พิธีมอบรางวัล 2024 Japan Prize Award จัดขึ้นโดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่นเข้าร่วม

Logo

ศาสตราจารย์ Sir Brian J. Hoskins และศาสตราจารย์ John Michael Wallace ในสาขาทรัพยากร พลังงาน สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม

ศาสตราจารย์ Ronald M. Evans ในสาขาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ทางเภสัชศาสตร์

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–23 เมษายน 2024

Japan Prize Foundation (ประธาน: Hiroshi Komiyama) ได้จัดพิธีมอบรางวัลเมื่อวันอังคารที่ 16 เดือนเมษายน ที่โรงแรมอิมพีเรียลโตเกียวในเขตชิโยดะ กรุงโตเกียว เพื่อมอบรางวัล Japan Prize ให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่สร้างสรรค์ผลงานที่น่าทึ่ง และประสบความสำเร็จในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับโลก และมีส่วนสำคัญในการตระหนักถึงสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองเพื่อมวลมนุษยชาติ

ศาสตราจารย์ Sir Brian J. Hoskins (UK) และศาสตราจารย์ John Michael Wallace (USA) ผู้ชนะเลิศในสาขาทรัพยากร พลังงาน สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม และศาสตราจารย์ Ronald M. Evans (USA) ผู้ชนะเลิศในสาขาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ทางเภสัชศาสตร์ เข้าร่วมพิธีมอบรางวัล โดยแต่ละสาขาจะได้รับเงินรางวัล 100 ล้านเยน พร้อมประกาศนียบัตรและเหรียญรางวัล

ในแต่ละปี ผู้ชนะเลิศ Japan prize มาจากการเสนอชื่อจากนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่มีชื่อเสียงกว่า 15,500 คนจากทั่วโลก และจะมีการตัดสินโดยการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ปี สำหรับปี For 2024 มูลนิธิได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 130 รายสำหรับสาขาทรัพยากร พลังงาน สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม และ 198 รายสำหรับสาขาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ทางเภสัชศาสตร์ ผู้ชนะเลิศในปีนี้ได้รับการคัดเลือกจากผู้สมัครทั้งสิ้น 328 คน

พิธีมอบรางวัลในปีนี้มีแขกเข้าร่วมประมาณ 150 คน เริ่มจากสมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินี หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐสามสาขาและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนจากองค์กรทางสังคมอื่นๆ สมเด็จพระจักรพรรดิทรงพระราชทานพระราชดำรัส ตามด้วยสุนทรพจน์จากผู้ชนะเลิศทั้งสาม และคำกล่าวแสดงความยินดีจาก Hidehisa Otsuji ประธานรัฐสภา

สามารถเข้าชมพิธีมอบรางวัลในปีนี้ได้จากลิงก์ด้านล่าง

ภาษาญี่ปุ่น: https://www.youtube.com/live/9u7k6Al_MlU?si=B8EhDuvEByzFlTKB
ภาษาอังกฤษ: https://www.youtube.com/live/FsNvb9V0ODo?si=vAlfPk94QvCq4Iac

เกี่ยวกับ Japan Prize

การก่อตั้ง Japan Prize ในปี 1981 มาจากแรงบันดาลใจจากความปรารถนาของรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อสร้างรางวัลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งจะสนับสนุนการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั่วโลก ด้วยการสนับสนุนจากเงินบริจาคจำนวนมาก มูลนิธิ Japan Prize ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีในปี 1983 Japan Prize เป็นรางวัลที่มอบให้กับนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากทั่วโลก ซึ่งมีการสร้างสรรค์ผลงานที่น่าทึ่งและประสบความสำเร็จในการช่วยพัฒนาสาขาของตนเอง และเป็นส่วนสำคัญในการตระหนักถึงสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองเพื่อมวลมนุษยชาติ นักวิจัยในทุกสาขาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะมีสิทธิ์เข้าแข่งขัน โดยจะมีการคัดเลือกสองสาขาในแต่ละปี โดยคำนึงถึงแนวโน้มปัจจุบันในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยหลักการแล้ว จะมีเพียงหนึ่งคนในแต่ละสาขาที่จะได้รับรางวัล และได้รับประกาศนียบัตร เหรียญรางวัล และเงินรางวัล พิธีมอบรางวัลในแต่ละปีจะมีสมเด็จพระจักรพรรดและจักรพรรดินี หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐสามสาขาและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนจากองค์กรทางสังคมอื่นๆ เข้าร่วม

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อมูลเผยแพร่ในครั้งนี้:
The Japan Prize Public Relations Office
อีเมล: japanprize@ml.prap.co.jp

แหล่งข้อมูล: The Japan Prize Foundation

Asian Productivity Organization ประกาศผลผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านผลิตภาพดีเด่น

Logo

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–08 เมษายน 2024

Asian Productivity Organization (APO) เป็นองค์กรร่วมระหว่างรัฐบาลซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิก 21 ประเทศ ประกาศผลผู้ได้รับรางวัล APO Regional and Meritorious and Distinguished Awards ประจำปี 2024

นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 APO Awards ได้มีการเฉลิมฉลองความสำเร็จของผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านผลิตภาพดีเด่น ซึ่งมีส่วนสำคัญในการปรับปรุงผลิตภาพทั่วเอเชียแปซิฟิก เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 60 ปี ของ APO ในปี 2021 มีการปรับปรุงแผนการมอบรางวัลเพื่อสะท้อนถึงภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผลิตภาพและนวัตกรรม

ผู้ชนะได้รับรางวัล APO Regional Award and Meritorious and Distinguished Award ประจำปี 2024

ในปีนี้ APO มีความภูมิใจนำเสนอรางวัลแก่ผู้ชนะได้รับรางวัล Regional สองท่าน ซึ่งได้รับการยกย่องจากผลงานที่ดีเด่นโดยมีผลดีไม่เพียงเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีผลดีต่อระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย

1.      Dr. Pao-Cheng Chang ประธาน China Productivity Center

2.      Anilkumar Manibhai Naik ประธานกิตติมศักดิ์ Larsen & Toubro Limited

นอกจากนี้ ยังมีผู้ชนะได้รับรางวัล Meritorious and Distinguished Award ห้าท่าน ซึ่งได้รับการยกย่องจากความสำเร็จและการมีส่วนร่วมที่สร้างแรงบันดาลใจและเป็นแบบอย่าง ซึ่งนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางผลิตภาพ

1.      Dr. Bountheung Douangsavanh รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรและพาณิชย์ รัฐบาล สปป. ลาว

2.      Datuk Wira (Dr.) Haji Ameer Ali Mydin กรรมการผู้จัดการ Mydin Mohamed Holdings Berhad

3.      Yamaaranz Erkhembayar ประธานและซีอีโอ Mongolian Productivity Organization

4.      Prof. Ahsan Iqbal รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผน การพัฒนา และการปฏิรูป รัฐบาลกลางแห่งปากีสถาน

5.      Dr. Ha Minh Hiep รักษาการอธิบดีกรมมาตรฐาน มาตรวิทยา และคุณภาพ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

จะมีการดำเนินการนำเสนอรางวัลในพิธีมอบรางวัลระหว่างการประชุมคณะกรรมการฝ่ายปกครองของ APO สมัยที่ 66 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในระหว่างวันที่ 28–30 เดือนพฤกษภาคม ปี 2024 รวมถึงวาระที่กำหนดโดยกรรมการ APO จากประเทศต่างๆ ของผู้ชนะได้รับรางวัล APO Regional Meritorious and Distinguished and National Awards โดย APO มุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากความรู้และประสบการณ์ของผู้ชนะได้รับรางวัลเหล่านี้ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์ด้านผลิตภาพในอนาคต ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ นวัตกรรม และการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกของ APO เราขอแสดงความยินดีต่อผู้ชนะได้รับรางวัลทุกท่าน และหวังว่า จะได้มีส่วนร่วมเพื่อผลิตภาพและความเป็นเลิศในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ชนะได้รับรางวัล APO Award ล่าสุดได้ในเว็บไซต์ของเราที่ https://www.apo-tokyo.org/recognizing-apo-productivity-champions/

เกี่ยวกับ APO

Asian Productivity Organization (APO) เป็นองค์กรร่วมระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคที่มุ่งมั่นเพื่อปรับปรุงผลิตภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือร่วมกัน โดยไม่มีความเกี่ยวข้องด้านการเมือง ไม่แสวงหาผลกำไร และไม่เลือกปฏิบัติ APO ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้งแปดประเทศ และปัจจุบันประกอบด้วยประเทศสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สปป.ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไทย เตอร์กิเย และเวียดนาม

APO มีการดำเนินการเพื่ออนาคตของภูมิภาคโดยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก ผ่านบริการให้คำปรึกษาด้านนโยบายระดับชาติ ทำหน้าที่เป็นคลังความคิด มีโครงการริเริ่มเพื่อสร้างขีดความสามารถระดับสถาบัน และแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มผลิตภาพ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

หากต้องการรายละเอียด โปรดติดต่อ:
Digital Information Unit, APO: pr@apo-tokyo.org
หมายเลขโทรศัพท์: +81-3-3830-0411
เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org.

แหล่งข้อมูล: The Asian Productivity Organization (APO)

Merck Foundation ประกาศรางวัล ‘‘Diabetes and Hypertension’’ Media Recognition Awards 2024 สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชีย

Logo

มุมไบ อินเดีย–(BUSINESS WIRE)–03 เมษายน 2024

Merck Foundation (www.merck-foundation.com) ซึ่งเป็นหน่วยงานการกุศลภายใต้การบริหารจัดการของ Merck KGaA Germany ประกาศเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมชิงรางวัล Media Recognition ‘Diabetes & Hypertension’ Awards 2024 สำหรับนักข่าวจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย

Merck Foundation announced ‘‘Diabetes and Hypertension’’ Media Recognition Awards 2024 for Asian Countries (Photo: Business Wire)

Merck Foundation ประกาศรางวัล ‘‘Diabetes and Hypertension’’ Media Recognition Awards 2024 สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชีย (ภาพถ่าย: Business Wire)

ธีมของรางวัลนี้คือ การส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันและการตรวจหาโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงในระยะเริ่มต้น

Dr. Rasha Kelej วุฒิสมาชิกและซีอีโอของมูลนิธิ Merck Foundation เน้นย้ำว่า “ผมเชื่อว่า สื่อมีอำนาจและอิทธิพลต่อสังคม และด้วยเหตุนี้ สื่อจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่แพร่หลาย ดังนั้น ผมจึงขอเชิญชวนตัวแทนสื่อจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียมาเข้าร่วมชิงรางวัล Media Awards และแบ่งปันผลงานที่มีคุณค่าซึ่งสามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และเน้นย้ำถึงความสำคัญในการมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี”

รางวัลนี้เปิดให้กับนักข่าวทุกคนในประเทศภูมิภาคเอเชียจากแพลตฟอร์มสื่อสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุ และมัลติมีเดีย ผลงานสร้างสรรค์และมีอิทธิพลต่อสังคมในการสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเป็นประจำมากที่สุดจะมีสิทธิ์เข้าชิงรางวัลเหล่านี้

Merck Foundation ยังมีการมอบรางวัลเหล่านี้ให้กับประเทศในภูมิภาคแอฟริกาและละตินอเมริกาอีกด้วย

รายละเอียดเกี่ยวกับ Merck Foundation MEDIA RECOGNITION AWARDS 2024 “Diabetes & Hypertension”

ผู้ที่มีสิทธิ์สมัคร:
นักข่าวจากประเทศในภูมิภาคเอเชียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ ออนไลน์ และมัลติมีเดีย

วิธีการสมัคร:
สามารถส่งผลงานเข้าไปที่อีเมล: submit@merck-foundation.com

ภาษาที่ใช้:
ภาษาอังกฤษ ภาษาท้องถิ่นอื่นๆ

โปรดระบุหัวข้อในอีเมล:
Merck Foundation MEDIA RECOGNITION AWARDS 2024 “Diabetes & Hypertension”

โปรดระบุชื่อ ประเทศ ประเภทผลงานที่สมัคร และรายละเอียดการติดต่อของคุณ

ประเภทและเงินรางวัลสำหรับแต่ละกลุ่ม:

ประเภท

สื่อสิ่งพิมพ์

สื่อออนไลน์

สื่อวิทยุ

สื่อมัลติมีเดีย

เงินรางวัล

USD 500

USD 500

USD 500

USD 500

สามารถส่งผลงานในหลายประเภท ซึ่งจะเพิ่มโอกาสชนะได้รับรางวัลเหล่านี้

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของเราwww.merck-foundation.com

Merck Foundation ยังมีการเปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องแรก ‘Sugar Free Jude’ และ ‘Mark’s Pressure’ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และเพื่อส่งเสริมการมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีในหมู่เด็กและเยาวชนในแอฟริกาและภูมิภาคอื่นๆ โดยภาพยนตร์แอนิเมชั่นเหล่านี้เป็นการดัดแปลงมาจากหนังสือนิทานสำหรับเด็ก

สามารถรับชมภาพยนตร์แอนิเมชั่น “Sugar Free Jude” และ “Mark’s Pressure” ได้ที่นี่:

https://www.youtube.com/watch?v=mjbOvjVC3uE

https://www.youtube.com/watch?v=zJylVgGbvtA

“ผมมีความประสงค์ที่จะย้ำเตือนทุกคนว่า สุขภาพที่ดีคือสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของเรา ผ่านรางวัล หนังสือนิทาน และภาพยนตร์แอนิเมชั่นของเรา!” Dr. Kelej กล่าวเสริม

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53916105/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Mehak Handa, mehak.handa@external.merckgroup.com

แหล่งข้อมูล: Merck Foundation

Panda Biotech ประกาศว่าการดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้เริ่มต้นแล้ว ที่ Panda Hemp Gin ซึ่งเป็นเรือธงของบริษัท

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–03 เมษายน 2024

Panda Biotech™ ประกาศในวันนี้ว่าการดําเนินการเชิงพาณิชย์ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วที่ Panda Hemp Gin ซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปกัญชงอุตสาหกรรมที่สําคัญของบริษัท ในวิชิตาฟอลส์ รัฐเท็กซัส อาคารขนาด 500,000 ตารางฟุตตั้งอยู่บนพื้นที่ 97 เอเคอร์นี้ เป็นอาคารแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในซีกโลกตะวันตก โดยมีความสามารถในการแปรรูปกัญชงอุตสาหกรรม 10 เมตริกตัน ให้เป็นเส้นใยเกรดสิ่งทอ  แกนกัญชง ผสมเส้นใยสั้น/แกนกัญชง และแกนกัญชงที่เป็นผงละเอียดที่อุดมด้วยสารอาหารต่อชั่วโมง เป็นกระบวนการที่ไม่มีของเสีย โดยใช้ทุกส่วนของลำต้นกัญชงอุตสาหกรรม และดําเนินการใช้พลังงานหมุนเวียน 100 เปอร์เซ็นต์เพียงอย่างเดียว ทําให้เป็นพารากอนแห่งความยั่งยืนในอุตสาหกรรม

Panda Hemp Gin is a 500,000-square-foot building situated on 97 acres with the capacity to process 10 metric tons of industrial hemp into textile-grade fiber, hurd, short-fiber/hurd mix, and nutrient-rich micronized hurd per hour. (Photo: Business Wire)

Panda Hemp Gin เป็นอาคารขนาด 500,000 ตารางฟุตตั้งอยู่บนพื้นที่ 97 เอเคอร์ โดยมีความสามารถในการแปรรูปกัญชงอุตสาหกรรม 10 เมตริกตันให้เป็นเส้นใยเกรดสิ่งทอ แกนกัญชง ผสมเส้นใยสั้น/แกนกัญชง และแกนกัญชงที่เป็นผงละเอียดที่อุดมด้วยสารอาหารต่อชั่วโมง (ภาพ: Business Wire)

Panda Hemp Gin  ดําเนินการอย่างเต็มรูปแบบ และการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในเดือนกุมภาพันธ์กระบวนการการทดลองเครื่องที่ซับซ้อนของ สายการผลิตความยาว 600 หลาของ Panda และท่อลมเหนือศีรษะความยาวสามไมล์ รวมถึงอุปกรณ์แต่ละชิ้นสําหรับการตีเยื่อออก การกลั่น การผสม การทำให้เส้นใยนุ่มด้วยเครื่องจักร การบรรจุและการจัดเก็บแกนกัญชง และการอัดก้อน เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

“โรงงานแปรรูปกัญชงอุตสาหกรรมที่ล้ำสมัยของ Panda Biotech ถือเป็นความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ และเป็นตัวเปลี่ยนเกมสําหรับทั้งการเกษตรและอุตสาหกรรม” Dixie Carter ประธาน Panda Biotech กล่าว “ในขณะที่การวิจัยและพัฒนาในด้านนี้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เส้นใยและเซลลูโลสกัญชงอุตสาหกรรม จะช่วยเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมจํานวนมาก โดยมีเป้าหมายและความท้าทายที่ยั่งยืน กัญชงอุตสาหกรรมของ Panda จะมีบทบาทสําคัญในการตอบสนองความต้องการที่สำคัญของตลาดโลก สําหรับกระบวนการและผลิตภัณฑ์หมุนเวียน”

กัญชงอุตสาหกรรมถือเป็นวัตถุดิบที่หลากหลายที่สุดชนิดหนึ่ง พร้อมศักยภาพการใช้งานที่หลากหลายที่ไม่มีใครเทียบได้ Panda Hemp Gin จะมุ่งเน้นไปที่การจัดหาสายผลิตภัณฑ์หลักห้าสายจากกัญชง ได้แก่ การทำให้เส้นใยนุ่มด้วยเครื่องจักร เส้นใยที่ผ่านกระบวนการตีเยื่อออก แกนกัญชง (เซลลูโลส) ผสมเส้นใยสั้น/แกนกัญชง และผงกัญชงละเอียดที่อุดมด้วยสารอาหาร การใช้งานที่หลากหลายสําหรับแต่ละผลิตภัณฑ์แตกต่างกันไป ตั้งแต่สิ่งทอสําหรับผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ผ้าไม่ทอ ผลิตภัณฑ์กระดาษ พลาสติกชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ วัสดุรองนอนของสัตว์ วัสดุที่ใช้แทนไฟเบอร์กลาส วัสดุก่อสร้างเช่น เฮมพ์กรีต วัสดุคลุมดิน ฉนวนกันความร้อน และอื่น ๆ

ด้วยความมุ่งมั่นในการตรวจสอบย้อนกลับและแปรรูปเฉพาะเศษเส้นใยกัญชงที่ปลูกในสหรัฐฯ เท่านั้นตลอดจนการจัดโครงการจ่ายต่อเพื่อการเติบโตที่น่าประหลาดใจ ความร่วมมือของ Panda กับชุมชนเกษตรกรรมอเมริกันถือเป็นหัวใจสําคัญของการดําเนินงาน กัญชงอุตสาหกรรมให้ประโยชน์มากมายแก่ผู้ผลิต เนื่องจากได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยดูดซับต่อเอเคอร์ได้มากกว่าป่าไม้หรือพืชเชิงพาณิชย์ใดๆ นอกจากนี้ กัญชงยังต้องการน้ำน้อยกว่าพืชหลักส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก ให้การฟื้นฟูดินที่โดดเด่น และความต้องการปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และสารเคมีกําจัดวัชพืชน้อยที่สุด  Panda กําลังทําสัญญากับผู้ผลิตอย่างแข็งขันสําหรับโครงการจ่ายต่อเพื่อการเติบโต สําหรับการเก็บเกี่ยวครั้งนี้และกับเกษตรกรที่อาจมีเศษเส้นใยหรือเส้นใยจากการเก็บเกี่ยวครั้งก่อนหรือฤดูปลูกปี 2024 ผู้ผลิตที่สนใจสามารถติดต่อ Panda ผ่านเว็บไซต์ได้ที่ pandabiotech.com

“พื้นที่ขนาดใหญ่ของแคมปัส สามารถรองรับการแปรรูปเศษเส้นใยกัญชงมากกว่า 22,000 ปอนด์ต่อชั่วโมง เป็นสิ่งที่ทําให้โรงงานแปรรูปกัญชงอุตสาหกรรมแห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” Scott Evans ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Panda Biotech กล่าว “เศษเส้นใยของเรามาจากพันธมิตรด้านการเกษตรของเราในเท็กซัสและรัฐโดยรอบโดยตรง และผ่านกระบวนการการตีเยื่อออกของเรา เศษเส้นใยจะถูกเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์บรรจุหีบห่อ พร้อมสําหรับการค้าปลีกหรือการผลิตขั้นปลายภายในไม่กี่นาที อุปกรณ์การประมวลผลและโครงสร้างพื้นฐานของ Panda นั้นดีที่สุดในระดับเดียวกันอย่างแท้จริง”

สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.pandabiotech.com และติดตามเราได้ที่ @pandabiotech บน Facebook, Instagram, X และ LinkedIn

เกี่ยวกับ PANDA BIOTECH

Panda Biotech, LLC เป็นบริษัทเอกชนซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส เป็นผู้บุกเบิกรายแรกในอุตสาหกรรมเส้นใยกัญชงและเศษวัสดุอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตของสหรัฐฯ ซึ่งมีชาวอเมริกันเป็นเจ้าของ ปลูก และแปรรูป 100 เปอร์เซ็นต์ ความเป็นผู้นําระดับผู้บริหารของ Panda Biotech มีประสบการณ์อย่างกว้างขวางในการพัฒนา จัดหาเงินทุน ก่อสร้าง และดําเนินการสิ่งอํานวยความสะดวกโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในด้านพลังงานสะอาด พวกเขาได้พัฒนา 22 โครงการคิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 12 พันล้านเหรียญสหรัฐ โครงการแรกของ Panda Biotech คือ Panda Hemp Gin™ ร่วมมือกับ Aka-Ag, LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Southern Ute Indian Tribe Growth Fund โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในวิชิตาฟอลส์ รัฐเท็กซัส เป็นโรงงานแปรรูปกัญชาอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกตะวันตก

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53921552/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Beth Gebhard

รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์
beth.gebhard@pandabiotech.com

ที่มา: Panda Biotech

Mary Kay Inc. เป็นหัวหอกสำคัญของความพยายามในการอนุรักษ์มหาสมุทร ณ การประชุม World Ocean Summit ประจำปีครั้งที่ 11

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–04 เมษายน 2024

Mary Kay Inc. ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านการเสริมพลังสตรี และผู้สนับสนุนความยั่งยืนอย่างแข็งขัน ได้เป็นแนวหน้าสำคัญของความพยายามในการอนุรักษ์มหาสมุทรระดับโลกอีกครั้ง แบรนด์ความงามแห่งนี้มีความภาคภูมิใจที่ได้เข้าร่วมการประชุม World Ocean Summit & Expo ประจำปีครั้งที่ 11 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม ในฐานะผู้สนับสนุนระดับทองแดงเป็นปีที่สองติดต่อกัน Mary Kay แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงินอย่างยั่งยืนในฐานะตัวแทนภาคเอกชน และผ่านความร่วมมืออันยาวนานกับ องค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลก (The Nature Conservancy – TNC)

Sandra Silva, General Manager of Mary Kay in Portugal, shared insights on the crucial need for collaborative efforts in marine conservation and highlighted the impact of incorporating gender perspectives in initiatives tackling climate change challenges and biodiversity loss. (Photo: Mary Kay Inc.)

Sandra Silva ผู้จัดการทั่วไปของ Mary Kay ในโปรตุเกส แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความจำเป็นสำคัญสำหรับความพยายามร่วมกันในการอนุรักษ์ทางทะเล และเน้นย้ำถึงผลกระทบของการผสมผสานมุมมองทางเพศสภาพในโครงการริเริ่มการจัดการกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

งานประชุม World Ocean Summit & Expo ประจำปี ซึ่งจัดโดย Economist Impact มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญกว่า 200 คนและผู้ฟังจากต่างประเทศที่หลากหลายเข้าร่วมในการอภิปราย เวิร์คช็อป และเซสชัน “How to” ที่มีความหมาย การชุมนุมเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่แนวทางแก้ไขที่สามารถนำไปปฏิบัติได้เพื่อรับมือกับความท้าทายในมหาสมุทรอย่างเร่งด่วนที่สุด โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความพยายามร่วมกันในภาคส่วนต่างๆ

Sandra Silva ผู้จัดการทั่วไปของ Mary Kay ในโปรตุเกส มีบทบาทอย่างแข็งขันในการอภิปราย หัวข้อ “การพัฒนาโครงการที่อิงธรรมชาติสีฟ้า (Developing Blue Nature-based Projects) “ Silvaได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความจำเป็นสำคัญสำหรับความพยายามร่วมกันในการอนุรักษ์ทางทะเล และเน้นย้ำถึงผลกระทบของการผสมผสานมุมมองทางเพศสภาพในโครงการริเริ่มการจัดการกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

“การมีส่วนร่วมของ Mary Kay ในการประชุม World Ocean Summit ในปีนี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอกย้ำความทุ่มเทของเราในการอนุรักษ์มหาสมุทรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการเน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของผู้หญิงในความพยายามเหล่านี้ด้วย” Silva กล่าว “เราเชื่อว่าการกระทำร่วมกันของเราในปัจจุบันมีส่วนสำคัญต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเล ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดออกจากการประชุมสุดยอดด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันใหม่ การมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ที่สามารถดำเนินการได้ และโซลูชั่นที่ป้องกันเสียงเพื่อยกระดับการดูแลมหาสมุทร”

Dr. Lizzie Mcleod ผู้อำนวยการมหาสมุทรระดับโลกของThe Nature Conservancy แสดงความขอบคุณสำหรับความสัมพันธ์ระยะยาวและมีผลกระทบต่อ Mary Kay “ความร่วมมือที่แข็งแกร่งของเราถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังของการผนึกกำลังกันทั่วทั้งชุมชนวิทยาศาสตร์และภาคเอกชนเพื่อปรับปรุงสุขภาพของมหาสมุทร การสนับสนุนของ Mary Kay ในโครงการริเริ่มด้านการอนุรักษ์ทางทะเล รวมถึงโครงการ Super Reefs ในปาเลา เป็นตัวอย่างหนึ่งของความพยายามร่วมกันของเรา เพื่อให้แน่ใจว่ามหาสมุทรมีสุขภาพที่ดีและฟื้นตัวได้”

Mary Kay ได้ทำงานเพื่อยกระดับสุขภาพของมหาสมุทรและความตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวปะการังผ่านการสนับสนุน The Nature Conservancy มาเป็นเวลา 37 ปี โครงการล่าสุดบางโครงการ ได้แก่ การฟื้นฟู Super Reef (Super Reef restoration) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และโครงการอื่นๆ ในฮาวาย ปาเลา หมู่เกาะมาร์แชลล์ และเบลีซ โครงการเหล่านี้สอดคล้องกับพันธกิจของ Mary Kay ที่ไม่เพียงแต่ทำให้ชีวิตดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังรับประกันความยืนยาวและสุขภาพของสภาพแวดล้อมทางทะเลสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป

คุณรู้หรือไม่?

  • Mary Kay เริ่มสนับสนุน The Nature Conservancy (TNC) ในปี 1987 และปัจจุบันได้มีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ มานานกว่าสามทศวรรษในโครงการอนุรักษ์ 100 โครงการทั่วโลก
  • ในฐานะส่วนหนึ่งของภารกิจในการอนุรักษ์ผืนดินและน้ำของโลก TNC ตั้งเป้าที่จะอนุรักษ์มหาสมุทร 4 พันล้านเฮกตาร์ภายในปี 2030 ซึ่งรวมถึงแนวปะการังด้วย
  • จากบทความมากกว่า 1,500 รายการที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แนวปะการังในประเทศ OECD ผู้เขียน 33% เป็นผู้หญิง1
  • 13-24% ของตำแหน่งอาวุโสในภาควิทยาศาสตร์ทางทะเลของสหภาพยุโรปเป็นผู้หญิง1
  • 90% ของผู้หญิงในอุตสาหกรรมประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีส่วนร่วมในงานที่มีรายได้น้อยหรือไม่ได้รับค่าจ้างมากกว่า1

เกี่ยวกับ Mary Kay

จากตอนนั้นถึงตอนนี้และตลอดไป (Then. Now. Always.) หนึ่งในผู้ทำลายเพดานกระจกแบบเดิม Mary Kay Ash ก่อตั้งบริษัทเพื่อความงามในฝันของเธอในปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือการทำให้ชีวิตผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่โอกาสโดย Mary Kay ได้เพิ่มขีดความสามารถของผู้หญิงในการกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอางที่มีสี อาหารเสริม รวมไปถึงน้ำหอมที่ทันสมัย Mary Kay เชื่อในการรักษาโลกของเราไว้ให้คนรุ่นอนาคต ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการทารุณกรรมในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนทำตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com หรือค้นหาเราได้ใน Facebook Instagram และ LinkedIn หรือติดตามเราใน X (formerly Twitter)

เกี่ยวกับ The Nature Conservancy

เป็นองค์กรอนุรักษ์ระดับโลกที่อุทิศตนเพื่อการอนุรักษ์ผืนดินและผืนน้ำที่ทุกชีวิตต้องพึ่งพา ด้วยแนวทางทางวิทยาศาสตร์ เราสร้างสรรค์โซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมภาคพื้นดินเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ยากที่สุดของโลก เพื่อให้ธรรมชาติและผู้คนสามารถเจริญเติบโตร่วมกันได้ เรากำลังจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ผืนดิน น้ำ และมหาสมุทรในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน การจัดหาอาหารและน้ำอย่างยั่งยืน และช่วยทำให้เมืองต่างๆ มีความยั่งยืนมากขึ้น การทำงานใน 76 ประเทศและดินแดน —37 แห่งโดยผลกระทบด้านการอนุรักษ์โดยตรง และอีก 39 แห่งผ่านพันธมิตร — เราใช้แนวทางการทำงานร่วมกันที่มีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น รัฐบาล ภาคเอกชน และพันธมิตรอื่นๆ เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.nature.org หรือติดตาม @nature_press ในทวิตเตอร์

1 แหล่งที่มา : https://impact.economist.com/ocean/sustainable-ocean-economy/valuing-women-in-the-blue-economy-for-international-womens-day

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53921920/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Mary Kay Inc. การสื่อสารองค์กร

marykay.com/newsroom 
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

แหล่งที่มา: Mary Kay Inc.


R. Dane Mauldin ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเปลี่ยนแปลงของ NIQ

Logo

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–20 มีนาคม 2024

NIQ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านข่าวกรองผู้บริโภคได้ประกาศในวันนี้ว่า R. Dane (Dane) Mauldin ได้ร่วมงานกับบริษัทในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเปลี่ยนแปลง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2024

Mauldin มีทักษะหลายด้าน ซึ่งประกอบด้วยความเชี่ยวชาญในการดำเนินงาน กลยุทธ์ การสนับสนุนการขาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์ การบริการลูกค้า และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ก่อนจะมาร่วมงานกับ NIQ เขาเคยทำงานที่ TransUnion โดยดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ เขารายงานตรงต่อ Tracey Massey ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของบริษัท

Curtis Miller ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งล่าสุดในตำแหน่งดังกล่าว ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ ซึ่งรับผิดชอบด้านกลยุทธ์และการพัฒนาองค์กร

“Dane จะนำทีมกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดและการสนับสนุนการขาย เพื่อสานต่อความมุ่งมั่นที่จะทำให้ลูกค้าที่เป็นผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เราทำ ในขณะที่เราปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการส่งมอบ Full View™ เราจะยังคงลงทุนทั้งในด้านบุคลากรและนวัตกรรมเพื่อส่งมอบตามจุดประสงค์ของเราในการ 'แสดงให้โลกเห็นว่าผู้คนต้องการสิ่งใด' และทำให้ลูกค้าของเราเติบโต” Tracey Massey กล่าว

“ด้วยการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอย่างยิ่งและความเชี่ยวชาญเชิงลึกในการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาทางธุรกิจ Dane จึงทำให้เรามีคุณสมบัติที่แตกต่าง ซึ่งจะเสริมความสามารถของทีมบริหาร และช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ทะเยอทะยานของเรา เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เขามาร่วมงานกับเรา” Massey กล่าวเสริม

“ผมรู้สึกปลื้มปีติที่ได้ร่วมงานกับ NIQ ในช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นนี้ ผมมีโอกาสทำความรู้จักกับผู้บริหารอาวุโสของ NIQ หลายคน และผมรู้สึกประทับใจอย่างแท้จริงกับคุณสมบัติความเป็นผู้นำ การให้ความสำคัญกับการทำให้ลูกค้าเป็นหัวใจในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ รวมถึงวัฒนธรรมการไม่แบ่งแยกและการร่วมมือกันของพวกเขา” Mauldin กล่าว

“ด้วยประวัติอันเป็นที่ประจักษ์ในด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจของ Mauldin ผมจึงยินดีที่จะต้อนรับ Dane สู่ NIQ จนถึงขณะนี้ เรามีความก้าวหน้าอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงของเรา รวมถึงงานสำคัญในการบูรณาการ GfK และ NIQ และ Dane ก็อยู่ในสถานะที่โดดเด่น ซึ่งจะช่วยให้เราเร่งแผนของเรา” Jim Peck ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว

เกี่ยวกับ NIQ
NIQ เป็นบริษัทชั้นนำของโลกด้านข่าวกรองผู้บริโภค ซึ่งเสนอความเข้าใจที่สมบูรณ์ที่สุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค และเผยให้เห็นเส้นทางใหม่สู่การเติบโต ในปี 2023 NIQ ได้ควบรวมกับ GfK ซึ่งเป็นการผนวกกำลังของสองผู้นำอุตสาหกรรมเพื่อสร้างการเข้าถึงทั่วโลกอย่างไม่มีใครเทียบได้ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลการค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคที่ครอบคลุมที่สุดซึ่งได้จากการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ล้ำสมัย NIQ จึงสามารถนำเสนอ Full View™ ได้

NIQ คือบริษัทในเครือ Advent International ที่มีการดำเนินงานในตลาดมากกว่า 100 แห่ง โดยครอบคลุมมากกว่า 90% ของประชากรโลก ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ NIQ.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สื่อ
Jill Saletta (Jill.Saletta@NIQ.com)

แหล่งข้อมูล: NIQ

Black & Veatch เสนอข้อมูลเชิงลึกในการเข้าร่วมภารกิจการค้าและการลงทุนระดับสูงของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไปยังฟิลิปปินส์

Logo

กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์–(BUSINESS WIRE)–21 มีนาคม 2024

Black & Veatch ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ได้รับเลือกให้เข้าร่วมภารกิจการค้าและการลงทุนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (PTIM)  ไปยังฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 11-12 มีนาคม

ภารกิจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่มีต่อประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ อาร์ มาร์กอส จูเนียร์ของฟิลิปปินส์ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของบริษัทสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด ภาคส่วนแร่ธาตุที่สำคัญ และความมั่นคงทางด้านอาหารสำหรับประชากรในภูมิภาค

จีนา ไรมอนโด เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา จะเป็นผู้นำคณะผู้แทนในภารกิจดังกล่าว

ภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจการค้าและการลงทุนครั้งแรกในฟิลิปปินส์ภายใต้การบริหารของไบเดน วัตถุประสงค์ของ PTIM คือการเสริมสร้างฟิลิปปินส์ให้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคและการลงทุนที่มีคุณภาพสูง

“การพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและโอกาสในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ซึ่งรวมถึงการปรับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับโลกเพื่อสนับสนุนความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์ด้วยการใช้แหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำและไร้คาร์บอน Black & Veatch รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่สำคัญนี้” Narsingh Chaudhary ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอินเดียของ Black & Veatch กล่าว

Black & Veatch ดำเนินธุรกิจในฟิลิปปินส์เป็นเวลากว่า 30 ปีเพื่อให้บริการในด้านพลังงานและโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าสีเขียวมากกว่า 3,000 เมกะวัตต์จนถึงปัจจุบัน

เพื่อรองรับความต้องการทรัพยากรที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์และโครงการระดับโลกอื่นๆ Black & Veatch ได้จัดตั้งศูนย์วิศวกรรมในอาลาบัง

โครงการนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงที่ Black & Veatch กำลังดำเนินการในฟิลิปปินส์ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สำหรับการผลิตพลังงาน และพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำขนาดใหญ่ บริษัทยังมีส่วนร่วมในการหารือในระยะเริ่มต้นเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์อีกด้วย

นอกจากนี้ Diode Ventures ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Black & Veatch กำลังร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาโครงการศูนย์ข้อมูลในจังหวัดตาร์ลักและนิวคลากซิตี้

Chaudhary พร้อมด้วย Lee Mather รองประธานและผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Black & Veatch และผู้นำธุรกิจรายสำคัญของสหรัฐอเมริกาคนอื่นๆ จะพบปะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลฟิลิปปินส์ในกรุงมะนิลา เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจ และหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปกฎระเบียบต่างๆ นอกจากนี้ คณะผู้แทนภารกิจการค้าจะพบปะกับบริษัทท้องถิ่นและองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนโอกาสในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ

ติดต่อ Black & Veatch เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลกที่มีพนักงานเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประสบการณ์ด้านนวัตกรรมในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนกว่า 100 ปี เราช่วยให้ลูกค้าของเราพัฒนาชีวิตของผู้คนทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 1915 ด้วยการจัดการกับความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ติดตามเราบน  www.bv.com และบนโซเชียลมีเดีย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

EMILY CHIA | โทร. +65 6335 6623 (สำนักงาน) | +65 9875 8907 (มือถือ) | Chialp@bv.com
อีเมลสื่อตลอด 24 ชั่วโมง | Media@bv.com

แหล่งข้อมูล: Black & Veatch

งานเลี้ยงอาหารค่ำคณะทูตสมาชิกและคณะกรรมการอำนวยการ APO เพื่อพบปะหารือการติดตามและประเมินผลวิสัยทัศน์ APO ปี 2568: กิจกรรมหยุดคิดและพิจารณาทบทวน

Logo

กรุงโตเกียว—(BUSINESS WIRE)–15 มีนาคม 2024

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2567 เลขาธิการใหญ่ขององค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) Dr. Indra Pradana Singawinata ได้จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับคณะทูตซึ่งเป็นสมาชิก APO ในกรุงโตเกียว งานเลี้ยงในครั้งนี้มีทูตและตัวแทนจากสมาชิก APO ทั้ง 14 ประเทศเข้าร่วมเพื่อประชุมหารือกับคณะกรรมการอำนวยการเรื่องวิสัยทัศน์ APO ปี 2568: กิจกรรมหยุดคิดและพิจารณาทบทวน (APO Vision 2025: Pause-and-reflect Activity) ซึ่งผู้แทนจากสมาชิก APO จำนวน 7 ประเทศได้มารวมตัวกันในกรุงโตเกียวเพื่อทบทวนความคืบหน้าในวิสัยทัศน์ APO ปี 2568 นี้และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงวิสัยทัศน์ในอนาคตภายหลังปี 2568

Group photo with ambassadors and representatives from APO members, delegates from the APO Vision 2025: Pause-and-reflect Activity Steering Committee and Technical Working Group, APO Secretary-General, and Secretariat staffs. (Photo: Business Wire)

ภาพถ่ายทูตและตัวแทนจากประเทศสมาชิก APO, ผู้แทนจากคณะกรรมการอำนวยการและกลุ่มทำงานฝ่ายเทคนิค APO Vision 2025: Pause-and-reflect Activity, เลขาธิการใหญ่ APO และเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการ (ภาพจาก Business Wire)

เลขาธิการใหญ่ Dr. Indra ได้เน้นย้ำในคำกล่าวเปิดงานถึงความสำคัญของงานเลี้ยงอาหารค่ำในครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อทบทวนความมุ่งมั่นของ APO ในการแผ่ขยายความร่วมมือและเชื้อเชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มาเข้าร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวเพื่อผลผลิต ประธาน APO อย่าง Sheng-Hsiung Hsu จาก ROC ซึ่งได้รับเลือกจากการประชุมคณะประศาสน์การ (Session of the Governing Body) สมัยที่ 65 ยังได้ร่วมแสดงความคิดเห็นโดยเน้นย้ำถึงประสิทธิผลอันโดดเด่นขององค์กรในการนำพาผู้คนมารวมกันผ่านผลผลิตด้วย

Yoshiaki Makino รัฐมนตรีช่วยประจำกระทรวงต่างประเทศ (MOFA) แห่งประเทศญี่ปุ่นจากสำนักเลขาธิการ APO ได้กล่าวเปิดงานในนามของผู้อำนวยการ APO ประเทศญี่ปุ่น Hideo Ishizuki ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่/ผู้ช่วยรัฐมนตรี สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ MOFA โดยได้ชมเชยการสร้างเครือข่ายและตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสมาชิก APO ต่าง ๆ ในขณะที่หยิบยกโครงการริเริ่มที่ดำเนินอยู่อย่างกิจกรรมการหยุดคิดและพิจารณาทบทวนและการประเมินภายนอก

งานเลี้ยงดังกล่าวปิดท้ายด้วยคำกล่าวจากกรรมการอิสระของ APO ประเทศอินเดีย S. Gopalakrishnan จาก IAS ซึ่งได้แสดงความขอบคุณแก่เหล่าทูตที่มาเข้าร่วม รวมถึงกล่าวขอบคุณเลขาธิการใหญ่ Dr. Indra ในนามของผู้เข้าร่วมทุกคน S. Gopalakrishnan ยังได้เน้นย้ำถึงประโยชน์ที่หลายคนมองข้ามจากแพลตฟอร์ม APO และสนับสนุนให้ทุกคนนำเครือข่ายระหว่างประเทศของ APO อย่างองค์การเพิ่มผลผลิตระดับประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อสนับสนุนโครงการริเริ่มของรัฐบาล รวมถึงแนวคิดด้านความร่วมมือและเป้าหมายร่วมกันของงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย

เกี่ยวกับ APO

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐบาลในระดับภูมิภาคที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปรับปรุงผลผลิตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือ โดยเป็นองค์กรที่ไม่ข้องเกี่ยวกับการเมือง ไม่แสวงผลกำไร และไม่แบ่งแยก องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชียก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2504 โดยมีสมาชิกร่วมก่อตั้งจำนวน 8 ประเทศ ทั้งนี้ในปัจจุบัน APO มีสมาชิกรวม 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ บังกลาเทศ, กัมพูชา, กลุ่ม ROC, ฟิจิ, ฮ่องกง, อินเดีย, อินโดนีเซีย, สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน, ญี่ปุ่น, กลุ่ม ROK, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, มาเลเซีย, มองโกเลีย, เนปาล, ปากีสถาน, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ศรีลังกา, ไทย, ตุรกี และเวียดนาม

APO กำลังกำหนดทิศทางอนาคตของภูมิภาคโดยบ่มเพาะการพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศสมาชิกผ่านบริการให้คำแนะนำทางนโยบายระดับประเทศ รวมถึงทำหน้าที่เป็นแหล่งความเชี่ยวชาญ โครงการริเริ่มในการสร้างประสิทธิผลระดับสถาบัน และการแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิผล

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53910598/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อโดยละเอียดมีดังนี้
Digital Information Unit, APO
pr@apo-tokyo.org
โทร: +81-3-3830-0411
เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org

แหล่งข้อมูล: Asian Productivity Organization (องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย)

จากความมุ่งมั่นไปสู่การปฏิบัติ: Mary Kay เผยแพร่ภาพรวมของความร่วมมือเชิงการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการสตรีทั่วโลก

Logo

รายงานครบรอบสี่ปีที่ Women's Entrepreneurship Accelerator เน้นย้ำถึงผลกระทบของ WEA ในการแก้ปัญหาความต้องการที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการสตรี: การเข้าถึงการศึกษา เงินทุน เครือข่ายและตลาด และการสนับสนุนระดับโลก

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–6 มีนาคม 2024

Mary Kay Inc. ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านการเสริมพลังสตรี ได้ประกาศเปิดตัวรายงานพิเศษในหัวข้อ "Advancing Women's Entrepreneurship: จากความมุ่งมั่นไปสู่การปฏิบัติ (from Commitment to Action.)รายงานดังกล่าวให้รายละเอียดถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของบริษัทในการสนับสนุนประเด็นของผู้หญิงทั่วโลกผ่านความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่บริษัทได้ทำในช่วงสี่ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งเครือข่ายความร่วมมือหลายฝ่ายที่มีผู้มีส่วนได้เสียหลายภาคส่วนอย่าง Women’s Entrepreneurship Accelerator (WEA) อันล้ำสมัย

The Women’s Entrepreneurship Accelerator Fourth Anniversary Report Highlights WEA’s Impact on Solving the Most Critical Needs of Women Entrepreneurs: Access to Education, Funding, Networks and Markets and Global Advocacy. (Photo: Mary Kay Inc.)

รายงานครบรอบสี่ปีของ Women's Entrepreneurship Accelerator เน้นย้ำถึงผลกระทบของ WEA ในการแก้ปัญหาความต้องการที่สําคัญที่สุดของผู้ประกอบการสตรี: การเข้าถึงการศึกษา เงินทุน เครือข่ายและตลาด และการสนับสนุนทั่วโลก (ภาพ: Mary Kay Inc.)

ในปี 2019 Mary Kay ก่อตั้ง WEA ขึ้นด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานสหประชาชาติ 6 แห่งเพื่อเป็นแรงผลักดันในการส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจทั่วโลก รายงานพิเศษปี 2023 ให้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการสำคัญต่างๆ และสถิติผลกระทบของ WEA โดยเน้นการเข้าถึงทั่วโลกและแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์ในการจัดการกับความท้าทายหลักที่ผู้ประกอบการผู้หญิงต้องเผชิญ

“ด้วย Women’s Entrepreneurship Accelerator เราได้สร้างแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งซึ่งไม่เพียงแต่สนับสนุน แต่ยังเฉลิมฉลองจิตวิญญาณการเป็นผู้ประกอบการของผู้หญิงทั่วโลก” Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay กล่าว “เป้าหมายของเราคือการเสริมพลังให้กับผู้หญิงห้าล้านคนภายในปี 2030 และเรากำลังดำเนินการไปอย่างดี จนถึงขณะนี้เราได้มีส่วนร่วมกับผู้หญิงมากกว่า 600,000 คนในโครงการและกิจกรรมของเรา และปี 2024 จะเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์อีกปีหนึ่ง”

รายงานนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางแบบองค์รวมของ Mary Kay ในการเสริมพลังของผู้หญิงผ่านความร่วมมือแบบหลายฝ่ายของ WEA ซึ่งครอบคลุมการเข้าถึงการศึกษา ทุน เครือข่ายและตลาด การสนับสนุน และนโยบาย ประกอบด้วยความสำเร็จอันน่าทึ่ง อาทิ:

  • การลดอัตราส่วนความยากจนในโครงการหมู่บ้านนำร่อง SDG ในชนบทของจีน โดยใช้ประโยชน์จากการเป็นผู้ประกอบการสตรีและการพัฒนาความเป็นผู้นำ;
  • การเปิดตัวงาน Women’s Entrepreneurship Regional EXPO และกิจกรรมดาวเทียมในประเทศในยุโรปและภูมิภาคเอเชียกลางที่รวบรวมผู้ประกอบการสตรี นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ งานประจำปี 2023 ซึ่งจัดร่วมกับพันธมิตรในท้องถิ่น 33 ราย มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 15,308 ราย รวมถึงผู้ประกอบการ 1,047 ราย และนักลงทุน 75 ราย รวมถึงงานสัมมนา/แผง และพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ 27 แห่ง;

  • ความสำเร็จในการดำเนินการตามโปรแกรมการฝึกอบรมและการให้คำปรึกษาต่างๆ ที่ดำเนินการโดยพันธมิตรระดับสูงทั่วโลก เช่น โครงการใบรับรองผู้ประกอบการสตรีออนไลน์ (Women’s Entrepreneurship Certificate Programme);
  • WEA Digital Innovation Challenge สำหรับผู้ประกอบการสตรีได้รับใบสมัคร 250 ใบจากสตาร์ทอัพที่นำโดยผู้หญิงจาก 54 ประเทศ
  • การวิจัยผู้ประกอบการสตรี เพื่อแนะนำนโยบายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศในการพัฒนาองค์กรในภูมิภาคละตินอเมริกา

ความพยายามที่โดดเด่นของบริษัทในการส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างและการลงทุนที่คำนึงถึงความเสมอภาคทางเพศ (GRPI) ยังมีส่วนสำคัญต่อการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจและการเสริมอำนาจของสตรีอีกด้วย

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Women’s Entrepreneurship Accelerator และอ่านรายงานพิเศษปี 2023 ฉบับเต็ม โปรดคลิกที่นี่ click here

เกี่ยวกับ Mary Kay

จากตอนนั้นถึงตอนนี้และตลอดไป (Then. Now. Always.) หนึ่งในผู้ทำลายเพดานกระจกแบบเดิม Mary Kay Ash ก่อตั้งบริษัทเพื่อความงามในฝันของเธอในปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือการทำให้ชีวิตผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่โอกาสโดย Mary Kay ได้เพิ่มขีดความสามารถของผู้หญิงในการกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอางที่มีสี อาหารเสริม รวมไปถึงน้ำหอมที่ทันสมัย Mary Kay เชื่อในการรักษาโลกของเราไว้ให้คนรุ่นอนาคต ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการทารุณกรรมในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนทำตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com หรือค้นหาเราได้ใน FacebookInstagram, และ LinkedIn, หรือติดตามเราใน X (ชื่อเดิมคือTwitter)

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Mary Kay Inc. การสื่อสารองค์กร
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc.


ผู้นําตลาดด้านสุขภาพผนึกกําลังกัน: The DRIPBaR ซึ่งขับเคลื่อนโดย REVIV

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–5 มีนาคม 2024

การที่ The DRIPBaR ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นแฟรนไชส์เกี่ยวกับการบําบัดด้วย IV ที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกับ REVIV ผู้นําด้านการบําบัดด้วย IV ระดับโลกนั้น ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมดังกล่าว จากความร่วมมือนี้ทำให้เกิดข้อเสนอที่ไม่มีใครเทียบได้ เนื่องจากเป็นการรวมเอาความเชี่ยวชาญพิเศษของยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมที่มีที่ตั้งมากกว่า 200 แห่งใน 6 ทวีป โดยมีแผนเพิ่มที่ตั้งอีกหลายพันแห่งในไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อเร็ว ๆ นี้มีความต้องการการบําบัดด้วย IV เพิ่มขึ้นจึงทำให้เกิดโอกาสมหาศาลแก่บริษัททั่วโลกในการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่และเป็นผู้นำของการบําบัดด้วย IV ในยุคต่อไป

Ben Crosbie, CEO of The DRIPBaR and Sarah Lomas, Founder and CEO of REVIV Global, announce their exciting partnership. (Photo: Business Wire)

Ben Crosbie ซีอีโอของ The DRIPBaR และ Sarah Lomas ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ REVIV Global ประกาศความร่วมมือที่น่าตื่นเต้นของพวกเขา (ภาพ: Business Wire)

ด้วยระบบการวางแผนการขายมูลค่าสูงที่มีแฟรนไชส์มากกว่า 450 แห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา The DRIPBaR ตัดสินเข้าร่วมเทคโนโลยี REVIV X ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ REVIV อันเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นในการจัดหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านโภชนาการเฉพาะบุคคลและที่มีความแม่นยําสำหรับลูกค้าของบริษัท ความร่วมมือนี้ช่วยให้ The DRIPBaR ได้ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญาและวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตของ REVIV ที่มีมาตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายด้วยการตรวจเลือดและการวิเคราะห์ดีเอ็นเอเพื่อปรับการรักษาด้วย IV ให้สอดคล้องกับตามความต้องการของแต่ละบุคคล The DRIPBaR นั้นจะปฏิวัติภูมิทัศน์ด้านสุขภาพในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยอาศัย REVIV X ซึ่งจะนําเสนอการแก้ไขปัญหาที่มุ่งเน้นไปที่ผู้ป่วยแต่ละคนโดยจะเพิ่มประสิทธิภาพด้านสุขภาพที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทในฐานะผู้นําด้านนวัตกรรม

Ben Crosbie ซีอีโอของ The DRIPBaR ตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้ในการร่วมมือกันในครั้งนี้ โดยยืนยันว่า "การเลือก REVIV เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเรานั้น เรากําลังปลดล็อกความสามารถส่วนบุคคลและความแม่นยําเพื่อการนําเสนอผลิตภัณฑ์ขั้นสูงและประสบการณ์ของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น ผมมั่นใจว่าการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและความเชี่ยวชาญของ REVIV จะช่วยเร่งให้แฟรนไชส์ของเราเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น รวมถึงทำให้พวกเขานําหน้าบรรทัดฐานของอุตสาหกรรมอีกด้วย การเสนอ REVIV X ควบคู่ไปกับหลักสูตรการฝึกอบรม IV ที่ได้รับการรับรองนั้นจะกำหนดมาตรฐานระดับโลกในความเป็นเลิศสำหรับวงการของเรา และยิ่งผนึกกำลังให้เราสามารถรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ไว้ได้”

Sarah Lomas ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ REVIV Global เน้นย้ำถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของความเป็นหุ้นส่วนนี้ โดยระบุว่า "ทั้ง The DRIPBaR กับ REVIV เน้นย้ำถึงการอุทิศตนร่วมกันเพื่อนวัตกรรมและความปลอดภัยในตลาดของการบําบัดด้วย IV ในฐานะผู้นําในอุตสาหกรรม เรากําลังพลิกโฉมอนาคตด้านสุขภาพด้วยการนําเสนอการแก้ไขปัญหาด้านโภชนาการเฉพาะบุคคลและที่มีความแม่นยําซึ่งจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เราจะยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ SaaS ของเราต่อไปเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทั่วโลก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาและการลงทุนที่สำคัญในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นความสำเร็จและการนํา REVIV X ไปใช้”

พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่าง REVIV และ The DRIPBaR ทำให้เกิดช่วงเวลาสำคัญในอุตสาหกรรมการบําบัดด้วย IV และในหลายภาคส่วน โดยการพัฒนาการจัดหาการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับลูกค้าทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงที่อื่น ๆ ในขณะที่ตลาดการบําบัดด้วย IV ยังคงขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วยความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนดในระดับชั้นนำ REVIV X จึงกลายเป็นทางเลือกสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่สร้างโอกาสทางธุรกิจในหลายรูปแบบที่มีอยู่ในการเข้าถึงนวัตกรรมของ REVIV และการดำรงตำแหน่งบริษัทในระดับแนวหน้าแห่งนวัตกรรมด้านสุขภาพและมาตรฐานอุตสาหกรรม

สำหรับการสอบถามของสื่อ:

REVIV Global: Emma Robertson, erobertson@revivme.com

The DRIPBaR: Marketing@thedripbar.com“>Marketing@thedripbar.com

เกี่ยวกับ REVIV Global

REVIV Global คือผู้เชี่ยวชาญอันดับต้น ๆ ของโลกในด้านการบำบัดด้วย IV ซึ่งเป็นวิธีการให้สารอาหารส่วนบุคคลที่มีความแม่นยำสูง ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีในอุตสาหกรรมนี้ พวกเขาช่วยส่งมอบ IV กว่า 2 ล้านเส้นอย่างปลอดภัยใน 40 กว่าประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่สนใจในการดูแลสุขภาพ รวมถึงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและเชิงรุกอีกด้วย REVIV ได้พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพที่มีความแม่นยำขั้นสูงเป็นระบบแรกและระบบเดียวที่ดึงข้อมูลด้านชีววิทยาและจีโนมิกส์มาใช้ประโยชน์เพื่อมอบการบำบัดด้วย IV ส่วนบุคคลและมีความแม่นยำสูง REVIV เปิดตัวผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีในช่วงปลายปี 2023 ซึ่งได้ขยายขอบเขตของแบรนด์ไปพร้อม ๆ กับยกระดับการควบคุม ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของการบำบัดด้วย IV ไปทั่วโลก

เกี่ยวกับ The DRIPBaR

The DRIPBaR เป็นผู้บุกเบิกในวงการสุขภาพที่พร้อมที่จะกำหนดภูมิทัศน์ด้านสุขภาพและชีวิตผ่านความก้าวหน้าในการบําบัดด้วยวิทยาศาสตร์ที่ล้ำสมัยและให้ความสำคัญกับความปลอดภัย The DRIPBaR นําเสนอแนวทางการเปลี่ยนแปลงเพื่อสุขภาพของเซลล์และการดูแลเฉพาะบุคคล มุ่งเน้นไปที่การรักษาที่พัฒนาตลอดเวลาและการแพทย์ที่มีความก้าวหน้า The DRIPBaR นำไปสู่ยุคสมัยใหม่แห่งการฟื้นฟู ความมีชีวิตชีวาและการมีสุขภาพที่ดี

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53903816/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ที่มา: REVIV

The Bangkok Reporter