AWS เปิดตัว Region โครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย

Logo

 AWS Asia Pacific (Thailand) Region ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นในการรันปริมาณงานและจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัยในประเทศไทย พร้อมทั้งให้บริการผู้ใช้ปลายทางด้วยเวลาแฝงต่ำ

 Region ใหม่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวของ AWS ในการตอบสนองความต้องการบริการคลาวด์ที่สูงในประเทศไทยและทั่วเอเชียแปซิฟิก

 AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และรองรับตำแหน่งงานที่เทียบเท่าแบบเต็มเวลาโดยเฉลี่ยมากกว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปีในประเทศไทย ซึ่งจะเพิ่ม GDP ของประเทศไทยประมาณ 10 พันล้านเหรียญสหรัฐ

 ลูกค้าปัจจุบันที่ยังใช้งานในประเทศไทยและทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ 2C2P, Ascend Money, Bank of Ayudhya, Big Data Institute, The Center of Excellence in Digital and AI for Mental Health, Charoen Pokphand Group, Dailitech, Digital Government Development Agency, ECV, G-Able, KASIKORN Business-Technology Group, Metro Systems, NTT DATA, Stock Exchange of Thailand และอื่นๆ อีกมากมายที่สร้างสรรค์นวัตกรรมบน AWS

ซีแอตเทิล–(BUSINESS WIRE)–08 มกราคม 2025

Amazon Web Services, Inc. (AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com, Inc. (NASDAQ: AMZN) ได้ประกาศเปิดตัว AWS Asia Pacific (Thailand) Region แล้ววันนี้ ขณะนี้นักพัฒนา สตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ และองค์กรต่างๆ รวมถึงภาครัฐ สถาบันการศึกษา และองค์กรไม่แสวงหากำไรจะมีทางเลือกมากขึ้นในการเรียกใช้แอปพลิเคชัน และให้บริการผู้ใช้ปลายทางจากศูนย์ข้อมูล AWS ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นระยะยาว AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในประเทศไทย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AWS Global Infrastructure โปรดไปที่ aws.amazon.com/about-aws/global-infrastructure.

AWS ประเมินว่าการก่อสร้างและการดำเนินการอย่างต่อเนื่องของ AWS Region ใหม่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศไทยประมาณ 10 พันล้านเหรียญสหรัฐ และรองรับตำแหน่งงานที่เทียบเท่าแบบเต็มเวลาโดยเฉลี่ยมากกว่า 11,000 ตำแหน่งในธุรกิจภายนอกต่อปี งานเหล่านี้รวมถึงงานก่อสร้าง การบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก วิศวกรรม โทรคมนาคม และงานอื่นๆ ภายในเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ จะเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของ AWS ในประเทศไทย

“ดิฉันขอขอบคุณ Amazon Web Services ที่ได้ลงทุนในการพัฒนาศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย” Paetongtarn Shinawatra นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยกล่าว “ดิฉันรู้สึกยินดีที่บริษัทชั้นนำระดับโลกแห่งหนึ่งยอมรับศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทย ดิฉันหวังว่า AWS จะมีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกับรัฐบาลในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นสังคมดิจิทัลที่ครอบคลุมมากขึ้น และขยายการเข้าถึงบริการดิจิทัลสำหรับประชาชนทุกคน”

“เรายังคงเห็นการนำระบบคลาวด์ไปใช้อย่างรวดเร็วทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากลูกค้าจำนวนมากขึ้นปลดล็อกศักยภาพของระบบคลาวด์ที่ครอบคลุม เชื่อถือได้ และปลอดภัยมากที่สุดในโลก” Prasad Kalyanaraman รองประธานฝ่ายบริการโครงสร้างพื้นฐานของ AWS กล่าว “AWS Region ใหม่ในประเทศไทยจะช่วยให้ลูกค้าในทุกอุตสาหกรรมสามารถปรับใช้แอปพลิเคชันขั้นสูงที่มีชุดเทคโนโลยี AWS ที่หลากหลาย ซึ่งนำเสนอทั้งความสามารถหลักบนคลาวด์ เช่น การประมวลผล พื้นที่การจัดเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ และเครือข่าย รวมถึงบริการที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว เช่น ปัญญาประดิษฐ์ และแมชชีนเลิร์นนิง ด้วยการเปิดตัวในวันนี้ AWS รู้สึกภูมิใจที่ได้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย และช่วยเร่งบทบาทในการเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคด้านปัญญาประดิษฐ์”

ด้วยการเปิดตัว AWS Asia Pacific (Thailand) Region ทำให้ AWS มี Availability Zone ทั้งหมด 111 แห่งใน 35 ภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ พร้อมประกาศแผนที่จะเปิดตัว Availability Zone เพิ่มอีก 15 แห่งและ AWS Region เพิ่มอีก 5 แห่งในเม็กซิโก นิวซีแลนด์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ไต้หวัน และ AWS European Sovereign Cloud AWS Region ประกอบด้วย Availability Zone ที่วางโครงสร้างพื้นฐานในที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่แยกจากกันและแตกต่างกัน AWS Asia Pacific (Thailand) Region ประกอบด้วย Availability Zone 3 แห่งที่อยู่ห่างกันเพียงพอที่จะรองรับความต่อเนื่องทางธุรกิจของลูกค้า แต่ใกล้พอที่จะให้เวลาแฝงต่ำสำหรับแอปพลิเคชันที่มีความพร้อมใช้งานสูงที่ใช้หลาย Availability Zone ซึ่ง Availability Zone แต่ละแห่งมีแหล่งพลังงาน การระบายความร้อน และการรักษาความปลอดภัยทางกายภาพที่แยกจากกัน และเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายเวลาแฝงที่ต่ำเป็นพิเศษ ลูกค้า AWS ที่เน้นความพร้อมใช้งานสูงสามารถออกแบบแอปพลิเคชันของตนให้ทำงานใน Availability Zone หลายแห่งเพื่อให้ทนทานต่อความผิดพลาดได้ดียิ่งขึ้น ลูกค้า AWS ที่เน้นความพร้อมใช้งานสูงสามารถออกแบบแอปพลิเคชันให้ทํางานในหลาย ๆ Availability Zone และในหลาย region เพื่อให้เกิดความทนทานต่อความผิดพร่องได้ดียิ่งขึ้น

AWS นำเสนอบริการที่หลากหลายและครอบคลุมที่สุด รวมถึงการวิเคราะห์ การประมวลผล ฐานข้อมูล อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง generative AI แมชชีนเลิร์นนิง บริการมือถือ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และเทคโนโลยีคลาวด์อื่นๆ ลูกค้าตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรต่าง ๆ องค์กรภาครัฐ และองค์กรไม่แสวงผลกำไรจะสามารถใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำของโลกเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ตอบสนองความต้องการด้านถิ่นที่อยู่ของข้อมูล ลดเวลาแฝงลง และตอบสนองความต้องการบริการคลาวด์ในประเทศไทยและทั่วเอเชียแปซิฟิก

 ลูกค้าและคู่พันธมิตร AWS ยินดีต้อนรับ AWS Region ในประเทศไทย

องค์กรต่างๆ ทั่วอาเซียนและในประเทศไทยเป็นหนึ่งในลูกค้าหลายล้านรายที่ใช้งาน AWS ในกว่า 190 ประเทศทั่วโลก องค์กรต่างๆ ในประเทศไทยเลือกใช้ AWS เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขับเคลื่อนความคุ้มค่าด้านต้นทุน และเร่งเวลาออกสู่ตลาด ลูกค้าชาวไทยที่ใช้ AWS ได้แก่ 2C2P, Ascend Money, Bank of Ayudhya, Charoen Pokphand Group (CP Group) และ KASIKORN Business-Technology Group ลูกค้าภาครัฐของประเทศไทยใช้ AWS เพื่อช่วยขับเคลื่อนการประหยัดต้นทุนและให้บริการประชาชนในท้องถิ่นได้ดียิ่งขึ้น ลูกค้าเหล่านี้ได้แก่ Big Data Institute (BDI), Digital Government Development Agency, Center of Excellence in Digital and AI for Mental Health (AIMET) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็กของไทย เช่น BODA Technology & Consultancy, BOTNOI Group, Flow Account, Pomelo Fashion และ Sunday Technology กำลังสร้างบน AWS เพื่อขยายตัวอย่างรวดเร็วในระดับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก

Bank of Ayudhya Public Company Limited หนึ่งในธนาคารชั้นนำของประเทศไทย อาศัย AWS เพื่อรับมือกับความท้าทายเฉพาะ เช่น การยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า การปรับปรุงการเข้าถึงทางการเงิน และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ธนาคารใช้บริการคลาวด์ของ AWS รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูล แมชชีนเลิร์นนิง และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและปรับปรุงกระบวนการต่างๆ “ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์เชิงกลยุทธ์ของเรา AWS มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโปรแกรมคลาวด์ของกรุงศรี ซึ่งให้บริการแก่ผู้คนมากกว่า 12 ล้านคน ด้วย Thailand Region สิ่งนี้จะขยายความร่วมมือระหว่างกรุงศรีและ AWS ได้อย่างมาก และจะขยายความเป็นไปได้อย่างมีนัยสำคัญ” Pochara Vanaratseath หัวหน้าฝ่ายไอที Bank of Ayudhya Public Company Limited กล่าว

Charoen Pokphand Group (CP Group) เป็นกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการเกษตร อาหาร การค้าปลีก โทรคมนาคม และอีคอมเมิร์ซในกว่า 21 ประเทศ CP Group ใช้ AWS เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ปรับขนาดอย่างรวดเร็ว ปรับปรุงความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลใหม่ๆ และสร้างสรรค์นวัตกรรมในหน่วยธุรกิจที่หลากหลาย “การลงทุนของ AWS ครั้งนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและปรับปรุงคุณภาพชีวิต” Thanasorn Jaidee ประธาน True Internet Data Center (True IDC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ CP Group กล่าว “ภูมิภาคใหม่จะช่วยให้เราสามารถเร่งความคิดริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ยกระดับความปลอดภัยของข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และพัฒนาโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรามุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน AWS ในท้องถิ่นนี้เพื่อให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย”

KASIKORN Business-Technology Group (KBTG) ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 โดยเป็นหน่วยงานด้านเทคโนโลยีของ KASIKORNBANK ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศไทย โดยใช้บริการ AWS ในการให้บริการแอปพลิเคชันมากกว่า 400 แอปพลิเคชัน เพื่อให้ลูกค้าทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวก ง่ายดาย และครอบคลุมมากขึ้น “การใช้ AWS ถือเป็นกลยุทธ์ที่เปลี่ยนแปลงเกมสำหรับเรา ทำให้เราสามารถสร้างความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมฟินเทคได้” Tawan Jithavech ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ KBTG กล่าว “เราเลือกใช้ AWS เพราะมีบริการที่หลากหลาย มีความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในโซลูชันคลาวด์ และความคล่องตัวที่สามารถช่วยให้เราขยายขนาดการดำเนินงานได้ ด้วย AWS Thailand Region ใหม่ เราจะสามารถปรับปรุงเวลาตอบสนองของเครือข่ายได้อย่างง่ายดาย สามารถซิงโครไนซ์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งมอบบริการทางการเงินที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และพร้อมใช้งานมากที่สุดในโลก”

หน่วยงานภาครัฐของไทยอย่าง Big Data Institute (BDI) กำลังเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์ม National Big Data ซึ่งช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถกำหนดนโยบายที่มีข้อมูลเพียงพอเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ BDI เปิดตัวโครงการบูรณาการข้อมูลหลายโครงการ รวมถึง Health Link, Travel Link และแพลตฟอร์ม Thai Large Language Model (Thai LLM) ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและประโยชน์ใช้สอยของข้อมูลทั่วทั้งภาคส่วน “ด้วยการเปิดตัว AWS Thailand Region ใหม่ เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศว่า Big Data Institute จะย้าย Health Link ซึ่งเป็นบริการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพแบบกระจายศูนย์ของเราไปยังศูนย์ข้อมูลของ AWS ในประเทศไทย” Dr. Tiranee Achalakul ประธานและซีอีโอของ BDI กล่าว “Health Link พร้อมที่จะให้การดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพโดยให้เข้าถึงบันทึกสุขภาพได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องจัดเก็บข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไว้ที่ศูนย์กลาง เราเลือก AWS เป็นผู้ให้บริการคลาวด์หลักของเรา เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่ขึ้นชื่อในเรื่องความปลอดภัย แข็งแกร่ง และปรับขนาดได้สูง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนด้านวิศวกรรมและการให้คำปรึกษาที่ยอดเยี่ยม ขณะที่เราขยายฐานผู้ใช้ Health Link การรักษาสภาพแวดล้อมการปฏิบัติงานที่มั่นคง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพจะเป็นสิ่งสำคัญ และเรารู้ว่าเราสามารถทำเช่นนั้นได้ด้วย AWS”

The Stock Exchange of Thailand (SET) เป็นสถานที่ซื้อขายหลักทรัพย์หลักของประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ1975 โดยมีแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ที่รองรับผู้ใช้มากกว่า 3.6 ล้านคน AWS มอบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่แข็งแกร่ง ปรับขนาดได้สูง และเวลาแฝงต่ำให้กับ SET สำหรับแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ที่สามารถตอบสนองข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวดได้ “ด้วยจำนวนนักลงทุนดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น จึงมีความจำเป็นที่ SET จะต้องปรับตัวให้เข้ากับความต้องการใหม่ๆ ของตลาดอย่างรวดเร็ว และนำเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตนี้” Thirapun Sanpakit รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายไอทีของ Stock Exchange of Thailand กล่าว “การใช้ AWS สำหรับแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ของ SET ช่วยให้เราปรับขนาดเพื่อรองรับผู้ใช้งานพร้อมกัน 500,000 รายได้อย่างงายดาย ในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพในการดำเนินงานสูงสุด ด้วย AWS ภูมิภาคใหม่ในประเทศไทย“ “การใช้ AWS สำหรับแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ของ SET ช่วยให้เราปรับขนาดเพื่อรองรับผู้ใช้พร้อมกัน 500,000 รายได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพการดำเนินงานสูงสุดไว้ ด้วย AWS Thailand Region ใหม่ เราจะขยายข้อเสนอข้อมูลตลาดที่มีเวลาแฝงต่ำเพื่อยกระดับประสบการณ์การซื้อขายของนักลงทุนของเราให้ดียิ่งขึ้น”

AWS Partner Network (APN) ประกอบด้วยผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (ISV) และผู้รวมระบบ (SI) หลายหมื่นรายทั่วโลก คู่ค้าของ AWS สร้างโซลูชันและบริการที่เป็นนวัตกรรมบน AWS และ APN โดยให้การสนับสนุนด้านธุรกิจ เทคนิค การตลาด และการเข้าสู่ตลาดแก่ลูกค้า AWS ISVs พันธมิตรด้านเทคโนโลยี SIs และพันธมิตรที่ปรึกษา ช่วยให้ลูกค้าองค์กรและภาครัฐสามารถโยกย้ายไปยัง AWS ปรับใช้แอปพลิเคชันที่สำคัญต่อภารกิจ และให้บริการการตรวจสอบ ระบบอัตโนมัติ และการจัดการอย่างเต็มรูปแบบสำหรับสภาพแวดล้อมระบบคลาวด์ของลูกค้า พันธมิตร AWS ในประเทศไทย ได้แก่ Com7, Dailitech, Dakok, Deloitte, Fujitsu, G-Able, Inteltion, Metro Systems, MFEC, NTT DATA, SiS Distribution, SoftwareOne, True IDC และ Yip in Tsoi & Co., Ltd. สำหรับรายชื่อพันธมิตร AWS ทั้งหมด โปรดไปที่ aws.amazon.com/partners.

Dailitech เป็นบริษัทเทคโนโลยีของไทยที่เชี่ยวชาญด้านโซลูชันข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ โดยมุ่งเน้นที่พื้นฐานของเครือข่าย ความปลอดภัย และการโยกย้ายแอปพลิเคชันไปยังคลาวด์ของ AWS “การเปิดตัว AWS Asia Pacific (Thailand) Region จะช่วยเพิ่มความสามารถของ Dailitech ในการเร่งสร้างนวัตกรรมและปรับปรุงประสิทธิภาพให้กับลูกค้าของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมาก” Dr. Vit Niennattrakul กรรมการผู้จัดการ Dailitech กล่าว “เรายังภูมิใจและตื่นเต้นที่การขยายตัวของ AWS ในครั้งนี้จะช่วยตอกย้ำตำแหน่งของประเทศไทยในฐานะผู้เล่นหลักในเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค และจะช่วยปลดล็อกศักยภาพอันยิ่งใหญ่สำหรับธุรกิจไทยและคนไทย”

NTT DATA ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ NTT Group ระดับโลก เป็นผู้ให้บริการด้านไอทีชั้นนำ พวกเขาร่วมมือกับ AWS เพื่อเสนอบริการการโยกย้าย การจัดการ และการเพิ่มประสิทธิภาพบนคลาวด์ให้กับธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย NTT DATA ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือของ AWS เพื่อช่วยลูกค้าเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และสร้างนวัตกรรมในด้านต่างๆ เช่น IoT และการวิเคราะห์ข้อมูล “การลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ AWS ครั้งนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในวงกว้าง” Sutas Kongdumrongkiat ซีอีโอประจำประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์ของ NTT DATA กล่าว “AWS Thailand Region ใหม่จะช่วยให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เวลาแฝงต่ำ และอำนาจอธิปไตยของข้อมูลที่แข็งแกร่งขึ้นให้กับลูกค้าของเรา ในฐานะพันธมิตรของ AWS ที่มีมายาวนาน เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นนี้เพื่อเร่งนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านต่างๆ เช่น IoT เมืองอัจฉริยะ และอุตสาหกรรม 4.0 การพัฒนานี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางดิจิทัลและส่งเสริมโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ”

 การลงทุนในประเทศไทย

AWS Asia Pacific (Thailand) ใหม่เป็นการลงทุนล่าสุดอย่างต่อเนื่องของ AWS ในประเทศไทย เพื่อมอบบริการคลาวด์ขั้นสูงและปลอดภัยแก่ลูกค้า พร้อมด้วยโปรแกรมทักษะ การฝึกอบรม และการมีส่วนร่วมของชุมชน ตั้งแต่ปี 2020 AWS ได้เปิดตัว Amazon CloudFront Edge หกแห่งในประเทศไทย ซึ่งช่วยเร่งการส่งมอบข้อมูล วิดีโอ แอปพลิเคชัน และ API ไปยังผู้ใช้ทั่วโลกด้วยเวลาแฝงต่ำและความเร็วในการถ่ายโอนสูง ในปี 2020 AWS ได้เปิดตัว AWS Outposts ในประเทศไทยเพื่อส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานและบริการของ AWS ไปยังตำแหน่งในองค์กรหรือ Edge แทบทุกแห่งเพื่อประสบการณ์ไฮบริดที่สอดคล้องกันอย่างแท้จริง ในปี 2022 AWS ได้เพิ่มการลงทุนในประเทศไทยด้วยการเปิดตัว AWS Local Zones ในกรุงเทพ AWS Local Zones เป็นหนึ่งในบริการการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานของ AWS ที่จัดวางการประมวลผล พื้นที่จัดเก็บ ฐานข้อมูล และบริการอื่น ๆ ที่เลือกสรรไว้ใกล้กับประชากรจำนวนมากและศูนย์กลางอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้ลูกค้าสามารถส่งมอบแอปพลิเคชันที่ต้องใช้เวลาแฝงเป็นหน่วยมิลลิวินาทีให้กับผู้ใช้ปลายทางได้

ตั้งแต่ปี 2017 AWS ได้ฝึกอบรมทักษะระบบคลาวด์ให้กับบุคคลมากกว่า 50,000 คนในประเทศไทย AWS ยังคงลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะของนักพัฒนา นักศึกษา และผู้นำด้านไอทีรุ่นต่อไปในประเทศไทยด้วยทักษะระบบคลาวด์ที่เป็นที่ต้องการผ่าน AWS Skills to Jobs Tech Alliance และโปรแกรม AWS Training & Certification เช่น AWS AcademyAWS ยังได้เปิดตัวโปรแกรม “เทคโนโลยีเพื่ออนาคตดิจิทัล” ในประเทศไทยเพื่อมอบทักษะการประมวลผลบนคลาวด์ขั้นพื้นฐานให้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอาชีวศึกษาเกี่ยวกับพื้นฐานคลาวด์ในภาษาไทย AWS Academy มอบหลักสูตรการประมวลผลบนคลาวด์ที่พร้อมสอนฟรีแก่สถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก เพื่อเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับการรับรอง AWS ที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมและงานด้านระบบคลาวด์ที่เป็นที่ต้องการ ปัจจุบัน AWS Academy เปิดสอนหลักสูตรในมหาวิทยาลัยมากกว่า 30 แห่งในประเทศไทย รวมถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสยาม และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งครอบคลุมถึงพื้นฐานด้านคลาวด์ สถาปัตยกรรมคลาวด์ การดำเนินการคลาวด์ การพัฒนาคลาวด์ และวิศวกรรมข้อมูล รวมถึงการรับรองเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับแมชชีนเลิร์นนิง ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และสาขาอื่นๆ นับตั้งแต่เปิดตัวโปรแกรมนี้ มีนักเรียนมากกว่าหนึ่งล้านคนได้รับการฝึกอบรมจาก AWS Academy ทั่วโลก นับตั้งแต่เปิดตัวโปรแกรม มีนักเรียนมากกว่าหนึ่งล้านคนได้รับการฝึกอบรมจาก AWS Academy ทั่วโลก

 ความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน

Amazon มุ่งมั่นที่จะเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้นและบรรลุคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในการดําเนินงานภายในปี 2040 ซึ่งเร็วกว่าข้อตกลงปารีสถึง 10 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ The Climate Pledge Amazon ได้ร่วมก่อตั้ง The Climate Pledge และกลายเป็นผู้ลงนามรายแรกในปี 2019

AWS มุ่งมั่นทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบศูนย์ข้อมูล การลงทุนในชิปที่สร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ และสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยเทคโนโลยีระบายความร้อนใหม่ๆ รายงานของ Accentureซึ่งได้รับมอบหมายจาก AWS ประเมินว่าโครงสร้างพื้นฐานของ AWS มีประสิทธิภาพสูงกว่าโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์กรถึง 4.1 เท่า และเมื่อปริมาณงานได้รับการปรับให้เหมาะสมบน AWS ก็จะสามารถลดปริมาณคาร์บอนที่เกี่ยวข้องได้มากถึง 99% ด้วย AWS Asia Pacific (Thailand) Region ใหม่ของ AWS ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากความพยายามด้านความยั่งยืนของ AWS ทั่วทั้งโครงสร้างพื้นฐาน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพยายามด้านความยั่งยืนของ AWS โปรดไปที่ aws.amazon.com/about-aws/sustainability.

 เกี่ยวกับ Amazon Web Services

ตั้งแต่ปี 2006 Amazon Web Services ได้กลายเป็นระบบคลาวด์ที่ครอบคลุมและได้รับการนำไปใช้งานอย่างกว้างขวางที่สุดในโลก AWS ได้ขยายบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับปริมาณงานทุกรูปแบบ และปัจจุบันมีบริการอย่างเต็มรูปแบบกว่า 240 รายการ สำหรับการประมวลผล การจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล ระบบเครือข่าย การวิเคราะห์ แมชชีนเลิร์นนิง และปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) อุปกรณ์พกพา ความปลอดภัย ไฮบริด สื่อ และการพัฒนาแอปพลิเคชัน การปรับใช้ และการจัดการ Availability Zones 111 แห่ง ภายใน 35 ภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ พร้อมแผนที่ประกาศไว้สำหรับ Availability Zones อีก 15 แห่ง และอีก 5 AWS Regions ในเม็กซิโก นิวซีแลนด์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ไต้หวัน และ AWS European Sovereign Cloud ลูกค้าหลายล้านราย รวมไปถึงสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด องค์กรขนาดใหญ่ที่สุด และหน่วยงานภาครัฐชั้นนำ ต่างไว้วางใจให้ AWS ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานให้มีความคล่องตัวมากขึ้น และลดต้นทุน หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ AWS โปรดไปที่ aws.amazon.com.

 เกี่ยวกับ Amazon

Amazon ยึดหลักการ 4 ประการ ได้แก่ การยึดมั่นในตัวของลูกค้าเป็นที่ตั้งมากกว่าการมุ่งเน้นไปที่คู่แข่ง ความหลงใหลในการประดิษฐ์คิดค้น ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน และการคิดถึงอนาคตในระยะยาว Amazon มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากที่สุดในโลก เป็นนายจ้างที่ดีที่สุดของโลก และสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยที่สุดในโลก Customer reviews,1-Click shopping, คำแนะนำส่วนบุคคล, Prime, Fulfillment by Amazon, AWS, Kindle Direct Publishing, Kindle, Career Choice, Fire tablets, Fire TV, Amazon Echo, Alexa, เทคโนโลยี Just Walk Out, Amazon Studios และ The Climate Pledge คือบางสิ่งที่ Amazon เป็นผู้ริเริ่ม หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ amazon.com/aboutและติดตาม @AmazonNews.

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

 Amazon.com, Inc.
 สายด่วนสื่อ
 Amazon-pr@amazon.com
 www.amazon.com/pr

 ที่มา: Amazon.com, Inc.

KK Group เร่งขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าสู่ 4 ประเทศในปี 2024

Logo

กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย–(BUSINESS WIRE)–03 มกราคม 2025

KK Group ผู้ค้าปลีกนำเทรนด์สัญชาติจีนที่มุ่งเป้าไปที่คนรุ่นใหม่ กำลังขยายการดำเนินงานอย่างรวดเร็วทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแบรนด์ไลฟ์สไตล์ KKV และแบรนด์เครื่องสำอาง The Colorist ทำให้กลุ่มบริษัทประสบความสำเร็จในการเข้าสู่สี่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2024 โดยในปัจจุบันบริษัทมีร้านค้ามากกว่า 1,000 แห่งในกว่า 200 เมืองทั่วประเทศจีน

KKV Malaysia Flagship Store at Bukit Bintang (Photo: Business Wire)

KKV แฟล็กชิปสโตร์ มาเลเซียที่บูกิตบินตัง (รูปภาพ: Business Wire)

การเติบโตที่ไม่เคยมีมาก่อนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

KK Group เริ่มดำเนินการขยายธุรกิจด้วยความทะเยอทะยานในปี 2024 โดย KKV ซึ่งเป็นที่รู้จักจากแนวคิดของแบรนด์ “น่าช็อป น่าเล่น และดูดี” เป็นผู้นำในการขยายธุรกิจระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน— ด้วยการเข้าสู่หนึ่งประเทศใหม่ทุกเดือน แบรนด์ KKV เป็นที่รู้จักอย่างแข็งแกร่งในมาเลเซียในช่วงต้นปี 2024 ตามมาด้วยประเทศไทยในเดือนตุลาคม เวียดนามในเดือนพฤศจิกายน และฟิลิปปินส์ในเดือนธันวาคม นอกจากนี้ The Colorist ยังได้เปิดร้านในต่างประเทศแห่งแรกในประเทศมาเลเซียในเดือนธันวาคม

การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นเชิงกลยุทธ์ของ KK Group ในการเจาะตลาดใหม่อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวและมั่นคงในตลาดเหล่านี้จะต้องเอาชนะความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

KKV ส่องสว่างดาวคริสต์มาสของคุณจุดประกายความตื่นเต้นของผู้บริโภค

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองปีแห่งความสำเร็จอันน่าทึ่งและกระชับความสัมพันธ์กับผู้บริโภคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น KKV ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานคริสต์มาสอันน่าตื่นตาตื่นใจ “KKV ส่องสว่างดาวคริสต์มาสของคุณ” ซึ่งกิจกรรมนี้ได้ดึงดูดผู้เข้าชมนับหมื่นคน และทำให้เกิดการดูออนไลน์ถึง 100 ล้านครั้ง

ดาวแต่ละดวงแสดงถึงไลฟ์สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยการเชื่อมโยงดวงดาวเหล่านี้ KKV หวังที่จะนำช่วงเวลาที่สนุกสนานและน่าจดจำมาสู่ผู้คนในทุกๆ พื้นที่ เพื่อสร้างโลกที่เต็มไปด้วยศิลปะแห่งการดำรงชีวิต “ที่ KKV ทุกคนสามารถค้นพบไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสมกับตนเอง” ผู้บริโภครายหนึ่งได้กล่าวไว้ และเสริมว่า “ประสบการณ์คริสต์มาสที่เต็มไปด้วยดาราที่ KKV นี้เป็นสิ่งที่น่าจดจำไม่อาจลืมเลือน”

วิสัยทัศน์สำหรับปี 2025 และปีต่อๆ ไป

ในเดือนธันวาคม 2024 KK Group ได้เปิดตัวร้านค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 30 ร้าน จาก 2 แบรนด์ คือ KKV และ The Colorist

ในปี 2025 นี้ ทางบริษัทมีเป้าหมายเปิดตัวแบรนด์ X11 ซึ่งเป็นสินค้าป็อปคัลเจอร์อย่างยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ในขณะที่ KK Group วางแผนที่จะเข้าสู่ตลาดสิงคโปร์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025  เนื่องจากจำนวนร้านค้าภายใต้แบรนด์หลักสามแบรนด์ ได้แก่ KKV, The Colorist และ X11 กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความสามารถของ KK Group ในการปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของผู้บริโภคในท้องถิ่น การรักษามาตรฐานของการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ และความมั่นใจในการทำกำไรของร้านค้าแต่ละแห่งจะขึ้นอยู่กับการวิจัยอย่างต่อเนื่องและการสำรวจเชิงกลยุทธ์โดยทีมงานระหว่างประเทศ นอกเหนือจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ทีมงานยังดำเนินการวิจัยที่ครอบคลุมเพื่อสำรวจโอกาสและขับเคลื่อนความก้าวหน้าใหม่ๆ ในการพัฒนาสำหรับภูมิภาคต่างๆ

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ KK Group มุ่งมั่นที่จะ เพิ่มความผูกพันของลูกค้าต่อแบรนด์ผ่านการเคารพในวัฒนธรรมท้องถิ่น ทำความเข้าใจตลาดท้องถิ่น ปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม และเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่น กลยุทธ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของ บริษัทในศักยภาพของตลาดค้าปลีกทั่วโลกและความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้มีส่วนร่วมระยะยาวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54171227/en

ติดต่อ

globalmarketing@kkgroup.cn

ที่มา: KK Group

AHF เรียกร้องให้อาเซียนเป็นผู้นำในการต่อสู้กับเอชไอวี/เอดส์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

Logo

พนมเปญ, กัมพูชา–(BUSINESS WIRE)–01 มกราคม 2025

มูลนิธิดูแลสุขภาพด้านเอดส์ (AHF) ที่เป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่ไม่แสวงหากำไรรายใหญ่ที่สุดของโลกด้านเอชไอวี/เอดส์ ได้เรียกร้องให้สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เป็นผู้นำในการทำงานเพื่อยุติโรคเอดส์ที่เป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

“AHF รู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนและองค์กรภาคประชาสังคม (CSOs) ในการประชุมคณะกรรมการประสานงานโครงการ UNAIDS เมื่อเร็วๆ นี้ โดย Ieng Mouly รัฐมนตรีอาวุโส ประธานหน่วยงานเอดส์แห่งชาติของกัมพูชา ยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการสร้างความแข็งแกร่งในการตอบสนองของชุมชนต่อเอชไอวี/เอดส์” ดร. Chhim Sarath หัวหน้าสำนักงาน AHF ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า “ในขณะที่เราต้อนรับปีใหม่ เราก็เรียกร้องให้อาเซียนและประเทศสมาชิกเพิ่มความร่วมมือและสร้างกลไกที่แข็งแกร่งเพื่อพัฒนา 'แผนงานเพื่อยุติโรคเอดส์ในภูมิภาคอาเซียน' ด้วยการมีร่วมมืออย่างแข็งขันจาก CSOs อย่าง AHF”

AHF ที่ให้บริการลูกค้ามากกว่า 400,000 รายใน 10 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก มีความกระตือรือร้นที่จะมอบความเชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนเป้าหมายที่ทะเยอทะยานของอาเซียน AHF เสนอการทํางานผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น ASEAN GO-NGOs Forum เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ การจัดการกับความไม่เท่าเทียมกัน ขจัดความอัปยศและการเลือกปฏิบัติ และรับรองการเข้าถึงการป้องกันและรักษาเอชไอวีและการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

“ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นที่ตั้งของประชากรโลกจํานวนมากที่ได้รับผลกระทบจากเอชไอวี/เอดส์ และความสําเร็จของอาเซียนในการจัดการกับการแพร่ระบาดอาจส่งผลกระทบในวงกว้างทั่วโลก” Michael Weinstein ประธาน AHF กล่าวเสริม “ด้วยการสร้างความร่วมมือกับรัฐบาล ภาคประชาสังคม และหน่วยงานระหว่างประเทศ และการมุ่งเน้นไปที่แนวทางด้านชุมชน อาเซียนสามารถแสดงให้เห็นว่าการยุติโรคเอดส์ที่เป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ความคืบหน้านี้จะช่วยรักษาชีวิต ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ เพิ่มผลผลิตแรงงาน และเสริมสร้างชุมชน ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวอย่างให้ภูมิภาคอื่นๆ ได้ปฏิบัติตาม”

มูลนิธิดูแลสุขภาพด้านเอดส์ (AHF) เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกําไรระดับโลกที่ให้บริการยาที่ทันสมัยและให้การสนับสนุนแก่ผู้คนกว่า 2 ล้านคนใน 48 ประเทศทั่วโลกในสหรัฐอเมริกา แอฟริกา ละตินอเมริกา/แคริบเบียน ภูมิภาคเอเชีย/แปซิฟิก และยุโรป ปัจจุบันเราเป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่ไม่แสวงหาผลกําไรที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้านเอชไอวี/เอดส์ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ AHF โปรดไปที่เว็บไซต์ของเรา: www.aidshealth.org, ค้นหาเราได้ใน Facebook: www.facebook.com/aidshealthและติดตามเราได้ใน Twitter: @aidshealthcareและอินสตราแกรม: @aidshealthcare

Bu duyurunun orijinal kaynak dildeki metni, resmi ve geçerli versiyondur. Çeviriler sadece yardımcı olmak amacıyla sunulmuştur ve kanuni geçerlik sahibi tek metin olan kaynak dilde hazırlanan metin ile çapraz başvuru yöntemine göre incelenmelidir.

Contacts

ข้อมูลผู้ติดต่อสื่อสหรัฐฯ:
 Ged Kenslea, ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายสื่อสาร, AHF
ที่ทำงาน +1 323.308.1833 มือถือ +1.323.791.5526
 gedk@aidshealth.org

 Denys Nazarov, ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายสื่อสัมพันธ์, AHF
 +1 323.308.1829
 denys.nazarov@aidshealth.org

 ที่มา: AIDS Healthcare Foundation

ช้อนเกลือไฟฟ้าจาก Kirin เฉิดฉายใน CES Innovation Awards 2025 และคว้าชัยชนะเป็นครั้งแรกในหมวดเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสุขภาพและเทคโนโลยีเพื่อความสามารถในการเข้าถึงและผู้สูงวัย!

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–25 ธันวาคม 2024

Kirin Holdings Company, Limited (Kirin Holdings) (โตเกียว: 2503) คว้ารางวัลในสองหมวดหมู่ ได้แก่ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสุขภาพและเทคโนโลยีเพื่อความสามารถในการเข้าถึงและผู้สูงวัยจากงาน CES Innovation Awards® 2025 จากผลิตภัณฑ์ใหม่แห่งนวัตกรรมของบริษัทอย่าง “ช้อนเกลือไฟฟ้า” โดยอุปกรณ์รูปร่างเหมือนช้อนทานอาหารที่มีความโดดเด่นนี้เพิ่มรสเค็มและรสอูมามิให้กับอาหารโซเดียมต่ำ ซึ่งมอบโซลูชันสั่นสะเทือนวงการให้กับการทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น โดยความสำเร็จนี้เป็นรางวัลครั้งแรกที่ Kirin Group ได้รับในงาน CES Innovation Awards นอกจากนี้ Kirin Holdings จะมาแสดงสินค้าเป็นครั้งแรกในงาน CES 2025 ด้วย

The CES Innovation Awards 2025 (Graphic: Business Wire)

งาน CES Innovation Awards 2025 (กราฟิก: Business Wire)

  •  เกี่ยวกับ CES®

CES คืองานกิจกรรมประจำปีที่จัดขึ้นทุกเดือนมกราคมในลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อจัดแสดงอุปกรณ์และบริการอิเล็กทรอนิกส์ล่าสุด ในฐานะงานแสดงสินค้าทางเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก งานนี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน โดยจัดขึ้นครั้งแรกนานกว่า 50 ปีที่แล้วในปี 1967 งาน CES Innovation Awards ยกย่องผลิตภัณฑ์และบริการที่มีการออกแบบและเทคโนโลยีโดดเด่น โดยงาน CES Innovation Awards 2025 นี้มีผู้ส่งผลิตภัณฑ์และบริการเข้ามามากกว่า 3,400 รายการ ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

หมายเหตุ: รางวัล CES Innovation Awards พิจารณาจากคำบรรยายที่ส่งให้กรรมการผู้ตัดสิน โดยสมาคมเทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภคหรือ CTA ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตลอดจนคำกล่าวอ้างของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ส่งเข้ามา และไม่ได้ทดสอบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ได้รับรางวัล

  •  เกี่ยวกับหมวดหมู่รางวัลทั้งสอง

 เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสุขภาพ: หมวดหมู่นี้ไฮไลท์อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและสุขภาวะ รวมถึงอุปกรณ์ที่ช่วยในการจัดการและวิเคราะห์สุขภาพ การตรวจพบโรค และประสิทธิภาพของการรักษา

 เทคโนโลยีเพื่อความสามารถในการเข้าถึงและผู้สูงวัย: หมวดหมู่นี้ยกย่องผลิตภัณฑ์ บริการ และเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญกับความสามารถในการเข้าถึงสำหรับผู้ทุพพลภาพ รวมถึงฟีเจอร์ที่คิดค้นขึ้นใหม่ที่ส่งเสริมการดำรงชีวิตอย่างอิสระของผู้สูงวัย

  •  เกี่ยวกับช้อนเกลือไฟฟ้า

ช้อนเกลือไฟฟ้าคืออุปกรณ์รูปร่างเหมือนช้อนทานอาหารที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มรสเค็มและรสอูมามิของอาหารโซเดียมต่ำ*1 เช่น ซุปและแกง โดยใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ อุปกรณ์นี้เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2024*2 โดยเป็นการพัฒนาร่วมกับห้องปฏิบัติการมิยาชิตะของศ.โฮเมอิ มิยาชิตะแห่งภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อแนวหน้า คณะวิทยาศาสตร์ทางคณิตศาสตร์แบบสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยเมจิ โดยผลิตภัณฑ์นี้มีเทคโนโลยีรูปแบบคลื่นไฟฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์*4 ซึ่งเพิ่มความเค็มให้กับอาหารโซเดียมต่ำได้ประมาณ 1.5 เท่า*3 จากนี้เป็นต้นไป Kirin Holdings มีแผนที่จะร่วมเป็นหุ้นส่วนกับธุรกิจและรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อขยายการใช้งานและตลาดของผลิตภัณฑ์นี้ รวมถึงสำรวจการนำการใช้งานของผลิตภัณฑ์นี้ไปใช้ในเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารประเภทอื่นๆ และการพัฒนาตัวเลือกอาหารโซเดียมต่ำ

 *1 การประชุม Neurostimulation Interface Research Meeting ครั้งที่ 3 (มีนาคม 2023) “ผลของรูปแบบคลื่นไฟฟ้าควบคุมรสชาติที่เพิ่มความเค็มของอาหารโซเดียมต่ำให้เกิดรสชาติอูมามิ” ประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับอาจต่างกันไป และการรับรู้รสอาจต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับประเภทของอาหาร
*2 ข่าวประชาสัมพันธ์ของ Kirin Holdings, 20 พฤษภาคม 2024: Kirin Holdings จะเริ่มการจำหน่ายทางออนไลน์ของ “ช้อนเกลือไฟฟ้า” ซึ่งเป็นช้อนที่ใช้กระแสไฟฟ้าในการเพิ่มรสเค็มและรสอูมามิ ในวันที่ 20 พฤษภาคม
 https://www.kirinholdings.com/en/newsroom/release/2024/0520_01.html
*3 การประเมินความระดับความเค็มระหว่างตัวอย่างที่คล้ายอาหารปกติกับตัวอย่างที่ลดเกลือลง 30%
การทดสอบใช้ตะเกียบติดเทคโนโลยีเกลือไฟฟ้า (ช่วงกระแสไฟฟ้า: 0.1-0.5mA) โดยจากการสำรวจผู้ชายและผู้หญิง 31 คนอายุ 40-65 ปีที่เคยลดการบริโภคเกลือหรือกำลังลดการบริโภคเกลือ ผู้เข้าร่วม 29 จาก 31 คนรายงานว่าความเค็มของอาหารที่ทดสอบเพิ่มขึ้น
 *4 ข่าวประชาสัมพันธ์ของ Kirin Holdings, 11 เมษายน 2022: ครั้งแรกของโลก! งานวิจัยยืนยันว่ามีการเปลี่ยนแปลงการรับรู้รสผ่านการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ซึ่งนำไปสู่การพัฒนา 'ตะเกียบปรับรสชาติ'
 https://www.kirinholdings.com/en/newsroom/release/2022/0411_01.html

  •  ภาพรวมของบูธ

วันที่: 7-10 มกราคม 2025
*จะมีการจัดแสดงบูธในงาน CES Unveiled Las Vegas ในวันที่ 5 มกราคมด้วย
สถานที่: Las Vegas Convention Center, Eureka Park ของ Venetian Expo
บูธช้อนไฟฟ้า: Tech West, Venetian Expo, โถง A-D — 51320 — เทคโนโลยีอาหาร
เว็บไซต์ทางการของ CES: https://www.ces.tech/

  •  คำกล่าวของผู้ชนะรางวัล: คุณไอ ซาโต้, กลุ่มธุรกิจใหม่, แผนกวิทยาศาสตร์สุขภาพ, Kirin Holdings

“ช้อนเกลือไฟฟ้าพัฒนาขึ้นโดยมีปรัชญาหลักคือ “มื้ออาหารที่อร่อยสำหรับทุกคน” เพื่อหาคำตอบให้กับความท้าทายของสังคมและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการทานอาหารลดโซเดียม การทานโซเดียมมากเกินไปเป็นปัญหาสำคัญด้านสุขภาพทั่วโลก ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่วิสัยทัศน์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังช้อนเกลือไฟฟ้าได้รับการยอมรับ และเรารู้สึกซาบซึ้งใจที่ได้รับรางวัลนี้ ในขณะเดียวกัน ดิฉันมองรางวัลนี้เป็นสัญญาณแห่งความคาดหวังต่ออนาคต เราจะผลักดันธุรกิจของเราให้ก้าวไปข้างหน้าต่อไป เพื่อมอบคุณค่าของสุขภาพและความสุขผ่านอาหารแก่ลูกค้าทั่วโลก”

Kirin Group ได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการระยาวชื่อว่า Kirin Group Vision 2027 ขึ้นโดยมีเป้าหมายในการกลายเป็นผู้นำระดับโลกด้าน CSV*5 ทั้งในภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มและภาคธุรกิจเภสัชกรรม เพื่อสร้างเสริมสุขภาพของผู้คนผ่านการเติบโตของธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพของบริษัท โดยช้อนเกลือไฟฟ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบพฤติกรรมการทานอาหารที่มีความสุข อร่อย และดีต่อสุขภาพให้กับลูกค้า เพื่อสังคมที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นและมีความสุขยิ่งขึ้น

*5 ย่อมาจาก Creating Shared Value หรือการสร้างคุณค่าร่วม โดยสร้างประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสังคมในภาพรวมไปพร้อมๆ กัน

เกี่ยวกับ Kirin Holdings

Kirin Holdings Company, Limited เป็นบริษัทข้ามชาติที่ประกอบธุรกิจในภาคอาหารและเครื่องดื่ม (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม), ภาคเภสัชกรรม (ธุรกิจเภสัชกรรม) และภาควิทยาศาสตร์สุขภาพ (ธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพ) ทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก

Kirin Holdings เริ่มต้นมาจาก Japan Brewery ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1885 และจาก Japan Brewery ก็ได้กลายเป็น Kirin Brewery ในปี 1907 นับแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทก็ขยายกิจการออกไปโดยมีการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคโนโลยีหลัก และได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจเภสัชกรรมในทศวรรษ 1980 ซึ่งทั้งหมดนี้กลายเป็นศูนย์กลางของการเติบโตระดับโลกต่อมาเรื่อยๆ ในปี 2007 Kirin Holdings ได้รับการก่อตั้งขึ้นโดยมีลักษณะเป็นบริษัทผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง (Pure Holding Company) และขณะนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความเติบโตให้กับภาควิทยาศาสตร์สุขภาพของบริษัท

ภายใต้ Kirin Group Vision 2027 (KV 2027) ซึ่งเป็นแผนบริหารจัดการระยะยาวที่เริ่มใช้งานในปี 2019 ทาง Kirin Group พุ่งเป้าไปที่การกลายเป็นผู้นำระดับโลกด้าน CSV* เพื่อสร้างคุณค่าทั้งในภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มและภาคธุรกิจเภสัชกรรมของเรา จากนี้เป็นต้นไป Kirin Group จะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตัวเองต่อไปเพื่อสร้างคุณค่าทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านธุรกิจของเรา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำการเติบโตที่ยั่งยืนมาผสานไว้ในค่านิยมขององค์กร

* ย่อมาจาก Creating Shared Value หรือการสร้างคุณค่าร่วม โดยสร้างประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสังคมในภาพรวมไปพร้อมๆ กัน

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:
https://www.businesswire.com/news/home/54170896/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ
แผนกสื่อสารองค์กรของ Kirin Holdings Company, Limited
Nakano Central Park South, 4-10-2 นากาโนะ, เขตนากาโนะ, โตเกียว
https://www.kirinholdings.com/en/
kirin-cc@kirin.co.jp

Source: Kirin Holdings Company, Limited


Perma-Pipe International Holdings, Inc. ประกาศงบการเงินไตรมาสที่ 3

Logo

  •  บริษัทมียอดขายสุทธิอยู่ที่ 41.6 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับไตรมาส และ 113.4 ล้านเหรียญสหรัฐนับจากวันแรกของปีจนถึงวันปัจจุบัน
  •  รายได้ก่อนหักภาษีเงินได้อยู่ที่ 5.1 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับไตรมาส และ 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐนับจากวันแรกของปีจนถึงวันปัจจุบัน
  •  ยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้อยู่ที่ 114.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2024 เมื่อเทียบกับ 68.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 31 มกราคม 2024

สปริง เท็กซัส –(BUSINESS WIRE)–24 ธันวาคม 2024

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (NASDAQ: PPIH) ประกาศงบการเงินในวันนี้สำหรับไตรมาสที่ 2 และรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024

“ยอดขายสุทธิในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 41.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว รายได้สุทธิจากหุ้นสามัญอยู่ที่ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 29% เมื่อเทียบกับ 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 งวดเก้าเดือนที่สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 ยอดขายสุทธิอยู่ที่ 113.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับงวดเก้าเดือนที่สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2023 รายได้สุทธิจากหุ้นสามัญอยู่ที่ 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 294% เมื่อเทียบกับรายได้สุทธิจากหุ้นสามัญอยู่ที่ 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐงวดเก้าเดือนที่สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2023” David Mansfield ประธานและซีอีโอกล่าว

“ยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ในไตรมาสที่ 3 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมากและปัจจุบันอยู่ที่ 114.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้งวดเก้าเดือนเมื่อพิจารณาจากรายได้ในปีก่อนๆ ยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องน่ายินดีและทำให้เกิดความหวังในการก้าวเข้าสู่ปีหน้า นอกจากนี้ ยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เปลี่ยนจาก MFRI มาเป็น Perma-Pipe ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2017” Mr. Mansfield กล่าวต่อ

“ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 และปีงบการเงิน 2024 ของเราจนถึงปัจจุบันยังคงสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมซึ่งยังคงสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ทั้งนี้ รายได้สุทธิของเราที่เป็นหุ้นสามัญในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 ถือเป็นรายได้สูงสุดนับตั้งแต่เปลี่ยนจาก MFRI มาเป็น Perma-Pipe” Mr. Mansfield กล่าว

“เรารู้สึกยินดีกับระดับกิจกรรมทางธุรกิจที่เราเผชิญมาและยังคงพบเห็นอยู่ โดยได้รับแรงหนุนจาก ยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ และราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานในซาอุดีอาระเบีย อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญในการปรับปรุงโดยรวมของเรา ซึ่งความแข็งแกร่งของงบการเงินของเราช่วยให้เราสามารถดำเนินการตามแผนริเริ่มเชิงกลยุทธ์ต่อไปได้” Mr. Mansfield กล่าวสรุป

ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปีงบการเงิน 2024

ยอดขายสุทธิอยู่ที่ 41.6 ล้านเหรียญสหรัฐและ 45.7 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การลดลง 4.1 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 9% เป็นผลมาจากระยะเวลาในการดำเนินโครงการ

กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 14.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 34% ของยอดขายสุทธิ และ 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 29% ของยอดขายสุทธิ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 0.9 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นได้รับแรงหนุนหลักจากอัตรากำไรที่ดีขึ้นเนื่องจากส่วนประสมผลิตภัณฑ์

ค่าใช้จ่ายทั่วไปและการบริหารอยู่ที่ 7.3 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 5.7 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนและค่าธรรมเนียมวิชาชีพที่สูงขึ้นในไตรมาสนี้

ค่าใช้จ่ายในการขายอยู่ที่ 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การลดลง 0.3 ล้านเหรียญสหรัฐเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนที่ลดลงในไตรมาสนี้

ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิยังคงที่และอยู่ที่ 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 0.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่ที่ 0.1 ล้านเหรียญสหรัฐและ 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การลดลง 0.4 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น มีสาเหตุหลักมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในการทำธุรกรรมสกุลเงินต่างประเทศ

ETR ของบริษัทอยู่ที่ 32% และ 31% ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงใน ETR เกิดจากความสามารถในการรับรู้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนในสหรัฐอเมริกาในปีปัจจุบัน ในขณะที่ปีก่อนมีค่าเผื่อการปรับมูลค่าเต็มจำนวน และมีการเปลี่ยนแปลงการผสมผสานระหว่างรายได้และขาดทุนในเขตอำนาจศาลต่างๆ

รายได้สุทธิจากหุ้นสามัญอยู่ที่ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 0.6 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น สาเหตุหลักมาจากการดำเนินโครงการที่ดีขึ้นในไตรมาสนี้

 ผลประกอบการปีงบการเงิน 2024 จนถึงปัจจุบัน

ยอดขายสุทธิอยู่ที่ 113.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 110.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 3% เป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง

กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 38.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 34% ของยอดขายสุทธิ และ 29.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 27% ของยอดขายสุทธิ ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 8.7 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นได้รับแรงหนุนหลักจากอัตรากำไรที่ดีขึ้นเนื่องจากส่วนประสมผลิตภัณฑ์

ค่าใช้จ่ายทั่วไปและการบริหารอยู่ที่ 19.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 16.4 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 3.1 ล้านเหรียญสหรัฐเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนและค่าธรรมเนียมวิชาชีพที่สูงขึ้น

ค่าใช้จ่ายในการขายอยู่ที่ 3.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 4.2 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การลดลง 0.4 ล้านเหรียญสหรัฐเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนที่ลดลง

ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิอยู่ที่ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การลดลง 0.3 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยของหนี้ที่มีอัตราผันแปรบางประเภท

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่ที่ 0.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 0.4 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุหลักมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ

ETR ของบริษัทอยู่ที่ 28% และ 49% ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงใน ETR เกิดจากความสามารถในการรับรู้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนในสหรัฐอเมริกาในปีปัจจุบัน ในขณะที่ปีก่อนมีค่าเผื่อการปรับมูลค่าเต็มจำนวน และมีการเปลี่ยนแปลงการผสมผสานระหว่างรายได้และขาดทุนในเขตอำนาจศาลต่างๆ

รายได้สุทธิจากหุ้นสามัญอยู่ที่ 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 และ 2023 ตามลำดับ การเพิ่มขึ้น 5.4 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น สาเหตุหลักมาจากการดำเนินโครงการที่ดีขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา

Perma-Pipe International Holdings, Inc.

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (“บริษัท”) เป็นผู้นําระดับโลกในด้านระบบท่อหุ้มฉนวนล่วงหน้าและระบบตรวจจับการรั่วไหลสําหรับการรวบรวมน้ำมันและก๊าซ ระบบทำความร้อนและทำความเย็นในเขตพื้นที่ และการใช้งานอื่นๆ บริษัทใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการประดิษฐ์ที่กว้างขวางเพื่อพัฒนาโซลูชันระบบท่อที่ช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการขนส่งของเหลวหลายประเภทอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ บริษัทมีการดำเนินงานทั้งหมด 14 แห่งใน 6 ประเทศ

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต

ข้อความบางส่วนและข้อมูลอื่น ๆ ที่มีอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ซึ่งสามารถระบุได้โดยใช้คำศัพท์ที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์อนาคต ถือเป็น “ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต” ตามความหมายของมาตรา 27A ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ปี 1933 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม และมาตรา 21E ของ พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ปี 1934 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม และอยู่ภายใต้การคุ้มครองความปลอดภัยที่สร้างขึ้น ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ข้อความเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่คาดหวังของบริษัท ข้อความเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณาว่ามีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนมากมายที่มีอยู่ในการดำเนินงานและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของบริษัท ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนดังกล่าวรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงดังต่อไปนี้: (i) ความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อปริมาณการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทของลูกค้า (ii) ความสามารถของบริษัทในการซื้อวัตถุดิบในราคาที่เอื้ออำนวยและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์ของตน (iii) การลดลงของการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท และความท้าทายต่อสภาพคล่องและการเข้าถึงเงินทุนของลูกค้าที่ไม่ใช่ภาครัฐของบริษัท (iv)ความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้และต่ออายุสินเชื่อระหว่างประเทศที่กำลังจะหมดอายุ (v) ความสามารถของบริษัทในการดำเนินการตามแผนกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิผล และบรรลุผลกำไรที่ยั่งยืนและกระแสเงินสดที่เป็นบวก (vi) ความสามารถของบริษัทในการเรียกเก็บเงินลูกหนี้ระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับโครงการในตะวันออกกลาง (vii) ความสามารถของบริษัทในการตีความการเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบและกฎหมายด้านภาษี(viii) ความสามารถของบริษัทในการใช้ผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานยกไป (ix) การกลับรายการรายได้และกำไรที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้อันเป็นผลมาจากการประมาณการที่ไม่ถูกต้องซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้รายได้ “ล่วงเวลา” ของบริษัท (x) ความล้มเหลวของบริษัทในการสร้างและรักษาการควบคุมภายในที่มีประสิทธิผลต่อการรายงานทางการเงิน (xi) ระยะเวลาในการรับคำสั่งซื้อ การดำเนินการ การส่งมอบ และการยอมรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท (xii) ความสามารถของบริษัทในการเจรจาการจัดการการเรียกเก็บเงินความคืบหน้าสำหรับสัญญาขนาดใหญ่ได้สำเร็จ (xiii) การกำหนดราคาเชิงรุกโดยคู่แข่งที่มีอยู่และการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ในตลาดที่บริษัทดำเนินการอยู่ (xiv) ความสามารถของบริษัทในการผลิตสินค้าที่ปราศจากข้อบกพร่องที่แฝงอยู่และในการกู้คืนจากซัพพลายเออร์ที่อาจจัดหาวัตถุดิบที่มีข้อบกพร่องให้กับบริษัท (xv) การลดหรือยกเลิกคำสั่งซื้อที่รวมอยู่ในยอดขายสะสมที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ของบริษัท (xvi) ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เฉพาะเจาะจงต่อการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัท (xvii) ความสามารถของบริษัทในการดึงดูดและรักษาผู้บริหารระดับสูงและบุคลากรสำคัญ (xviii) ความสามารถของบริษัทในการบรรลุผลประโยชน์ที่คาดหวังจากโครงการริเริ่มการเติบโต (xix) ผลกระทบของโรคระบาดและวิกฤตด้านสาธารณสุขอื่น ๆ ที่มีต่อบริษัทและการดำเนินงานของบริษัท และ (xx) ผลกระทบของภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท ผู้ถือหุ้น นักลงทุนที่มีศักยภาพ และผู้อ่านรายอื่นๆ ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบในการประเมินข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า และเตือนไม่ให้เชื่อถือข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าวมากเกินไป ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่ทำขึ้นในที่นี้จัดทำขึ้น ณ วันที่ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้เท่านั้น และเราไม่มีข้อผูกมัดในการปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ ต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่นๆ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของเราได้ในเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถดูได้ที่ https://www.sec.govและภายใต้หัวข้อศูนย์นักลงทุนของเว็บไซต์ของเรา (http://investors.permapipe.com.)

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลประกอบการทางการเงินของบริษัทสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2024 รวมถึงการอภิปรายและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหารเกี่ยวกับสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท มีอยู่ในรายงานประจำไตรมาสของบริษัทในแบบฟอร์ม 10-Q สำหรับไตรมาสที่สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 22024 ซึ่งจะยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในหรือประมาณวันที่ระบุในที่นี้ และจะสามารถเข้าถึงได้ที่ www.sec.govและ www.permapipe.comสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปดูที่เว็บไซต์ของบริษัท

 PERMA-PIPE INTERNATIONAL HOLDINGS, INC. และบริษัทย่อย

 งบการเงินรวมอย่างย่อของการดำเนินงาน

 (เป็นจำนวนพัน ยกเว้นข้อมูลต่อหุ้น)

 (ก่อนตรวจสอบ)

 งวดสามเดือนสิ้นสุด
วันที่ 31 ตุลาคม

 งวดเก้าเดือนสิ้นสุด
 วันที่ 31 ตุลาคม

 2024

 2023

 2024

 2023

ยอดขายสุทธิ

$

41,563

$

45,690

$

113,397

$

110,489

กำไรขั้นต้น

14,086

13,184

38,077

29,424

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวม

8,500

7,145

23,214

20,618

รายได้จากการดำเนินงาน

5,586

6,039

14,863

8,806

ดอกเบี้ยจ่าย

468

640

1,489

1,788

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ

(50

)

(502

)

(156

)

(350

)

รายได้ก่อนหักภาษีเงินได้

5,068

4,897

13,218

6,668

ภาษีเงินได้

1,615

1,533

3,692

3,257

รายได้สุทธิ

$

3,453

$

3,364

$

9,526

$

3,411

หัก: รายได้สุทธิของส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม

962

1,429

2,303

1,577

รายได้สุทธิที่เป็นส่วนของหุ้นสามัญ

$

2,491

$

1,935

$

7,223

$

1,834

กำไรต่อหุ้นที่เป็นส่วนของหุ้นสามัญ

ขั้นพื้นฐาน

$

0.31

$

0.24

$

0.91

$

0.23

ปรับลด

$

0.31

$

0.24

$

0.90

$

0.23

 หมายเหตุ: การคำนวณกำไรต่อหุ้นอาจได้รับผลกระทบจากการปัดเศษ

 PERMA-PIPE INTERNATIONAL HOLDINGS, INC. และบริษัทย่อย

 งบดุลรวมอย่างย่อ

 (เป็นจำนวนพัน)

 (ก่อนตรวจสอบ)

 October 31, 2024

 January 31, 2024

 สินทรัพย์

สินทรัพย์หมุนเวียน

$

104,405

$

98,818

สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน

56,344

56,893

 สินทรัพย์รวม

$

160,749

$

155,711

 หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

หนี้สินหมุนเวียน

$

53,794

$

57,742

หนี้สินไม่หมุนเวียน

26,792

25,991

 หนี้สินรวม

80,586

83,733

 ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม

8,952

6,266

 ส่วนของผู้ถือหุ้น

71,211

65,712

 หนี้สินและส่วนทุนรวม

$

160,749

$

155,711

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Perma-Pipe International Holdings, Inc.
David Mansfield ประธานและซีอีโอ
นักลงทุนสัมพันธ์ Perma-Pipe
(847) 929-1200
investor@permapipe.com

Source: Perma-Pipe International Holdings, Inc.

LG Uplus KidsTopia คว้ารางวัล MSIT Award จากการประชุม Metaverse Alliance ประจำปี 2024

Logo

  • ได้รับการยอมรับถึงความเป็นเลิศด้านการปกป้องผู้ใช้ การโต้ตอบ และการรับรองความถูกต้อง
  • มีสมาชิกมากกว่า 900,000 คนทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกประเทศ ด้วยความสามารถในการสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ขั้นสูง
  • มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นจากการขับเคลื่อนโดย ‘ixi’ ซึ่งเป็นแบรนด์ AI ที่พัฒนาขึ้นภายในองค์กร พร้อมเนื้อหาการศึกษาเชิงประสบการณ์ที่ขยายออกเป็นวงกว้าง
  • ได้รับรางวัล ‘เหรียญทอง’ ในหมวดหมู่แอปพลิเคชันจาก ‘2024 Mom’s Choice Awards’ ซึ่งเป็นโปรแกรมการรับรองที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่ผ่านการประเมินโดยผู้ปกครองและนักศึกษา

SEOUL, South Korea–(BUSINESS WIRE)–23 ธันวาคม 2024

LG Uplus (KRX:032640) ซึ่งเป็นหนึ่งในสามผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ ได้มีการประกาศเกี่ยวกับ ‘KidsTopia’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับเด็ก ได้รับรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และ ICT จาก 2024 Metaverse Alliance and Self-Regulation Achievement Sharing Conference

KidsTopia honored with the Gold Medal at the 2024 Mom’s Choice Awards. (image: LG Uplus)

KidsTopia ได้รับรางวัลเหรียญทองอันทรงเกียรติในงาน 2024 Mom’s Choice Awards (ภาพ: LG Uplus)

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และ ICT (MSIT) ของสาธารณรัฐเกาหลี โดยมีการรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากภาคอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา การวิจัย และรัฐบาล เพื่อหารือเกี่ยวกับความสำเร็จและยกย่องบริษัทและโครงการที่โดดเด่น ซึ่งมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศเมตาเวิร์ส โดยงานประจำปีในปีนี้มีการจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 เดือนธันวาคม ที่โรงแรม Seoul Dragon City ในเขต Yongsan-gu กรุงโซล

KidsTopia ได้รับรางวัลจากรัฐมนตรีซึ่งยกย่องผลงานที่โดดเด่นในด้านต่างๆ อาทิเช่น การปกป้องผู้ใช้ การโต้ตอบและการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ใช้ และการรับรองความถูกต้องสำหรับผู้ใช้

KidsTopia เป็นแพลตฟอร์มซึ่งเด็กๆ สามารถสำรวจและเรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อต่างๆ มากมาย รวมถึงภาษาต่างประเทศ สัตว์ ไดโนเสาร์ และอวกาศ ผ่านประสบการณ์เสมือนจริงแบบ 3D ที่น่าสนใจ พร้อมตัวละครที่ขับเคลื่อนด้วย AI กุญแจสำคัญของความสำเร็จคือ กราฟิกที่เด็กสามารถเข้าใจได้ง่ายและความสามารถในการสนทนาหลายภาษากับตัวละครที่ขับเคลื่อนโดย ixi ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ LG Uplus

การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและคุณค่าทางการศึกษาที่เป็นเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือน ทำให้ KidsTopia ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเฉพาะในประเทศเกาหลีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2024 แพลตฟอร์มนี้ได้มีสมาชิกสะสมมากกว่า 900,000 คนทั่วโลก ถือเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ เมื่อแพลตฟอร์มนี้บรรลุเป้าหมายภายในเวลาเพียงหนึ่งปีเจ็ดเดือนเท่านั้น นับตั้งแต่เปิดตัว

นอกจากจะได้รับการยอมรับจาก MSIT แล้ว KidsTopia ยังได้รับรางวัล ‘เหรียญทอง’— ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดในหมวดหมู่แอปพลิเคชันใน ‘2024 Mom’s Choice Awards’ ซึ่งเป็นโปรแกรมการรับรองผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับเด็กซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลก เมื่อวันที่ 4 เดือนธันวาคม

'Mom’s Choice' เป็นองค์กรรับรองระดับนานาชาติที่ดำเนินการประเมินและให้การยอมรับผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น โดยพิจารณาจากการประเมินโดยรวมด้านคุณภาพ คุณค่าทางการศึกษา และความคิดสร้างสรรค์ คณะกรรมการตัดสินไม่เพียงประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและสื่อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ปกครองและเด็กๆ อีกด้วย

ความสำคัญในการผ่านการยอมรับจาก Mom’s Choice Awards นั้นคือ การที่มีผู้ปกครองเข้าร่วมเป็นผู้ตัดสินใจหลักในการซื้อบริการสำหรับเด็ก ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาในกระบวนการประเมิน ความร่วมมือกันระหว่างผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญนี้ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือสำหรับกระบวนการรับรอง และกลายเป็นมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อเด็กที่ครอบครัวทั่วโลกไว้วางใจ

Kim Min-gu หัวหน้าโครงการเมตาเวิร์สของ LG Uplus กล่าวว่า “เรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ความพยายามของเราในการสร้างแพลตฟอร์มที่สนุกสนานและเป็นประโยชน์ต่อเด็กๆ ได้รับการยอมรับจากการที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ทั้งในประเทศและทั่วโลก LG Uplus จะยังคงพยายามต่อไปเพื่อยกระดับ KidsTopia ให้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับเด็กชั้นนำระดับโลก ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความมั่นใจและความมุ่งมั่นในด้านการศึกษา ความบันเทิง และความปลอดภัย”

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54167968/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

LG Uplus
Seung-oh Han
sohan@lguplus.co.kr

แหล่งข้อมูล: LG Uplus

สัปดาห์ภาพยนตร์นานาชาติล้านช้าง-แม่โขง ครั้งที่ 6 เปิดสะพานเชื่อมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการเรียนรู้ร่วมกัน

Logo

พนมเปญ, กัมพูชา–(BUSINESS WIRE)–20 ธันวาคม 2024

สัปดาห์ภาพยนตร์นานาชาติล้านช้าง-แม่โขง ครั้งที่ 6 จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 17 ธันวาคม ณ กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชา ที่จะนำผู้ชมในประเทศเข้าสู่การเดินทางแห่งโลกภาพยนตร์เป็นเวลา 5 วัน

The 6th Lancang-Mekong International Film Week kicked off in Phnom Penh on December 17. (photo by Li Tao)

สัปดาห์ภาพยนตร์นานาชาติล้านช้าง-แม่โขงครั้งที่ 6 จัดขึ้นที่กรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม (ภาพถ่ายโดย Li Tao)

Phoeung Sakona รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและศิลปกรรมแห่งกัมพูชา เน้นย้ำว่างานนี้เป็นเวทีที่ช่วยส่งเสริมการสนทนาทางวัฒนธรรมและความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคล้านช้าง-แม่น้ำโขง

ในช่วงสัปดาห์ภาพยนตร์นี้ จะมีการฉายภาพยนตร์ 20 เรื่องจากกลุ่มประเทศล้านช้าง-แม่โขง ซึ่งนำเสนอธีมและประเภทภาพยนตร์ที่หลากหลาย เช่น ภาพยนตร์ตลก ภาพยนตร์แอ็คชั่น ภาพยนตร์โรแมนติก และภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์

ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Rooftop Soccer ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์เด็กยอดเยี่ยมจากงาน Golden Rooster Awards ครั้งที่ 37 ในประเทศจีน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นำเสนอเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านโบราณ รวมถึงประเพณีของชาติพันธุ์แห่งมณฑลยูนนานแก่ผู้ชม

โดยภาพยนตร์แอนิเมชั่นหนึ่งเดียวในงานนี้อย่าง I Am What I Am จะแนะนำผู้ชมให้รู้จักวัฒนธรรมการเชิดสิงโตแบบจีนดั้งเดิม รวมถึงประเพณีของหลิงหนานผ่านภาพที่งดงามและเนื้อเรื่องที่เสริมสร้างแรงบันดาลใจ

ภาพยนตร์จากกัมพูชา When Mom Gets Old ที่มุ่งเน้นไปที่ชีวิตของสตรีวัยชรา โดยเน้นถึงความขัดแย้งระหว่างรุ่น ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการคิดอย่างไตร่ตรองรอบด้าน

ภาพยนตร์จากประเทศไทย Grandma’s Grandchild (หลานม่า) ที่ถ่ายทอดการขับเคลื่อนทางอารมณ์อันละเอียดอ่อนภายในครอบครัวไทย-จีนสามชั่วอายุคน ที่ได้ทำลายสถิติของบ็อกซ์ออฟฟิศหลายรายการเมื่อออกฉาย

จากผ่านภาพยนตร์เหล่านี้ ผู้ชมสามารถร่วมเดินทาง เข้าถึงอารมณ์ รู้สึก และสัมผัสกับทัศนียภาพอันสวยสดงดงาม วัฒนธรรมอันหลากหลาย รวมถึงความสะท้อนทางอารมณ์ของกลุ่มประเทศล้านช้าง-แม่น้ำโขงได้ทั้ง 6 ประเทศ

นอกจากนี้ กิจกรรมต่างๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การอภิปราย และการส่งเสริมโครงการ ยังช่วยเสริมสร้างความสำคัญทางวัฒนธรรมของสัปดาห์ภาพยนตร์ และช่วยเพิ่มอิทธิพลของแบรนด์อีกด้วย

Zhai Yulong ผู้อำนวยการสำนักงานภาพยนตร์แห่งมณฑลยูนนานของจีน แสดงความหวังว่างานนี้จะช่วยส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนภาพยนตร์ ช่วยเสริมสร้างการสื่อสารระหว่างผู้สร้างภาพยนตร์ และเพิ่มการเชื่อมโยงในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงช่วยส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาของภาคส่วนภาพยนตร์ในกลุ่มประเทศล้านช้าง-แม่น้ำโขง

Mr. CHEN Cong อัครราชทูตที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรกัมพูชา กล่าวว่า สัปดาห์ภาพยนตร์นานาชาติล้านช้าง-แม่โขงจะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเชิงลึก ความร่วมมือ และการพัฒนาภายในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันและมิตรภาพระหว่างประชาชนของประเทศเหล่านี้

ขณะที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติล้านช้าง-แม่โขง ครั้งที่ 6 กำลังดำเนินอยู่ บทหนึ่งที่งดงามเกี่ยวกับการบูรณาการทางวัฒนธรรมและความเข้าใจซึ่งกันและกันจะถูกเขียนขึ้นอย่างชัดเจน โดยแสดงให้เห็นว่าอารยธรรมนั้นได้รับการเสริมสร้างผ่านการแลกเปลี่ยน และเติบโตผ่านการเรียนรู้ร่วมกัน

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54170021/en

Contacts

Eason Zhou
อีเมล: evisionsinfo@gmail.com

แหล่งข้อมูล: Yunnan Information Office

Kao Corporation: ว่าด้วยเรื่องการเสนอเชื่อเพื่อคัดเลือกบุคคลขึ้นเป็นกรรมการบริษัทของเรา

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–19 ธันวาคม 2024

คณะกรรมการและทีมผู้บริหารของบริษัท Kao มุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นจากมุมมองในระยะยาวตามตามกลยุทธ์ทางธุรกิจของเรา เรามุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดของเราโดยตรงและในเชิงสร้างสรรค์เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรของเรา และเรายินดีที่จะเปิดรับมุมมองใหม่ ๆ ในการรับมือกับความท้าทายด้วย

Kao ยึดมั่นในกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวดเพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะสามารถคัดเลือกองค์คณะในคณะกรรมการบริหารได้อย่างเหมาะสมที่สุด ตามที่ประกาศในข่าวซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ในปีงบประมาณนี้นั้น คณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการตรวจสอบผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการและกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลได้พิจารณาคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับตำแหน่งกรรมการและกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลเป็นระยะเวลานานกว่า 6 เดือน ซึ่งเราได้ประกาศชื่อผู้รัดคัดเลือกสำหรับตำแหน่งกรรมการและกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมเพื่อให้สอดคล้องกับการประกาศโครงสร้างเจ้าหน้าที่บริหารชุดใหม่

บุคคลที่ได้รับการประกาศออกไปนั้น คือผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อและจะไม่เป็นการตัดสิทธิ์การเสนอชื่อจากผู้ถือหุ้นรายอื่น ขณะนี้ เรากำลังดำเนินการประเมินผู้สมควรได้รับเลือกเป็นกรรมการที่ผู้ถือหุ้นบางรายเสนอชื่อมา โดยเป็นกระบวนการหลังจากกระบวนการคัดเลือกของบริษัทเรา

Kao จะยังคงมุ่งมั่นเพื่อให้แน่ใจได้ว่าเราจะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดแก่ผู้ถือผลประโยชน์ร่วมทั้งหมดได้อย่างยุติธรรมต่อไป

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สื่อสามารถสอบถามได้โดยตรงที่:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
Kao Corporation
corporate_pr@kao.com

Source: Kao Corporation

ClinChoice ขยายความร่วมมือ 13 ปีกับ Medidata ด้วยการเพิ่ม Clinical Data Studio เพื่อปรับปรุงการจัดการข้อมูลและเสริมศักยภาพการทดลองทางคลินิก

Logo

ข้อตกลงใหม่จะผสานรวมแพลตฟอร์ม Medidata ขจัดขั้นตอนการศึกษาที่ซับซ้อน และเร่งการวิจัยผ่าน AI ระบบอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ขั้นสูง

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–18 ธันวาคม 2024

Medidata ซึ่งเป็นแบรนด์ของ Dassault Systèmes และผู้ให้บริการโซลูชันการทดลองทางคลินิกชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้ขยายความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาวกับ ClinChoice ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยตามสัญญา (CRO) ระดับโลก ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ ClinChoice จะใช้แพลตฟอร์ม Medidata เพื่อปรับปรุงข้อมูลการศึกษาและการจัดการการจัดหา เพิ่มประสิทธิภาพการทดลอง และเร่งการเติบโตในฐานะ CRO แบบครบวงจรในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ClinChoice ยังวางแผนที่จะให้ความสำคัญกับการรับรอง Clinical Data Studio เป็นหลัก โดยการเพิ่มขีดความสามารถให้มากขึ้นผ่านประสบการณ์การจัดการคุณภาพข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI เชิงปฏิรูป

ClinChoice มุ่งมั่นที่จะใช้โซลูชันของ Medidata มานานกว่าทศวรรษ โดยช่วยอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยระหว่างผู้ป่วย สถานที่ และผู้สนับสนุนภายในสภาพแวดล้อมคลาวด์แบบรวมศูนย์ ในฐานะผู้ใช้รายแรกๆ ClinChoice มีบทบาทสำคัญในช่วงการระบาดใหญ่จากการนำโมเดล Direct-to-Patient ของ Rave RTSM มาใช้ ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างต่อเนื่องและปรับปรุงสินค้าคงคลังให้เหมาะสมในหลายๆ ภูมิภาคและข้อกำหนดด้านกฎระเบียบต่างๆ การผสานรวมโซลูชันของ Medidata ช่วยให้ ClinChoice เสริมศักยภาพในการดำเนินงานและพร้อมสำหรับการเติบโตในสภาพแวดล้อมการทดลองทางคลินิกที่ซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน

“ตั้งแต่ที่เราเริ่มนำ Medidata Rave EDC มาใช้ครั้งแรกในปี 2011 ความร่วมมือระหว่างเรากับ Medidata ได้ช่วยสนับสนุนการพัฒนาของเรา โดยเริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นที่จีน และในที่สุดก็ขยายไปสู่ระดับโลก” Ling Zhen ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับโลกของ ClinChoice กล่าว “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะขยายความร่วมมือเพื่อนำ Clinical Data Studio ของ Medidata และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ มาใช้เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของเราต่อไป”

“ความมุ่งมั่นของ ClinChoice ในด้านนวัตกรรมและแนวทางที่ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นหลักทำให้พวกเขาเป็นพันธมิตรที่ล้ำค่า” Edwin Ng รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Medidata กล่าว “ด้วยความร่วมมือใหม่นี้ เรามุ่งหวังที่จะเสริมศักยภาพให้กับ ClinChoice ด้วยโซลูชันขั้นสูงของ Medidata เพื่อส่งเสริมกระบวนการทดลองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขยายการเข้าถึงทั่วโลก และเร่งการเข้าถึงการรักษาที่เปลี่ยนแปลงชีวิตสำหรับผู้ป่วยทั่วโลก”

เกี่ยวกับ Medidata

Medidata ขับเคลื่อนการรักษาที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นและทำให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้นผ่านโซลูชันดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการทดลองทางคลินิก Medidata เฉลิมฉลอง 25 ปีของนวัตกรรมเทคโนโลยีสุดล้ำในการทดลองมากกว่า 35,000 ครั้งและผู้ป่วย 10 ล้านราย โดยนำเสนอความเชี่ยวชาญระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ และชุดข้อมูลการทดลองทางคลินิกในอดีตระดับผู้ป่วยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่า 1 ล้านรายในลูกค้าประมาณ 2,300 รายไว้วางใจในแพลตฟอร์มที่ไร้รอยต่อและครบวงจรของ Medidata ในการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วย เร่งการค้นพบทางคลินิก และนำการรักษาออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น Medidata ซึ่งเป็นแบรนด์ของ Dassault Systèmes (Euronext Paris: FR0014003TT8, DSY.PA) มีสำนักงานใหญ่อยู่ในนครนิวยอร์ก และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำโดย Everest Group และ IDC ค้บหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medidata.com และติดตามเราได้ที่ @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับความก้าวหน้าของมนุษย์ ตั้งแต่ปี 1981 บริษัทได้ริเริ่มโลกเสมือนจริงเพื่อพัฒนาชีวิตจริงสำหรับผู้บริโภค ผู้ป่วย และพลเมือง แพลตฟอร์ม 3DEXPERIENCE ของ Dassault Systèmes ช่วยให้ลูกค้า 350,000 รายในอุตสาหกรรมทั้งหมดและทุกขนาดสามารถทำงานร่วมกัน จินตนาการ และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยั่งยืนซึ่งส่งผลกระทบที่มีคุณค่าได้ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: www.3ds.com

เกี่ยวกับ ClinChoice

ClinChoice เป็นองค์กรวิจัยตามสัญญา (CRO) ชั้นนำระดับโลกที่มุ่งมั่นจัดหาโซลูชันบริการครบวงจรและฟังก์ชันการทำงานตลอดวงจรชีวิตการพัฒนาสำหรับบริษัทเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก ClinChoice ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 และมีพนักงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากกว่า 4,000 คนใน 30 ประเทศทั่วเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ

ClinChoice คือแหล่งข้อมูลโซลูชันไบโอเมตริกที่ครอบคลุมซึ่งออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลการทดลองทางคลินิกของคุณเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพสูงสุด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราสร้างชื่อเสียงในฐานะพันธมิตรที่ลูกค้าทั่วโลกเลือก ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่เหนือกว่าซึ่งช่วยลดความซับซ้อนและเร่งเวลาในการนำผลิตภัณฑ์ของคุณออกสู่ตลาด ClinChoice ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณเข้าใจระเบียบวิธีล่าสุดในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านกฎระเบียบและวิทยาศาสตร์การพัฒนาทางคลินิกได้อย่างลึกซึ้ง

ในอนาคต ClinChoice จะยังคงสร้างระบบนิเวศทางคลินิกระดับโลกต่อไปโดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั่วโลก

โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.clinchoice.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Medidata PR
Medidata.PR@3ds.com

ความสัมพันธ์กับนักวิเคราะห์
medidata.AR@3ds.com

แหล่งข้อมูล: Medidata

MRI-Simmons เข้าร่วมกับ Truthset Data Collective เพื่อตรวจสอบคุณภาพข้อมูลยิ่งขึ้น

Logo

ผู้นำด้านข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อความถูกต้องและความโปร่งใสของข้อมูล

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–17 ธันวาคม 2024

MRI-Simmons ผู้นำด้านผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวอเมริกันได้ประกาศวันนี้ว่าตนได้เข้าร่วมกลุ่มกับ Truthset Data Collective ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ให้บริการข้อมูลที่รวมตัวกันเพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมการตลาดทำธุรกรรมกับข้อมูลด้วยความแม่นยำและมีคุณภาพในระดับที่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การเข้าร่วมกลุ่ม Data Collective ได้แสดงให้เห็นว่าผู้นำด้านข้อมูลเชิงลึกเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในความโปร่งใสและความถูกต้องแม่นยำ ซึ่งเป็นคุณลักษณะ 2 ประการที่บริษัทยึดมั่นมาเป็นเวลากว่า 70 ปี

Truthset Data Collective เปิดตัวในเดือนธันวาคม 2022 โดยก่อตั้งขึ้นเพื่อมอมบริการแบบหลายแหล่งที่มีความแม่นยำและเป็นกลางให้กับอุตสาหกรรมเพื่อสร้างมาตรฐานความแม่นยำถูกต้องตามข้อมูลประชากรให้กับการกำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและการการวัดผลสื่อ ซึ่งกลุ่มนี้ใช้ประโยชน์จากการตรวจสอบที่เป็นอิสระจาก Truthset ในระดับขนาดใหญ่เพื่อแก้ปัญหาความถูกต้องของข้อมูลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้แน่ใจได้ว่าจะมีความแตกต่างและความสามารถในการดำเนินการสำหรับผู้ให้บริการด้านข้อมูลรายต่าง ๆ ที่เข้าร่วม

สำหรับ MRI-Simmons แล้ว การร่วมมือกับ Truthset จะช่วยมอบการตรวจสอบเพิ่มเติมได้ว่าชุดข้อมูลจะมีคุณภาพสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งทั้งอุตสาหกรรมโดยรวมสามารถไว้วางใจได้ การบูรณาการผลิตภัณฑ์สี่รายการของ MRI-Simmons ที่ได้รับการรับรองจากสภาจัดเรทสื่อ (Media Rating Council/MRC) รวมถึงการศึกษาวิจัยผู้บริโภคหลัก 'USA' หรือการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา การเข้าไปเป็นสมาชิกของ Data Collective จึงช่วยเพิ่มระดับความโปร่งใสอีกชั้นหนึ่งให้กับกระบวนการที่ค่อนข้างยากลำบากอยู่แล้ว ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบประจำปีอย่างเข้มงวดที่บริษัท CPA อิสระเป็นผู้ดำเนินการ

MRI-Simmons ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความโปร่งใสและคุณภาพข้อมูลที่ไม่มีใครเทียบได้ในอุตสาหกรรม”  Lana Busignani หัวหน้าแผนกสื่อระดับโลกของ NIQ ซึ่งเป็นเจ้าของส่วนใหญ่ของ MRI-Simmons กล่าว “การเข้าร่วมกลุ่ม Truthset Data Collective ถือเป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นและส่งสัญญาณไปยังอุตสาหกรรมว่าเราสามารถไว้วางใจข้อมูลคุณภาพสูงของเราในการขับเคลื่อนผลลัพธ์การแปลงข้อมูลเชิงดิจิทัลที่สามารถปรับให้เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น””

Scott McKinley ซีอีโอของ Truthset กล่าวว่า “MRI-Simmons มีประวัติในการส่งมอบข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดที่เชื่อถือได้ให้กับอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน” “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะต้อนรับพวกเขาเข้าสู่กลุ่ม Data Collective และทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับมาตรฐานความถูกต้องแม่นยำของอุตสาหกรรมการตลาด

Truthset ได้เข้าร่วมกลุ่ม Data Collective หลังจากที่ MRI-Simmons ขยายโซลูชันการเพิ่มประสิทธิภาพข้อมูล ซึ่งช่วยให้นักการตลาดปรับปรุงคุณภาพและประโยชน์ใช้สอยของข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่งได้ ซึ่งความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของชุดข้อมูลของบุคคลที่สามที่ใช้ในการเสริมประสิทธิภาพการตลาดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากนักการตลาดมีหน้าที่ขับเคลื่อนประสิทธิภาพสื่อและผลตอบแทนจากการลงทุนโฆษณาให้มากขึ้น  การเข้าร่วมกลุ่ม Data Collective จึงช่วยให้นักทำการตลาดมั่นใจได้มากขึ้นว่า MRI-Simmons และชุดข้อมูลผู้บริโภคจะมีคุณสมบัติเหมาะสมในการขับเคลื่อนผลลัพธ์การตลาดที่พวกเขาตั้งเป้าเอาไว้ได้

เกี่ยวกับ MRI-Simmons

MRI-Simmons เป็นผู้นำด้านด้านการให้บริการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวอเมริกัน MRI-Simmons ได้ทำให้ข้อมูลผู้บริโภคฉลาดขึ้นและส่งเสริมการดำเนินการจากข้อมูลเชิงลึกด้วยความโปร่งใสและความเข้มงวดเชิงวิธีการ ซึ่งเป็นรากฐานบริษัท MRI-Simmons เป็นผู้นำด้านข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคมาเป็นเวลากว่า 60 ปี โดยมีชุดข้อมูลจากแหล่งเดียวที่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องความเป็นส่วนตัวจำนวนหนึ่ง ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดทำโปรไฟล์ผู้บริโภค การวางแผนสื่อ การปรับแต่งข้อมูลให้เหมาะสม และการแปลงข้อมูล MRI-Simmons ใช้วิธีการสุ่มวัดประชากรจริงในรูปแบบต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ด้วยสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ความน่าจะเป็น ผลลัพธ์จึงมาจากชุดข้อมูลที่มีตัวแทนระดับประเทศและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งช่วยให้มุมมองเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวอเมริกันที่ครอบคลุมและถูกต้องแม่นยำที่สุด

Catalyst ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดข้อมูลเชิงลึกและการแปลงข้อมูลผู้บริโภคของบริษัทจะช่วยทำหน้าที่แจ้งถึงกลยุทธ์การตลาดและปรับปรุงการใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ Catalyst ซึ่งสร้างขึ้นจากชุดข้อมูลจริงของผู้บริโภคที่เป็นตัวแทนระดับประเทศของ MRI-Simmons จะมอบชุดโมดูลต่าง ๆ ให้แก่ผู้ทำการตลาด ตั้งแต่การจัดทำโปรไฟล์ผู้บริโภคไปจนถึงการแปลงข้อมูลเชิงดิจิทัลและปรับแต่งข้อมูลให้เหมาะสมได้ โดยออกแบบมาเพื่อให้มอบประสบการณ์แบบบริการตนเองที่มีความโปร่งใสอย่างสมบูรณ์

MRI-Simmons เปิดตัวในรูปแบบบริษัทร่วมทุนในปี 2019 โดยมี GfK และ SymphonyAI Group ร่วมเป็นเจ้าของ และมีมี GfK เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ GfK ได้รวมตัวกับ NIQ เพื่อรวบรวมผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีการเข้าถึงระดับโลกที่ไม่มีใครเทียบได้สองรายในปี 2023 ดูเพิ่มเติมได้ที่ mrisimmons.com

เกี่ยวกับ Truthset

Truthset เป็นบริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกที่มุ่งเน้นเฉพาะการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลผู้บริโภคเท่านั้น บริษัทนี้ทำหน้าที่ช่วยให้แบรนด์สร้างความเชื่อมั่นในข้อมูล และปรับปรุงประสิทธิภาพในการตัดสินใจด้วยข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น Truthset รวบรวมความน่าจะเป็นของความจริงสำหรับบันทึกแต่ละรายการที่สามารถใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและส่งเสริมการโต้ตอบกับผู้บริโภคที่แม่นยำยิ่งขึ้น Truthset ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 โดยผู้มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมจาก Nielsen, Salesforce, LiveRamp และ Procter & Gamble ซึ่งปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ในซานฟรานซิสโก

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สื่อ:

MRI-Simmons
Matt Cumello รองประธานฝ่ายการตลาด
press.ms@mrisimmons.com

Truthset
Mike Gasbara, Fabric Media
mike@fabricmedia.net

แหล่งข้อมูล: MRI-Simmons

The Bangkok Reporter