Ultherapy PRIME เป็นเทคโนโลยีอัลตราซาวนด์ล่าสุดที่ได้รับการรับรองจาก FDA พร้อมการถ่ายภาพแบบเรียลไทม์ ที่ให้การยกกระชับเฉพาะบุคคลและยาวนานอย่างแท้จริงซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดสําหรับคนไข้แต่ละราย
ราลี นอร์ทแคโรไลนา
NIPPON KINZOKU: ท่อดึงแบบเชื่อมตะเข็บที่เหนือกว่าท่อไร้ตะเข็บ การแนะนําซีรีส์ “FINE PIPE”
“พื้นผิวด้านในที่มีความแม่นยําสูง” ท่อเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็ก “FINE PEEK-ST”
โตเกียว
Mary Kay ขยายธุรกิจไปยังประเทศคีร์กีซสถาน ยกระดับความงาม และสร้างเสริมพลังให้กับผู้คนทั่วโลก
DALLAS–(BUSINESS WIRE)–20 กันยายน 2024
Mary Kay Inc. ผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง มีความภูมิใจที่จะประกาศการขยายธุรกิจสู่ประเทศคีร์กีซสถาน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์การเติบโตระดับนานาชาติที่มีการดำเนินการอยู่ การพัฒนาที่น่าตื่นเต้นนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Mary Kay ที่จะเสริมสร้างพลังให้ผู้หญิงและจัดหาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและความงามคุณภาพสูงอย่างสร้างสรรค์สู่ทั่วโลก
การขยายธุรกิจของ Mary Kay ไปยังประเทศคีร์กีซสถานถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในพันธกิจของบริษัท เพื่อเสริมสร้างชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ความงามชั้นยอดและโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีใครเทียบ (ภาพถ่าย: Mary Kay Inc.)
ตลาดความงามและการดูแลส่วนบุคคลกำลังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ โดยปริมาณการขายในหมวดหมู่เหล่านี้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าตลาดความงามจะมีมูลค่า 580,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027 โดยการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 6 เปอร์เซนต์ต่อปี 1 ในขณะที่ขนาดของตลาดขายตรงคาดว่าจะสูงถึง 286,700 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 20282 การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้เกิดจากการที่มีผู้คนมากมายหันมาเป็นผู้ประกอบการและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจที่ยืดหยุ่นและคุ้มค่า เมื่อตระหนักถึงแนวโน้มขาขึ้นนี้ Mary Kay จึงขยายธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ไปสู่ประเทศคีร์กีซสถานเพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์ความงามระดับพรีเมียม และเพิ่มโอกาสสำหรับผู้ประกอบการในประเทศ
“ฉันมั่นใจว่า การขยายธุรกิจของเราไปยังประเทศคีร์กีซสถานจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงเป็นจำนวนนับไม่ถ้ววน และช่วยให้พวกเขาสามารถค้นพบพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลของ Mary Kay และเสริมสร้างตำแหน่งของเราในฐานะแบรนด์ขายตรงอันดับ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางในโลก 3” Tara Eustace ประธาน Mary Kay ประจำภูมิภาคยุโรป กล่าว “Mary Kay Ash มักพูดเสมอว่า เราไม่ได้เพียงจำหน่ายเครื่องสำอางเท่านั้น แต่เรายังเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตด้วย ความเชื่อนี้เป็นหัวใจสำคัญของทุกสิ่งที่เราทำ และฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นผลที่เรามีต่อผู้หญิงในประเทศคีร์กีซสถาน”
การดำเนินงานของ Mary Kay Kazakhstan มีการบริหารจัดการจากสำนักงาน Mary Kay Kazakhstan ที่เมือง Almaty เพื่อให้แน่ใจว่า การบูรณาการและการสนับสนุนตลาดใหม่จะเป็นไปด้วยความราบรื่น Konstantin Kulinitch ผู้จัดการทั่วไปของ Mary Kay Kazakhstan แบ่งปันความกระตือรือร้นของเขาว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ขยายการดำเนินงานของเราไปยังประเทศคีร์กีซสถาน ซึ่งเรามองเห็นศักยภาพในการเติบโตอย่างมหาศาล ทีมงานของเราที่ Almaty มีความมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนที่ดีที่สุดแก่ที่ปรึกษาความงามอิสระของเราในประเทศคีร์กีซสถาน เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจ และบรรลุความฝันของพวกเขา”
เพื่อเฉลิมฉลองการขยายตัวครั้งสำคัญนี้ Mary Kay ได้จัดงานกิจกรรมต่างๆ ขึ้นที่ Bishkek เมืองหลวงของประเทศคีร์กีซสถาน โดยมีการแนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง และน้ำหอมอันเลื่องชื่อของแบรนด์ให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงโอกาสทางธุรกิจที่ไม่เหมือนใครที่ Mary Kay นำเสนอ จะช่วยให้บุคคลต่างๆ สามารถควบคุมอนาคตของตัวเองได้
การขยายธุรกิจของ Mary Kay ไปยังประเทศคีร์กีซสถานถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในพันธกิจของบริษัท เพื่อเสริมสร้างชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ความงามชั้นยอดและโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีใครเทียบ
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานระดับโลก ความเป็นผู้นำ พันธกิจ และความมุ่งมั่นของ Mary Kay ในการเสริมสร้างชีวิตของผู้หญิง โปรดไปที่ www.marykayglobal.com
เกี่ยวกับ Mary Kay
ก่อนหน้านี้ เดี๋ยวนี้ และตลอดไป Mary Kay Ash ผู้ก่อตั้งแบรนด์ความงามตามความฝันของเธอในเท็กซัสเมื่อปี 1963 โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานขึ้นเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลา 60 ปีแล้วที่โอกาสจาก Mary Kay ได้ส่งเสริมให้ผู้หญิงสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริม และน้ำหอมที่ล้ำสมัย Mary Kay เชื่อมั่นในการอนุรักษ์โลกของเราไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการล่วงละเมิดในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนเดินตามความฝัน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com ค้นหาเราได้ที่ Facebook, Instagram และ LinkedIn หรือติดตามเราได้ที่ X (formerly Twitter)
_______________________
1 McKinsey and Company. (May 22, 2023). The beauty market in 2023: A special State of Fashion report
2 Grand View Research, Inc. (July 11, 2022). Direct Selling Market Size Worth $286.7 Billion by 2028
3 “Source Euromonitor International Limited; Beauty and Personal Care 2024 Edition, value sales at RSP, 2023 data”
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54124254/en
ติดต่อ
Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com
แหล่งข้อมูล: Mary Kay Inc.
การสํารวจของ Black & Veatch แสดงให้เห็นว่าการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เป็นสิ่งสําคัญอย่างมากสําหรับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในออสเตรเลีย
การให้ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นในคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมของชาวพื้นเมือง เป็นปัจจัยสำคัญทีเปลี่ยนแปลงในการวางแผนการจัดการน้ำในเหมือง
เมลเบิร์น ออสเตรเลีย
พบกับเทรนด์ความงามในอนาคตได้ในรายงานนวัตกรรมความงามระดับโลกฉบับใหม่ของ NielsenIQ (NIQ)
- แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่ผสานรวมนวัตกรรมใหม่ในปี 2023 มีแนวโน้มที่จะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า
- 20% ของการเปิดตัวนวัตกรรมในปี 2023 ในยุโรปเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผม
- การกระตุ้นอย่างมีประสิทธิผลจะช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายที่มุ่งเน้นโฆษณาให้สูงขึ้น 20%
CHICAGO–(BUSINESS WIRE)–12 กันยายน 2024
ในอุตสาหกรรมความงามที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การทำความเข้าใจและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญเป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลังเกิด COVID-19 วันนี้ NIQ ได้เปิดตัวรายงานนวัตกรรมความงามระดับโลก ซึ่งขับเคลื่อนโดยมาตรการวัดระดับนวัตกรรม NIQ BASES ซึ่งให้มุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสถานะของนวัตกรรมและเทรนด์ในอนาคตของตลาดอุตสาหกรรมความงามทั่วทั้ง 14 แห่ง
แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่ผสานรวมนวัตกรรมใหม่ในปี 2023 มีแนวโน้มที่จะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับยอดขายของแบรนด์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมหรือมีการยกเลิกใช้นวัตกรรม นวัตกรรมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะสามารถดึงดูดผู้ซื้อรายใหม่ๆ สร้างโอกาสการใช้งานใหม่ๆ สามารถปรับราคาขึ้นในระดับพรีเมี่ยม และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำได้เป็นอย่างดี
แบรนด์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสามารถมองเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้น 30% โดยเฉลี่ยในปีที่ 1 เมื่อเทียบกับแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในอัตราที่ต่ำกว่า การเปิดตัวอย่างมีประสิทธิผลจะช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายที่มุ่งเน้นโฆษณาให้สูงขึ้น 20% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการปรับองค์ประกอบอย่างสร้างสรรค์และเหมาะสม ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีการดำเนินการทางตลาดและส่งเสริมการขายที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี
Claire Marty รองประธานฝ่ายพัฒนาลูกค้าทั่วโลก กล่าว “แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ผู้บริโภคก็ยังคงไม่มีการลดค่าใช้จ่ายด้านความงามเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ FMCG อื่นๆ โดย 80% แสดงความตั้งใจที่จะยังคงระดับหรือเพิ่มการใช้จ่ายในด้านนี้ ความนิยมทั่วโลกของอุตสาหกรรมความงามยังคงเพิ่มขึ้น โดยยอดขายของอุตสาหกรรมยังคงเติบโตในระดับสองหลักในทุกภูมิภาค และคาดว่า จะสามารถเพิ่มสูงถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐในทศวรรษหน้า”
แนวโน้มการพัฒนาที่เร่งการเกิดนวัตกรรมในอุตสาหกรรมความงาม:
- สะอาดและยั่งยืน: แนวโน้มของผลิตภัณฑ์ที่สะอาดและยั่งยืนมีการเติบโตสูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ CPG โดยมุ่งเน้นในการจัดหาอย่างถูกต้องตามจริยธรรม บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการลดปริมาณคาร์บอน ในเกาหลีใต้ ผลิตภัณฑ์ความงามที่สะอาดกลายเป็นทางเลือกในการใช้ชีวิต โดยผู้ผลิตให้ความสำคัญในการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและแนวทางการผลิตที่ยั่งยืน
- การมุ่งเน้นในส่วนผสม: ผู้บริโภคทั่วโลกซื้อของโดยคำนึงถึง ‘ส่วนผสมเป็นอันดับแรก’ โดยให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ตามรายการส่วนผสม ผู้บริโภคมีความสนใจในผลิตภัณฑ์ทั้งที่มีและไม่มีส่วนผสม ผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรมีการให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และประสิทธิผลเหนือชื่อแบรนด์
- ที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้ : เซเลบริตี้ แพทย์ผิวหนัง และอินฟูลเอนเซอร์ ล้วนเป็นผู้กำหนดการตัดสินใจผ่านโซเชียลมีเดีย ในประเทศจีน จำนนวน Key Opinion Leaders (KOL) สูงเกิน 20 ล้านคนและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ 80% ของยอดขายจริงมาจาก KOL เพียง 7% เท่านั้น
- การปรับแต่งและการรวมกลุ่ม: ผู้บริโภคมีความนิยมสูงขึ้นในแบรนด์ที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคล ส่งผลให้มีประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้สูงขึ้น เช่น แบบทดสอบเกี่ยวกับเส้นผมและผิวหนัง Afroconsumption เป็นหัวข้อการปรับแต่งและการรวมกลุ่มที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในบราซิล โดยผู้หญิงเลือกที่จะไม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับยืดผม
- มุ่งเน้นด้านสุขภาพ: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง ส่งผลให้มีความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกาย จิตใจ และอารมณ์ อุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ในฝรั่งเศสใช้ประโยชน์จากประสาทวิทยาที่มุ่งเป้าไปที่ร่างการและจิตใจ แบรนด์หรูกำลังสร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับปรุงทั้งสภาพผิวและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์
- ความสะดวกสบายและความสามารถในการเข้าถึง: ผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง (DTC) และการบำรุงความงามที่ทำได้เองที่บ้านได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วง COVID-19 แนวโน้มนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าเสริมความงามและอุปกรณ์กระตุ้นกล้ามเนื่องได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
สินค้าหรูที่เหมาะสำหรับทุกคน: เทรนด์ด้านความงามนี้สะท้อนให้เห็นถึงการที่มีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น การทำให้สินค้าหรูแพร่หลายมากขึ้นนั้นนำโดยแบรนด์ที่มีนวัตกรรมซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและสามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ได้ ผู้บริโภคในซาอุดีอาระเบียให้ความสำคัญกับส่วนผสมที่มีคุณภาพและเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์เสริมความงาม การเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมความงามนั้น ขึ้นอยู่กับการผสานรวมแนวคิดที่น่าสนใจและผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในสามของการเปิดตัวใหม่นั้นล้มเหลว เนื่องจากขาดการสนับสนุนอย่างเพียงพอในช่วงปีแรก
หากต้องการดูข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มด้านความงาม สามารถ ดาวน์โหลดสำเนา รายงานนวัตกรรมความงามระดับโลกของ NIQ และเข้าร่วมกลุ่ม กลุ่มส่งเสริมด้านความงาม เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกระดับพรีเมียม นอกจากนี้ NIQ ยังมีการแสดงข้อมูลเชิงลึกเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับแนวโน้มผู้บริโภคทั่วโลกเป็นประจำ รวมถึง รายงาน SpendZ ฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นภาพรวมแนวโน้มการใช้จ่ายของคนรุ่น Gen Z รายงาน ภาพรวมสำหรับผู้บริโภค ที่มีการวิเคราะห์แนวโน้ม พฤติกรรม และความรู้สึก
เกี่ยวกับ NIQ
NielsenIQ (NIQ) เป็นบริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชั้นนำของโลก โดยมีการแสดงข้อมูลครอบคลุมเพื่อความเข้าใจในพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค และเปิดเผยเส้นทางใหม่สู่การเติบโต NIQ ได้รวมตัวกับ GfK ในปี 2023 โดยรวมผู้นำอุตสาหกรรมทั้งสองรายที่มีการเข้าถึงทั่วโลกอย่างไม่มีใครเทียบไว้ด้วยกัน ปัจจุบันนี้ NIQ มีการดำเนินงานในกว่า 95 ประเทศ โดยครอบคลุม 97% ของ GDP ด้วยความสามารถในการอ่านข้อมูลค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ครอบคลุมที่สุด ช่วยให้สามารถนำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ทันสมัยใน NIQ ด้วย Full View™
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.niq.com
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ติดต่อ
สื่อ:
Sweta Patra
sweta.patra@nielseniq.com
แหล่งข้อมูล: NielsenIQ
เปิดตัวงาน Zhejiang International Trade Exhibition 2024 อย่างเป็นทางการ
กรุงเทพฯ –(BUSINESS WIRE)–06 กันยายน 2024
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2024 งาน Zhejiang International Trade Exhibition 2024 (ไทย) ซึ่งจัดโดยกรมการค้ามณฑลเจ้อเจียง ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการที่ศูนย์แสดงสินค้าและการปชุมอิมแพ็คอันทรงเกียรติในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ในพิธีเปิด แขกผู้มีเกียรติจากกระทรวงพลังงานของประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมพาณิชย์และเศรษฐกิจสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจําราชอาณาจักรไทย และสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมและมีส่วนร่วมในการทัวร์นิทรรศการวีไอพีพิเศษ เพื่อเป็นเวทีสําหรับเหตุการณ์สําคัญในการค้าระหว่างประเทศ โดยแขกเหล่านี้กล่าวชื่นชมแบรนด์ในประเทศที่มีชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่โดดเด่นของ “สินค้าเจ้อเจียงที่มีคุณภาพ”
(ภาพ: Business Wire)
นิทรรศการซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่สาม เน้นย้ำถึงความได้เปรียบในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแสงสว่าง เมืองอัจฉริยะ การดำรงชีวิตอัจฉริยะ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องของเจ้อเจียง และยังสอดคล้องกับธีมของ “Zhejiang Made All Need” อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับประเทศไทยในการเชื่อมต่อกับบริษัทผู้ผลิตชั้นนำจากมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งได้แก่ Hikvision, Tuya, Meka และ VOC ซึ่งจัดแสดงผลิตภัณฑ์นวัตกรรมล้ำสมัย นอกเหนือจากแบรนด์บุกเบิกอย่าง Hikvision และ Dahua Technology ที่หยั่งรากลึกในตลาดประเทศไทยแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Tuya ในฐานะองค์กรระดับยูนิคอร์นในอุตสาหกรรมจีน ได้จับมือกับบริษัทชั้นนําของไทย เช่น SCG และ T3 Technology เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบ้านอัจฉริยะในประเทศไทย และเป็นพันธมิตรในการพัฒนาระบบนิเวศ IoT ของประเทศไทย
ประเทศไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสามของจีนในอาเซียน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 จีนและไทยได้สร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าทวิภาคี ปีนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 10 ปีอันเป็นมงคลของโครงการริเริ่ม Belt and Road เหตุการณ์สําคัญครั้งนี้ช่วยเร่งการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างเจ้อเจียงและไทย และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในฐานะมหาอํานาจทางเศรษฐกิจที่สําคัญ และเป็นศูนย์กลางการค้าต่างประเทศที่สําคัญในประเทศจีน เจ้อเจียงจึงอยู่ในตําแหน่งที่ดีที่จะได้รับประโยชน์จากความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นนี้
นิทรรศการที่จัดขึ้นเป็นเวลาสามวันจะรวมบริษัทกว่าพันแห่ง รวมถึงผู้ซื้อและผู้ขาย ส่งเสริมการเชื่อมโยงทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นผ่านฟอรัมอุตสาหกรรม การประชุม คณะผู้แทนระดับวีไอพี การประชุมแบบพบหน้า และโอกาสที่น่าสนใจอื่นๆ ในอีกสองวันข้างหน้าบริษัทต่างๆ ในเจ้อเจียงจะเพลิดเพลินไปกับเครือข่ายธุรกิจที่ขยายออกไป พร้อมกับผู้ซื้อและผู้เยี่ยมชมระดับวีไอพีที่ผ่านจุดสัมผัสของนิทรรศการต่างๆ รวมถึงบูธเฉพาะที่มีการจัดแสดงสินค้าและการสาธิต การประชุมแบบพบหน้า และการเชิญประชุมออนไลน์กับผู้ซื้อและผู้เยี่ยมชมระดับวีไอพี
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54118306/en
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ติดต่อ
Robby Mex, +91-9899890048
ที่มา: Zhejiang International Trade Exhibition
CNE Direct, Inc. (ชื่อทางธุรกิจ “illumynt”) ประกาศการกลับมาของ Paul Knight ในตำแหน่ง CEO
บอสตัน –(BUSINESS WIRE)–06 กันยายน 2024
CNE Direct, Inc. (ชื่อทางธุรกิจ “illumynt”) มีความยินดีที่จะประกาศการกลับมาของ Paul Knight ในตำแหน่ง CEO ของบริษัท ITAD ที่ให้บริการด้านการซื้อขาย บริการ และโซลูชันในระดับโลก ซึ่งปัจจุบันก้าวเข้าสู่ปีที่ 23 ของการดำเนินธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้การปรับโครงสร้างเพื่อเริ่มต้นการเติบโตเชิงกลยุทธ์ในระยะต่อไปของ illumynt โดย Knight เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทในปี 2002 และเคยดำรงตำแหน่ง CEO เป็นเวลาส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ของบริษัท และดำรงตำแหน่งประธานตั้งแต่เริ่มต้น ปัจจุบัน Knight ได้กลับมารับตำแหน่ง CEO อีกครั้งในขณะที่บริษัทกำลังขยายตัวในระดับโลกมากขึ้น นำเสนอการบริการใหม่ ๆ และมุ่งเน้นการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นผู้นำตลาดให้แก่ลูกค้าและพันธมิตรของบริษัท
“ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับมารับตำแหน่ง CEO และตั้งตารอที่จะได้ทำงานร่วมกับทีมงานระดับโลกของเรา รวมถึงการมีโอกาสใช้เวลามากขึ้นกับลูกค้าและพันธมิตรของเราทั่วโลก เพื่อดำเนินแผนการเติบโตเชิงกลยุทธ์ใหม่ของเราให้สำเร็จ” Knight กล่าว
นอกจากการกลับมาของ Knight แล้ว ในวันนี้บริษัทยังได้ประกาศการดำเนินการดังต่อไปนี้
• การจ้าง Gavin Wilson ในตำแหน่งรองประธานฝ่ายวิศวกรรม ซึ่งเคยทำงานกับ Reconext มาก่อน โดย Gavin มีประสบการณ์กว่า 20 ปีในการพัฒนาระบบการทดสอบ การซ่อมแซม และโซลูชันการฟื้นฟูมูลค่าที่ซับซ้อนให้กับลูกค้าทั่วโลก
• Joe Conway ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานฝ่ายโซลูชัน โดย Joe ได้แสดงความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในการวิเคราะห์ การตั้งราคา และการเริ่มต้นโปรแกรมขนาดใหญ่ระดับโลกให้กับ illumynt พร้อมกับการจัดการทีมงานข้ามสายงานเพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่มุ่งหวัง
• การลงนามข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัทที่ปรึกษา ITAD Circular Integrity ซึ่งนำโดยผู้ก่อตั้งและ CEO Todd Zegers อดีตรองประธานฝ่าย ITAD และ Reverse Logistics ของ Ingram Micro โดย Circular Integrity จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมผู้บริหารระดับสูงของ CNE เพื่อเร่งการเติบโตและการกระจายธุรกิจ
• การขยายขอบเขตการดำเนินงานทั่วโลก โดย illumynt กำลังอยู่ในกระบวนการเปิดศูนย์ปฏิบัติการใหม่ 3 แห่ง ที่แฟรงคลิน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และเมืองคอร์ก ประเทศไอร์แลนด์ รวมถึงประเทศไทยด้วย
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ไปที่ http://www.illumynt.com หรือติดตามเราทาง LinkedIn ที่ https://www.linkedin.com/company/illumynt
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ติดต่อ
Paul Knight, 978-490-4812
ที่มา: CNE Direct, Inc.
กองทุนเพื่อการพัฒนาซาอุดีอาระเบียเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีรักษ์โลกด้วยเงินสนับสนุนการพัฒนากว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
RIYADH, Saudi Arabia–(BUSINESS WIRE)–03 กันยายน 2024
กองทุนเพื่อการพัฒนาซาอุดีอาระเบีย (SFD) เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีในกรุงริยาดวันนี้ ภายใต้หัวข้อ “50 ปีรักษ์โลก” งานนี้เป็นการรวบรวมพันธมิตรการพัฒนาที่สำคัญมาร่วมกันสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมสนับสนุนของ SFD เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วโลก ในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมา SFD มีการจัดสรรเงินทุนกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นเงินทุนสนับสนุนโครงการและโปรแกรมการพัฒนากว่า 800 โครงการในภาคส่วนต่างๆ ที่สำคัญ รวมถึง โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม (การศึกษา การดูแลสุขภาพ น้ำและน้ำเสีย และที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมือง) การสื่อสารและการขนส่ง (ถนน ทางรถไฟ สนามบิน และท่าเรือ) พลังงาน การเกษตร การทำเหมืองแร่และอุตสาหกรรม และอื่นๆ
กองทุนเพื่อการพัฒนาซาอุดีอาระเบียเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีรักษ์โลกด้วยเงินสนับสนุนการพัฒนากว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ภาพถ่าย: AETOSWire)
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 1974 SFD เป็นหน่วยงานพัฒนาระหว่างประเทศหลักของสหราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และเป็นผู้สนับสนุนหลักที่สำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนากว่า 100 ประเทศทั่วโลก ด้วยการมุ่งมั่นที่แรงกล้าในการสนับสนุนประเทศต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) SFD มีบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศด้อยพัฒนา (LDCs) และรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นเกาะขนาดเล็ก (SIDS)
ในงาน H.E. Ahmed Al-Khateeb ประธานของ SFD เน้นย้ำถึงความสำคัญในการร่วมมือกันขับเคลื่อนการพัฒนาทั่วโลก และมีการเน้นย้ำว่า ความสำเร็จของ SFD มีรากฐานมาจากความร่วมมือ โดยมีโครงการและโปรแกรมการพัฒนา 27 โครงการในประเทศกำลังพัฒนา 23 ประเทศในปี 2023 ที่ร่วมทุนกับผู้สนับสนุนเงินทุนรายอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างพันธมิตรใหม่ๆ และส่งเสริมความสัมพันธ์ที่มีอยู่ เพื่อสร้างโลกที่ทุกคนมีโอกาสที่จะบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเอง
เมื่อพิจารณาถึงย่างก้าวอันสำคัญนี้ นาย Sultan bin Abdulrahman Al-Marshad CEO ของ SFD กล่าวว่า: “ในขณะที่เราเฉลิมฉลองการทำงานที่มีก้าวย่างสำคัญมาเป็นเวลาห้าทศวรรษนี้ เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาเพื่อมุ่งเน้นการพึ่งพาตนเอง และมีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจมากกว่าที่เคยเป็นมา เป้าหมายของเราคือ การสร้างความมั่นใจว่า เด็กทุกคนสามารถไปโรงเรียนได้ การศึกษาไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนควรได้รับ และครอบครัวสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพและบริการที่จำเป็นพื้นฐานได้ นอกจากนี้ เรายังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การสร้างถนนและการปรับปรุงสนามบินและท่าเรือ เพื่อให้ประเทศต่างๆ มีความเจริญรุ่งเรือง และมีส่วนร่วมในการดำเนินการทางเศรษฐกิจและการค้า งานนี้ไม่ใช่เพียงการจัดหาเงินทุนเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการปรับปรุงชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม การสร้างโอกาส การส่งเสิมศักยภาพชุมชน และการสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองยิ่งขึ้น”
ในงานกาลาฉลองครอบรอบ 50 ปี SFD และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ได้ลงนามในข้อตกลงใหม่มูลค่า 25 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อร่วมทุนโครงการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในหมู่เกาะโซโลมอน ซึ่งถือเป็นโครงการแรกของ SFD ในหมู่เกาะโซโลมอน โดยเป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานหมุนเวียน ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาค
ข้อตกลงนี้สร้างขึ้นจากการมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงของ SFD ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาผ่านโครงการพัฒนาต่างๆ ที่ครอบคลุมทั้งแอฟริกา เอเชีย และแปซิฟิก ละตินอเมริกาและแคริบเบียน และยุโรปตะวันออก
โดยรวมถึงโครงการสำคัญต่างๆ เช่น Metolong ใน Lesotho ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุน 25 ล้านเหรียญสหรัญ และปัจจุบันนี้ เป็นแหล่งน้ำดื่มที่สำคัญเพื่อผู้คนถึง 280,000 คน เพิ่มความมั่นคงด้านน้ำ สุขอนามัย และสุขภาพของประชาชนในภูมิภาคนี้ นี่เป็นเพียงหนึ่งใน 433 โครงการทั่วแอฟริกา โดยมีเงินทุนรวม 11,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และมุ่งเน้นในภาคส่วนที่สำคัญ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน และความมั่นคงด้านน้ำ
ในเอเชีย SFD ได้ให้เงินทุนสนับสนุนแก่โครงการ 271 โครงการ โดยมีเงินทุนรวม 7,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ การสนับสนุนโครงการพลังงานน้ำจาก Mohmand Dam ของ SFD ในประเทศปากีสถาน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายโครงการโดยรวม 240 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการเหล่านี้มีส่วนร่วมสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงานและความสามารถในการต้านทานน้ำท่วมของประเทศ โดยสามารถผลิตพลังงานหมุนเวียน 800 เมกะวัตต์ และกักเก็บน้ำได้ถึง 1.6 ล้านลูกบาศก์เมตร
ในละตินอเมริกาและแคริบเบียน SFD มีการให้เงินทุนสนับสนุนใน 21 โครงการ เป็นเงินทุนรวม 951 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยรวมถึงการฟื้นฟูระบบน้ำและน้ำเสียในกรุงฮาวานา ประเทศคิวบา ซึ่ง SFD ได้มีการจัดสรรเงินทุน 35 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ ความคิดริเริ่มที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสร้างโรงพยาบาล St. Jude ขึ้นใหม่ใน Saint Lucia โดยได้รับเงินทุนสนับสนุน 75 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้รับบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพสูง ในสถานพยาบาลที่ทันสมัยและล้ำสมัย และสามารถจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้อย่างเพียงพอเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในยุโรปตะวันออก SFD ได้ร่วมให้เงินทุนสนับสนุน 14 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุน 303 ล้านเหรียญสหรัฐ ความคิดริเริ่มที่สำคัญประการหนึ่งคือ การก่อสร้างถนน Tirana-Elbasan-Chokos-Chalf-Ploce โดย SFD มีการจัดสรรเงินทุน 73.8 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสร้างถนนและสะพานที่จำเป็นขึ้นใหม่ เพื่อช่วยกระตุ้นการดำเนินการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
ในงานเฉลิมฉลอง วิทยากรผู้ทรงเกียรติได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของ SFD ในการพัฒนาระดับโลก และการสนับสนุนความร่วมมือที่สำคัญ ตลอดจนการดำเนินการและการตอบสนองร่วมกัน วิทยากรหลักได้แก่:
- HRH Prince Turki bin Faisal Al Saud ผู้ก่อตั้งและผู้ดูแลมูลนิธิ King Faisal
- H.E. Ahmed bin Aqeel Al-Khateeb ประธานคณะกรรมการบริหารของ SFD
- H.E. Akinwumi Adesina ประธานกลุ่มธนาคารเพื่อการพัฒนาแอฟริกา (African Development Bank Group)
- H.E. Muhammad Al Jasser ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาอิสลาม (Islamic Development Bank)
ผู้นำด้านการพัฒนาระดับโลกเหล่านี้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ SFD ในการส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศและชุมชนที่มีความต้องการด้านการพัฒนาที่เร่งด่วนที่สุด
งานกาลานี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 500 คน รวมถึงรัฐมนตรี หัวหน้าองค์กรระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ เอกอัครราชทูต ตัวแทนขององค์กร และแขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ
ขณะเดียวกันกับที่ SFD มองไปยังอนาคต ก็มีการยืนยันถึงพันธกิจและคำมั่นสัญญาที่จะขับเคลื่อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาระดับนานาชาติ ในนามของสหราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และสนับสนุนเสถียรภาพระดับโลก ความก้าวหน้าทางสังคม และความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเพื่อคนรุ่นต่อไป
หมายเหตุถึงบรรณาธิการ
- สามารถติดต่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ media@sfd.gov.sa
- สามารถเข้าถึงชุดสื่อ รวมถึงเอกสารประกอบสำหรับงานเฉลิมฉลองวันครบรอบได้จากลิงก์ต่อไปนี้: ชุดสื่อ
*แหล่งข้อมูล: AETOSWire
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54116297/en
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ติดต่อ
Abeer Alqahtani
อีเมล: aalqahtani@apcoworldwide.com
โทรศัพท์มือถือ: +966580089661
แหล่งข้อมูล: Saudi Fund for Development
Plocamium Holdings เล็งเห็นโอกาสสร้างมูลค่าในตลาดที่มีการเติบโตสูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–27 สิงหาคม 2024
Plocamium Holdings บริษัทชั้นนำด้านการลงทุนและการเงินได้เผยแพร่การวิเคราะห์เชิงลึกที่เน้นให้เห็นโอกาสที่เติบโตไม่หยุดนิ่งของหุ้นนอกตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นที่เวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์ การศึกษาวิจัยนี้เน้นย้ำถึงศักยภาพของภูมิภาคแห่งนี้ในการเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการขยายเศรษฐกิจที่มั่นคง กรอบการทำงานกับทางรัฐที่เอื้ออำนวย และแนวโน้มในการเติบโตของตลาด
“กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับหุ้นนอกตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่เพียงกำลังเจริญเติบโต แต่ยังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย” Lily Raaka ผู้ดำรงตำแหน่ง Research Director ของ Plocamium Holdings กล่าว “ข้อมูลที่เราค้นพบบ่งชี้ว่าเวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์มีความพร้อมที่จะสร้างผลตอบแทนได้เป็นจำนวนมาก โดยแต่ละตลาดต่างก็มีโอกาสที่แตกต่างกันไปอย่างไม่ซ้ำกันซึ่งเหมาะกับกลยุทธ์การลงทุนที่เฉพาะเจาะจง”
“ขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการพัฒนาเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างไม่หยุดนิ่งต่อไปเรื่อย ๆ โอกาสด้านการลงทุนในหุ้นนอกตลาดจึงมีอยู่อย่างมากมายและหลากหลาย” James Tannahill ผู้ดำรงตำแหน่ง President ของ Plocamium กล่าว
เวียดนาม: ศูนย์การผลิตและการดูแลสุขภาพเชิงกลยุทธ์
เวียดนามถือเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ในด้านการลงทุนในหุ้นนอกตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนการผลิตและการดูแลสุขภาพ การดำเนินการริเริ่มทางเศรษฐกิจเชิงกลยุทธ์ของประเทศ รวมถึงการร่วมมืออย่างครอบคลุมกับสหรัฐฯ ในปี 2013 และการร่วมเป็นสมาชิกในองค์การการค้าโลก ช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้อย่างมาก เมื่อรัฐบาลดำเนินการขยายขีดจำกัดด้านกรรมสิทธิ์ของต่างชาติ เวียดนามจึงดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศจำนวนมากได้อย่างต่อเนื่อง
ไทย: โอกาสสำหรับผู้เล่นในตลาดเฉพาะกลุ่ม
ประเทศไทยนำเสนอโอกาสที่น่าสนใจสำหรับบริษัทหุ้นนอกตลาดในตลาดระดับกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยีชีวภาพและสารสนเทศ ถึงแม้จะมีความท้าทายด้านการเมือง แต่ความคล่องตัวและการมีธุรกิจครอบครัวอยู่อย่างแพร่หลายในประเทศไทยก็สร้างจุดเริ่มต้นดำเนินการที่แตกต่างจากประเทศอื่นให้กับนักลงทุน การดำเนินการริเริ่มของรัฐบาล รวมถึงปัจจัยจูงใจด้านภาษีและทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน ยิ่งส่งเสริมแวดวงการลงทุนให้แข็งแกร่ง ประเทศไทยจึงเป็นแหล่งลงทุนเป้าหมายที่น่าดึงดูดใจ
ฟิลิปปินส์: เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังมาแรง
ฟิลิปปินส์กำลังกลายเป็นศูนย์รวมสตาร์ตอัปทางดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านการดำเนินการริเริ่มต่าง ๆ เช่น แผนดำเนินการสำหรับสตาร์ตอัปทางดิจิทัลของฟิลิปปินส์ แม้ว่าความท้าทายอย่างการทุจริตจะยังคงมีอยู่ แต่จำนวนผู้ประกอบอาชีพวัยหนุ่มสาวที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และปัจจัยจูงใจที่ทางรัฐให้การสนับสนุนของประเทศก็ส่งผลให้ฟิลิปปินส์เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสำหรับการลงทุนในภาคส่วนเทคโนโลยีและเกษตรกรรม
เกี่ยวกับ Plocamium Holdings
Plocamium Holdings ใช้ความเชี่ยวชาญหลายทศวรรษในการร่วมมือกับผู้สนับสนุนและผู้ประกอบการด้านหุ้นนอกตลาด โดยมุ่งเน้นเผยให้เห็นการเติบโตและขับเคลื่อนความสำเร็จระยะยาว Plocamium จัดตั้งอยู่ในนิวยอร์ก โดยมุ่งมั่นดำเนินการอย่างเป็นเลิศและลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะสร้างมูลค่าให้กับพันธมิตรของตน
โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ plocamium.com
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ข้อมูลติดต่อ
สื่อมวลชน:
media@plocamium.com
plocamium.com/contact
แหล่งที่มา: Plocamium Holdings
HemoHim ประสบความสำเร็จในตลาดโลกด้วยการควบคุมคุณภาพอย่างรัดกุม
โซล เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–23 สิงหาคม 2024
HemoHim อาหารเสริมสุขภาพโดย Kolmar BNH (KRX: 200130) กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในตลาดโลกเนื่องด้วยมาตรการควบคุมคุณภาพอันเข้มงวดตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การจัดการต้นกำเนิดของวัตถุดิบอย่างรัดกุม
HemoHim G ที่ผลิตโดย Kolmar BNH และจัดจำหน่ายโดย Atomy กำลังได้รับความนิยมสูงในทั่วโลก (รูปภาพ: Kolmar BNH)
HemoHim เป็นอาหารเสริมสุขภาพรายการแรกที่ได้รับการอนุมัติของเกาหลีที่ออกแบบมาเพื่อเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและบรรเทาความเหนื่อยล้า ซึ่งมีการพัฒนาขึ้นมาโดย Kolmar BNH ในปี 2006 ด้วยการสร้างสูตรที่ประกอบด้วยส่วนประกอบจากธรรมชาติในประเทศ เช่น ตังกุย โกฐหัวบัว และโบตั๋น โดย HemoHim ส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยัง 20 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกาและจีน ผ่านการจัดจำหน่ายของ Atomy อีกทั้งยังสร้างยอดขายรวมในประเทศและต่างประเทศได้กว่า 2 ล้านล้านวอน ซึ่งส่งออกได้มากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่เปิดตัว
ความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อ HemoHim มาเกือบ 20 ปีส่วนมากเป็นเพราะ “ความเชื่อมั่นอันเป็นผลมาจากการควบคุมคุณภาพอย่างรัดกุม” โดยที่ Kolmar BNH ซึ่งเป็นผู้ผลิตของ HemoHim ดำเนินการเพื่อคงไว้ซึ่งการกำกับดูแลที่เข้มงวดในการเพาะปลูกวัตถุดิบหลัก ได้แก่ ตังกุยเกาหลี โกฐหัวบัว และโบตั๋น เพื่อรับรองถึงความปลอดภัยของวัตถุดิบ ทางบริษัทได้จัดตั้งทีมดูแลความปลอดภัยของอาหารโดยเฉพาะ เพื่อแบ่งปันเทคโนโลยีและให้ความรู้แก่ฟาร์มเพาะปลูกวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับตรวจสอบความปลอดภัย ความเสถียร และประสิทธิภาพของส่วนประกอบเหล่านี้อย่างเข้มงวด
Kolmar BNH ยังยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านคุณภาพของตนด้วยการพัฒนาวิธีทดสอบพันธุกรรมเพื่อตรวจสอบประเทศแหล่งกำเนิด ซึ่งเป็นการป้องกันวัตถุดิบหลักไม่ให้เกิดการปนเปื้อนกับสปีชีส์อื่น ๆ และในเดือนกรกฎาคม ทาง Kolmar BNH ก็ได้จดสิทธิบัตรวิธีการวิเคราะห์พันธุรกรรม (SCAR Marker) ที่ใช้ระบุแหล่งกำเนิดของตังกุยเกาหลีผ่านการจดจำภูมิภาคพันธุกรรมที่เฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ Kolmar BNH ได้พัฒนาวิธีการวิเคราะห์พันธุรกรรมโดยใช้การวิเคราะห์ PCR (ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส) สำหรับโกศหัวบัวและโบตั๋น รวมทั้งได้ลงทะเบียนเพื่อจดสิทธิบัตรเสร็จสิ้นเมื่อสองปีที่แล้ว
ความปลอดภัยคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับ HemoHim G ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นล่าสุดที่มุ่งจำหน่ายในตลาดโลก ในเดือนเมษายน ทาง Kolmar BNH ได้เผยแพร่การศึกษาเกี่ยวกับ HemoHim G ในงานวิจัยที่ใช้ดัชนี SCIE วัดคุณภาพ ชื่อว่า “การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา” ที่แสดงให้เห็นถึงความปลอดภัย การศึกษาที่ดำเนินการตามแนวทาง OECD นี้ไม่เพียงมีความสำคัญในการช่วยให้ได้รับการอนุญาตด้านความปลอดภัยในประเทศอื่น ๆ แต่ยังจะช่วยให้ได้ถือครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาด้วยผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ
HemoHim G (Global) คือผลิตภัณฑ์เวอร์ชันสากลของ HemoHim ที่เป็นอาหารเสริมสุขภาพเพื่อยกระดับระบบภูมิคุ้มกันรายแรกที่ได้รับการอนุมัติของเกาหลี ซึ่ง Kolmar BNH ใช้เวลาแปดปีในการพัฒนา การคิดค้นสูตรนั้นผ่านการปรับให้เหมาะสมเพื่อปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยอาหารในประเทศต่าง ๆ พร้อมทั้งปรับอัตราส่วนของวัตถุดิบและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์นี้ประกอบด้วยตังกุย โกฐหัวบัว และโบตั๋น ซึ่งล้วนแล้วคัดสรรผ่านกระบวนการควบคุมแหล่งกำเนิดและคุณภาพที่เข้มงวด รสชาติและความหอมที่เหนือระดับยิ่งขึ้นยังส่งผลให้ HemoHim G น่าดึงดูดใจมากขึ้นสำหรับกลุ่มเป้าหมายวงกว้างอีกด้วย
Kolmar BNH วางแผนที่จะปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องผ่านงานวิจัยและการพัฒนาที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของ HemoHim ในฐานะแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในทั่วโลก
“HemoHim ซึ่งขณะนี้ได้รับการยอมรับในฐานะแบรนด์อาหารเสริมสุขภาพชั้นนำจากเกาหลีในตลาดโลกนั้นมีการผลิตผ่านกระบวนการควบคุมคุณภาพอย่างละเอียดถี่ถ้วน” เจ้าหน้าที่จาก Kolmar BNH กล่าว “เราจะดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาให้ครอบคลุมต่อไปเพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ยิ่งขึ้นไปอีก”
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54112737/en
ข้อมูลติดต่อ
Kolmar BNH
Jang Woo Lee
Jay.lee@kolmar.co.kr
แหล่งที่มา: Kolmar BNH
You must be logged in to post a comment.