ: วันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1947
กรรมการฝ่ายตัวแทนและประธานของ Fumi Tsuno
URL : https://www.tsuno.co.jp/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Fine Chemical dept
Tsuno Group Co., Ltd.
Mayu Aizawa
+81-739-22-8000
boeki@tsuno.co.jp

แหล่งข้อมูล: TSUNO GROUP CO., LTD.

Nippon Steel Corporation (NSC) เตรียมซื้อกิจการของ U. S. Steel เพื่อผนึกกำลังร่วมสร้าง ‘ผู้ผลิตเหล็กที่ดีที่สุดที่มีความสามารถชั้นนำของโลก’

Logo

NSC เข้าซื้อกิจการของ U. S. Steel ในราคา 55.00 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นสำหรับธุรกรรมเงินสดทั้งหมด โดยคิดเป็น 40% พรีเมี่ยม สำหรับมูลค่าที่กำหนดและมีผลทันทีสำหรับผู้ถือหุ้นทั้งหมดของ U. S. Steel

เป็นการควบรวมสองบริษัทที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเพื่อให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเลิศ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาสังคม

ผสมผสานเทคโนโลยีชั้นนำของโลก และความสามารถในการผลิตเพื่อให้สามารถบริการลูกค้าในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกได้ดียิ่งขึ้น

เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่มีความหลากหลายและพร้อมในการแข่งขันในสหรัฐอเมริกา เพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่ลูกค้าผ่านความร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านเหล็กกล้าระดับโลกสองราย

NSC ได้รับเกียรติเข้าร่วมข้อตกลงการเจรจาต่อรองร่วมกับ United Steelworkers Union ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ถือหุ้น

ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเหล็กกล้าทั่วไปไปสู่การลดคาร์บอนและโลกที่ยั่งยืน

U. S. Steel จะยังคงชื่อเสียงที่โดดเด่นและสำนักงานใหญ่ยังคงอยู่ที่ Pittsburgh, PA

การทำธุรกรรมจะเป็นไปตามกระบวนการทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งของ U. S. Steel

สร้างมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญสำหรับผู้ถือหุ้นของทั้ง NSC และ U. S. Steel

จะมีการประชุมทางโทรศัพท์ร่วมกันในเวลา 8:00 น. โซนเวลา ET เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดของการทำธุรกรรม

TOKYO & PITTSBURGH–(BUSINESS WIRE)–22 ธันวาคม 2023

Nippon Steel Corporation (NSC) (TSE: 5401) ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กกล้าชั้นนำของโลก และ United States Steel Corporation (NYSE: X) ("U. S. Steel”) ผู้ผลิตเหล็กกล้าชั้นนำที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันด้านแร่เหล็กต้นทุนต่ำ การผลิตเหล็กกล้าแบบโรงถลุงขนาดเล็ก และความสามารถในการตกแต่งเหล็กกล้าขั้นสุดท้ายที่หาที่เปรียบมิได้ ประกาศร่วมกันในวันนี้ว่า มีการตกลงขั้นสุดท้ายตามที่ NSC จะเข้าซื้อกิจการของ U. S. Steel ทั้งหมดโดยเป็นการทำธุรกรรมด้วยเงินสดที่ 55.00 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าหุ้นประมาณ 14.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ บวกกับภาระหนี้ รวมเป็นมูลค่ากิจการโดยรวม 14.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ราคาซื้อต่อหุ้นมีมูลค่าเท่ากับ 55.00 เหรียญสหรัฐ คิดเป็น 40% พรีเมี่ยมสำหรับราคาปิดของหุ้น U. S. Steel เมื่อวันที่ 15 เดือนธันวาคม ปี 2023 ธุรกรรมดังกล่าวได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการบริหารของทั้ง NSC และ U. S. Steel

การเข้าซื้อกิจการ U. S. Steel ของ NSC จะช่วยเสริมขีดความสามารถด้านการผลิตและเทคโนโลยีชั้นนำของโลก และช่วยให้สามารถขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ที่ NSC สามารถให้บริการแก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงลูกค้าและสังคมโดยรวม ธุรกรรมดังกล่าวจะเป็นการกระจายขอบเขตการดำเนินงานทั่วโลกของ NSC โดยการขยายการผลิตในปัจจุบันในสหรัฐอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญ โดยขยายเพิ่มพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หลักในญี่ปุ่น อาเซียน และอินเดีย ผลจากการเข้าซื้อกิจการ U. S. Steel ของ NSC จะส่งผลให้กำลังการผลิตเหล็กกล้าดิบโดยรวมต่อปีตามที่คาดการณ์ไว้ขึ้นสูงถึง 86 ล้านตัน – เอื้อให้สามารถเร่งความคืบหน้าไปสู่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของ NSC เพื่อเพิ่มกำลังในการผลิตเหล็กกล้าดิบทั่วโลกให้ถึง 100 ล้านตันต่อปี

Eiji Hashimoto ประธาน NSC กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ธุรกรรมครั้งนี้เป็นการรวมตัวของสองบริษัทที่มีความสามารถในการผลิตและมีเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ซึ่งแสดงความมุ่งมั่นของเราเพื่อให้สามารถนำเสนอบริการแก่ลูกค้าได้ทั่วโลก รวมถึงความตั้งใจที่จะสร้างสังคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้นโดยการลดคาร์บอนในการผลิตเหล็กกล้า NSC มีความชื่นชมใน U. S. Steel และเคารพในเทคโนโลยีชั้นนำมาตลอด รวมถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน และบุคลากรที่มีความสามารถสูง เราเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถร่วมกันรับมือกับความท้าทายในการยกระดับแรงบันดาลใจของเราให้สูงยิ่งขึ้น ธุรกรรมนี้จะเสริมสร้างภาพลักษณ์ของเราในสหรัฐอเมริกา และเรามุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามสัญญาสหภาพแรงงานที่มีอยู่ทั้งหมดของ U. S. Steel เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะได้ดำเนินการร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทีมงานของ U. S. Steel เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองบริษัทและก้าวไปข้างหน้าด้วยกันในฐานะ ‘ผู้ผลิตเหล็กกล้าที่ดีที่สุดที่มีความสามารถชั้นนำของโลก’

Takahiro Mori รองประธานบริหารของ NSC กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นว่า ธุรกรรมครั้งนี้เป็นประโยชน์สูงสุดของทั้งสองบริษัท โดยเพิ่มมูลค่าหุ้นเพื่อผู้ถือหุ้นของ U. S. Steel และขณะเดียวกัน ก็เพิ่มโอกาสในการเติบโตในระยะยาวของ NSC เรามีงบดุลที่ดี และเรามั่นใจในความสามารถของเราที่จะปลดล็อกศักยภาพในการร่วมมือกันของ NSC และ U. S. Steel เพื่อเสริมสร้างความก้าวล้ำในการผลิตเหล็กกล้า สร้างมูลค่าในระยะยาวสำหรับผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัท รวมถึงลูกค้า พนักงาน ซัพพลายเออร์ ชุมชน และผู้ถือหุ้น”

David B. Burritt ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของ U. S. Steel กล่าวว่า “NSC มีประวัติที่ดีซึ่งสามารถพิสูจน์ได้สำหรับการเข้าซื้อกิจการ การดำเนินงาน และการลงทุนในโรงงานถลุงเหล็กทั่วโลก และเรามีความมั่นใจ เช่นเดียวกับกลยุทธ์ของเราว่า การรวมตัวในครั้งนี้จะเป็นผลดีเยี่ยมสำหรับทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง การทำธุรกรรมในครั้งนี้จะเป็นการทำให้เราสามารถตระหนักถึงมูลค่าอันมหาศาลของบริษัทในปัจจุบัน และเป็นผลมาจากกระบวนการทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมของคณะกรรมการบริหารของเรา สำหรับพนักงาน U. S. Steel ของเรา ซึ่งเราขอบคุณในการดำเนินงานกันมาตลอด การดำเนินธุรกรรมในครั้งนี้ เป็นการผสมผสานบริษัทผลิตเหล็กกล้าที่มีความคิดไปในทางเดียวกัน ทั้งการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไม่เคยเปลี่ยน การมีเป้าหมายร่วมกัน ค่านิยม และกลยุทธ์ที่มีการสนับสนุนจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน สำหรับลูกค้า U. S. Steel และ NSC ร่วมกันสร้างบริษัทผลิตเหล็กกล้าระดับโลกอย่างแท้จริง โดยการผสมผสานความสามารถและนวัตกรรมซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาของลูกค้าได้ การประกาศควบรวมกิจการในวันนี้ ยังเป็นการเอื้อประโยชน์แก่สหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน โดยรับประกันการแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในภาพลักษณ์ของเราทั่วโลก การมุ่งเน้นการลดคาร์บอนร่วมกันของเรานั้น คาดว่าจะสามารถเพิ่มความสามารถของเราที่จะจัดหาโซลูชันนวัตกรรมการผลิตเหล็กกล้าให้กับลูกค้า เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน”

ผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์

  • ก้าวไปข้างหน้าด้วยกันในฐานะผู้ผลิตเหล็กกล้าที่ดีที่สุดที่มีความสามารถชั้นนำของโลกการทำธุรกรรมในครั้งนี้เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยทั้งจาก NSC และ U. S. Steel เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ล้ำสมัยและนำเสนอผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าคุณภาพสูง เช่น เหล็กกล้าสำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้า และเหล็กแผ่นสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สำหรับลูกค้าทั่วโลก NSC และ U. S. Steel จะร่วมพัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกและความสามารถด้านการผลิต เพื่อเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและการปรับแปลงด้านดิจิทัลในการผลิตเหล็กกล้า เพื่อประโยชน์แก่ลูกค้า U. S. Steel เป็นนักพัฒนานวัตกรรมที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ด้วยการดำเนินการ Big River Steel ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงถลุงเหล็กกล้าที่ยั่งยืนและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาเหนือ ในการดำเนินธุรกรรมร่วมกันนี้จะได้รับการขับเคลื่อนโดยการรวบรวมเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงและความรู้ความชำนาญจากทั้ง U. S. Steel และ NSC เข้าด้วยกัน รวมถึงการดำเนินงานอย่างคุ้มทุน มีการประหยัดพลังงาน และการรีไซเคิล เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ของ NSC จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถทางเทคนิคในกลุ่มผลิตภัณฑ์จากเหมืองแร่ การหลอม และการผลิตในสหรัฐอเมริกาของ U. S. Steel ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในสหรัฐอเมริกาได้ดียิ่งขึ้น
  • เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองความต้องการเหล็กกล้าคุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก U. S. Steel เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมเหล็กกล้าของสหรัฐอเมริกามาเป็นเวลาอันยาวนาน ในขณะที่ NSC ประสบความสำเร็จในการให้บริการแก่ลูกค้าในสหรัฐอเมริกามานานหลายทศวรรษเช่นกัน การร่วมมือกันกับ U. S. Steel จะช่วยเสริมให้ NSC มีความพร้อมยิ่งขึ้นในการรองรับความต้องการเหล็กกล้าคุณภาพสูงที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเหล็กกล้าสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และระบบไฟฟ้า รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเลิศ นอกเหนือจากนี้ NSC ยังมีความมุ่งมั่นที่จะให้บริการลูกค้าในสหรัฐอเมริกา และนำเสนอผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าประสิทธิภาพสูงเพื่อตอบสนองความต้องการสำหรับการใช้งานทุกประเภท
  • ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเหล็กกล้าระดับโลกไปสู่การลดคาร์บอนและสร้างโลกที่ยั่งยืน NSC และ U. S. Steel มีความมุ่งมั่นเดียวกันที่จะลดคาร์บอนภายในปี 2050 และตระหนักว่า การแก้ไขปัญหาความท้าทายด้านความยั่งยืนเป็นเสาหลักพื้นฐานในการดำรงอยู่และการเติบโตของผู้ผลิตเหล็กกล้า ประเด็นสำคัญของความร่วมมือหลังการทำธุรกรรมนี้คือ การดำเนินการตามเป้าหมายนี้ต่อไปและขับเคลื่อนเทคโนโลยีทางเลือกในการลดคาร์บอน NSC มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสามประการเพื่อมุ่งบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางของคาร์บอนภายในปี 2050 รวมถึงเทคโนโลยีการฉีดไฮโดรเจนเข้าในเตาถลุงเหล็กกล้า การผลิตเหล็กกล้าคุณภาพสูงในเตาอาร์คไฟฟ้าขนาดใหญ่ และการใช้ไฮโดรเจนในกระบวนการลดปริมาณเหล็กโดยตรง U. S. Steel มีการมุ่งเน้นการลดระดับคาร์บอนในทำนองเดียวกัน รวมถึงการใช้พลังงานให้น้อยลงอย่างต่อเนื่องในการดำเนินงานปัจจุบัน การบูรณาการความสามารถของเตาอาร์คไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอน และการสร้างโรงถลุงจขนาดเล็กที่ล้ำสมัยแห่งที่สองที่ Arkansas
  • เคารพข้อตกลงทั้งหมดระหว่าง U. S. Steel และ United Steelworkers Union: NSC มีประวัติที่ดีเยี่ยมด้านความปลอดภัยในที่ทำงานและการทำงานร่วมกันกับสหภาพแรงงาน จะมีการดำเนินกาตามข้อตกลงทั้งหมดของ U. S. Steel ที่มีต่อพนักงาน รวมถึงข้อตกลงการเจรจาต่อรองทั้งหมดกับสหภาพแรงงาน และ NSC มีความมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้อย่างเหนียวแน่น
  • ความมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นอย่างเหนียวแน่น รวมทั้งความสัมพันธ์กับพนักงาน ลูกค้า ซัพพลายเออร์ และชุมชน การผสานรวมพนักงานมีความสำคัญต่อการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ภายหลังการปิดข้อตกลงสำหรับการทำธุรกรรมนี้  U. S. Steel จะยังคงชื่ออันเป็นเอกลักษณ์ แบรนด์ และยังคงมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Pittsburgh, PA NSC มุ่งมั่นที่จะสานต่อความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับซัพพลายเออร์ ลูกค้า ชุมชนโดยรอบ และบุคลากรของ U. S. Steel ที่สนับสนุนการดำเนินงานของ U. S. Steel มาตลอด และมุ่งมั่นที่จะเป็นสมาชิกที่มีประสิทธิผลสำหรับชุมชนเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
  • สร้างมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญสำหรับผู้ถือหุ้นทั้งของ NSC และ U. S. Steel ธุรกรรมนี้จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของ NSC ในฐานะ ‘ผู้ผลิตเหล็กกล้าที่ดีที่สุดที่มีความสามารถชั้นนำของโลก’ ซึ่งพร้อมรองรับการเติบโตที่สูงขึ้น เสริมสร้างความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น และมูลค่าระยะยาวสำหรับผู้ถือหุ้นของ NSC ข้อเสนอเงินสดทั้งหมดนี้ยังสร้างมูลค่าที่สูงขึ้นและมีความเสถียรสำหรับผู้ถือหุ้นของ U. S. Steel ธุรกรรมนี้ถือเป็นผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมและเสถียรซึ่งดำเนินการโดย U. S. Steel และคณะกรรมการบริหาร โดยราคาซื้อ 55.00 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นคิดเป็นพรีเมียม 40% จากราคาปิดของหุ้น U. S. Steel ในวันที่ 15 เดือนธันวาคม ปี 2023

รายละเอียดการทำธุรกรรม

คาดการณ์ว่าจะสามารถปิดธุรกรรมนี้ได้ในช่วงไตรมาสที่สองหรือสามของปีปฎิทิน 2024 โดยขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ U. S. Steel และได้รับการอนุมัติตามกฎระเบียบการกำกับดูแลและเงื่อนไขการปิดตามข้อกำหนดอื่นๆ ที่กำหนดไว้ NSC วางแผนที่จะสนับสนุนเงินทุนสำหรับการทำธุรกรรมโดยรายได้ส่วนใหญ่จะมาการกู้ยืมจากธนาคารญี่ปุ่นบางแห่ง และมีภาระผูกพันทางการเงินตามหลักประกันอยู่แล้ว การทำธุรกรรมนี้จะไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขทางการเงินใดๆ

ที่ปรึกษา

Citi ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับ NSC Ropes & Gray LLP ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายสำหรับ NSC Barclays Capital Inc., Goldman Sachs & Co. LLC และ Evercore ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับ U. S. Steel Milbank LLP and Wachtell, Lipton, Rosen & Katz ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายสำหรับ U. S. Steel

การประชุมทางโทรศัพท์

NSC และ U. S. Steel จะมีการประชุมทางโทรศัพท์ร่วมกันเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการพร้อมนักวิเคราะห์และนักลงทุนในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ 18 เดือนธันวาคม ปี 2023 เวลา 8:00 น. โซนเวลา EST ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา (22:00 น. โซนเวลา JST ตามเวลาในญี่ปุ่น) สามารถเข้าฟังการประชุมที่จะมีการเผยแพร่ออกอากาศและเข้าดูการนำเสนอสไลด์ได้ในเว็บไซต์ของ U. S. Steel www.ussteel.com และคลิกที่ส่วน “นักลงทุน” และสามารถรับชมย้อนหลังหลังการประชุมได้ที่เว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ของ U. S. Steel ได้ที่: https://investors.ussteel.com/

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกรรมที่นำเสนอได้ที่ www.BestDealforAmericanSteel.com

เกี่ยวกับ NSC

NSC เป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กกล้าชั้นในของโลก NSC มีกำลังการผลิตเหล็กกล้าดิบทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 66 ล้านตัน และมีพนักงานประมาณ 100,000 คนทั่วโลก ฐานการผลิตของ NSC อยู่ที่ญี่ปุ่น และบริษัทมีการดำเนินงานใน 15 ประเทศนอกเหนือจากในญี่ปุ่น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม บราซิล เม็กซิโก สวีเดน จีน และอื่นๆ NSC มีการก่อตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว และมุ่งเน้นในการสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีกับพนักงาน สหภาพแรงงาน ซัพพลายเออร์ ลูกค้า และชุมชน ในฐานะ ‘ผู้ผลิตเหล็กกล้าที่ดีที่สุดที่มีความสามารถชั้นนำของโลก’ NSC แสวงหาเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิตชั้นนำของโลก และมีส่วนช่วยเหลือสังคม โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเลิศ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.nipponsteel.com

เกี่ยวกับ U. S. Steel

U. S. Steel เป็นผู้ผลิตเหล็กกล้าชั้นนำ มีการก่อตั้งขึ้นในปี 1901 ด้วยการมุ่งเน้นอย่างแน่วแน่ด้านความปลอดภัย จึงมีการพัฒนากลยุทธ์ Best for All® ซึ่งมุ่งเน้นลูกค้าของบริษัทเป็นสำคัญ โดยมุ่งเน้นอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับ U. S. Steel และผู้ถือหุ้น ในการเน้นย้ำด้านนวัตกรรม U. S. Steel ให้บริการแก่อุตสาหกรรมยานยนต์ การก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า พลังงาน ภาชนะบรรจุ และบรรจุภัณฑ์ ด้วยผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง บริษัทยังมีการคงไว้ซึ่งการผลิตแร่เหล็กขั้นสูงและมีความสามารถในการผลิตเหล็กกล้าดิบต่อปีเป็นปริมาณ 22.4 ล้านตันสุทธิ U. S. Steel มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Pittsburgh, Pennsylvania และมีการดำเนินงานระดับโลกทั่วสหรัฐอเมริกาและในยุโรปกลาง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.ussteel.com

ข้อมูลเพิ่มเติม และแหล่งข้อมูล

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่นำเสนอระหว่าง United States Steel Corporation (ซึ่งจะเรียกว่า บริษัท”) และ NSC ในการดำเนินธุรกรรมที่นำเสนอนี้ บริษัทจะยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (“SEC”) รวมถึงหนังสือมอบฉันทะของบริษัทตามตาราง 14A (ซึ่งเรียกว่า “หนังสือมอบฉันทะ”) ข้อมูลในหนังสือมอบฉันทะฉบับร่างนี้จะยังไม่สมบูรณ์และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ จะมีการนำส่งหนังสือมอบฉันทะฉบับสมบูรณ์ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท บริษัทยังอาจมีการยื่นเอกสารอื่นๆ ต่อ SEC ที่เกี่ยวเนื่องการทำธุรกรรมที่นำเสนอนี้ด้วยเช่นกัน ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่ถือเป็นเอกสารทดแทนสำหรับหนังสือมอบฉันทะ หรือสำหรับเอกสารอื่นๆ ที่อาจมีการยื่นต่อ SEC ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมที่นำเสนอ จะมีการนำส่งธุรกรรมที่นำเสนอดังกล่าวไปยังผู้ถือหุ้นของบริษัทเพื่อพิจารณา ก่อนดำเนินการตัดสินใจลงคะแนนเสียงใดๆ ผู้ถือหุ้นของบริษัทควรอ่านเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่มีการยื่นหรือจะมีการยื่นต่อ SEC รวมถึงหนังสือมอบฉันทะ ตลอดจนการแก้ไขหรือเอกสารเพิ่มเติมใดๆ สำหรับเอกสารเหล่านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และหากหรือเมื่อใดที่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบริษัท, NSC, และการทำธุรกรรมที่นำเสนอ

ผู้ถือหุ้นของบริษัทจะสามารถขอรับสำเนาหนังสือมอบฉันทะฉบับร่างและหนังสือมอบฉันทะฉบับสมบูรณ์ได้ฟรี (ในแต่ละกรณี หากและเมื่อมีผลบังคับใช้) รวมถึงเอกสารอื่นๆ ที่มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบริษัท, NSC และการทำธุรกรรมที่นำเสนอ เมื่อมีการยื่นเอกสารดังกล่าวต่อ SEC โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ที่เว็บไซต์ของ SEC (www.sec.gov) นอกจากนี้ ยังสามารถขอรับสำเนาหนังสือมอบฉันทะและเอกสารอื่นๆ ที่ทางบริษัทยื่นต่อ SEC ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถส่งคำขอไปยัง United States Steel Corporation, 600 Grant Street, Pittsburgh, Pennsylvania 15219 ติดต่อ: เลขานุการบริษัท หมายเลขโทรศัพท์ 412-433-1121 หรือได้ที่เว็บไซต์ของบริษัท www.ussteel.com

ผู้เข้าร่วมในการทำธุรกรรม

NSC, บริษัทและคณะกรรมการ, และเจ้าหน้าที่บริหารและพนักงานบางคน อาจเป็นผู้เข้าร่วมในการทำธุรกรรม โดยเป็นผู้รับมอบฉันทะจากผู้ถือหุ้นของบริษัท เพื่อดำเนินการธุรกรรมที่นำเสนอ ข้อมูลเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทที่อาจถือเป็นผู้เข้าร่วมในการทำธุรกรรมสำหรับผู้ถือหุ้นของบริษัทตามหลักเกณฑ์ของ SEC ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกรรมที่นำเสนอ รวมถึงคำจำกัดความเกี่ยวกับผลประโยชน์โดยตรงหรือโดยอ้อม โดยการถือหลักทรัพย์ ซึ่งมีการระบุไว้ในหนังสือมอบฉันทะที่มีการยื่นต่อ SEC ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลเหล่านี้จะมีการระบุรวมไว้ในหนังสือมอบฉันทะประจำปีของแต่ละบริษัทและเอกสารอื่นๆ ที่มีการยื่นต่อ SEC และจะมีการรวมไว้ในหนังสือมอบฉันทะเมื่อยื่นต่อสำนักงาน สามารถขอรับสำเนาหนังสือมอบฉันทะและเอกสารอื่นๆ ตามที่กล่าวถึงในข้างต้นนี้ได้ฟรี

แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีข้อมูลที่เกี่ยวกับบริษัทและ NSC ซึ่งอาจมีการใช้เป็น “แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า” ตามคำนิยามที่กำหนดไว้ภายใต้กฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์เอกชนปี 1995 และกฎหมายหลักทรัพย์อื่นๆ ที่อาจมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน เรากำหนดให้แถลงการณ์เชิงคาดการณ์นี้ครอบคลุมภายใต้ข้อกำหนดด้านความคุ้มครองสำหรับแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในแต่ละส่วนดังกล่าว โดยทั่วไปแล้ว เรามีการระบุแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า โดยใช้คำว่า “เชื่อว่า” “คาดหวังว่า” “ตั้งใจ” “ประเมินการ” “มุ่งหมาย” “โครงการ” “เป้าหมาย” “คาดการณ์” “กำหนด” “ควร” “วางแผน” “จุดมุ่งหมาย” “อนาคต” “จะ” “อาจจะ” และข้อความที่คล้ายคลึงกัน หรือโดยการใช้วันที่ในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับการหารือใดๆ ที่แสดงถึงมุมมองทั่วไปเกี่ยวกับการดำเนินงานในอนาคตหรือผลทางการเงิน ผลการดำเนินงานหรือทางการเงิน แนวโน้ม เหตุการณ์หรือการพัฒนาที่เราคาดหวังหรือคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต การประหยัดต้นทุนตามคาดการณ์ เงินทุนที่ต้องใช้และการปรับปรุงกระแสเงินสดสำหรับการดำเนินงาน และการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงแถลงการณ์เกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่นำเสนอ และระยะเวลาที่ธุรกรรมจะเสร็จสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม การไม่มีคำเหล่านี้หรือข้อความที่คล้ายคลึงไม่ได้หมายความว่า จะไม่ถือเป็นแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ แถลงการณ์เชิงคาดการณ์จะเป็นแถลงการณ์ทั้งหมดที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงในอดีต แต่เป็นการแสดงถึงความเชื่อของบริษัทในเป้าหมายอนาคต แผนการ และความคาดหวังเกี่ยวกับโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเหตุการณ์อื่นๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หลายๆ ข้อความดังกล่าวอาจมีความไม่แน่นอน และอยู่เหนือการควบคุมของบริษัทหรือของ NSC โดยมีความเป็นไปได้ที่ผลลัพธ์ตามจริงและสถานะทางการเงินของบริษัทหรือของ NSC อาจมีความแตกต่างจากผลลัพธ์ที่คาดหารร์ไว้ในแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ ฝ่ายบริหารของบริษัทหรือของ NSC เชื่อว่า แถลงการณ์เชิงคาดการณ์เหล่านี้มีความสมเหตุสมผล ณ จุดเวลาที่จัดทำขึ้น อย่างไรก็ตาม จะต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้มีการระบุข้อความคาดการณ์ที่เกินความจริง เนื่องจากข้อความแถลงการณ์ดังกล่าวจะระบุถึงสถานการณ์ ณ วันที่จัดทำขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ แถลงการณ์เชิงคาดการณ์นี้ ยังประกอบด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจเป็นเหตุให้ผลลัพธ์ตามจริงแตกต่างจากประสบการณ์ในอดีตของบริษัทหรือของ NSC และความคาดหวังหรือการคาดการณ์ของเราในปัจจุบัน ความเสี่ยงและความแน่นอน รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ความสามารถของทุกฝ่ายในการดำเนินธุรกรรมที่นำเสนอให้เสร็จสมบูรณ์ตามเวลาที่กำหนดหรือทันเวลา ระยะเวลา การรับตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในการอนุมัติจากหน่วยงานรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลสำหรับธุรกรรมที่นำเสนอ ซึ่งอาจทำให้ทั้งสองฝ่ายยุติข้อตกลงฉบับสมบูรณ์และแผนการควบรวมกิจการตามที่ระบุไว้ในการทำธุรกรรมที่นำเสนอ (“ข้อตกลงควบรวมกิจการ”) การเกิดขึ้นของเหตุการณ์ การเปลี่ยนแปลงหรือเงื่อนไขอื่นๆ ที่อาจทำให้ยุติข้อตกลงควบรวมกิจการ ความเป็นไปได้ที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทอาจไม่อนุมัติสำหรับธุรกรรมที่นำเสนอ ความเสี่ยงและความแน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติของผู้ถือหุ้น ความเสี่ยงที่คู่สัญญาในข้อตกลงควบรวมกิจการอาจไม่สามารถตอบสนองเงื่อนไขของธุรกรรมที่นำเสนอได้ทันเวลาหรือไม่ได้เลย ความเสี่ยงที่เกิดจากการไม่สามารถจัดการเวลาในการดำเนินการธุรกิจ เนื่องจากธุรกรรมที่นำเสนอ ข้อจำกัดบางประการในระหว่างการทำธุรกรรมที่นำเสนอ ซึ่งอาจมีผลกระต่อความสามารถของบริษัทในการติดตามโอกาสทางธุรกิจหรือธุรกรรมเชิงกลยุทธ์ ความเสี่ยงที่การประกาศใดๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกรรมที่นำเสนออาจมีผลกระทบทางลบต่อราคาตลาดของหุ้นสามัญของบริษัทหรือของ NSC หรือของ American Depositary Receipts ความเสี่ยงของต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ที่ไม่คาดคิดอันเป็นผลมาจากธุรกรรมที่นำเสนอ ความเสี่ยงของการดำเนินคดีใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมที่นำเสนอ และความเสี่ยงที่ธุรกรรมที่นำเสนอและการประกาศอาจมีผลกระทบต่อความสามารถของบริษัทของของ NSC ในการรักษาลูกค้าและรักษาหรือว่าจ้างบุคลากรที่สำคัญ และคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ต่อลูกค้า ซัพพลายเออร์ พนักงาน ผู้ถือหุ้น และความสัมพันธ์ทางธุรกิจอื่นๆ และผลการดำเนินงานและธุรกิจโดยทั่วไป และความเสี่ยงในการที่ธุรกรรมที่นำเสนอกำลังรอดำเนินการและมีผลกระทบต่อการบริหารของบริษัท บริษัทขอแนะนำให้อ่านข้อมูลเพิ่มเติมใน Form 10-K สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 เดือนธันวาคม ปี 2022 และรายงานไตรมาสใน Form 10-Q สำหรับไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 เดือนกันยายน ปี 2023 และเอกสารอื่นๆ ที่มีการยื่นต่อ SEC เกี่ยวกับความเสี่ยงอื่นๆ ที่มีผลต่อการดำเนินงานในอนาคตของบริษัท เอกสารเหล่านี้ประกอบด้วยและมีการระบุถึงปัจจัยสำคัญที่อาจมีผลทำให้ผลลัพธ์ตามจริงมีความแตกต่างจากแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ ความเสี่ยงเกี่ยวกับแถลงการณ์เชิงคาดการ์ของ NSC รวมถึง แต่ไม่จำกัดเฉพาะ การเปลี่ยนแปลงในภาวะเศรษฐกิจมหภาคระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในญี่ปุ่น จีน และสหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตส่วนเกินและอุปทานส่วนเกินในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า แนวทางการปฏิบัติด้านการค้าและราคาที่ไม่เป็นธรรมในตลาดระดับภูมิภาคของ NSC ความเป็นไปได้ที่ราคาเหล็กกล้าตกต่ำ หรือมีอุปทานในแร่เหล็กสูงเกิน ความเป็นไปได้ที่ราคาตลาดของวัตถุดิบที่สำคัญจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความเป็นไปได้ที่ค่าเงินเยนญี่ปุ่นจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐและสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆ ที่สำคัญ การสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดสำหรับวัสดุทดแทน ความสามารถของ NSC ในการลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความเป็นไปได้ที่การดำเนินงานอาจไม่เป็นไปตามแผนพันธมิตร การเข้าซื้อกิจการ หรือการลงทุน หรือการเป็นพันธมิตร การเข้าซื้อกิจการหรือการลงทุนอาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง ภัยพิบัติทางธรรมชาติและอุบัติเหตุหรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของ NSC รวมถึงเหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจมีผลเสียต่อการดำเนินการธุรกิจของ NSC ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และความท้าทายในการทำให้ระดับคาร์บอนให้เป็นกลางสำหรับ NSC ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง สังคม และกฎหมาย ต่อการดำเนินธุรกิจในระบบเศรษฐกิจแบบควบรวม ความเป็นไปได้ที่จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากข้อบกพร่องในผลิตภัณฑ์ของเรา หรือก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและมีความเสียหายอย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากข้อบกพร่องในผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตเหล็กกล้ารายอื่น ความเป็นไปได้เราอาจไม่สามารถปกป้องสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเผชิญกับการเรียกร้องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาโดยบุคคลที่สาม การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและข้อบังคับของประเทศที่เราดำเนินธุรกิจ รวมถึงกฎหมายการค้าและอัตรา รวมถึงกฎหมายภาษี สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และความปลอดภัย และความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและธุรกิจของเรา อันเนื่องมาจากการละเมิดข้อมูลและการโจรกรรมข้อมูล ข้อมูลทั้งหมดในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ที่ระบุไว้ข้างต้น บริษัทหรือ NSC จะไม่มีหน้าที่ใดๆ ในการปรับปรุงแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อความสำหรับผลลัพธ์ตามจริง หรือาการเปลี่ยนแปลงในการคาดการณ์ของบริษัทหรือ NSC ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่นๆ ยกเว้นตามกฎหมายกำหนด

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53872312/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

NSC Contacts
สื่อ
pr_contact@jp.nipponsteel.com
Kayo Kikuchi / +81-3-6867-2977 / kikuchi.26s.kayo@jp.nipponsteel.com
Masato Suzuki / +81-3-6867-2135 / suzuki.s4f.masato@jp.nipponsteel.com

ผู้ลงทุน
ir@jp.nipponsteel.com
Yuichiro Kaneko / +81-80-9022-6867 / kaneko.yc3.yuichiro@jp.nipponsteel.com
Yohei Kato / +81-80-2131-0188 / kato.rk5.yohei@jp.nipponsteel.com

สอบถามทั่วไป (U.S.)
Nippon Steel North America, Inc. / +1 (713) 654 7111

U.S. Media Contacts
NSCMedia@teneo.com
Robert Mead / +1 (917) 327 9828 / Robert.Mead@teneo.com
Monika Driscoll / +1 (929) 388 9442 / Monika.Driscoll@teneo.com
Tucker Elcock / +1 (917) 208 4652 / Tucker.Elcock@teneo.com

U. S. Steel Contacts
สื่อ
Tara Carraro
Senior Vice President, Chief Communications Officer
T- 412-433-1300
E- media@uss.com

Kelly Sullivan / Ed Trissel
Joele Frank, Wilkinson Brimmer Katcher
T- 212-355-4449

ผู้ลงทุน
Emily Chieng
Investor Relations Officer
T – (412) 618-9554
E – ecchieng@uss.com

แหล่งข้อมูล: United States Steel Corporation and Nippon Steel Corporation

ไทยประกันชีวิต, สถานี PTT, คิง เพาเวอร์, คาเฟ่ อเมซอน, Royal Umbrella, Aurora, VISTRA, TrueOnline, ฟาร์มเฮ้าส์, VITADAY, M-150 และ TOPS เป็นหนึ่งในผู้ชนะได้รับรางวัล World Branding Awards ประจำปี 2023 – 2024

Logo

LONDON–(BUSINESS WIRE)–20 ธันวาคม 2023

งานประกาศรางวัล World Branding Awards ครั้งที่ 17 มีความยินดีประกาศความสำเร็จและผลประกอบการของแบรนด์ที่ดีที่สุดของโลกบางส่วน ในฐานะผู้ชนะระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก รางวัล World Branding Awards ประจำปี 2023 – 2024 มีแบรนด์มากกว่า 1,500 แบรนด์จากกว่า 40 ประเทศทั่วโลกที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น “แบรนด์แห่งปี” ในจำนวนนี้ มีผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศน้อยกว่า 200 แบรนด์

พิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้มีการจัดขึ้นอีกครั้งที่พระราชวังเคนซิงตัน กรุงลอนดอน ได้ให้การต้อนรับแขกมากกว่า 100 คน และดำเนินรายการโดย David Croft ผู้จัดรายการโทรทัศน์ชื่อดัง

ผู้ชนะระดับโลกที่ได้รับยกย่องในความเป็นเลิศและมีการสร้างแบรนด์ที่ไร้ที่ติภายในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Sunsilk (สหราชอาณาจักร), LURPAK (เดนมาร์ก), Marriott International (สหรัฐอเมริกา) และ IKEA (สวีเดน)

ผู้ชนะได้รับรางวัลจากประเทศ ได้แก่ ไทยประกันชีวิต, สถานี PTT, คิง เพาเวอร์, คาเฟ่ อเมซอน, Royal Umbrella, Aurora, VISTRA, TrueOnline, ฟาร์มเฮ้าส์, VITADAY, M-150 และ TOPS ผู้ชนะระดับประเทศอื่นๆ ได้แก่ FERN- D (ฟิลิปปินส์), Frank & Co. (อินโดนีเซีย), Chow Tai Fook (ฮ่องกง), Sokos Hotels (ฟินแลนด์), Airland (ฮ่องกง) และ Getha (มาเลเซีย) เป็นต้น

มีเพียง 14 แบรนด์ที่ได้รับเลือกให้เข้ารับรางวัล Regional Tier ในปีนี้ ได้แก่ Nippon Rent-A-Car (ญี่ปุ่น), GIG (คูเวต), MR.DIY (มาเลเซีย), M-150 (ไทย) และ HECOM (ฮ่องกง) แบรนด์เหล่านี้ได้รับการโหวตให้เป็นรายการโปรดจากผู้บริโภคใน 4 ประเทศขึ้นไปจากมากกว่า 3 พื้นที่ในภูมิภาคเชิงภูมิศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจง

“นี่เป็นการเฉลิมฉลองสำหรับการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น เพื่อคงความตระหนักรู้ในฐานะแบรนด์ แบรนด์จะต้องสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและเสถียร นั่นหมายถึงไม่เพียงเฉพาะการสร้างวัฒนธรรมและชุมชนแบรนด์ผ่านทางการตลาดเท่านั้น แต่ยังรับประกันว่า แบรนด์จะมีความน่าสนใจสำหรับทุกคนทุกเจเนอเรชั่น” Richard Rowles ประธาน World Branding Forum กล่าว

มีผู้บริโภคมากกว่า 150,000 รายเข้าร่วมกระบวนการนำเสนอชื่อทั่วโลกในปีนี้ โดยเฉลี่ยแล้ว แต่ละประเทศมีแบรนด์ที่ชนะได้รับรางวัลเพียง 5 แบรนด์เท่านั้น ซึ่งได้รับการพิสูจน์ได้ว่า การได้รับรางวัล World Branding Award ถือเป็นความสำเร็จอันน่าจดจำ

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและรายชื่อผู้ชนะทั้งหมดได้ที่ awards.brandingforum.org

เกี่ยวกับ WORLD BRANDING AWARDS

World Branding Awards เป็นรางวัลพรีเมียร์ของ World Branding Forum ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีการจดทะเบียน รางวัลนี้ยกย่องความสำเร็จของแบรนด์ที่ดีที่สุดของโลก

โซเชียลมีเดีย

Facebook: https://www.facebook.com/worldbrandingforum/
Twitter: https://twitter.com/WorldBranding
Instagram: https://www.instagram.com/worldbranding/
LinkedIn: https://linkedin.com/company/world-branding-forum

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

อีเมล: editorial@brandingforum.org

แหล่งข้อมูล: World Branding Awards

เส้นทางการเสริมพลังของ Mary Kay ยังคงดำเนินต่อไป : แบรนด์เข้าร่วมหลักการเสริมพลังของผู้หญิงในเอเชียแปซิฟิก

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–21 ธันวาคม 2023

Mary Kay Inc. ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนระดับโลกสำหรับการเสริมสร้างพลังของผู้หญิง ได้ประกาศในวันผู้ประกอบการสตรี (Women's Entrepreneurship Day) ว่า บริษัทได้กลายเป็นผู้ลงนามอย่างเป็นทางการใน Women's Empowerment Principles (WEPs) แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในเดือนมีนาคม 2019 ก้าวแรกของ Mary Kay Inc. ในการเดินทางของ WEP โดยกลายเป็นผู้ลงนามระดับโลกในระหว่างการประชุม WEPs ซึ่งจัดขึ้นนอกรอบของ Commission on Status of Women (CSW63)

"At Mary Kay, we lead by enabling women from all walks of life with the right tools, mentorship, and education so they can make choices leading to a fulfilling and meaningful life for themselves, their families, and communities,” said Wendy Wang, President, Mary Kay Asia Pacific Region. (Photo credit: Mary Kay Inc.).

"ที่ Mary Kay เราเป็นผู้นำโดยช่วยส่งเสริมผู้หญิงจากทุกสาขาอาชีพด้วยเครื่องมือที่ถูกต้อง การให้คำปรึกษา และการศึกษาที่เหมาะสม เพื่อให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเลือกที่นำไปสู่ชีวิตที่เติมเต็มและมีความหมายสำหรับตนเอง ครอบครัว และชุมชน” Wendy Wang ประธาน Mary Kay ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าว (เครดิตภาพ: Mary Kay Inc.)

ในขณะที่ Mary Kay ฉลองครบรอบ 60 ปี บริษัทได้เข้าร่วม WEP เพื่อแสดงตำแหน่งตัวเองในฐานะผู้นำด้านผู้ประกอบการสตรีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งสื่อความถึงโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีใครเทียบได้ พร้อมส่งเสริมสถานที่ทำงานที่สนับสนุน และตอบแทนชุมชนผ่านโครงการริ่เริ่มกิจกรรมเพื่อสังคมขององค์กร (CSR)

WEP จัดทำกรอบการทำงานแบบองค์รวมสำหรับบริษัทต่างๆ เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและการเสริมพลังของผู้หญิงในสถานที่ทำงาน ตลาด และชุมชน ทั้งยังขับเคลื่อนผลลัพธ์เชิงบวกสำหรับสังคมและธุรกิจ WEP เปิดตัวในปี 2010 โดย UN Women และ UN Global Compact WEP ได้รับแจ้งจากแรงงานระหว่างประเทศ และมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชน โดยมีพื้นฐานมาจากการยอมรับว่าธุรกิจต่างๆ มีส่วนได้ส่วนเสียและมีความรับผิดชอบต่อความเท่าเทียมทางเพศและการเสริมอำนาจของสตรี

ในแถลงการณ์ Wendy Wang ประธาน Mary Kay ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า:

“จากการแสวงหาเส้นทาง WEP ระดับโลกที่ Mary Kay ได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2019 ในวันนี้ ณ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทได้ยืนยันอีกครั้งถึงคำมั่นสัญญาที่จะช่วยเร่งปิดช่องว่างระหว่างเพศในสถานที่ทำงาน ตลาด และชุมชน 'การเสริมพลังของผู้หญิง' เป็นมากกว่าความสำเร็จในอาชีพของผู้หญิง – มันต้องมีมุมมองแบบองค์รวม แผนงานไปสู่ความก้าวหน้าและผลกระทบที่วัดได้ เช่นเดียวกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด รวมถึงภาคเอกชน – และ WEP ก็กำลังทำเช่นนั้น ที่ Mary Kay เราเป็นผู้นำโดยช่วยส่งเสริมผู้หญิงจากทุกสาขาอาชีพด้วยเครื่องมือที่ถูกต้อง การให้คำปรึกษา และการศึกษาที่เหมาะสม เพื่อให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเลือกที่นำไปสู่ชีวิตที่เติมเต็มและมีความหมายสำหรับตนเอง ครอบครัว และชุมชน”

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งสำคัญของ WEP สำหรับ Mary Kay ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Mary Kay China เพิ่งเปิดตัวรายงาน Mary Kay China Empowering Women Impact Report ครั้งแรกในหัวข้อ "Thinking Like A Woman" (คิดเหมือนกับผู้หญิง) รายงานดังกล่าวได้ปฏิบัติตามหลักการที่ 7 ว่าด้วย “การวัดผลและการรายงาน” ” และหลักการที่ 6 ว่าด้วย “การริเริ่มและการสนับสนุนของชุมชน”

การดำเนินการของ WEP:

รายงานดังกล่าวเปิดเผยผลงานของ Mary Kay China และผลลัพธ์ในการเสริมพลังของผู้หญิงเพื่อให้บรรลุความสำเร็จผ่านแนวทางที่หลากหลาย ทั้งในการเป็นผู้นำ ตลาด สถานที่ทำงาน และงานชุมชน ส่วนรายงานฉบับต่อๆ ไปจะครอบคลุมถึงคำมั่นสัญญาและอิทธิพลของ Mary Kay ในประเทศอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ ความสำเร็จบางส่วนต่อไปนี้ ได้ครอบคลุมหลักการ WEPs ทั้ง 7 ประการซึ่งถูกเน้นย้ำในรายงาน:

ผู้นำมายาวนานและผู้สนับสนุนระดับโลกเพื่อการเสริมพลังสตรี

  • Mary Kay ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกกลายเป็นผู้ลงนาม WEPs
  • ใช้กลยุทธ์การพัฒนา "All For Her" เพื่อให้การสนับสนุนรอบด้านสำหรับที่ปรึกษาด้านความงามอิสระ

เพิ่มขีดความสามารถของสตรีผ่านธุรกิจ

  • ตั้งแต่ปี 2022 ถึงเดือนมีนาคม 2023 มีที่ปรึกษาด้านความงามอิสระ 1,327,082 คนเข้าร่วมการฝึกอบรม

ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2022 Mary Kay ได้ลงทุนมากกว่า 80 ล้านหยวน (หยวนจีน) ในการเพิ่มศักยภาพทางดิจิทัลเพื่อพัฒนาเครื่องมือทางธุรกิจออนไลน์และออฟไลน์สำหรับที่ปรึกษาด้านความงาม

สถานที่ที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้หญิงในการทำงาน

  • ในปี 2022 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงในทีมผู้บริหารและพนักงานของ Mary Kay China ทั้งคู่อยู่ที่ 57% ในขณะที่ 64% ของพนักงานที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้หญิงด้วย
  • ในปี 2022 พนักงานของ Mary Kay China 93% ได้เข้าร่วมการฝึกอบรมเกี่ยวกับการจัดการโปรเจ็ค แนวโน้มของตลาด และความเป็นผู้นำ โดยมีเซสชันการฝึกอบรมเฉลี่ย 1.6 ครั้งต่อคน เวลาการฝึกอบรม 6 ชั่วโมง และเงินลงทุนในการฝึกอบรม 1,500 หยวน

การให้กลับคืนสู่ชุมชน

  • ณ เดือนเมษายน 2023 ผู้หญิงทั้งหมด 257,117 คนได้รับประโยชน์จากโครงการ CSR ของ Mary Kay China
  • ในปี 2022 ที่ปรึกษาด้านความงามอิสระของ Mary Kay China และพนักงาน 1,267 คนได้บริจาคเงินในการให้บริการอาสาสมัครมากกว่า 9,000 ชั่วโมงในความสามารถที่หลากหลาย: ทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครที่ไม่ใช่แพทย์ในศูนย์ศัลยกรรมปากแหว่งเพดานโหว่ ช่วยทำความสะอาดชุมชนของพวกเขา หรือจัดชั้นเรียนความงามฟรีเพื่อการกุศล

เกี่ยวกับ Mary Kay

Then. Now. Always. (ตั้งแต่ก่อนนั้น ตอนนี้และตลอดไป) Mary Kay Ash เป็นหนึ่งในผู้ทำลายเพดานกระจกเดิม เธอได้ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของตัวเองในเท็กซัสเมื่อปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือ เพื่อทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นเบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีสมาชิกพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลา 60 ปีที่โอกาสของ Mary Kay ได้เพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้หญิงในการกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ล้ำสมัย เครื่องสำอางตกแต่งสี อาหารเสริม และน้ำหอม Mary Kay เชื่อในการรักษาโลกของเราไว้ให้กับคนรุ่นใหม่ในอนาคต การปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการละเมิดในครอบครัว และส่งเสริมให้เยาวชนทำตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com ค้นหาเกี่ยวกับเราใน  Facebook Instagram และ LinkedIn หรือติดตามเราใน X (ชื่อเดิมคือ Twitter)

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/53871013/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ฝ่ายสื่อสารองค์กร Mary Kay Inc.
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

แหล่งที่มา: Mary Kay Inc.



แก้ไขและแทนที่: Aurora, PTT Station และ Royal Umbrella เป็นหนึ่งในผู้ชนะเลิศคว้ารางวัล 2023 – 2024 World Branding Awards

Logo

LONDON–(BUSINESS WIRE)–15 ธันวาคม 2023

World Branding Awards ครั้งที่ 17 ยกย่องความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายสำหรับกลุ่มแบรนด์ที่ดีที่สุดของโลก ในฐานะผู้ชนะเลิศระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก 2023 – 2024 World Branding Awards มีแบรนด์เข้าร่วมมากกว่า 1,500 แบรนด์จากกว่า 40 ประเทศที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น “แบรนด์แห่งปี” ในจำนวนนี้ มีไม่ถึง 200 แบรนด์ที่เป็นหนึ่งในผู้ชนะเลิศ

พิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้จัดขึ้นที่ต้นกำเนิดของรางวัลนี้ นั่นคือ พระราชวังเคนซิงตัน สหราชอาณาจักร โดยได้ต้อนรับแขกกว่า 100 คนทั่วโลก และดำเนินรายการโดย David Croft ผู้จัดรายการโทรทัศน์ชื่อดัง

ผู้ชนะเลิศระดับโลกที่ได้พิสูจน์ความเป็นเลิศและการสร้างแบรนด์อย่างไร้ที่ติในอุตสาหกรรม ได้แก่ Sunsilk (สหราชอาณาจักร), LURPAK (เดนมาร์ก), Marriott International (สหรัฐอเมริกา), และ IKEA (สวีเดน)

ผู้ชนะเลิศจากประเทศไทย ได้แก่ Thai Life Insurance, PTT Station, King Power, M-150, Café Amazon, Royal Umbrella, Aurora, VITADAY, TrueOnline, Farmhouse, และ TOPS ผู้ชนะเลิศจากประเทศอื่นๆ ได้แก่ FERN- D (ฟิลิปปินส์), Frank & Co. (อินโดนีเซีย), Chow Tai Fook (ฮ่องกง), Sokos Hotels (ฟินแลนด์), Mercadona (สเปน), Airland (ฮ่องกง), และ Getha (มาเลเซีย) และยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้

มีเพียง 14 แบรนด์เท่านั้นที่คว้ารางวัล Regional Tier ในปีนี้ ได้แก่ Nippon Rent-A-Car (ญี่ปุ่น), GIG (คูเวต), MR.DIY (มาเลเซีย), M-150 (ไทย), HECOM (ฮ่องกง), และ VITADAY (ไทย) แบรนด์เหล่านี้ได้รับการโหวตให้เป็นแบรนด์โปรดของผู้บริโภคใน 4 ประเทศขึ้นไปภายใต้ 3 ภูมิภาคขึ้นไปทางภูมิศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจง

“นี่เป็นการเฉลิมฉลองความพยายามอย่างต่อเนื่องซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างแบรนด์ที่โดดเด่น ในการคงการตอบรับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง แบรนด์จะต้องมีการสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่น สะท้อนถึงความเป็นแบรนด์และคงอยู่ตราบเท่านาน ซึ่งไม่เพียงเป็นการสร้างวัฒนธรรมและชุมชนสำหรับแบรนด์ผ่านการตลาดเท่านั้น แต่ยังต้องรับประกันได้ว่า ผู้คนทุกเจนเนอเรชันจะยังให้การตอบรับแบรนด์และมีความสนใจในแบรนด์อย่างต่อเนื่อง” Mr Richard Rowles ประธานของ World Branding Forum กล่าว

ในปีนี้ มีผู้บริโภคเข้าร่วมในการเสนอชื่อทั่วโลกมากกว่า 150,000 คน โดยเฉลี่ยแล้ว ในแต่ละประเทศมีเพียง 5 แบรนด์เท่านั้นที่คว้ารางวัลชนะเลิศ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า การได้รับรางวัล World Branding Award นี้ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งยวด

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและรายชื่อผู้ชนะเลิศทั้งหมดได้ที่ awards.brandingforum.org

เกี่ยวกับ WORLD BRANDING AWARDS

World Branding Awards เป็นรางวัลอันทรงเกียรติของ World Branding Forum ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ได้รับการจดทะเบียน รางวัลนี้เป็นการยกย่องความสำเร็จของแบรนด์ที่ดีที่สุดของโลก

โซเชียลมีเดีย

Facebook: https://www.facebook.com/worldbrandingforum/

Twitter: https://twitter.com/WorldBranding

Instagram: https://www.instagram.com/worldbranding/

LinkedIn: https://linkedin.com/company/world-branding-forum

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

อีเมล: editorial@brandingforum.org

แหล่งข้อมูล: World Branding Awards

Panda High Plains Hemp Gin ดำเนินการขั้นสุดท้ายในการเปิดตัวโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปกัญชาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับโลกตะวันตกทางออนไลน์

Logo

DALLAS–(BUSINESS WIRE)–12 ธันวาคม 2023

Panda Biotech ประกาศในวันนี้ว่า การก่อสร้างอาคารได้เสร็จสมบูรณ์ และขั้นตอนการเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการเพื่อเปิดตัวโครงการ Panda High Plains Hemp Gin™ (the “Panda Hemp Gin”) สู่ตลาดออนไลน์จะเริ่มต้นในช่วงต้นไตรมาสที่ 4 กระบวนการทดสอบการใช้งานเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2024 ในโรงงานขนาด 500,000 ตารางฟุตในเมือง Wichita Falls รัฐเท็กซัส Panda Hemp Gin จะดำเนินการแปรรูปกัญชาระดับอุตสาหกรรมเป็นปริมาณ 10 เมตริกตันต่อชั่วโมง เพื่อใช้ในการผลิตเส้นใยเกรดสำหรับสิ่งทอ กากใยผสม กากใยผสมแบบสั้น และผลิตภัณฑ์พลอยได้ที่อุดมด้วยสารอาหาร ซึ่งจะมีการนำมาอัดเป็นก้อน โรงงานแห่งนี้คาดว่าจะเป็นศุนย์แปรรูปกัญชาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับโลกตะวันตก และเป็นหนึ่งในศูนย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

Inside the Panda Hemp Gin, a 500,000 square foot industrial hemp processing facility in Witchita Falls, Texas scheduled to begin commercial operations Q1 2024. (Photo: Business Wire)

ภายใน Panda Hemp Gin ซึ่งเป็นโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปกัญชาขนาด 500,000 ตารางฟุตในเมือง Wichita Falls รัฐเท็กซัส มีกำหนดจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2024 (ภาพถ่าย: Business Wire)

“ในแต่ละส่วนของสายการผลิต Panda Hemp Gin รวมถึงท่อลมเหนือศีรษะความยาวสามไมล์ การกลั่น การผสม ระบบทอฝ้ายเชิงกล การบรรจุถุงและจัดเก็บ การอัดก้อน และอื่นๆ จะมีการเริ่มการทำงาน ตรวจสอบ ปรับสมดุล และทดสอบการใช้งานแยกกัน” Scott Evans รองประธานบริหารของ Panda Biotech กล่าว “ปัจจุบัน อุปกรณ์ทั้งหมดได้รับการนำเข้าระบบออนไลน์เพื่อให้บริการอย่างเป็นทางการโดยแยกแต่ละอุปกรณ์”

กระบวนการทางวิศวกรรมและการผลิตที่ Panda Hemp Gin ได้รับการรับรองโลกสีเขียวจาก Mid-South Engineering Company โดยมีการใช้เฉพาะแหล่งพลังงานหมุนเวียน ตามหลักการ Green Bond ของ International Capital Market Association โดย Panda Biotech ยังมีการร่วมมือกับ Oritain ซึ่งเป็นบริษัทตรวจสอบย้อนกลับทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำกัญชาที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้สูงสุดที่ปลูกในสหรัฐอเมริกา 100 เปอร์เซนต์ออกสู่ตลาด

นอกเหนือจากนี้ Panda Biotech มีการลงนามในสัญญากับผู้ผลิตเพื่อปลูกต้นกัญชงสำหรับฤดูการปลูกในปี 2024 รวมถึงการซื้อเส้นใยป่านกัญชาที่ได้รับการเก็บเกี่ยวหรือแปรรูปแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทได้เปิดตัวโปรแกรมการจ่ายเพื่อปลูกที่ไม่มีใครเทียบได้สำหรับผู้ผลิตเพื่อเริ่มปลูกกัญชาจาก Panda ด้วยเงินรับประกันล่วงหน้าและการสนับสนุนด้านพืชไร่ ผู้ผลิต Panda ยังได้รับเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการทดสอบและผ่านการพิสูจน์แล้วโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และประสบความสำเร็จในการลดความเสี่ยงที่ผู้ผลิตอาจประสบและเน้นย้ำความมุ่งมั่นและคำมั่นสัญญาจาก Panda ในการสนับสนุนชุมชนเกษตรกรรม ประโยชน์ในการปลูกกัญชานั้นมีมาก เนื่องจากเป็นพืชหมุนเวียนที่ดีเยี่ยม ซึ่งช่วยในการปรับสภาพดินและให้อัตรากำไรที่สูง หากสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม สามารถใช้แบบสอบถามสำหรับผู้ปลูกได้ที่ pandabiotech.com

เกี่ยวกับ PANDA BIOTECH

Panda Biotech, LLC เป็นบริษัทเอกชน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Dallas รัฐเท็กซัส และเป็นผู้บุกเบิกรายแรกในอุตสาหกรรมเส้นใยป่านกัญชาและกากใย Panda Biotech มีประสบการณ์ด้านการบริหารระดับผู้นำในการพัฒนา จัดหาเงินทุน ก่อสร้าง และดำเนินการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่สำหรับพลังงานสะอาด โดยมีการพัฒนาโครงการ 22 โครงการด้วยเงินทุน 12 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยประมาณ ปัจจุบัน บริษัทกำลังพัฒนาโรงงานผลิตเหล้าจินจากกัญชาเชิงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โครงการแรกของ Panda คือ Panda High Plains Hemp Gin™ LLC (Panda Hemp Gin) โดยเป็นความร่วมมือกันกับ Aka-Ag, LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Southern Ute Indian Tribe Growth Fund โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ Wichita Falls รัฐเท็กซัส โดยเป็นโรงงานแปรรูปกัญชาขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับโลกตะวันตก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pandabiotech.com และ @pandabiotech บน Instagram, Twitter หรือ LinkedIn

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Beth Gebhard
SVP, Marketing and Public Relations
beth.gebhard@pandabiotech.com

แหล่งข้อมูล: Panda Biotech

The Bangkok Reporter