Autel Energy เปิดตัวแพลตฟอร์มการชาร์จรุ่นใหม่: ตั้งแต่โมดูลระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ออกแบบภายในองค์กรไปจนถึงระบบตู้ที่ปรับขนาดได้ เทอร์มินัลประสิทธิภาพสูง และเครื่องชาร์จแบบออลอินวันที่ได้รับการอัปเกรด

Logo

เบอร์ลิน-(BUSINESS WIRE)–05 กันยายน 2025

ด้วยแนวคิด “พลังไร้ขีดจำกัด – เริ่มต้นจากศูนย์” ในงานเปิดตัวระดับโลก Autel Energy Europe ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำหน้าที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นโซลูชันรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ และปรับขนาดได้ที่เพิ่มขึ้นในยุโรปและทั่วโลก แพลตฟอร์มนี้สร้างขึ้นจากโมดูลพลังงานระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ออกแบบภายในองค์กร ผสานประสิทธิภาพสูงเข้ากับความสามารถในการปรับเปลี่ยนที่เหนือชั้น มอบโซลูชันการชาร์จที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย

Andreas Lastei, Vice President of Sales and Marketing at Autel Energy Europe, presents the MaxiCharger DS600L

Andreas Lastei รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของ Autel Energy Europe นำเสนอ MaxiCharger DS600L

MaxiModule LCM60/120: โมดูลระบายความร้อนด้วยของเหลวประสิทธิภาพสูงที่พัฒนาภายในองค์กร

แกนหลักของแพลตฟอร์มคือโมดูลพลังงานระบายความร้อนด้วยของเหลว MaxiModule LCM60/120 ที่ Autel พัฒนาขึ้นเอง มีให้เลือกทั้งขนาด 60 กิโลวัตต์และ 120 กิโลวัตต์ โมดูลเหล่านี้ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อประสิทธิภาพการแปลงพลังงานสูง ความเสถียรในระยะยาว และการทำงานที่ยั่งยืนภายใต้สภาวะการทำงานที่หนักหน่วง โมดูลเหล่านี้มอบประสิทธิภาพทางความร้อนที่สม่ำเสมอแม้ในขณะที่ใช้พลังงานสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับประโยชน์จากต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของที่ต่ำลง เวลาทำงานที่สูงขึ้น และความสามารถในการปรับขนาดที่พร้อมรองรับอนาคต

MaxiCharger DS600L: ระบบตู้ที่ปรับขนาดได้พร้อมสถาปัตยกรรมแบบซ้ำซ้อน

โมดูลพลังงานใหม่นี้ถูกรวมเข้ากับระบบตู้ชาร์จ MaxiCharger DS600L ของ Autel ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จขนาดใหญ่ที่มีกำลังไฟฟ้ารวมสูงสุด 3 เมกะวัตต์ต่อคลัสเตอร์ตู้ชาร์จ

เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการทำงาน MaxiCharger DS600L จึงมีสถาปัตยกรรมสำรองสำหรับส่วนประกอบสำคัญต่างๆ เช่น โมดูลจ่ายไฟ ชุดควบคุม และเมทริกซ์สวิตชิ่ง ซึ่งออกแบบขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ที่จะลดเวลาหยุดทำงานให้เหลือศูนย์ เมื่อใช้ร่วมกับชุดอุปกรณ์ปลายทางของ Autel ระบบจะรองรับการกำหนดค่าไซต์งานที่ยืดหยุ่น รองรับ CCS และ MCS แอปพลิเคชันสำหรับยานพาหนะและคลังสินค้า และการผสานรวม BESS และ PV ได้อย่างราบรื่น ทั้งหมดนี้ควบคุมผ่านระบบ EMS ของ Autel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของพลังงานและประสิทธิภาพการทำงาน DS600L ยังสามารถจับคู่กับชุดจ่ายและชุดอุปกรณ์ปลายทางที่หลากหลายได้อย่างยืดหยุ่น ตั้งแต่เสารถยนต์โดยสารไปจนถึงตู้จ่ายรถบรรทุกสำหรับงานหนัก ทำให้สามารถออกแบบโซลูชันที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการที่หลากหลายของไซต์งาน เทอร์มินัล MaxiCharger DT1500 รองรับเอาต์พุตสูงสุด 1,500 แอมป์ และ 1.44 เมกะวัตต์ จึงมั่นใจได้ถึงความพร้อมสำหรับความต้องการการชาร์จแบบเร็วพิเศษแห่งอนาคต

อัปเกรดเครื่องชาร์จแบบออลอินวันเป็น MaxiCharger DH600

Autel ได้ยกระดับเครื่องชาร์จแบบออลอินวันด้วย MaxiCharger DH600 ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก MaxiCharger DH480 ที่ยังคงขนาดกะทัดรัดและดีไซน์ที่เพรียวบางของรุ่นเดิมไว้ พร้อมมอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด MaxiCharger DH600 มาพร้อมกับสายชาร์จระบายความร้อนด้วยของเหลว รองรับกระแสไฟสูงสุด 650 แอมป์ ให้กำลังส่งสูงต่อเนื่อง 600 กิโลวัตต์ พร้อมประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม ด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่ต่อเนื่องสูงขึ้น ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และความสามารถในการปรับตัวที่ดีขึ้นสำหรับสถานการณ์การชาร์จที่หลากหลาย MaxiCharger DH600 จึงรับประกันการทำงานที่เชื่อถือได้แม้ในสภาวะที่ยากลำบากที่สุด

บริการ MaxiCare และการผสานรวม AI

นอกเหนือจากความก้าวหน้าด้านฮาร์ดแวร์แล้ว Autel ยังเน้นย้ำถึงความสามารถในการให้บริการ MaxiCare และฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เครื่องมือเหล่านี้รองรับการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ การเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายแบบเรียลไทม์ และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถจัดการโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาหยุดทำงาน และมอบกระบวนการชาร์จที่ราบรื่นยิ่งขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ จากจุดนี้ Autel ยังสำรวจการประยุกต์ใช้ AI ในการชาร์จและการตรวจสอบในวงกว้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและวางรากฐานสำหรับนวัตกรรมในอนาคต

“ด้วยการพัฒนาโมดูลพลังงานหลักภายในองค์กรและการผสานรวมเข้ากับระบบตู้ที่ปรับขนาดได้ เทอร์มินัลประสิทธิภาพสูง และเครื่องชาร์จแบบออลอินวันรุ่นใหม่ เราจึงมอบความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือให้กับตลาดการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังพัฒนา” กล่าวโดย Andreas Lastei รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของ Autel Energy ยุโรป “ด้วยแพลตฟอร์มบริการอัจฉริยะและความสามารถของ AI ของเรา รวมถึงความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับ CCS, MCS, BESS และ PV การเปิดตัวครั้งนี้จึงเป็นรากฐานที่ครอบคลุมสำหรับการสร้างเครือข่ายการชาร์จแห่งอนาคต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของยุโรปไปสู่การขนส่งที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์”

*วันวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาค โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250905801873/en

Contacts

ฝ่ายขายและการตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก:

FiFi Huang

marketing.jp@autel.com

ที่มา: Autel Energy

Toyoda Gosei ได้พัฒนาเทคโนโลยีการพ่นสี “METEOCOAT” ที่ช่วยให้ยานยนต์ออฟโรดมีรูปลักษณ์อันทรงพลัง

Logo

คิโยสุ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–26 สิงหาคม 2025

Toyoda Gosei Co., Ltd. (TOKYO:7282) ได้พัฒนา “METEOCOAT” ที่ช่วยเพิ่มพื้นผิวที่ไม่เรียบให้กับพื้นผิวสีของชิ้นส่วนภายนอกที่เป็นพลาสติกเพื่อใช้เป็นลวดลายตกแต่งเพื่อตอบสนองต่อรสนิยมที่หลากหลายของผู้ใช้รถยนต์

Racing vehicle to which METEOCOAT has been applied (Used on bumpers and fenders)

รถแข่งที่ใช้ METEOCOAT (ใช้กับกันชนและบังโคลน)

METEOCOAT โดดเด่นด้วยพื้นผิวขรุขระที่มีลวดลายจางๆ เหมาะสำหรับรถออฟโรด โดยเฉพาะรถที่ขับขี่บนถนนลูกรังบ่อยครั้ง พื้นผิวที่ยื่นออกมาเป็นเอกลักษณ์ของ METEOCOAT โดยเกิดจากการปรับความหนืดของสี นอกจากนี้ยังมีขนาดและสีของส่วนที่ยื่นออกมาให้เลือกในหลากหลายแบบ

บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายยอดขาย METEOCOAT ให้เป็นสินค้าสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของรถยนต์ได้ในทันทีที่ซื้อ โดยเทคโนโลยี METEOCOAT จะถูกนำไปใช้กับรถยนต์จาก Toyota Customizing & Development Asia ที่เข้าร่วมการแข่งขัน Asia Cross Country Rally (AXCR) 2025 ที่ประเทศไทย ในเดือนสิงหาคม

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250825076790/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Toyoda Gosei Co., Ltd.
ติดต่อ: ฝ่ายประชาสัมพันธ์
inquiry@mlist.toyoda-gosei.co.jp

ที่มา: Toyoda Gosei Co., Ltd.


รถ Cadillac สีชมพูอันเป็นเอกลักษณ์ของ Mary Kay ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าด้วย All-New OPTIQ

Logo

รถยนต์สำหรับอาชีพรุ่นใหม่ขับเคลื่อนนวัตกรรม ความยั่งยืน และโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–24 กรกฎาคม 2025

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องสำอางระดับโลก Mary Kay Inc. ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในมรดกแห่งการเสริมพลังให้กับแบรนด์ ด้วยการเปลี่ยนรถ Cadillac สีชมพูอันเป็นที่รักให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เต็มรูปแบบ โดยรถ Cadillac OPTIQ สีชมพูเปิดตัวครั้งแรกในงานสัมมนาประจำปีของ Mary Kay ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาและมีพลัง

“For decades, the Mary Kay pink Cadillac has symbolized accomplishment, aspiration, and the power of recognition,” said Ryan Rogers, Chief Executive Officer of Mary Kay. “With the introduction of the all-electric OPTIQ, we’re honoring that iconic legacy while driving into a transformative future—one grounded in our commitment to sustainability and dedication to inspiring and celebrating the achievements of our independent sales force for generations to come.” (Photo Courtesy: Mary Kay Inc.)

“เป็นเวลาหลายทศวรรษที่รถ Cadillac สีชมพูของ Mary Kay ได้เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ ความปรารถนา และพลังแห่งการยกย่อง” กล่าวโดย Ryan Rogers ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Mary Kay “ด้วยการเปิดตัว OPTIQ รถยนต์ไฟฟ้าล้วน เราขอเชิดชูมรดกอันทรงคุณค่านี้ พร้อมกับขับเคลื่อนสู่อนาคตแห่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาอย่างยั่งยืน และความทุ่มเทในการสร้างแรงบันดาลใจและเฉลิมฉลองความสำเร็จของพนักงานขายอิสระของเราเพื่อคนรุ่นต่อๆ ไป” (เครดิตภาพ: Mary Kay Inc.)

Cadillac OPTIQ ถือเป็นก้าวสำคัญในความมุ่งมั่นของ Mary Kay ในด้านนวัตกรรม ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และการตอบสนองความคาดหวังของสมาชิกฝ่ายขายอิสระของ Mary Kay รุ่นต่อไปและลูกค้า การเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่เครื่องยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของการอัปเกรดรถยนต์เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งวิสัยทัศน์ที่เต็มเปี่ยมสำหรับอนาคตของแบรนด์ความงามอันโดดเด่นนี้

“เป็นเวลาหลายทศวรรษที่รถ Cadillac สีชมพูของ Mary Kay เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ ความปรารถนา และพลังแห่งการยอมรับ” กล่าวโดย Ryan Rogers ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Mary Kay “การเปิดตัว OPTIQ ที่ใช้ไฟฟ้าล้วนนี้ถือเป็นการเชิดชูมรดกอันทรงคุณค่านี้ ขณะเดียวกันก็มุ่งหน้าสู่อนาคตที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ซึ่งยึดมั่นในความมุ่งมั่นของเราในการสร้างความยั่งยืนและทุ่มเทเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเฉลิมฉลองความสำเร็จของพนักงานขายอิสระของเราสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป”

“ความสัมพันธ์ของเรากับ Mary Kay ยาวนานหลายทศวรรษและสร้างขึ้นจากคุณค่าร่วมกันของนวัตกรรม การเสริมพลัง และความเป็นเลิศ” กล่าวโดย Ian Hucker รองประธาน GM ของ Envolve “ในขณะที่องค์กรกำลังก้าวเดินอย่างกล้าหาญสู่อนาคตด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า เราภูมิใจที่ได้ยืนเคียงข้างพวกเขา สนับสนุนวิสัยทัศน์ที่ไม่เพียงแต่ยั่งยืน แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้งอีกด้วย Cadillac OPTIQ สีชมพู คือก้าวสำคัญที่น่าตื่นเต้น ผสานสมรรถนะและความหรูหราตามที่คุณคาดหวังจาก Cadillac เข้ากับนวัตกรรมที่มีความหมายและผลลัพธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย”

เกี่ยวกับ The Pink Cadillac OPTIQ:

  • OPTIQ ยังคงรักษารูปลักษณ์ภายนอกสีชมพูมุกอันเป็นเอกลักษณ์ ขณะเดียวกันก็นำเสนอโครงรถที่โฉบเฉี่ยว ทันสมัย พร้อมฟีเจอร์ล้ำสมัย ยานยนต์คันนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ Mary Kay ในด้านความยั่งยืน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน พร้อมกับการสร้างแรงบันดาลใจอย่างต่อเนื่อง
  •  ประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ที่โดดเด่นของ OPTIQ ช่วยให้สามารถขับขี่ได้ไกลถึง 302 ไมล์ตามที่ EPA ประเมินไว้1 แพลตฟอร์มแบตเตอรี่ GM EV ที่ปฏิวัติวงการและชุดขับเคลื่อน รวมถึงการใช้ยางที่มีแรงต้านทานการหมุนต่ำ ยังมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มระยะการเดินทางที่น่าประทับใจของรถยนต์อีกด้วย
  • สปอยเลอร์หลังแบบมีช่องระบายอากาศ แผงดิฟฟิวเซอร์ และองค์ประกอบเชิงประติมากรรมอื่นๆ ช่วยเพิ่มอากาศพลศาสตร์ที่ด้านหลังของรถโดยไม่กระทบต่อการออกแบบรถ SUV อันโดดเด่น
  • OPTIQ ผสานความกว้างขวางและความหรูหราภายในห้องโดยสารไว้ด้วยกันอย่างลงตัว การตกแต่งภายในที่สว่างไสวและประดับประดาอย่างประณีตช่วยเสริมการตีความของความหรูหราแบบ Cadillac ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ OPTIQ ขณะที่เทคโนโลยีภายในรถก็ครบครันด้วยฟีเจอร์ต่างๆ เช่น ระบบเสียง AKG 19 ลำโพง และระบบเสียง Dolby Atmos มอบประสบการณ์ที่เหนือระดับ

คุณรู้หรือไม่:

  • รถ Cadillac สีชมพูอันเป็นเอกลักษณ์ถือกำเนิดขึ้นในปี 1968 เมื่อ Mary Kay Ash ซื้อรถ Cadillac Coupe De Ville จากตัวแทนจำหน่ายในดัลลัส และรีบทำสีให้เข้ากับเฉดสีชมพูอ่อนของ Mary Kay® ทันที ต่อมา General Motors ได้ตั้งชื่อสีนี้ว่า “Mary Kay Pink Pearl” และเฉดสีนี้เป็นสีเฉพาะของ Mary Kay เท่านั้น
  •  Mary Kay ได้รับการขนานนามว่าเป็นแบรนด์ขายตรงอันดับ 1 ของผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเครื่องสำอางสีในโลก2 โดย Euromonitor International เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันในปี 2023, 2024 และอีกครั้งในปี 2025

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay Ash ผู้ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของเธอในเท็กซัสเมื่อปี 1963 โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 40 ตลาด เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่โอกาสของ Mary Kay ได้ส่งเสริมให้ผู้หญิงกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay มุ่งมั่นที่จะลงทุนในด้านวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอางสี อาหารเสริม และน้ำหอมที่ล้ำสมัย Mary Kay เชื่อในการอนุรักษ์โลกของเราไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการล่วงละเมิดในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนเดินตามความฝันของตนเอง เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com พบกับเราได้บน Facebook, Instagram และ LinkedIn หรือติดตามเราบน X.

1

 GM – ระยะโดยประมาณอ้างอิงจากการทดสอบการพัฒนาและ/หรือการคาดการณ์เชิงวิเคราะห์ที่สอดคล้องกับ SAE J1634 ฉบับปรับปรุงปี 2017 – MCT และอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนการผลิต ระยะจริงอาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายประการ ได้แก่ อุณหภูมิ สภาพภูมิประเทศ อายุแบตเตอรี่ การบรรทุก และวิธีการใช้งานและการบำรุงรักษารถยนต์ของคุณ ให้ไปที่ www.cadillac.com สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

2

“ที่มา: Euromonitor International Limited; Beauty and Personal Care 2025 Edition, ยอดขายตามมูลค่าที่ RSP, ข้อมูลปี 2024”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250724749681/en

Contacts

ฝ่ายสื่อสารองค์กร Mary Kay Inc.
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc.

ปัญญาประดิษฐ์คว้าชัยชนะในการแข่งขันโดรนไร้คนขับที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกที่อาบูดาบี

Logo

  •  โดรน AI เอาชนะนักบินที่เป็นมนุษย์ในการแข่งขันโดรนไร้คนขับที่มีความท้าทายและซับซ้อนที่สุดซึ่งจัดขึ้นโดย A2RL x DCL Autonomous Drone Championship ถือเป็นการก้าวล้ำครั้งสำคัญในนวัตกรรมการบินอัตโนมัติ
  •  ผู้ชมกว่า 2,500 คนรับชมการแข่งขันโดรนไร้คนขับที่เก่งกาจที่สุดเพื่อชิงเงินรางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐในรูปแบบการแข่งขันสุดล้ำสมัย 4 รูปแบบ
  •  MavLab (TU Delft) ครองแชมป์ชัยชนะ 3 รายการในการแข่งขัน AI Grand Challenge, AI Drag Race และ AI Vs Human ขณะที่ TII Racing (สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยี อาบูดาบี) คว้าชัยชนะในการแข่งขัน AI Multi-Autonomous Drone Race

ABU DHABI, United Arab Emirates–(BUSINESS WIRE)–16 เมษายน 2025

Abu Dhabi Autonomous Racing League (A2RL) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Advanced Technology Research Council (ATRC) ร่วมมือกับ Drone Champions League (DCL) จัดงานแข่งขัน A2RL x DCL Autonomous Drone Championship ครั้งแรกในตะวันออกกลางที่ ADNEC Marina Hall เมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญด้านการบินอัตโนมัติและหุ่นยนต์ทางอากาศ โดรน AI ของทีม MavLab สามารถแซงหน้านักบินมนุษย์ชั้นนำของโลกและคว้าชัยชนะในการแข่งขัน AI vs Human Challenge ได้สำเร็จ การแข่งขันแบบตัวต่อตัวครั้งนี้ถือเป็นการแข่งขันที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีผู้เข้าชิงรางวัลชนะเลิศจาก DCL Falcon Cup ซึ่งบางท่านเป็นนักบินโดรนชั้นนำของโลก

Artificial Intelligence Triumphs in World’s Most Sophisticated Autonomous Drone Race in Abu Dhabi (Photo: AETOSWire)

ปัญญาประดิษฐ์คว้าชัยชนะในการแข่งขันโดรนอัตโนมัติที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกที่อาบูดาบี (ภาพถ่าย: AETOSWire)

ตลอดระยะเวลา 2 วันที่เต็มไปด้วยความเข้มข้น ทีมจากนานาประเทศ 14 ทีมผ่านเข้ารอบสุดท้าย โดย 4 ทีมแรกจะได้เข้าไปแข่งขันในรูปแบบการแข่งขันที่ท้าทายหลากหลายรูปแบบ ทีมจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย เกาหลีใต้ สาธารณรัฐเช็ก เม็กซิโก ตุรกี จีน สเปน แคนาดา และสหรัฐอเมริกา เป็นตัวแทนฝ่ายห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และผู้ริเริ่มนวัตกรรมสตาร์ทอัพ

แต่ละทีมจะแข่งขันด้วยโดรนมาตรฐานที่ติดตั้งโมดูลคอมพิวเตอร์ NVIDIA Jetson Orin NX ขนาดกะทัดรัดแต่ทรงพลัง กล้องที่หันไปข้างหน้า และหน่วยวัดแรงเฉื่อย (IMU) สำหรับการรับรู้และควบคุมบนโดรน โดรนเหล่านี้อาศัยการประมวลผลแบบเรียลไทม์และการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนโดย AI เพียงอย่างเดียว เพื่อทำความเร็วเกิน 150 กม./ชม. ในสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่ซับซ้อนโดยไม่ต้องอาศัยอินพุทจากมนุษย์

การออกแบบสนามแข่งได้ขยายขอบเขตระบบไร้คนขับ โดยมีระยะห่างระหว่างเกต แสงสว่างที่ไม่สม่ำเสมอ และเครื่องหมายที่มองเห็นได้น้อยที่สุด การใช้กล้องชัตเตอร์แบบโรลลิ่งทำให้การแข่งขันมีความยากมากขึ้น โดยทดสอบความสามารถของแต่ละทีมในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเสถียรภายใต้เงื่อนไขที่ท้าทาย นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีการจัดการแข่งขันโดรนไร้คนขับในระดับและความซับซ้อนเช่นนี้บนสนามแข่งที่มีภาพไม่ชัดเจน ซึ่งเน้นย้ำถึงความทะเยอทะยานและความท้าทายทางเทคนิคของการแข่งขันครั้งนี้

ไฮไลท์การแข่งขันชิงรางวัล

  •  ผู้ชนะการแข่งขัน AI Grand Challenge : MavLab (TU Delft) ทำลายสถิติเวลาที่เร็วที่สุดในสนามแข่ง 170 เมตร โดยวิ่ง 2 รอบ (22 เกต) ในเวลาเพียง 17 วินาที
  •  ผู้ชนะการประลอง AI vs Human : โดรนไร้คนขับของ MavLab แซงหน้านักบินมนุษย์ชั้นนำในการเผชิญหน้าระหว่าง AI กับมนุษย์อันเป็นที่จดจำ
  •  ผู้ชนะการแข่งขันมัลติโดรนไร้คนขับ : TII Racing คว้าชัยชนะในการแข่งขันรูปแบบมัลติโดรน ในการทดสอบความเร็วสูงของการประสานงาน AI และการหลีกเลี่ยงการชน
  •  ผู้ชนะการแข่งขันแดร็กไร้คนขับ : MavLab (TU Delft) คว้าชัยชนะในการแข่งขันแดร็กที่ใช้ระบบ AI ครั้งแรกของโลก โดยแสดงให้เห็นถึงความเร็วในแนวตรงและการควบคุมภายใต้การเร่งความเร็วสูง โดยแข่งกับทีมชั้นนำของแชมเปี้ยนชิพ

“ที่ ATRC เราเชื่อว่านวัตกรรมต้องได้รับการพิสูจน์ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงแค่คำสัญญา” H.E. Faisal Al Bannai ที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้านการวิจัยเชิงกลยุทธ์และกิจการเทคโนโลยีขั้นสูง และเลขาธิการ ATRC กล่าว “A2RL ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังเป็นสนามทดสอบระดับโลกสำหรับระบบอัตโนมัติประสิทธิภาพสูง และสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการพัฒนา AI หุ่นยนต์ และระบบการเคลื่อนที่เจนถัดไปอย่างมีความรับผิดชอบ”

“อนาคตของการบินไม่ได้อยู่ในห้องทดลอง แต่อยู่ในสนามแข่ง” Stephane Timpano ซีอีโอของ ASPIRE ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าภาพจัดการแข่งขัน Abu Dhabi Autonomous Racing League กล่าว “สิ่งที่เราเห็นเมื่อสุดสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นว่า เราเข้าใกล้การปรับขนาดระบบไร้คนขับในชีวิตประจำวันมากขึ้น” Markus Stampfer, ประธานกรรมการบริหาร DCL กล่าวเพิ่มเติม: “เรานำเงื่อนไขการแข่งขันระดับสูงมาสู่การบินไร้คนขับ และ AI เข้ามารับความท้าทายนี้ นับเป็นก้าวสำคัญทั้งในด้านกีฬาและเทคโนโลยี”

ความภาคภูมิใจหลังคว้าแชมป์ 3 รายการรวดChristophe De Wagter หัวหน้าทีม MavLab กล่าว “การชนะการแข่งขัน AI Grand Challenge และการแข่งขัน AI vs Human ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับทีมของเรา ซึ่งถือเป็นการพิสูจน์ผลการวิจัยและการทดลองหลายปีเกี่ยวกับการบินไร้คนขับ อัลกอริทึมของเรามีประสิทธิภาพเหนือกว่าในสภาพแวดล้อมที่มีแรงกดดันสูงเช่นนี้และคว้าเงินรางวัลกลับบ้านไปมากที่สุด ถือเป็นรางวัลที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง”

โครงการ A2RL X DCL Drone STEM ซึ่งออกแบบร่วมกับ UNICEF และอยู่ภายใต้การดูแลของ ATRC ได้ฝึกอบรมนักเรียนชาวเอมิเรตส์ไปแล้วกว่า 100 คนในปีนี้ นักเรียนกว่า 60% ได้รับการรับรองจาก Trusted Operator Program อันทรงเกียรติ และ 24 คนได้คะแนนเต็ม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทักษะการบินขั้นสูงที่ได้รับการพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ

ในวันนี้ การแข่งขันโดรนรอบชิงชนะเลิศได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกๆ คนต่างจับตาไปที่การแข่งขันรถยนต์ไร้คนขับ A2RL ซีซั่นที่ 2 ที่จะจัดขึ้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 ที่สนามแข่ง Yas Marina Circuit ในอาบูดาบี

*แหล่งข้อมูล: AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

https://www.businesswire.com/news/home/20250416147445/en

Contacts

Thushara Mohanan
thushara.mohanan@tii.ae

ที่มา: Technology Innovation Institute


Autel Energy เปิดตัวเครื่องชาร์จ MaxiCharger DH480 ความเร็วสูงพิเศษที่งาน EVCharge Live Thailand 2025

Logo

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–26 กุมภาพันธ์ 2025

Autel Energy ผู้ให้บริการโซลูชันการชาร์จ EV ชั้นนำ จะทำให้งาน EVCharge Live Thailand 2025 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 26-27 กุมภาพันธ์นี้ต้องสั่นสะเทือน ด้วยการเปิดตัวซีรีส์ MaxiCharger DC ใหม่ นำโดยเครื่องชาร์จแบบ All-in-One MaxiCharger DH480 ล้ำสมัย พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์และโซลูชันการชาร์จที่ครอบคลุมทั้ง AC และ DC

Autel Energy at Booth F10, EVCharge Live Thailand 2025 held at BITEC (Photo: Business Wire)

Autel Energy ที่บูธ F10 ในงาน EVCharge Live Thailand 2025 ที่ไบเทค (ภาพ: Business Wire)

 ขอแนะนำคุณสมบัติอันล้ำสมัยของ DH480

DH480 สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการชาร์จ EV ที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเชื่อถือได้ โดยให้กำลังสูงถึง 480kW และรองรับการชาร์จพร้อมกันสูงสุดถึงสี่คัน ซึ่งเหมาะสำหรับสถานที่ที่มีความต้องการการชาร์จสูง(High demand charge) โดยเพิ่มระยะทางได้สูงสุดถึง 1 กม. ต่อวินาที โดยมีอัตราการชาร์จความสำเร็จเกินกว่า 99% ความคล่องตัวของ DH480 ยังขยายไปถึงตัวเลือกการชำระเงินอีกด้วย ด้วยการรองรับบัตรเครดิต, RFID, QR codes และเทคโนโลยี Plug & Charge ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น นอกจากนี้ ซีรีส์ MaxiCharger DC ยังทำงานร่วมกับระบบพลังงานสะอาด เช่น เซลล์แสงอาทิตย์ (PV) และการจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) ทำให้กลายเป็นโซลูชันที่รองรับอนาคตสำหรับการชาร์จ EV ที่ยั่งยืน ด้วยการตรวจสอบที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการบำรุงรักษา    เพื่อให้มั่นใจว่ามีเวลาทำงานมากกว่า 98%

DH480 จึงปรับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานมากที่สุด

 ขยายตลาดสู่ประเทศไทย

ประเทศไทยซึ่งมีตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กำลังกลายเป็นผู้เล่นหลักในระบบนิเวศการขนส่ง พลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยตระหนักถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทยและที่อื่นๆ Autel Energy จึงได้จัดลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของตลาดนี้ในแผนการขยาย โดยเปิดตัวโซลูชั่นการชาร์จที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการการชาร์จขณะเดินทาง ยานพาหนะ จุดหมายปลายทาง และที่อยู่อาศัย ตั้งแต่ปี 2022 Autel Energy ได้ขยายการดำเนินงานในประเทศไทยผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ร่วมกับ RêVERSHARGER ผู้ให้บริการโซลูชันการชาร์จ EV ชั้นนำ ได้ติดตั้งสถานีชาร์จเร็วขนาด 120kW และ 360kW ที่ปั๊มน้ำมันบางจากและโชว์รูม BYD ทั่วประเทศ นอกจาก DC Series แล้ว AC Wallbox 7.4kW ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางของ Autel ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยได้รับความนิยมจากครัวเรือนและบุคคลทั่วไป เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพ และใช้งานง่าย

 การนำ AI มาใช้เพื่อสร้างนวัตกรรม

Autel Energy มุ่งมั่นที่จะรวม AI เข้ากับโซลูชันที่ล้ำสมัยเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเฉพาะของตนเองในระบบการชาร์จอัจฉริยะเต็มรูปแบบ Autel กำลังใช้ AI สำหรับการจัดการโหลดแบบไดนามิก (การปรับสมดุลโหลดไฟฟ้า ในบริบทของการชาร์จ EV หมายถึงกระบวนการกระจายพลังงานไฟฟ้าที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพระหว่างสถานีชาร์จหรือจุดชาร์จต่างๆ เป้าหมายคือเพื่อให้แน่ใจว่ามีการจัดสรรพลังงานในลักษณะที่จะเพิ่มจำนวนยานพาหนะที่ชาร์จได้สูงสุดโดยไม่ทำให้กริดโอเวอร์โหลดหรือเกินความจุของระบบ)

การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ ( การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ หรือ Predictive Maintenance คือ แนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบอุปกรณ์ผ่านเซนเซอร์ ซอฟต์แวร์ และการตอบกลับข้อมูลในระบบเพื่อจัดลำดับความสำคัญของอุปกรณ์สำหรับบำรุงรักษาเชิงรุก (Proactive Maintenance) พร้อมกับมีการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) อีกขั้นหนึ่งและให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ราบรื่น กลยุทธ์ที่มองไปข้างหน้านี้ทำให้ Autel อยู่ในแถวหน้าของนวัตกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าโซลูชันการชาร์จ EV ยังคงมีประสิทธิภาพ ปรับขนาดตามการความต้องการได้ และพร้อมสำหรับอนาคตในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/54211412/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ฝ่ายขาย: jinyel@autel.com, +66 0909245399
ฝ่ายการตลาด: marketing.jp@autel.com

ที่มา: Autel Energy

 


น้ำมันเครื่องสูตรเพื่อการแข่งขันที่สกัดจากพืช พร้อมประสิทธิภาพที่ได้รับการพิสูจน์ในการแข่งขัน “IDEMITSU IFG Plantech Racing” เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคมเป็นต้นไปผ่านร้านจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นออนไลน์อย่างเป็นทางการของเรา

Logo

โตเกียว –(BUSINESS WIRE)–03 ธันวาคม 2024

บริษัท อิเดมิตสึ โคซัน จำกัด (สำนักงานใหญ่อยู่ที่เขตโยชิดะ โตเกียว กรรมการผู้จัดการใหญ่คือคุณชุนอิจิ คิโตะ โดยต่อจากกนี้จะเรียกว่า “บริษัท”) จะเริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์ “IDEMITSU IFG Plantech Racing” (ค่าความหนืด: 0W-20, 4Litter/1Litter) ผ่านร้านจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นออนไลน์อย่างเป็นทางการของบริษัท (https://global.idemitsu-nano-tailored-oil.com) ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคมเป็นต้นไปสำหรับลูกค้าในประเทศไทย ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย*1

”IDEMITSU IFG Plantech Racing” (Photo: Business Wire)

”IDEMITSU IFG Plantech Racing” (รูปภาพ: Business Wire)

ผลิตภัณฑ์นี้เป็นน้ำมันเครื่องสำหรับการแข่งขันรุ่นแรกของโลก*2 ที่ใช้พืชเป็นวัตถุดิบมากกว่า 80% ของน้ำมันพื้นฐาน และมีคุณสมบัติทั้งในด้านประสิทธิภาพเพื่อการแข่งขันและได้รับการรับรองมาตรฐานน้ำมันเครื่องจาก API SP

“IDEMITSU IFG Plantech Racing” แสดงให้เห็นถึงตัวตนของแบรนด์ผ่านถ้อยแถลงที่ว่า “The Heart of Technology (หัวใจแห่งเทคโนโลยี)”*3 และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโลโลยีของเราจนถึงขีดสุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก โดยเทคโนโลยีการผสมสูตรเฉพาะของเรานั้นผสานโมลิบดีนัม ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานที่เกิดจากความต้านทานแรงเสียดทาน เข้ากับเอสเทอร์จากพืชที่มีความหนืดสูงที่ทำให้ชั้นฟิล์มน้ำมันหนาขึ้นและทำให้ประสิทธิภาพในการปกป้องสูงขึ้น ในน้ำมันพื้นฐานจากพืชที่ยากต่อการผสม โดยเทคโนโลยี “Molybdenum Ester” ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเรานั้นทำให้เราประสบความสำเร็จในการบรรลุถึงประสิทธิภาพที่เหมาะกับการใช้งานในสภาวะของการแข่งขัน ซึ่งมีการนำมาใช้ใน “MAZDA SPIRIT RACING ROADSTER CNF ” ซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันใน SUZUKA Super Taikyu Endurance Race ที่จัดขึ้นเมื่อปลายเดือนกันยายนของปีนี้ด้วย *4

สำหรับรถที่คุณรักแล้ว เราอยากแนะนำให้คุณลองใช้น้ำมันประสิทธิภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมาพร้อมกับคุณภาพระดับสูงนี้ *5

ตั้งแต่ที่เราก่อตั้งบริษัทขึ้นมาในปี 1911 เรามุ่งมั่นในการผลิตน้ำมันหล่อลื่นสูตรที่เหมาะกับการใช้งานทุกรูปแบบและมีประสิทธิภาพสูง พร้อมทั้งได้ปรับปรุงความสามารถทางเทคโนโลยีให้ดีขึ้น โดยเราจะยังคงใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีที่ไม่เหมือนใครของเราเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีแต่เราเท่านั้นที่สามารถทำได้ เพื่อมอบสุนทรียภาพให้กับผู้รักการขับขี่

*1 การวางจำหน่ายในประเทศจีน อินเดีย อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา บราซิล เม็กซิโก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศอื่นๆ จะประกาศให้ทราบทันทีเมื่อมีการวางจำหน่ายในแต่ละประเทศ โดยสามารถซื้อได้จากญี่ปุ่นผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในต่างประเทศ
*2 ผลการสำรวจตลาด “น้ำมันเครื่อง” ซึ่งดำเนินการสำรวจตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2024 พบว่านี่คือน้ำมันเครื่องสำหรับยานยนต์สี่ล้อรุ่นแรกของโลกที่มีการรับรองจาก API รวมถึงน้ำมันจากพืช และประสิทธิภาพในการแข่งขัน โดยผลการสำรวจนั้นจัดทำโดย Trending Future Research Institute Inc. โปรดดูรายละเอียดได้ที่ข่าวประชาสัมพันธ์ด้านล่างนี้
Development of “IDEMITSU IFG Plantech Racing,” the world’s first API-certified engine oil with racing performance made from more than 80% plant-based raw materials (August 7, 2024).
*3 ถ้อยแถลงของแบรนด์น้ำมันหล่อลื่นของเราที่ว่า “The Heart of Technology (หัวใจแห่งเทคโนโลยี)” นั้นเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของเราในการทำให้โลกเป็นพื้นที่แห่งความสะดวกสบายที่มากขึ้นอย่างแท้จริงผ่านเทคโนโลยี
วิดีโอแสดงถ้อยแถลงของแบรนด์: https://www.idemitsu.com/en/business/lube/brandstory/index.html
*4 กรุณาดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ข่าวประชาสัมพันธ์ด้านล่างนี้
“IDEMITSU IFG Plantech Racing,” the world's first engine oil with racing performance and API certification using plant derived raw materials, was adopted for use in the “MAZDA SPIRIT RACING ROADSTER CNF concept” racing car that competed in the “SUZUKA S Endurance Race” and completed the course. (October 16, 2024).
*5 เหมาะสำหรับรถยนต์ที่สามารถใช้ SP 0W-20 ได้ ตามที่มีการแนะนำในคู่มือเจ้าของรถ

[ข้อมูลเพื่อการอ้างอิง]
เกี่ยวกับ “IDEMITSU IFG/IRG Series”

“IDEMITSU IFG/IRG Series” เป็นชุดผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องที่ออกแบบมาเพื่อผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ โดยมีสูตรที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์
กรุณาดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
https://www.idemitsu-nano-tailored-oil.com/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54159720/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ติดต่อสอบถามข้อมูลในหัวข้อนี้
ติดต่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ IDEMITSU IFG Plantech Racing
idemitsu-plantech-racing@idemitsu.com

หากต้องการสอบถามข้อมูลสื่อ กรุณาติดต่อ
ส่วนงานประชาสัมพันธ์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Idemitsu Kosan Co., Ltd.
https://www.idemitsu.com/en/contact/flow/index.html

แหล่งที่มา: Idemitsu Kosan Co., Ltd.

.


อาบูดาบีเปิดตัว SteerAI บริษัทเทคโนโลยีใหม่ที่เตรียมเปลี่ยนโฉมยานยนต์อุตสาหกรรมให้กลายเป็นยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ

Logo

ชุดซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ขั้นสูงของ SteerAI ช่วยให้ยานยนต์อุตสาหกรรมขับเคลื่อนอัตโนมัติได้

บริษัทใหม่ซึ่งขับเคลื่อนโดย VentureOne ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการค้าของ ATRC จะเริ่มต้นด้วยยานยนต์ภาคพื้นดินและขยายออกไปสู่ท้องทะเล

อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–04 พฤศจิกายน 2024

VentureOne ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการค้าของสภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology Research Council – ATRC) ได้เปิดตัว SteerAI ซึ่งเป็นระบบการขับเคลื่อนขั้นสูงที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่จะแปลงโฉมยานยนต์อุตสาหกรรมมาตรฐานให้กลายเป็นยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติได้

Abu Dhabi unveils SteerAI, a new tech venture set to transform industrial vehicles into autonomous powerhouses (Photo: AETOSWire)

อาบูดาบีเปิดตัว SteerAI ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมยานยนต์อุตสาหกรรมให้กลายเป็นโรงงานผลิตยานยนต์ไร้คนขับ (รูปภาพ: AETOSWire)

SteerAI ใช้ชุดฮาร์ดแวร์ ชุดซอฟต์แวร์ และระบบการจัดการกองยานพาหนะเพื่อให้บริการทั้งภาคโลจิสติกส์และการป้องกันประเทศ รวมถึงเพื่อให้ยานยนต์ภาคพื้นดินขับเคลื่อนอัตโนมัติสามารถรับมือกับภารกิจที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง ช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากร และปกป้องภารกิจที่ต้องใช้มนุษย์ โดยเทคโนโลยีของ SteerAI นั้นได้รับการพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยี (Technology Innovation Institute – TII) ที่เป็นหน่วยงานวิจัยประยุกต์ของ ATRC

H.E. Faisal Al Bannai ที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และเลขาธิการ ATRC กล่าวว่า “การเปิดตัว SteerAI ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นผู้นำของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในด้านเทคโนโลยีอัตโนมัติ ที่ ATRC วิสัยทัศน์ของเราคือการผลักดันขอบเขตของนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และ SteerAI เป็นตัวอย่างว่าเราเปลี่ยนการวิจัยที่ก้าวล้ำให้กลายเป็นโซลูชันในโลกแห่งความเป็นจริงที่สร้างผลกระทบที่เป็นรูปธรรมได้อย่างไร”

“เราไม่ได้สร้างยานยนต์อัตโนมัติแต่เพียงอย่างเดียว แต่เราได้สร้าง ‘สมอง’ ของยานยนต์อัตโนมัติขึ้นมาด้วย” ดร. Najwa Aaraj ซีอีโอของ TII กล่าว “อัลกอริทึมการนำทางขั้นสูงทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ที่ล้ำสมัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบโมดูลาร์ที่มีประสิทธิภาพที่สามารถทำงานกับยานยนต์ได้ทุกประเภท และมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการเคลื่อนที่ของเรา”

ยานยนต์อัตโนมัติที่ขับเคลื่อนโดยระบบของ SteerAI จะสามารถทำงานได้อย่างสม่ำเสมอและแม่นยำระหว่างจุดนำทางโดยมีเวลาหยุดทำงานที่น้อยที่สุด ชุดซอฟต์แวร์ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ยานพาหนะตอบสนองต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หลบเลี่ยงสิ่งกีดขวาง และทำงานได้อย่างราบรื่นแม้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย รวมถึงพื้นที่ที่ยังไม่ได้อยู่ในแผนที่

นอกจากจะช่วยให้สามารถเคลื่อนที่ได้โดยอัตโนมัติเต็มรูปแบบแล้ว ซอฟต์แวร์ของ SteerAI ยังอำนวยความสะดวกในการจัดการกองยานพาหนะจากระยะไกล การวางแผนและการตรวจสอบภารกิจ ตลอดจนการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่ายานพาหนะถูกนำไปใช้และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Reda Nidhakou รักษาการ CEO ของ VentureOne กล่าวว่า “การเปิดตัว SteerAI ถือเป็นก้าวสำคัญในการเดินทางของเราในการสร้างผลกระทบเชิงบวกผ่านการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยความต้องการด้านการเคลื่อนที่ในด้านโลจิสติกส์และการป้องกันประเทศนั้นเข้มข้น ซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายสูง ระบบอัตโนมัติที่ไม่ขึ้นกับยานพาหนะของเราจะช่วยกำหนดประสิทธิภาพและความแม่นยำในการปฏิบัติงานใหม่ในขณะที่ปกป้องทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของบริษัท นั่นคือบุคลากรของบริษัท ภารกิจของเราคือการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้พันธมิตรของเราเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินการของพวกเขา”

SteerAI เป็นโครงการที่สองที่ VentureOne เปิดตัว โดย AI71 ที่ได้เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2023 นั้น ได้สร้างโซลูชันทางธุรกิจโดยใช้โมเดล Falcon generative AI ของ TII

*แหล่งข้อมูลAETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54145916/en

ติดต่อ

Audrey Fernandes
Audrey.fernandes@edelman.com

แหล่งข้อมูล: สภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology Research Council)

ก้าวสู่เวทีระดับโลก: AITO จัดแสดงรถยนต์ SUV อัจฉริยะระดับไฮเอนด์ที่งาน Paris Motor Show 2024

Logo

AITO เข้าร่วมงาน Paris Motor Show ครั้งที่ 90 โดยนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์รุ่นล่าสุดภายใต้แนวคิด “Intelligence Redefining Luxury” ซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงรถยนต์ 3 รุ่น ได้แก่ AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ซึ่งเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่าง “ความหรูหราแบบดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” ของแบรนด์ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีขั้นสูง การขับขี่อัจฉริยะ และคุณสมบัติความปลอดภัยที่ครอบคลุม โดยสะท้อนถึงความอเนกประสงค์สำหรับสถานการณ์การขับขี่ที่แตกต่างกัน การมาถึงของ AITO ในงานแสดงสินค้า ณ กรุงปารีสนี้เป็นจุดสิ้นสุดของ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ซึ่งเป็นการเดินทางยาวนาน 38 วันในระยะทางประมาณ 15,000 กิโลเมตร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของรถยนต์ของแบรนด์

ปารีส–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

AITO แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์ เข้าร่วมงาน Paris Motor Show 2024 โดยจัดแสดงรถยนต์ไฟฟ้าระบบขยายระยะ (REEVs) ระดับหรู 3 รุ่น โดยผสมผสาน “ความหรูหราดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” เข้าด้วยกัน AITO เปิดตัวแนวคิดหรูหราใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางอัจฉริยะชั้นนำให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก AITO นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมต่างๆ เช่น AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 พร้อมด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF และเทคโนโลยีตัวขยายระยะทางพิเศษ ซึ่งเปิดตัวภายใต้แนวคิด “Intelligence Redefining Luxury”

Eurasian Tour with AITO (Photo: Business Wire)

ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO (ภาพ: Business Wire)

“ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” เป็นการเดินทางสำรวจระยะทางประมาณ 15,000 กิโลเมตรจากโรงงาน AITO ในเมืองฉงชิ่งก่อนที่ AITO จะมาถึงงาน Paris Motor Show โดยการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของรถ AITO รุ่นต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและท้าทาย ตั้งแต่บริเวณโรงงานไปจนถึงงานแสดงรถยนต์ ขบวนรถซึ่งประกอบด้วยรถยนต์ AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 เดินทางผ่าน 12 เมืองเป็นเวลา 38 วัน โดยมีเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะของ AITO ที่จัดการกับระยะทางกว่า 8,800 กิโลเมตร เพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ตลอดการเดินทาง

AITO 9 ซึ่งเป็นรถยนต์ SUV อัจฉริยะรุ่นเรือธงที่ใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากระหว่างการเดินทาง โดยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสภาพถนนที่เลวร้าย อุณหภูมิที่รุนแรง และภูมิประเทศที่ยากลำบาก ตั้งแต่ภูเขาสูงไปจนถึงทะเลทรายที่แห้งแล้ง ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ครอบคลุม ความสามารถของ AITO 9 จึงได้รับทดสอบอย่างเข้มงวดในหลายมิติ AITO 9 ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคและตลาด โดยมียอดสั่งซื้อสะสมกว่า 140,000 คัน และส่งมอบแล้ว 100,000 คันภายในระยะเวลา 9 เดือนหลังจากเปิดตัว จนทำให้ขณะนี้ AITO 9 มียอดขายอยู่ในอันดับ 3 เมื่อเทียบกับรุ่นที่มีราคาสูงกว่า 60,000 ยูโรในตลาดรถหรูของจีน

AITO 7 เป็นรถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ที่เน้นความสะดวกสบายและปรับให้เข้ากับสถานการณ์การเดินทางของครอบครัวอย่างราบรื่น รถยนต์รุ่นนี้ได้รับคำชมอย่างมากใน “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ในเรื่องของความกว้างขวางและความสะดวกสบาย โดยมาพร้อมเบาะนั่งแบบไร้แรงโน้มถ่วง พร้อมด้วยฟังก์ชันนวดที่นั่งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าระหว่างการเดินทาง รถคันนี้ผลิตจากเหล็กที่ขึ้นรูปด้วยความร้อนระดับเดียวกับที่ใช้ในเรือดำน้ำ โดยมาพร้อมกับถุงลมนิรภัย 8 จุดเป็นมาตรฐาน และแบตเตอรี่ที่มีฉนวนกันความร้อนเกรดการบิน 5 ชั้นเพื่อความปลอดภัยภายใต้ทุกสภาวะ

AITO 5 เป็นรถสปอร์ต SUV ขนาดกลางที่มีสไตล์สำหรับการขับขี่ในเมืองและมอบสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม โดดเด่นด้วยการออกแบบสไตล์สปอร์ตพร้อมรูปทรงที่สะอาดตาและทรงพลัง ผลิตจากโครงสร้างอะลูมิเนียมอัลลอยด์ทั้งหมด พร้อมปีกนกคู่ที่ด้านหน้าและระบบกันสะเทือนอิสระแบบมัลติลิงก์ด้านหลัง ซึ่งช่วยให้การควบคุมรถยอดเยี่ยมขณะที่ยังมีโครงสร้างน้ำหนักเบา สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 5 วินาที AITO 5 มอบสมรรถนะที่น่าประทับใจในระหว่างการเดินทางผ่านยุโรปตะวันออก ทีมงานได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่เร้าใจหลังพวงมาลัย ในด้านฟีเจอร์อัจฉริยะ รถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับระบบช่วยการขับขี่ รวมถึงฟังก์ชันการจอดอัตโนมัติ การช่วยจอดจากระยะไกล และการถอยหลังแบบติดตาม เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่

ประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์อันยอดเยี่ยมของ AITO ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF ที่มีความหลากหลายและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพียงหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมที่สามารถรองรับตัวเลือกพลังงานแบบขยายระยะทางพิเศษ พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ และพลังงานไฮบริดอัลตรา โดยมีคุณสมบัติหลัก 4 ประการ ได้แก่ ความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย พื้นที่ห้องโดยสารที่ปรับเปลี่ยนได้ และเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับชั้นนำ แพลตฟอร์มนี้เป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีตัวขยายระยะทางพิเศษ ด้วยประสิทธิภาพความร้อนที่น่าประทับใจที่ 45% และอัตราการแปลงเชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้าชั้นนำในอุตสาหกรรมที่ 3.65 kWh/L เทคโนโลยีขยายระยะทางพิเศษจะปรับสมดุลพลังงานไฟฟ้าแบบ NVM ที่ปรับให้เหมาะสม เพื่อการขับขี่ในเมืองที่ราบรื่นและเงียบสงบ พร้อมกับการเติมเชื้อเพลิงระยะไกล นอกจากนี้ยังปรับกลยุทธ์การสร้างพลังงานตามพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการผสมผสานที่เหมาะสมระหว่างความสะดวกสบายและความประหยัดอีกด้วย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54135079/en

ข้อมูลติดต่อ

Joanna Gong
gongqiong@dsconsulting.com

ที่มา: AITO




จากพื้นโรงงานถึงงานแสดงรถ: ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” เดินทางถึงปารีส

Logo

AITO ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์จากประเทศจีน นำความหรูหราแบบดั้งเดิมมาผสมผสานเข้ากับความหรูหราทางเทคโนโลยีเพื่อมอบประสบการณ์ในการเดินทางแบบอัจฉริยะแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ซึ่งประกอบด้วย AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ได้เดินทางเป็นเวลา 38 วันซึ่งกินระยะทางถึง 15,000 กิโลเมตรจากเมืองฉงชิ่งสู่ปารีสเพื่อแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของรถที่มีทั้งความยอดเยี่ยมและเชื่อถือได้ โดย AITO ได้แสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายใต้ธีม “ความอัจฉริยะที่นิยามถึงความหรูหรา” ซึ่งประกอบด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเทคโนโลยี Super Range-extender ในงาน Paris Motor Show ปี 2024

ปารีส–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

จากพื้นโรงงานถึงงานแสดงรถ ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับAITO” ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์รุ่น AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ได้เดินทางข้ามจากเอเชียถึงยุโรปเป็นระยะทางถึง 15,000 กิโลเมตรใน 38 วัน ผ่าน 12 ประเทศก่อนที่จะเข้าสู่ปารีสเพื่อร่วมงาน Paris Motor Show ครั้งที่ 90

Press Conference (Photo: Business Wire)

งานแถลงข่าว (ภาพ: Business Wire)

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา AITO ได้แสดงไลน์อัปผลิตภัณฑ์ชั้นนำของอุตสาหกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายใต้ธีม “ความอัจฉริยะที่นิยามถึงความหรูหรา” แก่ผู้ชมทั่วโลก โดยมี AITO 9 คันพิเศษหนึ่งเดียวซึ่งเป็นสมาชิกหลักของขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ร่วมแสดงในงานด้วย การเดินทางอันยาวนานจากเมืองฉงชิ่งสู่ปารีสของรถแบรนด์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของรถยนต์ AITO รุ่นต่างๆ ในสภาพถนนที่มีความซับซ้อนและในสภาพแวดล้อมสุดหฤโหด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภูมิภาคที่มีโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จไฟที่จำกัด แน่นอนว่าการรักษาแหล่งพลังที่เชื่อถือได้เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุดสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ในระหว่างทริป “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ที่กินเวลานานนี้ แต่เทคโนโลยี Range-extender ของ AITO ก็สามารถเอาชนะข้อจำกัดในการชาร์จไฟไปพร้อมๆ กับมอบประสบการณ์ในการขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยเทคโนโลยีนี้แก้ปัญหาความกังวลเรื่องระยะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้สามารถขับขี่ได้ไกลเป็นพิเศษ คุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุม อาทิเช่น โครงสร้างตัวถังที่แข็งแรง ฉนวนแบตเตอรี่ 5 ชั้น และฟังก์ชันความปลอดภัยเชิงรุกถึง 20 ฟังก์ชัน ช่วยให้ตลอดการเดินทางในครั้งนี้มีความปลอดภัยบนท้องถนนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

เทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะของ AITO ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลดภาระและความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่เมื่อต้องเดินทางไกล โดยเข้ามาช่วยจัดการการขับขี่ถึง 8,800 กิโลเมตรจากระยะทางทั้งหมด 15,000 กิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้น ระบบจอดอัจฉริยะของ AITO ยังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่หลากหลาย โดยมีโหมดจอดรถหลากหลายโหมดให้เลือกใช้ ซึ่งสามารถขับผ่านพื้นที่จอดรถแคบๆ ได้สบาย และด้วยโหมดช่วยจอดรถระยะไกล ผู้ขับขี่สามารถเลือกจุดจอดแล้วปล่อยให้รถเข้าจอดเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งฟีเจอร์นี้เป็นฟีเจอร์ที่ผู้คนในท้องถิ่นให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องตลอดการเดินทาง

ประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์จาก AITO ล้วนมีรากฐานมาจากแพลตฟอร์ม AITO MF ที่มีความสามารถรอบด้านและได้รับการพัฒนาอยู่เสมอ ซึ่งมอบคุณสมบัติหลักๆ 4 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบส่งกำลังที่มีความหลากหลาย พื้นที่ห้องโดยสารที่ปรับเปลี่ยนได้ และระบบอัจฉริยะชั้นนำ แพลตฟอร์มนี้รองรับตัวเลือกด้านพลังงานหลายแบบ ได้แก่ ระบบไฟฟ้า Super Range-extended, ระบบไฟฟ้าแบตเตอรี่ และอัลตร้าไฮบริด อีกทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มเดียวในอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ร่วมกับระบบพลังงานใหม่ทั้ง 3 แบบ จึงให้ประสบการณ์ในการขับขี่ที่ “ขับสนุก สะดวกสบาย และปลอดภัย” แก่ผู้บริโภค

เทคโนโลยี Super Range-extender ที่ได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์ม AITO MF ให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นถึง 45% และมีอัตราการแปลงเชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้าอยู่ที่ 3.65 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ลิตร เทคโนโลยีนี้ปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ขับขี่ได้ทุกประเภท ซึ่งจะให้พลังงานไฟฟ้าสำหรับการขับขี่ในเมือง และสามารถเติมเชื้อเพลิงสำหรับการเดินทางข้ามเมืองได้สะดวก การมอบ “สมรรถนะเท่ากันโดยใช้เชื้อเพลิงเพียงครึ่งเดียว” ให้พลังงานเทียบเท่ากับเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบ 3.0T ดั้งเดิม ประสบการณ์ในการขับขี่จะไม่ต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ซึ่งมาพร้อมกับห้องโดยสารที่เงียบ การเร่งความเร็วที่ราบรื่น และการบังคับรถที่ตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานภายนอกระหว่างตั้งแคมป์กลางแจ้งได้อีกด้วย เทคโนโลยีนี้ยังปรับแต่งการสร้างพลังงานตามพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ โดยจะปรับ NVH (เสียงรบกวน การสั่นสะเทือน และความกระด้าง) และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงให้เหมาะสม เพื่อการเดินทางที่นุ่มนวลและประหยัดค่าใช้จ่าย

คุณภาพที่โดดเด่นของรถยนต์จาก AITO เกิดขึ้นจากการผลิตอัจฉริยะขั้นสูง AITO ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นกรรมสิทธิ์หลัก โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการเชื่อมต่ออุปกรณ์การผลิตกับข้อมูล ด้วยหุ่นยนต์มากกว่า 3,000 ตัวและกระบวนการสำคัญที่ใช้ระบบอัตโนมัติ 100% ช่วยให้โรงงานที่ล้ำสมัยมีการผลิตที่มีประสิทธิภาพในระดับแถวหน้าของอุตสาหกรรม โดยรองรับการผลิตที่ยืดหยุ่น โปร่งใส เป็นแบบอัตโนมัติ เชื่อมโยงถึงกัน และเป็นระบบอัจฉริยะ ในฐานะบริษัทแรกที่นำเครื่องจักรหล่อฉีดไดแคสต์ระดับ 10,000 ตันมาใช้ในการผลิต AITO รับประกันว่าการผลิตมีประสิทธิภาพ มีน้ำหนักเบา และปลอดภัย ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพและผลผลิตของผลิตภัณฑ์

ในฐานะแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์จากจีน AITO เป็นผู้บุกเบิกแนวหน้าด้านรถยนต์พลังงานใหม่อัจฉริยะ ซึ่งมาพร้อมกับแนวคิดด้านความหรูหราแบบใหม่ที่ผสมผสาน “ความหรูหราแบบดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” เพื่อมอบประสบการณ์ในการเดินทางแบบอัจฉริยะชั้นนำแก่ผู้บริโภคทั่วโลก

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54135078/en

ข้อมูลติดต่อ

Joanna Gong
gongqiong@dsconsulting.com

ที่มา: AITO





รถแข่ง “MAZDA SPIRIT RACING ROADSTER CNF Concept” ใช้น้ำมันเครื่อง “IDEMITSU IFG Plantech Racing” ลงแข่ง “SUZUKA S Endurance Race” และเข้าถึงเส้นชัยได้สำเร็จ

Logo

“IDEMITSU IFG Plantech Racing” คือน้ำมันเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมสมรรถนะในการแข่งขันและผ่านการรับรองมาตรฐานจาก API โดยใช้วัตถุดิบจากพืช

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–16 ตุลาคม 2024

น้ำมันเครื่องรุ่นใหม่ “IDEMITSU IFG Plantech Racing” ที่พัฒนาโดย Idemitsu Kosan Co., Ltd. (สำนักงานใหญ่: เขตชิโยดะ โตเกียว; ผู้อำนวยการฝ่ายตัวแทน, ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร: คุณ Shunichi Kito; หลังจากนี้จะเรียกว่า “Idemitsu”) ได้ถูกนำมาใช้กับรถแข่ง “MAZDA SPIRIT RACING ROADSTER CNF Concept” เพื่อเข้าร่วมใน ST-Q Class*1 ของการแข่งขัน SUZUKA Super Taikyu (จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-29 กันยายน) โดย IDEMITSU IFG Plantech Racing ได้ถูกนำมาใช้เป็นน้ำมันที่มีสมรรถนะในการแข่งขันและมีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) สำหรับใช้กับรถแข่ง และรถคันนี้เข้าถึงเส้นชัยในการแข่งประเภทเอนดูรานซ์เป็นเวลา 5 ชั่วโมงโดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ความสำเร็จครั้งนี้นับเป็นเครื่องยืนยันว่าน้ำมันดังกล่าวมีสมรรถนะที่พร้อมสำหรับการแข่งขัน
น้ำมันเครื่องนี้เป็นน้ำมันเครื่องแรก*3 ของโลกสำหรับรถ 4 ล้อที่ใช้วัตถุดิบจากพืช*2 (80% ขึ้นไป) เป็นน้ำมันพื้นฐาน รวมถึงมีสมรรถนะในการแข่งขันและการรับรองตามมาตรฐาน API SP

“IDEMITSU IFG Plantech Racing” used in the MAZDA Roadster (Photo: Business Wire)

“IDEMITSU IFG Plantech Racing” ถูกนำมาใช้ใน MAZDA Roadster (รูปภาพ: Business Wire)

ในการแข่งขัน “Super Taikyu Series” แบบระยะไกลสุดทรหด จำเป็นต้องใช้น้ำมันเครื่องที่ช่วยยกระดับสมรรถนะเครื่องยนต์ให้ถึงขีดสุดได้แบบต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงความทนทานและมีการระเหยต่ำภายใต้สภาวะการขับขี่ที่หนักหน่วง และมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพ เช่น การเร่งเครื่องและการปกป้องเครื่องยนต์
“IDEMITSU IFG Plantech Racing” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ จาก Idemitsu อย่างเต็มที่เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม Idemitsu ใช้เทคโนโลยีการผสมสูตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนอย่าง “เทคโนโลยีโมลิบดีนัม x เอสเทอร์จากพืช”*4 ในการผสมน้ำมันพื้นฐานจากพืชอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้สมรรถนะที่ตรงตามความต้องการในการแข่งขันครั้งนี้

Mazda Motor Corporation (สำนักงานใหญ่: เขตอากิ ฮิโรชิม่า; ผู้อำนวยการฝ่ายตัวแทน ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร: คุณ Masahiro Moro; หลังจากนี้จะเรียกว่า “Mazda”) ที่นำน้ำมันเครื่อง IDEMITSU IFG Plantech Racing มาใช้ ไม่เพียงแต่ตั้งเป้าที่จะทำให้เชื้อเพลิงมีความเป็นการทางคาร์บอน แต่ยังตั้งเป้าหมายสู่การมีคาร์บอนติดลบ (Carbon negativity) อีกด้วย โดยใช้เทคโนโลยีการดักจับ CO₂ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ทั้งนี้ หลักปรัชญาในการทำงานของ Mazda ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่อิงตามหลักแนวคิดในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนนั้นสอดคล้องกับแนวคิดของ IDEMITSU IFG Plantech Racing และเมื่อได้เห็นกำลังเครื่องยนต์สมรรถนะสูงและความน่าเชื่อถือจากการทดสอบด้วย MAZDA SPIRIT RACING ก็ส่งผลให้บริษัทตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์นี้

น้ำมันเครื่องระดับแนวหน้านี้ต่อยอดมาจาก “ซีรีส์ IDEMITSU IFG/IRG” ซึ่งมีวางจำหน่ายใน 13 ประเทศหลัก ๆ ที่มีสำนักงานขายสารหล่อลื่นของ Idemitsu ตั้งอยู่ และมีกำหนดการเปิดตัวในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน 2024

Idemitsu ก่อตั้งขึ้นในปี 1911 และมุ่งเน้นคิดค้นสูตรสารหล่อลื่นแบบเฉพาะตัวที่แม่นยำและพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีมาโดยตลอด Idemitsu จะยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ไม่มีใครทำได้และตอบโจทย์บรรดาผู้ที่ชื่นชอบการขับรถเป็นชีวิตจิตใจ โดยใช้ความสามารถด้านเทคโนโลยีตามแบบฉบับเฉพาะตัวของ Idemitsu

*1

“ENEOS Super Taikyu Series 2024 Empowered by BRIDGESTONE Round 5 SUZUKA S-Tai” คลาส ST-Q

*2

น้ำมันพื้นฐานที่ใช้ใน IDEMITSU IFG Plantech Racing ผลิตขึ้นเป็นพิเศษจากวัตถุดิบจากพืชที่ปลูกทดแทนได้แบบ 100% การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้รับการดูดซับในระหว่างการปลูกวัตถุดิบนั้นมากกว่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตน้ำมันพื้นฐาน ทำให้คาร์บอนติดลบเกิดขึ้นได้จริง

*3

แบบสำรวจตลาดเกี่ยวกับ “น้ำมันเครื่อง” ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 จนถึงกุมภาพันธ์ 2024; น้ำมันเครื่องแรกของโลกสำหรับรถ 4 ล้อ ที่มาพร้อมองค์ประกอบสามอย่าง ได้แก่ การรับรองตามมาตรฐาน API, น้ำมันจากพืช และสมรรถนะในการแข่งขัน
แบบสำรวจโดย Trending Future Research Institute inc. หากต้องการทราบรายละเอียด โปรดดูเอกสารที่เผยแพร่ด้านล่าง
การพัฒนา “IDEMITSU IFG Plantech Racing” น้ำมันเครื่องที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน API แรกของโลกพร้อมสมรรถนะในการแข่งขัน ผลิตจากวัตถุดิบจากพืชมากกว่า 80% (7 สิงหาคม 2024) 

*4

เทคโนโลยีการผสมสูตรแบบเฉพาะตัวของ Idemitsu จะผสมโมลิบดีนัม (ซึ่งลดการเสียกำลังเครื่องยนต์และสมรรถนะเนื่องจากความต้านทานแรงเสียดทาน) เข้ากับเอสเทอร์จากพืชที่มีความหนืดสูง (ซึ่งจะทำให้ฟิล์มน้ำมันหนาขึ้น และเพิ่มสมรรถนะในการปกป้องเครื่องยนต์) ในน้ำมันพื้นฐานจากพืชที่ผสมยาก 

เกี่ยวกับ “ซีรีส์ IDEMITSU IFG/IRG”
“ซีรีส์ IDEMITSU IFG/IRG” คือ ซีรีส์น้ำมันเครื่องที่มาพร้อมการผสมแบบเฉพาะตัวตามสูตรที่แม่นยำและเหมาะสม เพื่อยกระดับสมรรถนะเครื่องยนต์ให้ถึงขีดสุด หากต้องการทราบรายละเอียด โปรดดูเว็บไซต์อย่างเป็นทางการด้านล่าง
https://www.idemitsu-nano-tailored-oil.com/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/54136139/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อในกรณีที่มีคำถามในเรื่องนี้
ข้อมูลติดต่อในกรณีที่มีคำถามเกี่ยวกับ IDEMITSU IFG Plantech Racing
idemitsu-plantech-racing@idemitsu.com

สำหรับคำถามจากสื่อ โปรดติดต่อ
แผนกประชาสัมพันธ์ ส่วนประชาสัมพันธ์ Idemitsu Kosan Co., Ltd.
https://www.idemitsu.com/jp/contact/newsrelease_flow/index.html

แหล่งที่มา: Idemitsu Kosan Co., Ltd.

.



The Bangkok Reporter