ETT | iByond™ Asia ลงนามข้อตกลงมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์กับ Knightsbridge ในการนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีทางด้านการเงินมาสู่เอเชียและทั่วโลก

Logo

ปาล์มบีช, ฟลอริด้า–(BUSINESS WIRE)–5 มีนาคม 2024

ETT | iByond™ และกลุ่ม Knightsbridge ได้บรรลุข้อตกลงใหญ่ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนโซลูชั่นดิจิทัลและเทคโนโลยีทางด้านการเงินที่ก้าวหน้าไปทั่วโลก ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ

Christopher Condon | Chairman and CEO of ETT | iByond™ (USA + Asia) (Photo: Business Wire)

คุณ Christopher Condon | ประธานและ CEO ของ ETT | iByond™ (สหรัฐอเมริกา + เอเชีย) (รูปภาพ: Business Wire)

ภายใต้ข้อตกลง ETT | iByond™ และกลุ่ม Knightsbridge จะผนึกกำลังกันเพื่อเป็นหัวหอกในการริเริ่มด้านดิจิทัลและปฏิวัติการนำเสนอเทคโนโลยีทางการเงิน ด้วยการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของ iByond™ ในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังขยายตัว รวมถึงเครือข่ายและทรัพยากรทั่วโลกของ Knightsbridge ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะนำเสนอโซลูชั่นที่ไม่มีใครเทียบเคียงซึ่งปรับแต่งให้ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจและผู้บริโภคทั่วโลก การร่วมทุนครั้งนี้จะใช้ประโยชน์จากการจัดการข้อมูลที่ทันสมัยและโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ของ ETT

เทคโนโลยีการปฏิรูปเศรษฐกิจ“ETT | iByond™” (ETT) แผนก Asia ได้ทำข้อตกลงการให้บริการซอฟต์แวร์และใบอนุญาตระยะเวลาห้าปีกับ Knightsbridge ซึ่งมีมูลค่า $683 ล้านดอลลาร์สำหรับ ETT และมากกว่า $500 ล้านดอลลาร์สำหรับ Knightsbridge ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมบริการทางการเงินผ่านโซลูชั่นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ล้ำสมัย

บริษัทร่วมทุนจะใช้ประโยชน์จากการจัดการข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ล้ำสมัยของ ETT และเทคโนโลยีตลาดขั้นสูงของกลุ่ม Knightsbridge เพื่อส่งมอบแพลตฟอร์มเทคโนโลยีทางการเงินที่ครอบคลุมซึ่งนำเสนอประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการปรับขนาดที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยการควบคุมพลังของปัญญาประดิษฐ์ แพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปรับปรุงการดำเนินงาน ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า และขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนในตลาดที่มีพลวัตในปัจจุบันได้ ความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์การขยายธุรกิจของ Knightsbridge และตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการเติบโตในภูมิภาค

การเติบโตอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) ในเอเชียกำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของภูมิภาคในอัตราก้าวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ เอเชียจึงกลายเป็นแหล่งรวมนวัตกรรมและการลงทุนในโซลูชั่น AI และเทคโนโลยีทางด้านการเงิน จากการบุกเบิกบริการทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไปจนถึงการปฏิวัติแนวทางการธนาคารและการลงทุนแบบดั้งเดิม ประเทศในเอเชียกำลังควบคุมพลังของ AI และเทคโนโลยีทางด้านการเงินเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปรับปรุงการรวมทางการเงิน และเพิ่มประสิทธิภาพในตลาดการเงิน ด้วยกรอบการกำกับดูแลที่สนับสนุน ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพที่มีชีวิตชีวา และจำนวนผู้มีความสามารถด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้น เอเชียจึงพร้อมที่จะเป็นผู้นำการปฏิวัติด้าน AI และเทคโนโลยีทางด้านการเงินระดับโลกต่อไป เพื่อปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ และขับเคลื่อนนวัตกรรมทั่วทั้งภาคส่วน

คุณ Christopher Condon ประธานและซีอีโอของ ETT แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือครั้งนี้ว่า "ความร่วมมือกับ Knightsbridge ครั้งนี้เน้นย้ำถึงความทุ่มเทของ ETT ในการเป็นผู้นำในเชิงรุกในแนวหน้าของนวัตกรรมดิจิทัล และเสริมสร้างจุดยืนของตนต่อการเติบโตระดับโลกและตลาดเอเชียที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว"

คุณ David Chlapowski ผู้เป็นประธานของ ประธานภูมิภาคอเมริกาและตลาดเกิดใหม่ (EM) กล่าวเสริมว่า “ข้อมูลที่ถูกนำเสนอในลักษณะที่สามารถปรับขนาดได้และบริโภคได้คือน้ำมันใหม่และเป็นเชื้อเพลิงของนวัตกรรมดิจิทัล การทำงานร่วมกันของแพลตฟอร์มที่แตกต่างกันรวมกับความสามารถในการเรียนรู้ของปัญญาประดิษฐ์จะให้ประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน – จนถึงปัจจุบัน ผมกล้าที่จะประกาศว่ าETT/Knightsbridge FinTech Platform คือกาวที่นำทั้งหมดนี้มารวมกัน โดยรวมแล้ว เรากำลังเปิดตัวยุคใหม่ของ Web 4.0 ซึ่งเป็นยุคที่ซอฟต์แวร์ โครงสร้างพื้นฐาน และการเงินมารวมกันที่จุดตัดของการเปิดใช้งานและการสร้างความมั่งคั่ง และขับเคลื่อนด้วย AI"

คุณ Issaree Suwunnavid กล่าวว่า “ในฐานะกรรมการผู้จัดการของกลุ่ม Knightsbridge ฉันมีความยินดีที่จะประกาศให้ทราบถึงการร่วมทุนกับ ETT เพื่อนำโซลูชั่นเทคโนโลยีทางด้านการเงินที่ล้ำสมัยมาสู่เอเชีย มันทำให้ฉันมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้สร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจและบุคคลทั่วภูมิภาคด้วยบริการทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม ettworld.com หรือ knightsbridgelaw.com

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบนbusinesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20240304917175/en/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53904948/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

หากต้องการสอบถามข้อมูลสำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ:

J. Czelusniak
jczelusniak@ettworld.com

ที่มา: Economic Transformation Technologies

 

ผู้นําตลาดด้านสุขภาพผนึกกําลังกัน: The DRIPBaR ซึ่งขับเคลื่อนโดย REVIV

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–5 มีนาคม 2024

การที่ The DRIPBaR ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นแฟรนไชส์เกี่ยวกับการบําบัดด้วย IV ที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกับ REVIV ผู้นําด้านการบําบัดด้วย IV ระดับโลกนั้น ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมดังกล่าว จากความร่วมมือนี้ทำให้เกิดข้อเสนอที่ไม่มีใครเทียบได้ เนื่องจากเป็นการรวมเอาความเชี่ยวชาญพิเศษของยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมที่มีที่ตั้งมากกว่า 200 แห่งใน 6 ทวีป โดยมีแผนเพิ่มที่ตั้งอีกหลายพันแห่งในไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อเร็ว ๆ นี้มีความต้องการการบําบัดด้วย IV เพิ่มขึ้นจึงทำให้เกิดโอกาสมหาศาลแก่บริษัททั่วโลกในการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่และเป็นผู้นำของการบําบัดด้วย IV ในยุคต่อไป

Ben Crosbie, CEO of The DRIPBaR and Sarah Lomas, Founder and CEO of REVIV Global, announce their exciting partnership. (Photo: Business Wire)

Ben Crosbie ซีอีโอของ The DRIPBaR และ Sarah Lomas ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ REVIV Global ประกาศความร่วมมือที่น่าตื่นเต้นของพวกเขา (ภาพ: Business Wire)

ด้วยระบบการวางแผนการขายมูลค่าสูงที่มีแฟรนไชส์มากกว่า 450 แห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา The DRIPBaR ตัดสินเข้าร่วมเทคโนโลยี REVIV X ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ REVIV อันเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นในการจัดหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านโภชนาการเฉพาะบุคคลและที่มีความแม่นยําสำหรับลูกค้าของบริษัท ความร่วมมือนี้ช่วยให้ The DRIPBaR ได้ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญาและวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตของ REVIV ที่มีมาตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายด้วยการตรวจเลือดและการวิเคราะห์ดีเอ็นเอเพื่อปรับการรักษาด้วย IV ให้สอดคล้องกับตามความต้องการของแต่ละบุคคล The DRIPBaR นั้นจะปฏิวัติภูมิทัศน์ด้านสุขภาพในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยอาศัย REVIV X ซึ่งจะนําเสนอการแก้ไขปัญหาที่มุ่งเน้นไปที่ผู้ป่วยแต่ละคนโดยจะเพิ่มประสิทธิภาพด้านสุขภาพที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทในฐานะผู้นําด้านนวัตกรรม

Ben Crosbie ซีอีโอของ The DRIPBaR ตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้ในการร่วมมือกันในครั้งนี้ โดยยืนยันว่า "การเลือก REVIV เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเรานั้น เรากําลังปลดล็อกความสามารถส่วนบุคคลและความแม่นยําเพื่อการนําเสนอผลิตภัณฑ์ขั้นสูงและประสบการณ์ของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น ผมมั่นใจว่าการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและความเชี่ยวชาญของ REVIV จะช่วยเร่งให้แฟรนไชส์ของเราเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น รวมถึงทำให้พวกเขานําหน้าบรรทัดฐานของอุตสาหกรรมอีกด้วย การเสนอ REVIV X ควบคู่ไปกับหลักสูตรการฝึกอบรม IV ที่ได้รับการรับรองนั้นจะกำหนดมาตรฐานระดับโลกในความเป็นเลิศสำหรับวงการของเรา และยิ่งผนึกกำลังให้เราสามารถรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ไว้ได้”

Sarah Lomas ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ REVIV Global เน้นย้ำถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของความเป็นหุ้นส่วนนี้ โดยระบุว่า "ทั้ง The DRIPBaR กับ REVIV เน้นย้ำถึงการอุทิศตนร่วมกันเพื่อนวัตกรรมและความปลอดภัยในตลาดของการบําบัดด้วย IV ในฐานะผู้นําในอุตสาหกรรม เรากําลังพลิกโฉมอนาคตด้านสุขภาพด้วยการนําเสนอการแก้ไขปัญหาด้านโภชนาการเฉพาะบุคคลและที่มีความแม่นยําซึ่งจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เราจะยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ SaaS ของเราต่อไปเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทั่วโลก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาและการลงทุนที่สำคัญในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นความสำเร็จและการนํา REVIV X ไปใช้”

พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่าง REVIV และ The DRIPBaR ทำให้เกิดช่วงเวลาสำคัญในอุตสาหกรรมการบําบัดด้วย IV และในหลายภาคส่วน โดยการพัฒนาการจัดหาการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับลูกค้าทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงที่อื่น ๆ ในขณะที่ตลาดการบําบัดด้วย IV ยังคงขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วยความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนดในระดับชั้นนำ REVIV X จึงกลายเป็นทางเลือกสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่สร้างโอกาสทางธุรกิจในหลายรูปแบบที่มีอยู่ในการเข้าถึงนวัตกรรมของ REVIV และการดำรงตำแหน่งบริษัทในระดับแนวหน้าแห่งนวัตกรรมด้านสุขภาพและมาตรฐานอุตสาหกรรม

สำหรับการสอบถามของสื่อ:

REVIV Global: Emma Robertson, erobertson@revivme.com

The DRIPBaR: Marketing@thedripbar.com“>Marketing@thedripbar.com

เกี่ยวกับ REVIV Global

REVIV Global คือผู้เชี่ยวชาญอันดับต้น ๆ ของโลกในด้านการบำบัดด้วย IV ซึ่งเป็นวิธีการให้สารอาหารส่วนบุคคลที่มีความแม่นยำสูง ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีในอุตสาหกรรมนี้ พวกเขาช่วยส่งมอบ IV กว่า 2 ล้านเส้นอย่างปลอดภัยใน 40 กว่าประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่สนใจในการดูแลสุขภาพ รวมถึงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและเชิงรุกอีกด้วย REVIV ได้พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพที่มีความแม่นยำขั้นสูงเป็นระบบแรกและระบบเดียวที่ดึงข้อมูลด้านชีววิทยาและจีโนมิกส์มาใช้ประโยชน์เพื่อมอบการบำบัดด้วย IV ส่วนบุคคลและมีความแม่นยำสูง REVIV เปิดตัวผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีในช่วงปลายปี 2023 ซึ่งได้ขยายขอบเขตของแบรนด์ไปพร้อม ๆ กับยกระดับการควบคุม ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของการบำบัดด้วย IV ไปทั่วโลก

เกี่ยวกับ The DRIPBaR

The DRIPBaR เป็นผู้บุกเบิกในวงการสุขภาพที่พร้อมที่จะกำหนดภูมิทัศน์ด้านสุขภาพและชีวิตผ่านความก้าวหน้าในการบําบัดด้วยวิทยาศาสตร์ที่ล้ำสมัยและให้ความสำคัญกับความปลอดภัย The DRIPBaR นําเสนอแนวทางการเปลี่ยนแปลงเพื่อสุขภาพของเซลล์และการดูแลเฉพาะบุคคล มุ่งเน้นไปที่การรักษาที่พัฒนาตลอดเวลาและการแพทย์ที่มีความก้าวหน้า The DRIPBaR นำไปสู่ยุคสมัยใหม่แห่งการฟื้นฟู ความมีชีวิตชีวาและการมีสุขภาพที่ดี

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53903816/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ที่มา: REVIV

NIQ เพิ่มศักยภาพให้กับลูกค้าและพันธมิตรด้วยการเปิดตัว Global Media Division

Logo

CHICAGO–(BUSINESS WIRE)–29 กุมภาพันธ์ 2024

NIQ บริษัทข่าวกรองผู้บริโภคชั้นนำของโลก มีความยินดีที่จะประกาศเปิดตัว Media Division ใหม่ ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์ที่มีการออกแบบมาเพื่อเสริมมูลค่าที่ผู้ลงโฆษณาจะได้รับจากการดำเนินการด้านการตลาด และช่วยให้พันธมิตรสามารถสนับสนุนลูกค้าผู้ลงโฆษณาของเรา การเคลื่อนไหวครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ NIQ ในการให้บริการลูกค้าพร้อม Full View™ อย่างต่อเนื่อง และเสริมสร้างความสามารถทางการตลาด

หัวหน้าของ Global Media Division คือ Lana Busignani ซึ่งเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์และมีประวัติที่น่าประทับใจในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ในผลิตภัณฑ์สื่อต่างๆ Lana เคยร่วมงานกับ Quotient Technology Inc. โดยนำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมาเป็นผู้นำโครงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์นี้ สั่งสมประสบการณ์เป็นเวลาเจ็ดปีจาก Nielsen Media และเริ่มต้นจากการเป็นผู้นำด้าน Marketing Effectiveness ระดับโลก และจากนั้นดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริการสื่อต่างประเทศ ด้วยประสบการณ์มากมายด้านการวิจัยตลาด รวมถึงประสบการณ์ 15 ปีจาก IPSOS ในการเป็นผู้นำด้านข่าวกรองการโฆษณาระดับโลก Lana จึงมีคุณสมบัติดีเยี่ยมเหมาะในการขับเคลื่อนความสำเร็จเพื่อ Media Division ของ NIQ

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เปิดตัว Media Division ของเรา ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเราในการบริการ พร้อม Full View™ แก่ลูกค้าของเรา โดยความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์นี้รวมความสามารถของ NIQ, GfK และ MRI-Simmons เข้าด้วยกัน เพื่อเสริมเพิ่มมูลค่าสำหรับลูกค้า และถือเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตของอุตสาหกรรมที่น่าตื่นเต้นและมีชีวิตชีวา” Lana Busignani ผู้จัดการทั่วไปของ Global Media ที่ NIQ กล่าว “ด้วยการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งร่วมกันของเรา เรามีการกำหนดแนวทางอนาคตของธุรกิจต่างๆ โดยสามารถตัดสินใจด้วยความรอบรู้ในการลงทุนด้านการตลาดและการดำเนินการ เสริมความแข็งแกร่งให้กับจุดยืนของเราในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรม”

Media Division มุ่งเน้นประเด็นหลักสามประการในอุตสาหกรรม นั่นคือ การกำหนดกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมสำหรับแบรนด์ การนำเสนอบริการสำหรับกลุ่มลูกค้า และการรับรองด้านประสิทธิภาพ โดยการบูรณาการพลังของ NIQ, GfK และ MRI-Simmons เข้าด้วยกัน

“ด้วยการเปิดตัว Media Division ภายใต้การนำของ Lana เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ใช้บริการต่างๆ ของ NIQ” Susan Dunn ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ NIQ กล่าว “ความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์นี้เป็นการประสานความสามารถของเราเข้าไว้ด้วยกัน โดยนำเสนอโซลูชันที่ครอบคลุมแก่ลูกค้า เพื่อใช้ในการตัดสินใจโดยมีข้อมูลสนับสนุนทางการตลาด ประสบการณ์ที่สั่งสมมาและวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของ Lana สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการให้บริการลูกค้าพร้อม Full View ซึ่งตอกย้ำจุดยืนของ NIQ ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้เพื่อการขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจ”

About NIQ 
NIQ เป็นบริษัทข่าวกรองผู้บริโภคชั้นนำของโลก นำเสนอความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค และนำเสนอทิศทางการเติบโตใหม่ ในปี 2023 NIQ ได้รวมตัวกับ GfK เพื่อรวบรวมผู้นำด้านอุตสาหกรรมทั้งสองที่สามารถเข้าถึงทั่วโลกที่ไม่มีใครเทียบ ด้วยข้อมูลด้านการค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ครอบคลุมสูงสุด พร้อมนำเสนอการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ล้ำสมัย NIQ นำเสนอ Full ViewTM

NIQ เป็นบริษัทในเครือของ Advent International ที่มีการดำเนินงานในตลาดกว่า 100 แห่ง ครอบคลุมประชากรโลกมากกว่า 90% สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ NIQ.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Media
Gillian Mosher (Gillian.Mosher@NIQ.com)

แหล่งข้อมูล: NIQ

NTT Com เริ่มเปิดจำหน่าย Active Multi-access SIM™ เพื่อรองรับเครือข่ายผู้ให้บริการอุปกรณ์ IoT ที่หลากหลาย

Logo

ผู้ใช้จะต้องซื้อซิมการ์ดของผู้ให้บริการที่สามารถสลับเปลี่ยนได้โดยอัตโนมัติเพียงใบเดียว

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–29 กุมภาพันธ์ 2024

NTT Communications Corporation (NTT Com) ซึ่งเป็นโซลูชัน ICT และธุรกิจการสื่อสารระหว่างประเทศภายในกลุ่ม NTT ประกาศว่า จะเริ่มเปิดจำหน่าย Active Multi-access SIM™1 ซึ่งนำเสนอในการทดลองใช้ตั้งแต่วันที่ 28 เดือนมีนาคม ปี 2023 จากวันที่ 31 เดือนมกราคม โดยซิมการ์ดใหม่และบริการที่เกี่ยวข้องนี้จะช่วยให้อุปกรณ์ IoT ที่หลากหลายสามารถสลับการทำงานระหว่างผู้ให้บริการหลักและผู้ให้บริการย่อยในกรณีที่เครือข่ายล้มเหลว ช่วยให้สามารถใช้งานเครือข่ายต่างๆ ด้วยซิมเดียวโดยอัตโนมัติเต็มรูปแบบ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเครือข่ายหรือสลับเทอร์มินอลของอุปกรณ์

บริการนี้ให้คุณประโยชน์ที่สำคัญสามประการ โดยเริ่มจากการตรวจจับข้อผิดพลาดโดยอัตโนมัติ และการสลับผู้ให้บริการ โดยทั้งสองบริการนี้อยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร หากการสื่อสารล้มเหลว แอพเล็ต3 ในซิมจะตรวจจับข้อผิดพลาดโดยอัตโนมัติ จากนั้น จะสลับไปใช้เครือข่ายของผู้ให้บริการย่อย และกลับไปใช้เครือข่ายของผู้ให้บริการหลักหลังผ่านช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ด้วยตัวเอง หรือไม่ต้องกำหนดการตั้งค่าที่ซับซ้อน

ประโยชน์ประการที่สองคือ การปฏิบัติตามมาตรฐาน European Telecommunications Standards Institute (ETSI) และตามมาตรฐาน 3rd Generation Partnership Project (3GPP) เพื่อความเข้ากันได้กับอุปกรณ์หลากหลายประเภท โดยใช้ชุด SIM Toolkit มาตรฐาน ซึ่งช่วยให้แอพเล็ตของซิมสามารถส่งคำสั่งไปยังอุปกรณ์เหล่านี้ได้

ประโยชน์ข้อที่สามคือ ความสะดวกและความสามารถในการใช้งาน:

  • สัญญาแบบรวมศูนย์ การสนับสนุน เป็นต้น
    ผู้ให้บริการหลักและผู้ให้บริการย่อยนั้นให้บริการโดย NTT Com ซึ่งมีความซับซ้อนน้อยกว่าและสมเหตุสมผลมากกว่าการทำสัญญากับผู้ให้บริการย่อยแยกต่างหาก
  • ต้นทุนที่มีการปรับอย่างเหมาะสม
    ผู้ให้บริการหลักนำเสนอแผนที่หลากหลายตามการใช้งานข้อมูล นอกจากนี้ ยังรองรับการแชร์ความจุและการจัดการการใช้งาน SIM5 เพื่อลดต้นทุนระหว่างการสต็อกสินค้าคงคลังรองรับความต้องการของตลาดและของขาดตลาด
  • การจัดการรายการแบบรวมศูนยผ่านพอร์ทัล/API
    สามารถซื้อซิมการ์ดที่รองรับผู้ให้บริการหลายรายโดยใช้การ์ดใบเดียว และสามารถจัดการการดำเนินการ (การสั่งซื้อ การเปิดใช้งาน การระงับ และการยกเลิก) ได้ผ่านเว็บ
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ข้อมูลและสร้างธุรกิจผ่าน Smart Data Platform6
    บริการนี้พร้อมใช้งานบน Smart Data Platform ในรูปแบบ IoT Connect Mobile® Type S เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ข้อมูล บริษัทต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากวงจรที่พร้อมใช้งานสูงเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานการใช้ข้อมูลบนแพลตฟอร์ม บริษัทที่นำเสนอการบริการที่รวมอุปกรณ์ IoT และซิมสำหรับลูกค้าจะสามารถจัดการสัญญาและสิทธิพิเศษของผู้ใช้ผ่านพอร์ทัลได้อย่างสะดวกสบาย

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการใช้งานได้ที่ https://sdpf.ntt.com/services/icms/pricing/ (เฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น) หากต้องการเรียนรู้วิธีการสมัคร ผู้ใช้โปรดติดต่อ NTT Com ผ่านแบบฟอร์มสอบถามออนไลน์ หรือติดต่อตัวแทนฝ่ายขายของ NTT Com

หลังจากนี้ NTT Com กำลังวางแผนในการขยายบริการ Active Multi-access SIM™ พร้อมคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น การเชื่อมต่อในพื้นที่ปิด

ในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทต่างๆ ได้นำโซลูชัน IoT มาใช้เพื่อการขยายธุรกิจมากขึ้น ความต้องการเครือข่ายที่เชื่อถือได้สูงเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ให้บริการหลากหลาย เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการดังกล่าว NTT Com ได้พัฒนาบริการที่บรรลุความต้องการเครือข่ายในระดับสูงโดยไม่ขึ้นกับอุปกรณ์ IoT โดยมีการนำเสนอแบบทดลองใช้ตั้งแต่วันที่ 28 เดือนมีนาคม ปี 2023 จากการตอบรับจากลูกค้าในช่วงระยะเวลาทดลองใช้ NTT Com ได้มีการปรับปรุงฟังก์ชันต่างๆ และเปิดตัวการบริการแล้วในขณะนี้

ลูกค้ากลุ่มหนึ่งของ NTT Com ให้การรับรองการบริการนี้ ดังต่อไปนี้

CENTURY SYSTEMS Co.,Ltd.
Mr. Susumu Tanaka กรรมการฝ่ายเจ้าหน้าที่ตัวแทน
“บริษัทของเรายินดีต้อนรับ Active Multi-access SIM™ ของ NTT Com เพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ เทคโนโลยีของซิมที่เป็นนวัตกรรมใหม่นี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเราเตอร์ LTE และเกตุเวย์ IoT เป็นอย่างมาก โดยให้บริการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้ ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์เพื่อนำเสนอโซลูชันที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ซิมขั้นสูงนี้จะนำเสนอความเป็นได้ใหม่ๆ โดยเพิ่มความสามารถในการสื่อสารและประสิทธิภาพในส่วน IoT”

Fibocom Wireless Inc.
Mr. Ronald Chan, รองประธานฝ่ายการขายของ APAC
“การเชื่อมต่อเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานสำหรับการปรับแปลงทางดิจิทัลโดยใช้ประโยชน์จาก IoT และโซลูชันซิมที่เป็นนวัตกรรมของ NTT Com ช่วยปรับปรุงความสามารถในการใช้งานการเชื่อมต่อไร้สาย ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันไร้สายระดับโลก Fibocom มีความมั่นใจว่า เราสามารถให้บริการเชื่อมต่อไร้สายที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพสำหรับลูกค้าของเรา พร้อมโซลูชันที่รวมซิมเข้ากับโมดูลเซลลูล่าของเรา”

MeiLink Co., Ltd
Mr. Turbo Fukazawa ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขาย
“มีการนำ IoT ไปใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ ดังนั้น เราคิดว่า จะมีความต้องการในการสร้างการสื่อสารที่มีเสถียรภาพมากขึ้น เราหวังว่า Active Multi-access SIM™ ที่ NTT Com ให้บริการจะเป็นโซลูชันสำหรับปัญหานี้และเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดต่อไป”

สำหรับการสื่อสารข้อมูลเท่านั้น (แต่ไม่มีบริการเสียงหรือ SMS) บริษัทที่กำลังมองหาผู้ให้บริการที่หลากหลายซึ่งรวมบริการเสียงสำหรับสมาร์ทโฟน เป็นต้น ควรพิจารณาบริการย่อย
2 นอกเหนือจากสายบริการล้มเหลว รวมถึงเงื่อนไขที่ทำให้การสื่อสารข้อมูลเป็นไปไม่ได้ เช่น อยู่นอกขอบเขตครอบคลุม เป็นต้น
โปรแกรมขนาดเล็กที่เขียนด้วยภาษา Java และรวมเข้ากับแอปพลิเคชันอื่นเพื่อการดำเนินการ
4 สามารถเข้าไปที่ Smart Data Platform Knowledge Center(เฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น) สำหรับอุปกรณืที่ผ่านการทดสอบความเข้ากันได้ (โดยจะมีการอัปเดตเป็นระยะ) เราขอแนะนำให้ลูกค้าตรวจสอบความเข้ากันได้กับบริการนี้ตามแต่ละอุปกรณ์ โปรดติดต่อ NTT Com เพื่อขอรับซิมชั่วคราวเพื่อยืนยันความเข้ากันได้
การจัดการสถานะสายเครือข่าย เช่น การเปิด การระงับ การดำเนินการต่อ และการยกเลิก
6 Smart Data Platform ช่วยให้ลูกค้าองค์กรสามารถเสริมการปรับแปลงดิจิทัลด้วยฟังก์ชันครบวงจรสำหรับการรวบรวมข้อมูล การจัดเก็บ การจัดการ และการวิเคราะห์ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน โปรดไปที่ https://www.ntt.com/business/sdpf/
7 บริการสื่อสารเคลื่อนที่ IoT พร้อมให้บริการในญี่ปุ่นและทั่วโลกที่ใช้ eSIMs และโครงสร้างพื้นฐาน MVNO เต็มรูปแบบ

"IoT Connect Mobile® " เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ NTT Communications
"Active Multi-access SIM™ " เป็นเครื่องหมายการค้าของ NTT Communications

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
สำหรับลูกค้า
5G & IoT Service Department IoT Service Division
Platform Services Division
NTT Communications Corporation
อีเมล: m2m-sales-dps@ml.ntt.com

สำหรับสื่อ
Public Relations Office
NTT Communications Corporation
อีเมล: pr-cp@ntt.com

แหล่งข้อมูล: NTT Communications Corporation

ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพการประชุมสัมมนาเพื่อส่งเสริมการเติบโตและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยูเครน

Logo

เจ้าหน้าที่ภาคส่วนรัฐบาลและตัวแทนภาคธุรกิจสามร้อยคนรวมตัวกันเพื่อแสดงการสนับสนุนการฟื้นตัวของยูเครนจากญี่ปุ่น

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–29 กุมภาพันธ์ 2024

วันที่ 19 เดือนกุมภาพันธ์ ตัวแทนภาคส่วนรัฐบาลญี่ปุ่นและยูเครน รวมถึงองค์กรธุรกิจต่างๆ รวมตัวกันที่โตเกียวเพื่อเข้าร่วมการประชุมสัมมนาญี่ปุ่น-ยูเครน เพื่อส่งเสริมการเติบโตและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

Prime Minister Kishida Fumio emphasized how Japan can contribute to Ukraine’s post-war reconstruction. (Photo by: Cabinet Public Affairs Office)

นายกรัฐมนตรี Kishida Fumio เน้นย้ำเกี่ยวกับญี่ปุ่นจะสามารถมีส่วนร่วมในการฟื้นตัวหลังสงครามของยูเครนได้อย่างไร (ภาพถ่ายโดย: Cabinet Public Affairs Office)

คณะผู้แทนรัฐบาลญี่ปุ่น นำโดย Kishida Fumio นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ให้คำมั่นว่า จะให้การสนับสนุนการฟื้นตัวของยูเครนในระยะยาวผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน คณะผู้แทนยูเครน นำโดย Denys Shmyhal นายกรัฐมนตรียูเครน กล่าวขอบคุณญี่ปุ่นสำหรับความช่วยเหลือ และเรียนเชิญภาคส่วนธุรกิจของญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนเพื่อการฟื้นตัวของยูเครน คณะผู้แทนแต่ละคณะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐและองค์กรมากกว่า 100 คน มีผู้เข้าร่วมการประชุมทั้งหมดประมาณ 300 คนและบริษัท 130 แห่ง รัฐบาลทั้งสองเห็นพ้องในการร่วมกันในเจ็ดประเด็นหลัก ได้แก่ การดำเนินการปรับพื้นที่กับระเบิดและการกำจัดขยะ ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูวิถีชีวิต การพัฒนาด้านการเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ โครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและพลังงาน และมาตรการต่อต้านการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล

ในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ นายกรัฐมนตรี Kishida กล่าวถึงการสนับสนุนการฟื้นตัวของยูเครนจากสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ว่า เป็น "การลงทุนเพื่ออนาคต" และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศมีส่วนร่วม “ภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นจะทำงานร่วมกันผ่านแนวทางแบบญี่ปุ่น โดยใช้ความรู้ที่ได้รับจากความพยายามในการฟื้นฟูหลังสงครามและภัยพิบัติของญี่ปุ่น” เขากล่าวในสุนทรพจน์ของเขา “การส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจไม่เพียงแต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของยูเครนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลงทุนในญี่ปุ่นและทั่วโลกด้วยเช่นกัน” มีการร่างโครงการริเริ่มใหม่สำหรับภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นเพื่อการสนับสนุนยูเครน Kishida ยังประกาศอีกด้วยว่า ญี่ปุ่นจะผ่อนปรนข้อกำหนดวีซ่าเข้าประเทศสำหรับพลเมืองยูเครนที่เกี่ยวข้องกับโครงการความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่น-ยูเครน

นายกรัฐมนตรี Shmyhal กล่าวขอบคุณญี่ปุ่นที่ให้ความช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง และขอบคุณนายกรัฐมนตรี Kishida สำหรับการเยือนยูเครนในปี 2023 เขากล่าวเสริมว่า “การประชุมสัมมนาในวันนี้จะเป็นก้าวต่อไปในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างต่อเนื่อง” Shmyhal กล่าวถึงความสำเร็จทางการเงินของบริษัทญี่ปุ่นในยูเครนจนถึงขณะนี้ และมีการเชิญชวนภาคส่วนธุรกิจต่างๆ ให้เข้ามาลงทุนใน “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของยูเครน” ที่จะมีขึ้น เขายังเน้นย้ำภาคส่วนหลักต่างๆ เช่น พลังงาน การเกษตร และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการนำเสนอโอกาสในการลงทุนที่สำคัญ และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ผู้นำทั้งสองเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในความร่วมมือกันตลอดจนความสำคัญของภาคเอกชนในการฟื้นตัวของยูเครน

การประชุมสัมมนาดังกล่าวส่งผลให้มีการประกาศเอกสาร 56 ฉบับ รวมถึงข้อตกลงระหว่างรัฐบาล โดยรัฐบาลทั้งสองมีการลงนามในอนุสัญญาการจัดการเก็บภาษีซ้ำซ้อน โดยจะสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นในยูเครน ยังได้ลงนามในข้อตกลงด้านการให้สินเชื่อทวิภาคี แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเงินช่วยเหลือเพื่อการฟื้นฟูฉุกเฉิน และให้คำมั่นว่า จะร่วมมือกันด้านการศึกษาและเทคโนโลยี

เอกสารอื่นๆ ได้แก่ ข้อตกลงระหว่างหน่วยงานรัฐบาลและภาคส่วนธุรกิจแต่ละรายและองค์กรธุรกิจ บริษัทญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงกับบริษัทยูเครนและหน่วยงานรัฐบาลเพื่อพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านพลังงาน สร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ กำจัดกับระเบิด และอื่นๆ อีกมากมาย

นับตั้งแต่การรุกรานของรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 ญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและความช่วยเหลือด้านอื่นๆ แก่ยูเครนมาโดยตลอด โดยการประกาศความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการประชุมสัมมนาครั้งนี้ ญี่ปุ่นวางแผนที่จะใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและประสบการณ์ในการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ เพื่อเสริมสร้างการสนับสนุนเพื่อการฟื้นตัวสำหรับยูเครน

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53903285/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Ministry of Foreign Affairs
+81-(0)3-3580-3311

แหล่งข้อมูล: Ministry of Foreign Affairs of Japan


LiveRamp เปิดตัวแพลตฟอร์มการรวมข้อมูลแบบครบวงจร พร้อมด้วยเทคโนโลยีแบบแยกส่วน

Logo

การปรับปรุงใหม่ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถประสานงานกับคู่ค้า ส่งข้อมูลไปยังปลายทาง และเข้าถึงโซลูชันได้มากขึ้นทั้งหมดจากที่เดียว

ด้วยแพลตฟอร์มที่พร้อมรับมืออนาคต ซึ่งผ่านการปรับปรุงทั้งความเร็วและความสะดวกในการใช้ ทำให้ลูกค้าสามารถมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดียิ่งขึ้นและประสบการณ์ของลูกค้าที่ในแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้นได้

ซานฟรานซิสโก–(BUSINESS WIRE)–28 กุมภาพันธ์ 2024

ในวันนี้ LiveRamp (NYSE: RAMP) ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มการรวมข้อมูลรุ่นใหม่จาก /LiveRamp ซึ่งนำโซลูชันสำหรับวงจรการตลาดทั้งหมดมารวมไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ข้อเสนอที่ครอบคลุมนี้มาพร้อมกับความสามารถใหม่ ๆ เช่น อินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่เรียบง่าย เทคโนโลยีแบบแยกส่วนสำหรับการทำงานร่วมกันข้ามคลาวด์ และตลาดคู่ค้าที่ผู้พัฒนาบุคคลที่สามสามารถสร้างแอปพลิเคชันเพื่อแสดงความเชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ ด้วยการต่อยอดจากเทคโนโลยีที่ทนทานและได้รับการยอมรับ ซึ่งออกแบบมาให้ทนต่อสัญญาณขาดหาย ทำให้แพลตฟอร์มการรวมข้อมูลจาก /LiveRamp มีฟังก์ชันการทำงานในการจัดการข้อควรพิจารณาด้านความเป็นส่วนตัวที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับเร่งการใช้งานการรวมข้อมูลให้ก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น

สิ่งที่ Gartner® ค้นพบเผยให้เห็นว่า “การตลาดมีบทบาทส่วนใหญ่ในกิจกรรมข้อมูลและการวิเคราะห์ทั่วทั้งบริษัท โดย 71% ของทีมข้อมูลและการวิเคราะห์ด้านการตลาดต้องรับผิดชอบองค์ประกอบของกลยุทธ์ข้อมูลอย่างน้อยหนึ่งส่วนสำหรับองค์กร” LiveRamp นำความสามารถทั้งหมดมารวมไว้ในอินเทอร์เฟซผู้ใช้เดียว พร้อมด้วยการเรียบเรียงที่ช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้ลูกค้าประสานงานกับคู่ค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังรองรับสถาปัตยกรรมข้อมูลสมัยใหม่โดยมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลแบบกระจายตัวเพื่อลดความยุ่งยากบนคลาวด์ ปรับปรุงความสามารถในการใช้งานคลาวด์สำหรับผู้ใช้ทางธุรกิจทุกคน รวมถึงแก้ไขข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากความสะดวกในการใช้งานที่สูงขึ้นและฟังก์ชันการทำงานที่เรียบง่าย ซึ่งปลดล็อกมูลค่าสำหรับทุกความต้องการในการรวมข้อมูลได้อย่างทั่วถึง

  • เพิ่มความสะดวกสบายโดยใช้อินเทอร์เฟซผู้ใช้เดียวด้วยการสร้างต่อยอดจากรากฐานของการเชื่อมต่อข้อมูลประจำตัวที่ดีที่สุด ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วทุกมุมโลก และเทคโนโลยีรองรับความเป็นส่วนตัวที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะ
  • พัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้และเร่งความเร็วสู่การสร้างมูลค่าด้วยไปป์ไลน์การนำเข้าใหม่ที่ลดเวลาในการทำงานจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง เครื่องมือการบริการตนเองสามารถอนุญาตชุดข้อมูลและส่วนข้อมูลและระบการแจ้งเตือนใหม่สามารถใช้งานควบคู่กับเครื่องมือในสถานที่ทำงานต่าง ๆ เช่น Slack และช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมวิธีการรับข้อมูลได้
  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วทั้งระบบนิเวศโดยใช้ประสบการณ์การเปิดใช้งานและการแบ่งส่วนที่มีประสิทธิภาพที่ยึดผู้ใช้ แคมเปญ และการแบ่งส่วนข้ามกลุ่มเป้าหมายเป็นศูนย์กลาง ปรับปรุงผลการดำเนินการด้านการตลาดได้มากขึ้นโดยการผสานรวมกับเทคโนโลยีต่างๆ เช่น Google PAIR ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับการสูญเสียคุกกี้ของบุคคลที่สามและสัญญาณที่เลิกใช้งานอื่น ๆ
  • ปลดล็อกความร่วมมือใหม่ ๆ ในข้อมูลบุคคลที่สองและสามด้วยความยืดหยุ่นในการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าข้อมูลบุคคลที่หนึ่งของคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ซึ่งครอบคลุมการใช้งานที่กว้างขวางที่สุดจากที่เดียว
  • ใช้ประโยชน์จากตลาดแอปพลิเคชันของคู่ค้าแห่งใหม่ เริ่มต้นด้วยการค้นพบ การเข้าถึง และการพัฒนาโซลูชันการวัดผลที่ผสานรวมจากเครือข่ายคู่ค้าทั่วโลกของ LiveRamp

“หลักการสำคัญของ Albertsons Media Collective คือการรองรับระบบนิเวศการทำงานร่วมกันที่เชื่อมต่อถึงกันได้มากขึ้น ซึ่งเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล พร้อมกับลดการเคลื่อนย้ายข้อมูล” Evan Hovorka รองประธานกรรมการฝ่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของ Albertsons Media Collective กล่าว “LiveRamp ช่วยให้เรารักษาพันธสัญญานี้ได้ด้วยโซลูชันที่พร้อมรับมืออนาคตที่เพิ่มความแม่นยำของสัญญาณ รักษาความเป็นส่วนตัว และปรับการทำงานร่วมกันบนข้อมูลทั่วทุกช่องทางที่สำคัญต่อเครือข่ายของเรามากที่สุด LiveRamp นำความสามารถเหล่านี้มารวมกันได้อย่างลงตัว ซึ่งไม่เพียงเร่งความร่วมมือของเราเอง แต่ยังถ่ายทอดมูลค่าที่เรามอบให้กับลูกค้า ผู้ลงโฆษณา และระบบนิเวศส่วนรวมของเราได้”

“โซลูชัน Lift จาก Circana เป็นมาตรฐานในการวัดผลการค้าปลีกและ CPG สามารถรวมข้อมูลที่ระดับครัวเรือนเพื่อปลดล็อกข้อมูลเชิงลึกสำหรับผู้ลงโฆษณา พวกเขาจึงสามารถวัดผลและปรับการลงทุนกับสื่อให้เหมาะสมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการขายได้” Harvey Goldhersz รองประธานกรรมการบริหารจาก Circana กล่าว “เมื่อใช้ LiveRamp ผู้ลงโฆษณาสามารถจดจ่อกับข้อความสร้างสรรค์ รูปแบบโฆษณา กลุ่มเป้าหมาย และการจัดตำแหน่งสื่อเพื่อให้ขับเคลื่อนการค้าปลีกได้อย่างมีประสิทธิภาพและผลิตผลสูงสุด ผู้ลงโฆษณาที่ใช้โซลูชัน Lift จาก Circana ช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการโฆษณา (ROAS) สูงสุด 80% เราตื่นเต้นที่ได้เปลี่ยนมาใช้ความสามารถนี้สำหรับ LiveRamp ซึ่งนำความเร็ว ความครอบคลุมที่เหนือชั้น และความแม่นยำสู่กลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางยิ่งขึ้นของ Circana มาใช้งาน”

การเปิดตัวแพลตฟอร์มการรวมข้อมูลแบบครบวงจรจาก /LiveRamp ตามมาหลังจากการควบรวมกิจกรรมของบริษัท Habu เพื่อเร่งกระบวนการรวมข้อมูลผ่านเทคโนโลยีห้องปลอดเชื้อ ที่มีประสิทธิภาพ ลูกค้าที่ใช้ LiveRamp Clean Room ซึ่งให้บริการโดย Habu บนแพลตฟอร์มของพวกเขาสามารถวัดผลแคมเปญได้ในทุกระบบ Walled Gardens แพลตฟอร์มสื่อ และช่องทางที่เป็นระบบ พร้อมกับเชื่อมต่อข้อมูลข้ามคลาวด์ คลังข้อมูล และห้องปลอดเชื้อได้อย่างราบรื่น

“ลูกค้าของ LiveRamp ได้สอบถามเกี่ยวกับโซลูชันที่มีความเรียบง่ายและความครอบคลุมมากขึ้นเพื่อปลดล็อกมูลค่าของข้อมูลและขับเคลื่อนข้อได้เปรียบในการแข่งขัน” Kimberly Bloomston ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ LiveRamp กล่าวเสริม “การเปิดตัวแพลตฟอร์มแบบครบวงจรของเราสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้โดยการกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการรวมข้อมูลอันทรงพลัง ซึ่งสร้างขึ้นต่อยอดจากเทคโนโลยีที่รักษาความเป็นส่วนตัวและสามารถรับมือข้อกำหนดการทนต่อสัญญาณขาดหายและความเป็นส่วนตัวที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ การควบรวมกิจการของ Habu โดย LiveRamp ล่าสุดช่วยเสริมสร้างความสามารถของเราในการช่วยให้ลูกค้าทำงานร่วมกัน ใช้งานข้อมูลได้จากทุกตำแหน่ง และวัดผลได้จากทุกที่”

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานการรวมข้อมูลอันกว้างขวางที่ LiveRamp สามารถปลดล็อกให้บริษัทของคุณได้ที่ liveramp.com/our-platform

เกี่ยวกับ LiveRamp

LiveRamp คือแพลตฟอร์มการรวมข้อมูลตามความต้องการสำหรับบริษัทล้ำนวัตกรรมที่สุดของโลก ผู้นำที่รักการค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค จริยธรรมด้านข้อมูล และข้อมูลประจำตัวขององค์กร LiveRamp กำลังกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการสร้างมุมมองลูกค้าที่เชื่อมต่อถึงกันที่มีความชัดเจนและบริบทที่ไม่มีใครเทียบได้ พร้อมกับปกป้องแบรนด์อันมีค่าและความไว้วางใจของผู้บริโภค LiveRamp นำเสนอความยืดหยุ่นในการทำงานร่วมกันจากทุกที่โดยไม่ต้องกังวลถึงตำแหน่งของข้อมูลเพื่อรองรับการใช้งานการรวมข้อมูลที่กว้างขวางที่สุด ไม่ว่าจะเป็นภายในองค์กร ระหว่างแบรนด์ และเครือข่ายคู่ค้าคุณภาพสูงทั่วโลก

นักคิดค้นนวัตกรรมทั่วโลกหลายร้อยราย ตั้งแต่แบรนด์สินค้าผู้บริโภคชั้นนำและยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีไปจนถึงธนาคาร ร้านค้าปลีก และผู้นำด้านการดูแลสุขภาพหันมาใช้ LiveRamp เพื่อสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนและมูลค่าทางธุรกิจโดยการเจาะลึกการมีส่วนร่วมและความภักดีของลูกค้า เริ่มต้นความร่วมมือใหม่ ๆ และเพิ่มพูนมูลค่าของข้อมูลบุคคลที่หนึ่งจนถึงขีดสุด พร้อมกับรักษาตำแหน่งในแนวหน้าของการปฏิบัติตามข้อกำหนดและกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว LiveRamp ตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีสำนักงานกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.liveramp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผู้ติดต่อ

Michelle Millsap
PR@liveramp.com

แหล่งที่มา: LiveRamp

ผู้ที่ได้รับรางวัลแชมป์เครือข่ายการบินของ OAG ใน ASPAC

Logo

VietJet Air เป็นผู้นําเครือข่ายสายการบินที่ได้รับการปรับปรุงมากที่สุด

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–28 กุมภาพันธ์ 2024

OAG แพลตฟอร์มข้อมูลชั้นนําของโลกสําหรับอุตสาหกรรมการเดินทางทั่วโลก ประกาศรายชื่อผู้ชนะรางวัล Asia-Pacific (ASPAC) Aviation Network Champions รายชื่อนี้เชิดชูการเดินทางสู่สายการบินและสนามบินในภูมิภาค ASPAC ที่มีมาตั้งแต่ปี 2019 หมวดหมู่หลักจะพิจารณาจากการเติบโตของความถี่ และขีดความสามารถในการรองรับ สําหรับผู้ให้บริการทั้งระยะไกลและระยะสั้น เครือข่ายที่ได้รับการปรับปรุงมากที่สุด และเส้นทางที่ได้รับการฟื้นฟู

การใช้เครือข่ายข้อมูลเที่ยวบินและประสิทธิภาพทางการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก OAG จึงได้กําหนดสายการบินและสนามบินที่ประสบความสําเร็จมากที่สุด โดยพิจารณาจากการเติบโตของการเชื่อมต่อ ขีดความสามารถ และการฟื้นฟู หมวดหมู่ประกอบด้วย:

  • สายการบินที่มีการเติบโตของขีดความสามารถในการรองรับ: ได้รับรางวัลการเติบโตสูงสุด (%)ในการรองรับของสายการบินระหว่างปี 2019-2023
  • สายการบินที่มีความถี่เพิ่มขึ้น: สายการบินที่มีความถี่เที่ยวบินเพิ่มขึ้นสูงสุด(%) ระหว่างปี 2019-2023
  • สายการบินเครือข่ายที่ได้รับการปรับปรุงมากที่สุด: สายการบินที่เพิ่มเส้นทางการบินใหม่มากที่สุดในปี 2023 เทียบกับปี 2019
  • สนามบินที่ได้รับการฟื้นฟูมากที่สุด: พิจารณาจากการเติบโตของขีดความสามารถในการรองรับของสายการบิน (%) ระหว่างปี 2019-2023
  • สนามบินที่เติบโตเร็วที่สุด: อัตราการเติบโตสูงสุด (%) ในการเปลี่ยนแปลงการรองรับของสายการบินจากไตรมาสที่ 4 ปี 2023 เทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2022

VietJet เป็นผู้นํากลุ่มสายการบินในสามประเภท ได้แก่ การเติบโตของขีดความสามารถในการรองรับและการเติบโตของความถี่ (ทั้งสําหรับ LCC ระยะสั้น) และเครือข่ายที่ได้รับการปรับปรุงมากที่สุด จาการ์ตา ซูการ์โน-ฮัตตา เป็นสนามบินที่ได้รับการฟื้นฟูมากที่สุด และฮ่องกงเป็นสนามบินที่เติบโตเร็วที่สุด นอกจากนี้รายการดังกล่าวยังยกย่องประสิทธิภาพของเส้นทางหลักในปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึง อิชอน – โตเกียว นาริตะ ในฐานะคู่เมืองระหว่างประเทศที่มีการแข่งขันสูงที่สุด

"ตลาดการบินทั่วโลกฟื้นตัวเต็มที่แล้ว โดยที่ ASPAC ยังตามหลังอยู่ ขึ้นอยู่กับเศรษฐศาสตร์มหภาคทั่วโลก และการฟื้นตัวอย่างเต็มที่ของตลาดขาออกของจีน การฟื้นตัวเต็มรูปแบบน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2024 หรือต้นปี 2025" Mayur Patel หัวหน้าภูมิภาค ASPAC ของ OAG กล่าว "ด้วยจำนวนคําสั่งซื้อเครื่องบินที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค รายได้หลังหักภาษีที่เพิ่มขึ้น และความหิวโหยในการเดินทาง ASPAC จึงพร้อมที่จะเป็นผู้นําอุตสาหกรรมในทศวรรษหน้า"

หากต้องการดูรายชื่อผู้ได้รับรางวัล Asia-Pacific Aviation Network Champions ของ OAG ทั้งหมด โปรดไปที่ www.oag.com/aviation-network-champions

เกี่ยวกับ OAG

OAG เป็นแพลตฟอร์มข้อมูลชั้นนําสําหรับอุตสาหกรรมการเดินทางทั่วโลก ซึ่งขับเคลื่อนการเติบโตและนวัตกรรมของระบบนิเวศการเดินทางทางอากาศตั้งแต่ปี 1929 โดยมีเครือข่ายข้อมูลการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ในเดือนกรกฎาคม ปี 2023 OAG ได้เข้าซื้อกิจการ Infare ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านข้อมูลการเดินทางทางอากาศของคู่แข่ง ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของสายการบินและผู้เล่นในอุตสาหกรรมการเดินทางอื่น ๆ ในการตัดสินใจด้านราคาอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ปี 2000 OAG และ Infare ร่วมกันกลายเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มข้อมูลที่เชื่อถือได้มากที่สุดสําหรับการบิน

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สอบถามข้อมูลสื่อ
Chrissy Azevedo, Corporate Ink for OAG
pressoffice@oag.com

ที่มา: OAG

GIGABYTE จุดประกายวิสัยทัศน์ AI และ 5G ในงาน MWC 2024 เน้นซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ Edge AI และการอัพเกรดด้านไอทีที่ยั่งยืน

Logo

ไทเป–(BUSINESS WIRE)–26 กุมภาพันธ์ 2024

GIGABYTE Technology ผู้บุกเบิกด้านไอทีที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระดับโลกผ่านคลาวด์ และระบบประมวลผล AI นําเสนอโซลูชันการประมวลผลระดับองค์กรที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในงาน MWC 2024 โดยมีเซิร์ฟเวอร์ที่บุกเบิก โซลูชั่นการประมวลผลเพื่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี edge AI ภายใต้ธีม “อนาคตของการประมวลผล”ความก้าวหน้าเหล่านี้นํามาซึ่งความเป็นไปได้ใหม่ๆ สําหรับกลยุทธ์ด้านไอทีที่คล่องตัวและยั่งยืน ช่วยให้อุตสาหกรรมต่างๆ สามารถควบคุมข้อมูลอัจฉริยะแบบเรียลไทม์ผ่านศูนย์ข้อมูล คลาวด์ เอดจ์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่อกันหลายมิติ ส่งผลให้ประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าคุ้มทุน และความได้เปรียบในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนโดยการทํางานร่วมกันของเทคโนโลยี 5G และ AI

GIGABYTE Ignites AI and 5G Visions at MWC 2024, Highlighting New Supercomputers, Edge AI and Sustainable IT Upgrades (Photo: Business Wire)

GIGABYTE จุดประกายวิสัยทัศน์ AI และ 5G ในงาน MWC 2024 เน้นซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ Edge AI และการอัพเกรดด้านไอทีที่ยั่งยืน (รูปภาพ: Business Wire)

เปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใหม่

GIGABYTE นำเสนอ G593-ZX1/ZX2 ซึ่งเป็น AI server ที่มี AMD Instinct™ MI300X 8-GPU ซึ่งเป็นส่วนเสริมใหม่ในซีรีส์เซิร์ฟเวอร์ AI/HPC เรือธงของ GIGABYTE การจัดแสดงไฮไลท์อื่น ๆ ได้แก่ H223-V10 ความหนาแน่นสูงที่รองรับ NVIDIA Grace Hopper Superchip เซิร์ฟเวอร์ G383-R80 ที่รองรับ AMD Instinct™ MI300A APU สี่ตัว และเซิร์ฟเวอร์ AI ซีรีส์ G593 ที่มาพร้อมกับ NVIDIA HGX H100 8-GPU อันทรงพลัง

ที่อยู่ติดกับเซิร์ฟเวอร์ AI/HPC ที่บุกเบิกเหล่านี้ คือเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลแบบอาเรย์แฟลชล้วน S183-SH0 ด้วยความจุ 32 E1.S NVMe SSDs จึงมอบการจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง เหมาะอย่างยิ่งสําหรับการจัดการเวิร์กโหลด AI ที่ซับซ้อน เช่น โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) โดยรวมแล้วเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้สามารถรวมเข้ากับคลัสเตอร์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และเฟรมเวิร์ก 5G ได้ ซึ่งทําหน้าที่เป็นรากฐานที่สําคัญของโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมใช้งาน AI และขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางธุรกิจและการวิจัยในระดับ exascale

แพลตฟอร์ม Edge ที่ยืดหยุ่นสําหรับเฟสต่อไปของ 5G และ AI

ภายในบูธ GIGABYTE ได้เปิดตัว Edge Server E263-S30 ที่ปรับเปลี่ยนได้สูง E263-S30 ล้อมรอบด้วยพาวเวอร์ซัพพลายและมาเธอร์บอร์ด ควบคู่ไปกับ NIC และตัวเร่งความเร็วจาก AMD, Broadcom, Intel และ NVIDIA เป็นตัวอย่างว่า เซิร์ฟเวอร์โมดูลาร์ของ GIGABYTE  ตอบสนองต่อสถานการณ์ด้านไอทีที่หลากหลายได้อย่างไร โดยการอัพเกรดข้อกําหนดฮาร์ดแวร์ต่างๆ ภายในแชสซีแบบครบวงจร ความยืดหยุ่นนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงเครื่องมือในการเร่งการปรับใช้เครือข่าย 5G ขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนการบํารุงรักษาและอัปเกรด

โซลูชันแบบครบวงจรสําหรับการอัเกรดไอทีเพื่อสิ่งแวดล้อม

การกระจายความร้อนส่วนเกินจากเซิร์ฟเวอร์กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทําให้สิ้นเปลืองพลังงาน GIGABYTE จัดการกับความท้าทายนี้ด้วยการนําเสนอ A1P0-EB0 ซึ่งเป็นถังระบายความร้อนแบบจุ่ม 25U EIA ขนาดใหญ่ ซึ่งแสดงการกระจายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ที่โดดเด่นสูงถึง 80kW และ PUE ที่ต่ำถึง 1.02 GIGABYTE ยังมีเซิร์ฟเวอร์ที่พร้อมสำหรับการแช่ที่หลากหลาย รองรับทั้งโปรเซสเซอร์ Intel และ AMD และรองรับเวิร์กโหลดทุกประเภท. พวกเขาเป็นตัวอย่างว่าโซลูชันการประมวลผลเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุมของ GIGABYTE ช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถลดการใช้พลังงานและบรรลุต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (TCO) ที่ดีขึ้นได้อย่างไร

เซิร์ฟเวอร์องค์กรอเนกประสงค์พร้อมความสามารถด้านเครือข่ายที่แข็งแกร่ง

GIGABYTE นําเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ที่หลากหลาย ซึ่งออกแบบมาสําหรับโทรคมนาคม ผู้ให้บริการคลาวด์ องค์กร และ SMB ช่วยให้สามารถสร้างสถาปัตยกรรมดิจิทัลแบบเปิดและปลอดภัยในสภาพแวดล้อมเครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ Arm รุ่น R163-P32 มีระบบคอร์หนาแน่นที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งมอบความได้เปรียบในการปฏิบัติงานสําหรับเวิร์กโหลดบนคลาวด์ขนาดใหญ่

ในเวิร์กโหลด AI และแอปพลิเคชันเอดจ์คลาวด์  เซิร์ฟเวอร์ R243-EG0 และ R143-EG0 รองรับโปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ 8004 Series ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมต่อวัตต์ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโทรคมนาคม สําหรับโซลูชันไอทสำหรับ SMB GIGABYTE ขอแนะนํา R113-C10 และ R123-X00 ซึ่งมาพร้อมกับโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen™ 7000 และ Intel® Xeon® E-2400 เพื่อให้มั่นใจถึงการดําเนินงานด้านไอทีที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บโฮสติ้ง ไฮบริดคลาวด์ และการจัดเก็บข้อมูล

เทคโนโลยีการขับขี่ด้วยตนเองที่มีความแม่นยําสูงซึ่งขับเคลื่อนโดย Edge AI

การบูรณาการเทคโลยีล้ำสมัย อัลกอริธึม AI และชิปล้ำสมัย ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) และ ระบบเทเลเมติกส์ ของ GIGABYTE ทําให้การตัดสินใจในการขับขี่แบบเรียลไทม์เพื่อประสบการณ์การขับขี่ด้วยตนเองที่ปลอดภัยและชาญฉลาด ด้วยอินเทอร์เฟซ I/O ที่สมบูรณ์แบบ จึงผสานรวมกับอุปกรณ์ตรวจจับต่างๆ ได้อย่างราบรื่น รวมถึงกล้อง เซ็นเซอร์อัลตราโซนิก LiDAR และเรดาร์ mmWave รวบรวมข้อมูลสภาพแวดล้อมที่ครอบคลุม เพื่อนําทางยานพาหนะไปตามเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดภายใต้สภาพถนนแบบไดนามิกและท้าทาย

เยี่ยมชม MWC event page ของ GIGABYTE

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ: Michael Pao brand@GIGABYTE.com

ที่มา: GIGABYTE Technology

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53899099/en


Rimkus เฉลิมฉลองการดำเนินงานมาเป็นเวลา 40 ปี พร้อมการลงทุนจาก HGGC

Logo

ความร่วมมือกับ HGGC จะเพิ่มศักยภาพให้กับ Rimkus ในการเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญและขยายการเข้าถึงตลาดได้มากยิ่งขึ้น

HOUSTON–(BUSINESS WIRE)–22 กุมภาพันธ์ 2024

Rimkus Consulting Group, Inc. ("Rimkus") ผู้นำระดับโลกในการให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมและทางเทคนิค ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้รับการลงทุนเพื่อการเติบโตเชิงกลยุทธ์จาก HGGC ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำในการลงทุนตลาดระดับกลาง โดยนักลงทุนรายย่อยปัจจุบันของ Century Equity Partners และทีมผู้บริหารของ Rimkus จะนำหุ้นที่มีนัยสำคัญนี้เข้าสู่ธุรกรรมดังกล่าว แต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินของข้อตกลงนี้

“เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับ HGGC ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเรา การลงทุนของบริษัทไม่เพียงแต่เป็นการตระหนักถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของทีม Rimkus แต่ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของพวกเราอีกด้วย ด้วยความเชี่ยวชาญและทรัพยากรของ HGGC เราพร้อมที่จะก้าวไปสู่มิติใหม่ และขยายข้อเสนอการบริการของเราเพื่อมอบมูลค่าที่มากยิ่งขึ้นแก่ลูกค้าของเรา” Jonathan Higgins ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Rimkus กล่าว

Rimkus ให้บริการด้านการให้คำปรึษาทางวิศวกรรมและทางเทคนิคให้แก่ลูกค้าทั่วโลก รวมถึง องค์กร สำนักงานกฎหมาย บริษัทประกันภัย ผู้บริหารจัดการบุคคลที่สาม และหน่วยงานภาครัฐ ความร่วมมือครั้งใหม่กับ HGGC จะช่วยให้ Rimkus สามารถขยายการบริการให้กว้างยิ่งขึ้น ให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และสร้างชื่อเสียงให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำทางเทคนิคในอนาคต

“Rimkus เป็นบริษัทชั้นนำที่ได้รับการพิสูจน์แล้วด้วยแบรนด์ที่ยอดเยี่ยมและวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างแท้จริง ประวัติและชื่อเสียงของบริษัทเป็นที่รู้จักและยอมรับกันในหมู่ลูกค้า จึงเป็นพันธมิตรที่น่าดึงดูดใจยิ่งสำหรับเรา” HGGC กล่าว “เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ Rimkus สามารถบรรลุการเติบโต โดยขยายขอบเขตการให้บริการ เพิ่มพูนความเชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว และลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเสริมการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น”

ตั้งแต่ปี 2020 Rimkus มีการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์มาแล้ว 15 แห่ง มีการขยายเครือข่ายจนปัจจุบันมีพนักงานกว่า 1,500 คน และมีสำนักงานมากกว่า 110 แห่งทั่วโลก นับจากมีการรีแบรนด์เชิงกลยุทธ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Rimkus ได้ปรับปรุงขอบเขตการดำเนินงานที่มีอยู่ให้ก้าวนำความต้องการของลูกค้าทั่วโลก และมีการลงทุนมหาศาลในโซลูชันทางเทคโนโลยี และบุคลากร ซึ่งทำให้บริษัทยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบริการที่ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง

“ด้วยแรงผลักดันการเติบโตที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เรามีความยินดีที่จะให้การสนับสนุน Rimkus และร่วมมือกับ HGGC รวมถึงทีมผู้บริหารเพื่อขยายความเป็นผู้นำในตลาดให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น” Century Equity Partners กล่าว

J.P. Morgan ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ Rimkus โดย Baird เป็นที่ปรึกษาของ Century Equity Partners และ Piper Sandler เป็นที่ปรึกษาของ HGGC

เกี่ยวกับ Rimkus
Rimkus เป็นผู้ให้บริการให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมและทางเทคนิคทั่วโลกแก่องค์กรต่างๆ บริษัทประกันภัย สำนักงานกฎหมาย และหน่วยงานภาครัฐ Rimkus มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศาในการให้คำปรึกษาด้านนิติวิทยาศาสตร์ การระงับข้อพิพาท และการบริการบริหารจัดการด้านการก่อสร้าง โซลูชันสำหรับสภาพแวดล้อม และการสนับสนุนปัจจัยสำหรับมนุษย์ในภาคส่วนอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และการดูแลสุขภาพ เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วที่วิศวกร สถาปนิก นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคมืออาชีพของบริษัทได้รับการยอมรับในความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศจากชุมชนธุรกิจในท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ Rimkus มีสำนักงานมากกว่า 110 แห่งทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.rimkus.com

เกี่ยวกับ HGGC
HGGC เป็นองค์กรด้านการลงทุนภาคเอกชนที่มุ่งเน้นคุณค่าและการเป็นหุ้นส่วน ระบบนิเวศขององค์กรประกอบด้วยนักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้เชี่ยวชาญต่างมีภารกิจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในการพัฒนาองค์กรชั้นนำ และสร้างคุณค่าระยะยาวร่วมกัน HGGC มีการลงทุนในเทคโนโลยี บริการทางธุรกิจ บริการทางการเงิน และองค์กรผู้บริโภค ซึ่งมีมูลค่าโดยทั่วไประหว่าง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ – 1.5 พันล้านเหรียญสหรัญ บริษัทมีที่ตั้งอยู่ในเมือง Palo Alto, CA และบริหารจัดการภาระผูกพันด้านทุนสะสมมากกว่า 6.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2007 HGGC มีการลงทุนในกว่า 600 แพลตฟอร์ม มีการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม มีการเพิ่มทุน และมีการปรับสภาพคล่องกว่าโดยมีมูลค่าธุรกรรมรวมกว่า 71 พันล้านเหรียญสหรัฐ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงรายการลงทุนทั้งหมดทั้งในปัจจุบันและอดีตได้ที่ www.hggc.com

เกี่ยวกับ Century Equity Partners
Century Equity Partners, LLC ("Century") เป็นองค์กรเอกชนด้านเงินทุน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Boston โดยมีการจัดหาเงินทุนสำหรับบริษัทในตลาดระดับกลางและระดับล่างที่กำลังมองหาการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโต หรือซื้อกิจการกองทุน มีการซื้อหุ้นบางส่วน หรือมีการปรับฐานเพื่อเพิ่มทุน Century มุ่งเน้นในบริษัทที่ดำเนินงานภาคประกันภัย การบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่ง การเงินเฉพาะด้าน และภาคส่วนการบริการทางการธนาคารและกู้ยืม

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53899544/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ
สำหรับ Rimkus
Victoria Cook
Pierpont Communications for Rimkus
vcook@piercom.com
+1-713-627-2223

สำหรับ HGGC
Trevor Blaisdell
Stanton
TBlaisdell@StantonPRM.com
+1-646-502-3532

แหล่งข้อมูล: Rimkus Consulting Group, Inc.

โตชิบาเปิดตัว Power MOSFETs พร้อมไดโอดความเร็วสูงที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของหน่วยจ่ายกำลัง

Logo

สมาชิกใหม่ในซีรีส์ DTMOSVI รุ่นล่าสุดซึ่งใช้โครงสร้างแบบ Super Junction

คาวาซากิ, ญี่ปุ่น –(BUSINESS WIRE)–22 กุมภาพันธ์ 2024

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ("โตชิบา") ได้เพิ่ม DTMOSVI(HSD) ซึ่งเป็นทรานซิสเตอร์ Power MOSFETs ที่มีไดโอดความเร็วสูงและเหมาะสำหรับหน่วยจ่ายกำลังกลุ่ม Switching Power Supply รวมถึงศูนย์ข้อมูลและเครื่องกรองไฟฟ้า PV ในรุ่นล่าสุดของซีรีส์[1] DTMOSVI ซึ่งใช้โครงสร้างแบบ Super Junction โดยสองผลิตภัณฑ์แรกสุดอย่าง Power MOSFETs 650V N-channel ในแพ็กเกจ TO-247 อย่าง "TK042N65Z5” และ “TK095N65Z5" จะเริ่มจัดส่งในวันนี้

Toshiba: DTMOSVI(HSD), power MOSFETs with high-speed diodes that help to improve efficiency of power supplies. (Graphic: Business Wire)

โตชิบา: DTMOSVI(HSD) Power MOSFETs พร้อมไดโอดความเร็วสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยจ่ายกำลัง (ภาพ: Business Wire)

บรรดาผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะใช้ไดโอดความเร็วสูงเพื่อปรับปรุงการฟื้นตัวของไดโอด[2] ในแง่ของคุณสมบัติต่างๆ ที่สำคัญสำหรับการใช้งานในวงจรบริดจ์และวงจรอินเวอร์เตอร์ เมื่อเทียบกับ DTMOSVI แบบมาตรฐาน ทรานซิสเตอร์รุ่นใหม่ใช้เวลาในการฟื้นตัว (trr) น้อยลงถึง 65% และประจุฟื้นตัว (Qrr) น้อยลง 88% (สภาวะแวดล้อมการวัดผล: -dIDR/dt= 100A/μs)

กระบวนการ DTMOSVI(HSD) ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วยปรับปรุงคุณสมบัติในการฟื้นตัวของซีรีส์ DTMOSIV ที่ใช้ไดโอดความเร็วสูง (DTMOSIV(HSD)) ของโตชิบา โดยมีกระแสคัตออฟที่ขั้วเดรนต่ำลงที่อุณหภูมิสูง ส่วน Figure of Merit “Drain-Source On-resistance × Gate-Drain Charge” ก็ต่ำลงเช่นกัน  กระแสคัตออฟที่ขั้วเดรนที่อุณหภูมิต่ำของ TK042N65Z5 ต่ำลงประมาณ 90%[3] ส่วน Drain-Source On-resistance × Gate-Drain Charge ต่ำลง 72% เมื่อเทียบกับ TK62N60W5 รุ่นปัจจุบันของโตชิบา[4] [5] ตัวเลขที่ดีขึ้นนะจะช่วยลดการสูญเสียพลังงานของอุปกรณ์และปรับปรุงประสิทธิภาพ โดย TK042N65Z5 มีประสิทธิภาพของหน่วยจ่ายกำลังดีกว่า TK62N60W5 รุ่นปัจจุบันสูงสุด 0.4% ดังที่วัดได้ในวงจร LLC 1.5kW[6]

สามารถดูงานออกแบบอ้างอิง “หน่วยจ่ายกำลังเซิร์ฟเวอร์ 1.6kW (รุ่นอัปเกรด)” ที่ใช้ TK095N65Z5 ได้แล้ววันนี้บนเว็บไซต์ของโตชิบา นอกจากนี้ โตชิบายังมีเครื่องมือให้ใช้สนับสนุนการออกแบบวงจรสำหรับ Switching Power Supply ด้วย นอกจากรุ่น G0 SPICE ที่ยืนยันการทำงานของวงจรได้ในเวลาอันสั้นแล้ว ยังมีรุ่น G2 SPICE ที่จำลองคุณสมบัติชั่วครู่ได้อย่างแม่นยำพร้อมให้ใช้งานเช่นกัน

โตชิบามีแผนที่จะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ DTMOSVI(HSD) ด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์ต่างๆ ในแพ็กเกจ TO-220 และ TO-220SIS แบบ Through-hole และแพ็กเกจ TOLL และ DFN แบบ 8×8 Surface-mount

บริษัทจะยังคงขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ในซีรีส์ DTMOSVI ต่อไป นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ 650V และ 600V ที่เปิดตัวไปแล้ว และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีไดโอดความเร็วสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Switching Power Supply ส่งผลให้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น

หมายเหตุ:
[1] ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2024 ตามการสำรวจของโตชิบา
[2] การดำเนินการสวิตชิ่งซึ่งตัวไดโอดของ MOSFET จะเปลี่ยนจากไบแอสตรงไปเป็นไบแอสแบบย้อนกลับ
[3] วัดค่าโดยโตชิบา ค่าที่ได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ TK042N65Z5 คือ 0.2mA (สภาวะแวดล้อมการทดสอบ: VDS=650V, VGS=0V, Ta=150°C)
ค่าที่ได้จากผลิตภัณฑ์เดิม TK62N60W5 คือ 1.9mA (สภาวะแวดล้อมการทดสอบ: VDS=600V, VGS=0V, Ta=150°C)
[4] ซีรีส์ DTMOSIV(HSD) 600V
[5] วัดค่าโดยโตชิบา
สภาวะแวดล้อมการทดสอบ:
TK62N60W5
• RDS(ON): ID=30.9A, VGS=10V, Ta=25°C
• Qgd: VDD=400V, VGS=10V, ID=61.8A, Ta=25°C
TK042N65Z5
• RDS(ON): ID=27.5A, VGS=10V, Ta=25°C
• Qgd: VDD=400V, VGS=10V, ID=55A, Ta=25°C
[6] วัดค่าโดยโตชิบา
สภาวะแวดล้อมการทดสอบ: Vin=380V, Vout=54V, Ta=25°C

การใช้งาน

อุปกรณ์อุตสาหกรรม

  • Switching Power Supply (เซิร์ฟเวอร์ศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์สื่อสาร เป็นต้น)
  • สถานีชาร์จ EV
  • เครื่องกรองไฟฟ้า PV
  • ระบบสำรองไฟฟ้า

 คุณสมบัติ

  • MOSFETs ที่มีไดโอดความเร็วสูงในซีรีส์ DTMOSVI รุ่นล่าสุด
  • เวลาฟื้นตัวเนื่องจากไดโอดความเร็วสูง:
    TK042N65Z5 trr=160ns (ปกติ)
    TK095N65Z5 trr=115ns (ปกติ)
  • สวิตชิงได้ด้วยความเร็วสูงเนื่องจากมี Gate-Drain Charge ต่ำ:
    TK042N65Z5 Qgd=35nC (ปกติ)
    TK095N65Z5 Qgd=17nC (ปกติ)

ข้อมูลจำเพาะสำคัญ

(Ta=25°C เว้นแต่ระบุเป็นอื่น)

หมายเลขชิ้นส่วน

TK042N65Z5

TK095N65Z5

แพ็กเกจ

ชื่อ

TO-247

ขนาด (มม.)

ปกติ

15.94×20.95, t=5.02

สัมบูรณ์

สูงสุด

ระดับ

Drain-Source Voltage VDSS (V)

650

Drain Current (DC) ID (A)

55

29

Drain-Source On-resistance RDS(ON) (Ω) 

VGS=10 V

สูงสุด

0.042

0.095

Gate charge รวม Qg (nC)

ปกติ

105

50

Gate-Drain charge Qgd (nC)

ปกติ

35

17

ความจุไฟฟ้าขาเข้า Ciss (pF)

ปกติ

6280

2880

ความต้านทางความร้อน Channel-to-case Rth(ch-c) (°C/W)

สูงสุด

0.347

0.543

เวลาฟื้นตัว  trr (ns)

ปกติ

160

115

ซีรีส์ปัจจุบันของโตชิบา (DTMOSIV) หมายเลขชิ้นส่วน

TK62N60W5[7]

TK35N65W5,

TK31N60W5[7]

หมายเหตุ:
[7] VDSS=600V

คลิกลิงก์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่
TK042N65Z5
TK095N65Z5

คลิกลิงก์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MOSFETs ของโตชิบา
MOSFETs

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง
* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation เป็นซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชั่นเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง โดยใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมที่สั่งสมมากว่าครึ่งศตวรรษในการนำเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน, ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ
พนักงานของบริษัทนับ 21,500 คนทั่วโลกต่างร่วมกันมุ่งมั่นเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์ให้สูงสุด และส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าในการสร้างคุณค่าและตลาดใหม่ร่วมกัน ด้วยยอดขายต่อปีเกือบ 8 แสนล้านเยน (6.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) บริษัท Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ตั้งตารอที่จะสร้างและมีส่วนร่วมในอนาคตที่ดีกว่าสำหรับผู้คนทุกที่
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53899054/en

ข้อมูลติดต่อ

สอบถามข้อมูลลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์กำลัง
โทร: +81-44-548-2216
ติดต่อเรา

สอบถามข้อมูลสื่อ:
Chiaki Nagasawa
Digital Marketing Dept.
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation