ระบบตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสอย่างต่อเนื่องรุ่น Dexcom G6 เปิดตัวแล้วที่สิงคโปร์

Logo

ระบบ CGM รูปแบบใหม่อันทันสมัยจะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานไม่ต้องคอยเจาะปลายนิ้วอีกต่อไป

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–28 กุมภาพันธ์ 2023

ในวันนี้ Dexcom, Inc. (NASDAQ:DXCM) ซึ่งเป็นผู้นำระดับสากลด้านระบบตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสอย่างต่อเนื่อง (CGM) แบบเรียลไทม์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ได้ประกาศเปิดตัวระบบ CGM รุ่น Dexcom G6 ในสิงคโปร์สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไปรวมถึงผู้ตั้งครรภ์ ทั้งยังประกาศแต่งตั้งให้ DKSH Singapore Pte Ltd เป็นผู้ให้บริการด้านการขาย การตลาด และการจัดจำหน่ายอีกด้วย

ระบบ Dexcom G6 นี้จะใช้เซนเซอร์ขนาดเล็กแบบสวมพกพาและตัวส่งสัญญาณเพื่อคอยวัดและส่งระดับน้ำตาลกลูโคสแบบไร้สายไปยังตัวรับสัญญาณหรืออุปกรณ์อัจฉริยะที่ใช้คู่กันได้ ผู้ป่วยจึงเห็นข้อมูลระดับน้ำตาลกลูโคสได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องเจาะปลายนิ้ว ระบบนี้ยังมาพร้อมการแจ้งเตือนและสัญญาณเตือนที่ปรับแต่งได้ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงจนอยู่ในขีดอันตราย

คุณ Scott Moss ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธาน Dexcom ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า "การเปิดตัว Dexcom G6 ในสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของบริษัทเรา" ก่อนกล่าวต่อไปว่า "การเปิดตัวครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ Dexcom CGM ให้บริการแก่ผู้คนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจากการที่เราได้เปิดสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคในสิงคโปร์ไปเมื่อไม่นานมานี้ เราหวังว่าจะนำ Dexcom CGM เข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ในภูมิภาคนี้ในอนาคตอันใกล้"

แอป Dexcom G6 สำหรับอุปกรณ์ iOS และ Android ที่เข้ากันได้ยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถแชร์ข้อมูลน้ำตาลกลูโคสกับผู้ติดตามได้สูงสุด 10 ราย ซึ่งช่วยให้ครอบครัว บุคคลอันเป็นที่รัก และผู้ให้บริการดูแลด้านสุขภาพสามารถติดตามผู้ป่วยจากระยะไกลเพื่อให้อุ่นใจได้มากยิ่งขึ้น

ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Dexcom G6 ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสุขภาพของตัวเองได้:

  • ช่วยให้ไม่ต้องเจาะนิ้วเพื่อปรับเทียบและตัดสินใจดำเนินการรักษาโรคเบาหวาน
  • ส่งค่าน้ำตาลกลูโคสที่อ่านได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้เทคโนโลยี Bluetooth ไปยังอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ที่เข้ากันได้ * หรือไปยังตัวรับสัญญาณของ Dexcom โดยเว้นระยะ 5 นาที
  • การแจ้งเตือนและสัญญาณเตือนที่ปรับแต่งได้ ซึ่งรวมถึงการแจ้งเตือน Urgent Low Soon (จะถึงระดับต่ำฉุกเฉินในอีกไม่ช้า) ซึ่งสามารถเตือนผู้ใช้ล่วงหน้าได้ถึง 20 นาทีก่อนจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemic) ระดับฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดำเนินการป้องกันได้
  • การแชร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์กับแอป Dexcom G6 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ข้อมูลน้ำตาลกลูโคสของตนกับผู้ติดตามได้สูงสุดสิบคน ในการคอยติดตามระดับน้ำตาลกลูโคสของผู้ใช้เพื่อให้อุ่นใจได้มากยิ่งขึ้น
  • เซนเซอร์ที่อยู่ได้ 10 วัน ช่วยให้รองรับการสวมใส่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น
  • เครื่องส่งสัญญาณขนาดเล็ก กะทัดรัดยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้สวมใส่ได้โดยไม่ดูโดดเด่นนัก
  • ตัวติดเซนเซอร์อัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ติดเซนเซอร์ได้ง่ายเพียงแค่กดปุ่ม
  • ตัวรับสัญญาณที่ออกแบบขึ้นมาใหม่พร้อมหน้าจอแสดงผลระบบสัมผัส (จะใช้อุปกรณ์ตัวรับสัญญาณ/แสดงผลหรือไม่ก็ได้)
  • เมมเบรนเซนเซอร์รูปแบบใหม่ที่ช่วยให้ใช้ยาอะเซตามีโนเฟนได้โดยไม่ส่งผลต่อค่าน้ำตาลกลูโคสที่อ่านได้แต่อย่างใด §

ระบบ CGN รุ่น Dexcom G6 จะเชื่อมต่อกับแอป Dexcom G6 ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดได้จาก App Store ของ Apple หรือ Google Play store เพื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อัจฉริยะของ Apple หรือ Android ที่เข้ากันได้ หรือผู้ป่วยจะดูค่าน้ำตาลกลูโคสที่อ่านได้บนตัวรับสัญญาณที่มีหน้าจอสัมผัส Dexcom G6 (ติดตั้งหรือไม่ก็ได้) ซึ่งมีให้เลือกซื้อแยกต่างหากก็ได้

CGM รุ่น Dexcom G6 ได้รับการอนุมัติจาก HSA ของสิงคโปร์เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว และชาวสิงคโปร์สามารถใช้งานได้แล้วในเดือนนี้ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Dexcom G6 ที่ www.dexcom.com/sg

เกี่ยวกับ Dexcom, Inc.

DexCom, Inc. ช่วยให้ผู้คนสามารถควบคุมสุขภาพของตัวเองได้แบบเรียลไทม์ผ่านระบบตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสอย่างต่อเนื่อง (CGM) อันทันสมัย บริษัท Dexcom ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการรักษาโรคเบาหวาน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองแซนดีเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย และดำเนินงานอยู่ทั่วยุโรปรวมถึงเอเชีย/โอเชียเนียบางส่วน การรับฟังความต้องการของผู้ใช้ ผู้ดูแล และผู้ให้บริการช่วยให้ Dexcom สามารถลดความซับซ้อนและปรับปรุงการจัดการโรคเบาหวานทั่วโลกให้ดีขึ้นได้ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Dexcom ที่ https://www.dexcom.com/en-us/about-dexcom

_________________________

*โปรดดูรายการอุปกรณ์ที่เข้ากันได้ที่ www.dexcom.com/compatibility

หากการแจ้งเตือนเกี่ยวกับน้ำตาลกลูโคสและค่าที่อ่านได้จาก G6 ไม่สอดคล้องกับอาการหรือที่คาดไว้ ให้ใช้เครื่องตรวจน้ำตาลกลูโคสในเลือดเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาโรคเบาหวาน

จำเป็นต้องมีแอป Follow แยกต่างหาก

§ค่าที่อ่านได้จาก G6 สามารถใช้เพื่อตัดสินใจด้านการรักษาโรคเบาหวานได้ เมื่อใช้ยาอะเซตามีโนเฟนไม่เกิน 1,000 มก. ทุก 6 ชั่วโมง การใช้ยาในปริมาณมากกว่านี้อาจส่งผลต่อค่าที่อ่านได้จาก G6

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

บุคคลติดต่อ

บุคคลติดต่อสำหรับสื่อ:
Patrick Ho: Sr. Manager, New Business Development
Patrick.ho@dexcom.com

James McIntosh: Director, Global Public Relations
James.mcintosh@dexcom.com

แหล่งที่มา: Dexcom, Inc.

WilsonHCG ผู้นำความสามารถระดับโลกเข้าซื้อกิจการPersonify เพื่อขยายโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพและชีววิทยาศาสตร์

Logo

TAMPA, Fla.–(BUSINESS WIRE)–11 มกราคม 2023

WilsonHCG ผู้นำความสามารถระดับโลกได้ประกาศการเข้าซื้อกิจการของ Personify ผู้ให้บริการเอาต์ซอร์สในกระบวนการสรรหาบุคลากร (RPO) ที่ได้รับรางวัล Personify เชี่ยวชาญในด้านชีววิทยาศาสตร์ การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ และเภสัชกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนทักษะที่สำคัญ

Personify ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดหลัก ให้บริการด้านการค้นหาผู้บริหารและการตลาดด้านการสรรหาบุคลากรควบคู่ไปกับโซลูชัน RPO มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองราลี รัฐนอร์ทแคโรไลนา องค์กรแห่งนี้นำเสนอโซลูชันความสามารถที่ยืดหยุ่นแก่ลูกค้าทั่วโลก

"Personify เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการ RPO ด้านการดูแลสุขภาพและชีววิทยาศาสตร์รายใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นการขยายตัวนี้จึงช่วยให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็ตอกย้ำตำแหน่งของเราในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถ" กล่าวโดย John Wilson CEO ของ WilsonHCG "ความร่วมมือนี้ทำให้องค์กรทั้งสองแห่งที่ขับเคลื่อนด้วยพันธกิจมีความสอดคล้องกันและมีความต้องการที่เกินความคาดหวังของลูกค้า Personify เป็นบริษัทที่ใส่ใจพนักงานและลูกค้ามากพอ ๆ กับที่เราสนใจ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จึงน่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เราจะร่วมกันสร้างมาตรฐานใหม่ด้วยการให้พื้นที่กับผู้มีความสามารถ"

Ryan Carfley ประธานและ CEO ของ Personify กล่าวเสริมว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ WilsonHCG ผมรู้จัก John มาหลายปีและชื่นชม WilsonHCG ที่เป็นผู้บุกเบิกความสำเร็จในอุตสาหกรรม RPO การทำงานร่วมกันระหว่างวัฒนธรรมของเราทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นกับผลกระทบที่จะมีต่อลูกค้าและอุตสาหกรรมของเรา ความร่วมมือดังกล่าวช่วยให้เราเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น และเราจะกลายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันระดับโลกสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ ชีววิทยาศาสตร์ และอื่น ๆ"

WilsonHCG เข้าซื้อกิจการได้สำเร็จถึงสองครั้งในปี 2022 ในเดือนตุลาคม บริษัทได้ซื้อกิจการ Tracking Talent ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันผู้มีความสามารถในแอฟริกาใต้ และในเดือนมีนาคม บริษัทได้เข้าซื้อ Claro Analytics ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มข่าวกรองตลาดแรงงานชั้นนำ

เกี่ยวกับ WilsonHCG

WilsonHCG เป็นผู้นำระดับโลกที่ได้รับรางวัลในด้านโซลูชันผู้มีความสามารถทั้งหมด การดำเนินงานในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ช่วยให้แบรนด์ที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลกสร้างฟังก์ชันความสามารถที่ครอบคลุม ด้วยการดำเนินงานทั่วโลกครอบคลุมมากกว่า 65 ประเทศและ 6 ทวีป WilsonHCG ให้บริการที่ปรับแต่งได้เต็มรูปแบบ ซึ่งรวมถึงการให้บริการเอาต์ซอร์สในกระบวนการสรรหาบุคลากร (RPO) การค้นหาผู้บริหาร ผู้มีสามารถพิเศษ และการให้คำปรึกษาด้านความสามารถ

TALENT. ™ เป็นมากกว่าวิธีแก้ปัญหา แต่คือตัวตนของเรา

https://www.wilsonhcg.com/

เกี่ยวกับ Personify

Personify (www.personifysearch.com) เป็นบริษัทเอาต์ซอร์สด้านกระบวนการสรรหาบุคลากรที่ได้รับรางวัลและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก แนวทางการรับสมัครหลายช่องทางของบริษัทผสมผสานความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเข้ากับการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อนำเสนอโซลูชันการสรรหาผู้มีความสามารถแห่งอนาคต Personify เปลี่ยนแนวทางการจัดหาผู้มีความสามารถแบบดั้งเดิมและเปลี่ยนเชิงรับให้เป็นระบบเชิงรุกที่ก้าวหน้าซึ่งจัดหาผู้มีความสามารถตามความต้องการ โซลูชัน RPO ที่ไม่ซ้ำใครของ Personify ปรับขนาดตามความต้องการจ้างงานของลูกค้า โดยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถจำกัด และประหยัดงบเมื่อเทียบกับหน่วยงานบุคคลที่สาม

ติดต่อ

Kirsty Hewitt
+44 7889901517
813-418-4479
kirsty.hewitt@wilsonhcg.com

แหล่งที่มา: WilsonHCG

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Medidata เปิดตัวแอพ myMedidata ตัวใหม่ของตัวเอง เพื่อย่นเวลาในการทำวิจัยในระยะเริ่มต้นและพัฒนาประสบการณ์ของผู้ป่วย

Logo

ออกแบบโดยการนำเสียงสะท้อนจากลูกค้าและผู้ป่วยมาปรับใช้เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับกิจกรรม eCOA และกิจกรรมการศึกษาทดลองเชิงคลินิกแบบกระจายจากศูนย์กลาง (DCTs) อื่นๆ

  • ด้วยพลังจาก Medidata Designer ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยสร้างตัวใหม่ ทำให้แอพ myMedidata สามารถย่นระยะเวลาในการศึกษาวิจัยในระยะเริ่มต้นได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
  • ผสานการทำงานอย่างเต็มรูปแบบร่วมกับแพลตฟอร์มของ Medidata ซึ่งรวมถึง Rave EDC
  • ผู้ป่วยสามารถใช้บัญชี myMedidata ของตนเองสลับไปมาระหว่างกันในแอพ บนเว็บไซต์ได้ หรือสามารถนำบัญชีมาใช้ร่วมกับอุปกรณ์ของตนเองหรืออุปกรณ์ที่จัดหาไว้ให้ชั่วคราว ทำให้ผู้ป่วยมีทางเลือกและการเข้าถึงที่มากขึ้น
  • โซลูชัน DCT แบบเบ็ดเสร็จหนึ่งเดียวของวงการได้รับการสนับสนุนจากทีมผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับความไว้วางใจของ Medidata รวมถึงข้อมูลจากการเก็บตัวอย่าง และเป็นไปตามมาตรฐานความเป็นส่วนตัว

นิวยอร์ก –(BUSINESS WIRE)–6 ธันวาคม 2022

Medidata ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Dassault Systèmes ได้เปิดตัวแอพใหม่ของทางบริษัท ชื่อว่า myMedidata app ที่มุ่งเน้นไปที่ตัวผู้ป่วยเป็นสำคัญ โดยมีการออกแบบให้ผู้เข้าร่วมงานวิจัยมีทางเลือกเพิ่มเติมเพื่อประสบการณ์ในการใช้แพลตฟอร์มแบบไร้ขีดจำกัด และเข้าถึงได้ด้วยการล็อกอินเพียงครั้งเดียวสำหรับการเข้าร่วมการทดสอบทางไกลของผู้เข้าร่วมงานวิจัยทุกคน แอพจะชูจุดเด่นโซลูชันที่มุ่งเน้นไปที่ตัวผู้ป่วยเป็นสำคัญของ myMedidata ทั้งหมด โดยให้ความสนใจเริ่มต้นที่ eCOA (การประเมินผลลัพธ์เชิงคลินิกทางอิเล็กทรอนิกส์) แอพ myMedidata พร้อมให้บริการใน iOS และ Android รวมถึงสามารถใช้ได้ทั้งในอุปกรณ์ของผู้ป่วยเอง (BYOD) หรือผ่านอุปกรณ์ที่จัดหาไว้ให้ชั่วคราว

“สิ่งที่เราใส่เข้าไปในแอพ myMedidata ล่าสุดทำให้แอพดังกล่าวกลายเป็นแอพที่มีความทันสมัยสำหรับผู้ป่วย โดยมีการออกแบบร่วมกันกับทีมจัดเก็บข้อมูลเชิงลึกของผู้ป่วยของเรา รวมถึงการนำเอาผลตอบรับจากผู้บริโภค และประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษาทดลองเชิงคลินิกแบบกระจายจากศูนย์กลาง (DCTs) ที่ใหญ่ที่สุดของโลกมาปรับใช้ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา” Matt Noble รองประธานอาวุโสของ Medidata Patient Cloud กล่าว “Medidata กำลังนำความรู้เชิงลึกที่ได้จากสปอนเซอร์ ผู้รับวิจัยทางคลินิก (CRO) รวมถึงการเก็บข้อมูลในพื้นที่จริง และข้อมูลจากผู้ป่วย มาใช้เพื่อสร้างความแตกต่างที่แท้จริงในด้านประสบการณ์การทดลองเชิงคลินิก”

แอพ myMedidata ซึ่งเป็นแอพที่ไม่เหมือนใครในวงการ ได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแพลตฟอร์ม Medidata รวมถึงการทำงานร่วมกับ Rave EDC (การจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) ทำให้เกิดเป็นอีโคซิสเต็มที่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างสมบูรณ์ โดยข้อมูลของผู้ป่วย กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดในพื้นที่จริง และการบริการจัดการข้อมูลหลังบ้าน จะสามารถดำเนินไปพร้อม ๆ กันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แอพดังกล่าวได้รับการออกแบบโดยใช้ Medidata Designer ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการติดตั้งแพลตฟอร์มตัวใหม่ ทำให้แอป myMedidata ได้ตัวสร้างเวิร์กโฟลว์ที่มุ่งเน้นไปที่ตัวผู้ป่วยเป็นสำคัญโดยเน้นใช้ในหน้าจอมือถือก่อน ซึ่งจากการใช้ Designer  ทำให้สปอนเซอร์และผู้รับวิจัยทางคลินิก (CRO) สามารถสร้างประสบการณ์ของผู้ป่วยที่หลากหลายผ่านเทมเพลตหน้าจอแบบลากแล้ววางที่ใช้งานง่าย รวมถึงผ่านเครื่องมือเวิร์กโฟลว์ภาพ ซึ่งจะสร้างฐานข้อมูลทางคลินิกในเบื้องหลังไปพร้อมกันโดยไม่ต้องใช้รหัสแบบกำหนดเองใดๆ นอกจากนี้ Designer ยังช่วยย่นระยะเวลาในการศึกษาวิจัยได้อย่างมาก โดยการใช้ประโยชน์จาก Medidata และฐานข้อมูลของลูกค้า ซึ่งรวมไปถึงอุปกรณ์ eCOA ที่สร้างไว้ก่อนล่วงหน้า การแปลข้อมูล และการคัดกรองข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวิจัย

Medidata เป็นบริษัทในเครือของ Dassault Systèmes โดยเป็นบริษัทลูกที่บริษัทแม่ลงทุนด้วยตนเองทั้งหมด ด้วยแพลตฟอร์ม  3DEXPERIENCE ที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้นำในการปฏิรูปทางดิจิทัลในด้านชีววิทยาศาสตร์ในยุคของการแพทย์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยในระดับปัจเจกบุคคล พร้อมด้วยแพลตฟอร์มทางด้านวิทยาศาสตร์และธุรกิจที่ครบครันแพลตฟอร์มแรก ตั้งแต่การวิจัยไปจนถึงการบริหารจัดการทางธุรกิจ

เกี่ยวกับ Medidata            
Medidata กำลังเป็นผู้นำในการปฏิรูปทางดิจิทัลในด้านชีววิทยาศาสตร์ สร้างความหวังให้กับผู้ป่วยหลายล้านคน Medidata ช่วยสร้างหลักฐานและความรู้เชิงลึกเพื่อช่วยบริษัทที่ทำธุรกิจด้านยา เทคโนโลยีชีวภาพ อุปกรณ์การแพทย์และการวินิจฉัย ตลอดจนนักวิจัยทางวิชาการเพิ่มมูลค่า ผู้บริโภคมากกว่า 2,000 คน และหุ้นส่วนทางธุรกิจสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในโลกเพื่อการพัฒนาทางคลินิก รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลทางการค้าและข้อมูลในโลกแห่งความเป็นจริง Medidata ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Dassault Systèmes (Euronext Paris: FR0014003TT8, DSY.PA) มีสำนักงานใหญ่อยู่ในมหานครนิวยอร์ก และมีสำนักงานกระจายอยู่ทั่วโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medidata.com และติดตามเราได้ทาง @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes ซึ่งเป็นบริษัท 3DEXPERIENCE คือผู้ที่คอยขับเคลื่อนให้มนุษยชาติก้าวไปข้างหน้า เราได้นำเสนอเทคโนโลยีเสมือนจริงสามมิติให้กับวงการธุรกิจและประชาชนทั่วไปเพื่อให้ทุกคนสามารถมองเห็นถึงนวัตกรรมที่ยั่งยืน จากการสร้างสรรค์ประสบการณ์โลกเสมือนจริงแบบคู่ขนานไปกับโลกแห่งความเป็นจริงด้วยแพลตฟอร์มและแอพพลิเคชัน 3DEXPERIENCE ทำให้ลูกค้าของเราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดในการสรรสร้างนวัตกรรม การเรียนรู้ และการผลิต เพื่อโลกที่มีความยั่งยืนขึ้นสำหรับผู้ป่วย ประชาชนทั่วไป และลูกค้า นอกจากนี้ Dassault Systèmes ได้สร้างสิ่งสำคัญอย่างยิ่งให้กับลูกค้าทุกขนาด ทุกวงการ นับ 300,000 ราย ในประเทศต่างๆ มากกว่า 140 ประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.3ds.com

3DEXPERIENCE, ไอคอน Compass, โลโก้ 3DS, CATIA, BIOVIA, GEOVIA, SOLIDWORKS, 3DVIA, ENOVIA, NETVIBES, MEDIDATA, CENTRIC PLM, 3DEXCITE, SIMULIA, DELMIA และ IFWE เป็นเครื่องหมายทางการค้าในเชิงพาณิชย์ หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Dassault Systèmes เป็น สัญชาติฝรั่งเศส “ในสหภาพยุโรป” (ทะเบียนการค้าแห่งแวร์ซาย # B 322 306 440) หรือเป็นของบริษัทในเครือในสหรัฐอเมริกา และ/หรือ ประเทศอื่น ๆ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Tom Paolella
ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการสื่อสารและกิจการองค์กร
+1-848-203-7596 
thomas.paolella@3ds.com

Paul Oestreicher
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารภายนอก
+1-917-522-4692 
paul.oestreicher@3ds.com

ที่มา: Medidata

ANANDA Scientific ประกาศการอนุมัติจาก FDA สำหรับคำขอ IND การทดลองทางคลินิกสำหรับการประเมินวิธีการรักษา Social Anxiety Disorder (SAD)

Logo

NEW YORK & GREENWOOD VILLAGE, Colo.–(BUSINESS WIRE)–30 พฤศจิกายน 2022 

ANANDA Scientific Inc. บริษัทชีวเวชภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการวิจัย ประกาศการอนุมัติจากสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับคำขออนุมัติ IND การทดลองทางคลินิกเพื่อการประเมินใช้ Nantheia™ A1002N5S ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการวิจัยโดยใช้แคนนาบิดิออล (CBD) ในเทคโนโลยีการสกัด Liquid Structure™ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ ANANDA โดยเป็นแนวโน้มการรักษาสำหรับโรคกลัวการเข้าสังคม (Social Anxiety Disorder) องค์กร National Center for Complimentary and Integrative Health (HCCIH ที่เป็นแผนกหนึ่งของ NIH) กำลังจัดหาเงินทุนสำหรับการทดลองนี้ ซึ่งจะมีการดำเนินการที่ NYU Grossman School of Medicine (ตัวบ่งชี้ Clinical Trials.gov: NCT05571592)

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: Business Wire)

ผู้ตรวจสอบหลักสำหรับการทดลองนี้คือ Naomi Simon, MD, MSc. ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์และผู้อำนวยการโครงการ Anxiety, Stress and Prolonged Grief Program ที่ NYU Grossman School of Medicine และ Esther Blessing, MD, PhD ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ที่ NYU Grossman School of Medicine การทดลองแบบสองทางโดยควบคุมเปรียบเทียบกับยาหลอก จะเป็นการศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง Nantheia™ A1002N5S และยาหลอกในช่วงระยะเวลาการรักษา 21 วัน โดยมีการวัดผลลัพธ์หลักคือ การเปลี่ยนแปลงใน Trier Social Stress Test (TSST) เพื่อตรวจสอบระดับความกังวลและผลกระทบต่อการสร้างภาพทางประสาท

“เรามีความยินดีในความก้าวหน้าในการศึกษาที่สำคัญนี้ สำหรับพัฒนาการวิธีการรักษาโรคกลัวการเข้าสังคม (Social Anxiety Disorder) แบบใหม่ ซึ่งเป็นอาการที่น่าวิตกกังวลและยังไม่สามารถรักษาได้ในปัจจุบัน” กล่าวโดย Dr. Simon

Dr. Blessing กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับความก้าวหน้าในการทดลองทางคลินิกที่ได้จากผลลัพธ์พรีคลินิกที่มีแนวโน้มในการใช้ CBD เพื่อรักษาโรควิตกกังวล”

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมมือกันกับ Dr. Simon และ Dr. Blessing อีกครั้งในการทดลองที่สำคัญนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตของผู้คนจำนวนมาก” กล่าวโดย Sohail R. Zaidi ซีอีโอของ ANANDA “เราคาดหวังที่จะได้เห็นความก้าวหน้าในการประยุกต์ใช้ยา Nantheia A1002N5S ที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษา พร้อมตัวบ่งชี้ข้อกำหนดทางการแพทย์ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างมีนัยสำคัญ”

เกี่ยวกับ ANANDA SCIENTIFIC

ANANDA เป็นบริษัทชั้นนำด้านชีวเวชภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการวิจัย โดยเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาทางคลินิกที่มีคุณภาพสูงเพื่อประเมินข้อบ่งชี้ในการรักษา เช่น PTSDRadiculopathic Pain, Anxiety และ Opioid Use Disorder (Mt. Sinai และ UCLA) บริษัทมีการใช้เทคโนโลยีการสกัดที่ได้รับการจดสิทธิบัตร (ได้รับอนุญาตจาก Lyotropic Delivery Systems (LDS) Ltd ในเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล) เพื่อสกัดสารแคนนาบินอยด์และสารประกอบที่ได้จากต้นในประโยชน์ทางชีวภาพ ละลายน้ำได้ และมีอายุการเก็บรักษาที่เสถียร รวมถึงมุ่งเน้นในการผลิตเภสัชภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่มีประสิทธิภาพสูง

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52981086/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ANANDA Scientific Media Relations | Christopher Moore | 813 326 4265 | media@anandascientific.com

แหล่งข้อมูล: ANANDA Scientific Inc.

Medidata เปิดตัว Rave Companion ซึ่งเป็นโซลูชันที่สามารถปรับขนาดได้โซลูชันแรกสำหรับการป้อนข้อมูล EHR เข้าไปยัง Rave EDC โดยอัตโนมัติ

Logo

Rave Companion มีการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ EDC ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น สามารถลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้นับพันสำหรับการทดลองทางคลินิกและระบบการจัดการข้อมูล 

  • Rave Companion จะช่วยเพิ่มคุณภาพข้อมูลและสามารถลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ โดยรับข้อมูลต้นทางจาก EHRs โดยตรงและส่งไปยัง Rave EDC โดยไม่ต้องมีการพิมพ์ ส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดที่น้อยลง
  • เป็นโซลูชันระหว่างระบบ EHR ของไซต์และโซลูชันข้อมูลด้านการดูแลสุขภาพอื่น ๆ กับ Rave EDC โดยนำบันทึกเวชระเบียนของผู้ป่วยเข้าสู่ Rave EDC โดยตรง

NEW YORK–(BUSINESS WIRE)–15 พฤศจิกายน 2022

Medidata บริษัทในเครือของ Dassault Systèmes ประกาศแผนที่จะเปิดตัว Rave Companion ซึ่งเป็นเทคโนโลยีนวัตกรรมสามารถปรับขนาดได้ และอยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร ที่จะช่วยให้การทดลองทางคลินิกสามารถประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาดในการถ่ายโอนข้อมูล EHR (บันทึกข้อมูลสุขภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์) ไปยังระบบ Rave EDC (การบันทึกข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์) Rave Companion จะสามารถรับมือกับความท้าทายในการป้อนข้อมูลซ้ำซ้อนสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีมาอย่างยาวนานได้ โดยมีการใช้งานข้อมูลทั้งแบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างจากบันทึกข้อมูลสุขภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง Rave EDC สามารถนำไปใช้ได้โดยตรงเพียงไม่กี่คลิก

“จำนวนจุดข้อมูลที่รวบรวมไว้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองทางคลินิกมีการเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณและสำหรับไซต์ต่าง ๆ ที่มองหาโซลูชันที่สามารถปรับขนาดได้ และใช้งานง่าย เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับระบบ EHR และลดการป้อนข้อมูล” Dan Braga รองประธานฝ่ายโซลูชัน EHR และฝ่ายดูแลสุขภาพที่ Medidata กล่าว “Rave Companion เป็นโซลูชันที่สามารถช่วยในการใช้งานข้อมูลที่มีอยู่จากระบบ EHR ใด ๆ แทนที่จะเป็นการป้อนข้อมูลซ้ำ เพื่อวัตถุประสงค์ในการทดลองทางคลินิก”

Medidata ดำเนินการทดลองมากกว่า 29,000 ครั้ง โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาศาสตร์กว่า 1.5 ล้านคนทั่วโลก โดยใช้แพลตฟอร์มชั้นนำของอุตสาหกรรม Rave Companion ได้รับการออกแบบมาสำหรับฟังก์ชันการทำงานแบบนอกกรอบสำหรับข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง รวมถึงความสามารถในการผสานรวมระบบ EHR แบบขั้นสูงสำหรับไซต์ที่มีการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายของไซต์สำหรับการวิจัยของ Medidata และสามารถขยายได้อย่างรวดเร็ว Rave Companion ทำงานโดยการจำลองแผนผังของ Rave eCRF ในเครื่องมือ “companion” ที่อยู่ด้านบนของหน้าจอ และติดตามผู้ใช้ของไซต์เมื่อมีการเข้าใช้งานผ่านระบบการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้ในฐานข้อมูลด้านการวิจัย

สำหรับข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง หรือสำหรับไซต์ที่ยังไม่มีการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายของ Medidata Rave Companion จะช่วยให้สามารถหยุดการดำเนินการ “ทำงานพร้อมกันในทั้งสองระบบ” และช่วยให้ Rave EDC สามารถเชื่อมต่อกับผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้เข้าใช้งานระบบ EHR หรือระบบทางคลินิกอื่น ๆ ในการค้นหาข้อมูลผู้ป่วยที่เหมาะสม เพียงผู้ใช้คลิกที่ค่า ระบบก็จะกรอกข้อมูลเข้า eCRF ให้ แทนที่จะต้องพิมพ์ข้อมูลอีกครั้ง

ในปีหน้า Rave Companion จะมีการรวมการนำเสนอข้อมูล EHR ภายในโซลูชันโดยตรง หมายความว่าผู้ใช้จะไม่ต้องออกจากระบบ Rave EDC เพื่อกรอกข้อมูล eCRF ให้ครบถ้วน เนื่องจากสามารถดำเนินการได้ภายในระบบเดียว

Medidata จะมีการเปิดตัว Rave Companion ในงานชีววิทยาศาสตร์ชั้นนำ NEXT New York ในวันที่ 15-16 เดือนพฤศจิกายน โดยผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้วิธีการที่ Medidata จัดการความท้าทายในการป้อนข้อมูลซ้ำในหัวข้อ “การแก้ไขปัญหาความท้ายทายของการถ่ายโอนข้อมูลจาก EHR ไปยัง EDC: มุมมอง แนวทาง และเทคโนโลยีใหม่” โดยมี Gene Vinson ผู้อำนวยการบริหารของฝ่ายบริหารจัดการ Clinical Vendor Management ที่ Syneos Health และ Dan Braga และ Samir Jain ผู้อำนวยการอาวุโสของ EHR Solutions ของ Medidata เข้าร่วม

Medidata เป็นบริษัทในเครือของ Dassault Systèmes ที่มีแพลตฟอร์ม 3DEXPERIENCE เป็นบริษัทชั้นนำในระบบการเปลี่ยนแปลงชีววิทยาศาสตร์ระบบดิจิทัลในยุคของการแพทย์เฉพาะบุคคลที่มีแพลตฟอร์มทางวิทยาศาสตร์และธุรกิจแบบครบวงจรตั้งแต่การวิจัยจนถึงเชิงพาณิชย์ระบบแรก

เกี่ยวกับ Medidata

Medidata เป็นผู้นำทางการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลสำหรับชีววิทยาศาสตร์ การสร้างความหวังให้กับผู้ป่วยหลายล้านคน Medidata จะช่วยสร้างหลักฐานและข้อมูลเชิงลึกเพื่อช่วยบริษัทด้านเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และการวินิจฉัย รวมถึงนักวิจัยด้านวิชาการเพื่อเพิ่มมูลค่า ลูกค้าและพันธมิตรกว่า 2,000 รายสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลกสำหรับการพัฒนาทางคลินิก ช้อมูลเชิงพาณิชย์ และข้อมูลจริงได้ Medidata ซึ่งเป็นบริษัท Dassault Systèmes (Euronext Paris: FR0014003TT8, DSY.PA) มีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์กซิตี้ และมีสำนักงานทั่วโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medidata.com และติดตามเราได้ที่ @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes บริษัทในเครือของบริษัท 3DEXPERIENCE เป็นฝ่ายพัฒนาความก้าวหน้าของมนุษย์ โดยเราได้จัดเตรียมสภาพแวดล้อมเหมือนจริงสำหรับธุรกิจและผู้คนเพื่อจินตนาการถึงนวัตกรรมที่ยั่งยืน ด้วยประสบการณ์เสมือนจริงในโลกแห่งความเป็นจริงในแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันของ 3DEXPERIENCE ลูกค้าของเราสามารถขยายขอบเขตการสร้างนวัตกรรม การเรียนรู้ และการผลิต เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับผู้ป่วย พลเมือง และผู้บริโภค Dassault Systèmes สร้างมูลค่าให้กับลูกค้ากว่า 300,000 รายในทุกขนาด ทุกอุตสาหกรรม ในกว่า 140 ประเทศ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.3ds.com

3DEXPERIENCE, ไอคอนเข็มทิศ, โลโก้ 3DS, CATIA, BIOVIA, GEOVIA, SOLIDWORKS, 3DVIA, ENOVIA, NETVIBES, MEDIDATA, CENTRIC PLM, 3DEXCITE, SIMULIA, DELMIA และ IFWE เป็นเครื่องหมายการค้าเชิงพาณิชย์หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Dassault Systèmes ซึ่งเป็น “société européenne” ในฝรั่งเศส (ทะเบียนพาณิชย์แวร์ซายส์ # B 322 306 440) หรือบริษัทในเครือในสหรัฐอเมริกาและ/หรือประเทศอื่น ๆ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Tom Paolella
ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจการ
+1-848-203-7596
thomas.paolella@3ds.com

Paul Oestreicher
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารภายนอก
+1-917-522-4692
paul.oestreicher@3ds.com

แหล่งที่มา: Medidata

Kirin Holdings และ Kao เริ่มทำการวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องและภูมิคุ้มกันวิทยา

Logo

Tokyo–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2022

ตั้งแต่เดือนนี้ Kirin Holdings Company, Limited (Kirin Holdings) และ Kao Corporation (Kao) จะเข้าร่วมในการศึกษาตามรุ่นของ "วิจัยส่งเสริมสุขภาพวาคายามะ"*1 ซึ่งนำโดย Wakayama Medical University และเรียบเรียงโดยศูนย์วิจัยส่งเสริมสุขภาพ (HPRC) ที่เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Kirin Holdings และ Kao จะร่วมกันทำการวิจัยเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องกับการทำงานของเซลล์เดนไดรต์ในพลาสมาไซทอยด์*2 (pDCs) ซึ่งเป็นตัวนำสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันและอื่น ๆ

*1 วิธีการวิจัยเชิงสังเกตวิธีหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยของโรคและการเกิดโรค โดยจัดกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยโรคเฉพาะและกลุ่มคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยโรคเฉพาะ และสามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยและการเกิดโรคได้โดยการคำนวณอุบัติการณ์ของโรคเป้าหมายในแต่ละกลุ่ม

*2 เซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีบทบาทสำคัญในฐานะตัวนำหลักเมื่อแบคทีเรียหรือไวรัสเข้าสู่ร่างกาย การทำงานของ pDC จะกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันต่าง ๆ เช่น เซลล์ NK เซลล์ T และเซลล์ B เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส

โครงร่างการวิจัย

  1. หัวข้อการวิจัย
  2. โครงสร้างการวิจัย
    Kirin Central Research Institute, Kirin Holdings Company, Limited
    R&D-Health & Wellness Products Research, R&D-Biological Science Research , Kao Corporation
    Wakayama Medical University
  3. เป้าหมาย
    ชายและหญิงที่เป็นผู้ใหญ่ 300 คนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดวาคายามะ (ตามแผน)

ความเป็นมา

โรคอ้วนได้รับการกำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าเป็น "การสะสมไขมันผิดปกติหรือมากเกินไปซึ่งอาจนำไปสู่สุขภาพที่ไม่ดี" ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น ทั่วโลกกำลังศึกษาผลกระทบของโรคอ้วนต่อสุขภาพ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนกับภูมิคุ้มกันกำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากโรคอ้วนมีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสที่รุนแรงมากขึ้น*3

วัตถุประสงค์

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องกับกิจกรรมของ pDC โดยผสมผสานความสามารถในด้านการวิจัยมากกว่า 35 ปีของ Kirin Holdings ที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันวิทยาเข้ากับความสามารถในด้านการวิจัยของ Kao ที่เกี่ยวกับการลดการสะสมไขมันในช่องท้อง ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต งานวิจัยนี้จะดำเนินการเป็นการศึกษาเพิ่มเติมสำหรับ "วิจัยส่งเสริมสุขภาพวาคายามะ" ซึ่งได้ดำเนินการกับผู้อยู่อาศัยในจังหวัดวาคายามะมาตั้งแต่ปี 2011

ในเดือนนี้ จะมีการตรวจสุขภาพเฉพาะในจังหวัดวาคายามะสำหรับผู้อยู่อาศัยที่มีอายุ 40-55 ปี Kao จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปริมาณไขมันในช่องท้อง ในขณะที่ Kirin Holdings จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของเซลล์เดนไดรต์ รวมถึง pDCs ในเลือด โดยทั้งคู่จะแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ร่วมกัน และจะมีการศึกษาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องและกิจกรรมของ pDC

*3 Int J Epidemiol. 2019;48(6):1783-1794. https://doi.org/10.1093/ije/dyz129
Obes Rev. 2020;21(11):e13128. https://doi.org/10.1111/obr.13128

วิจัยส่งเสริมสุขภาพวาคายามะคืออะไร

นี่เป็นการศึกษาตามรุ่นที่นำโดย Wakayama Medical University ตั้งแต่ปี 2011 และขณะนี้ได้ดำเนินการร่วมกับ HPRC โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของโรคต่าง ๆ ในหมู่คนท้องถิ่นในจังหวัดวาคายามะ

จนถึงปัจจุบัน มีการวิจัยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตและมวลกล้ามเนื้อ และได้มีการตีพิมพ์เอกสารต้นฉบับเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อกับการเริ่มมีภาวะหลอดเลือดแข็ง ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประวัติการล้มและปริมาณการออกกำลังกายที่เจตนา

Kirin และ Kao จะส่งเสริมความคิดริเริ่มที่มุ่งลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภคในอนาคต โดยการชี้แจงความสัมพันธ์ระหว่างมวลไขมันในอวัยวะภายในและกิจกรรม pDC ผ่านวิจัย HPRC

เกี่ยวกับ Kirin Holdings

Kirin Holdings Company, Limited เป็นบริษัทระหว่างประเทศที่ดำเนินการในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม) ส่วนของยา (ธุรกิจยา) และในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพ) ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก

Kirin Holdings สืบทอดมาจาก Japan Brewery ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1885 โดย Japan Brewery ได้กลายเป็น Kirin Brewery ในปี 1907 ตั้งแต่นั้นมา บริษัทก็ได้ขยายธุรกิจด้วยการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคโนโลยีหลัก และเข้าสู่ธุรกิจเภสัชกรรมในปี 1980 ซึ่งทั้งหมดยังคงเป็นศูนย์กลางการเติบโตระดับโลก ในปี 2007 Kirin Holdings ก่อตั้งขึ้นในฐานะบริษัทโฮลดิ้งอย่างแท้จริง และปัจจุบันนี้กำลังมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ

ภายใต้วิสัยทัศน์ Kirin Group Vision 2027 (KV 2027) ซึ่งเป็นแผนการจัดการระยะยาวที่เปิดตัวในปี 2019 ทำให้ Kirin Group มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำระดับโลกในด้าน CSV* ซึ่งสร้างมูลค่าให้กับโลกของอาหารและเครื่องดื่มไปจนถึงยา ในอนาคต Kirin Group จะยังคงใช้จุดแข็งต่าง ๆ เพื่อสร้างมูลค่าทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านธุรกิจของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืนในค่านิยมขององค์กร

* การสร้างคุณค่าร่วมกัน: รวมมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้บริโภคและสังคมโดยรวม

เกี่ยวกับ Kao Corporation

Kao สร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงซึ่งให้การดูแลและเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตของทุกคนและโลกใบนี้ ด้วยผลงานของแบรนด์ชั้นนำกว่า 20 แบรนด์ เช่น Attack, Bioré, Goldwell, Jergens, John Frieda, Kanebo, Laurier, Merries และ Molton Brown โดย Kao เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในเอเชีย โอเชียเนีย อเมริกาเหนือ และยุโรป Kao สร้างยอดขายต่อปีได้ประมาณ 1,420 พันล้านเยน เมื่อรวมกับธุรกิจเคมีภัณฑ์ซึ่งมีส่วนช่วยในหลากหลายอุตสาหกรรม Kao มีพนักงานประมาณ 33,500 คนทั่วโลกและมีประวัติยาวนานถึง 135 ปีในด้านนวัตกรรม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ Kao Group สำหรับข้อมูลล่าสุด https://www.kao.com/global/en/

Kao Group ได้กำหนดกลยุทธ์ ESG ของ Kirei Lifestyle Plan ในเดือนเมษายน ปี 2019 และในปี 2021 Kao ได้เปิดตัวแผนระยะกลางปี ​​2025 (K25) ซึ่งประกาศว่า "การปกป้องชีวิตในอนาคต" และการส่งเสริมให้ "ความยั่งยืนเป็นหนทางเดียว" เป็นวิสัยทัศน์ของบริษัท Kao Group จะยังคงรวมกลยุทธ์ ESG เข้ากับแนวทางการจัดการ นอกจากนี้ยังจะพัฒนาธุรกิจ จัดหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีขึ้นสำหรับผู้บริโภคและสังคม และทำงานตามวัตถุประสงค์ "เพื่อให้เกิดโลก Kirei ที่ทุกชีวิตอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนสมานฉันท์"

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Press Contact
Corporate Communication Department Kirin Holdings Company, Limited
Nakano Central Park South, 4-10-2 Nakano, Nakano-ku, Tokyo
https://www.kirinholdings.com/en/
kirin-cc@kirin.co.jp

Corporate PR, Corporate Strategy, Kao Corporation
1-14-10, Nihonbashi Kayabacho, Chuo-ku, Tokyo
https://www.kao.com/global/en/
corporate_pr@kao.com

แหล่งข้อมูล: Kirin Holdings Company, Limited

Topcon เปิดตัวกล้อง NW500 Non-Mydriatic Retinal

Logo

กล้องอัตโนมัติเต็มรูปแบบให้ภาพคุณภาพสูงที่เชื่อถือได้เมื่อรวมกับความสามารถที่เพิ่มขึ้น

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–06 ต.ค. 2022

Topcon Healthcare ผู้ให้บริการชั้นนำด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์และโซลูชันซอฟต์แวร์สำหรับชุมชนการดูแลดวงตาทั่วโลก มีความยินดีที่จะประกาศว่า บริษัทได้เปิดตัว NW500 ซึ่งเป็นกล้องเรตินอล non-mydriatic อัตโนมัติเต็มรูปแบบรุ่นใหม่ที่ให้ความคมชัดและเชื่อถือได้ ด้วยภาพที่มีคุณภาพพร้อมความสามารถที่เพิ่มขึ้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20221005005153/en/

The new NW500 fully automated non-mydriatic retinal camera from Topcon. (Photo: Business Wire)

กล้องเรตินอล NW500 แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบจาก Topcon (ภาพ: Business Wire)

NW500 นำเสนอการสแกนรอยกรีดที่เป็นนวัตกรรมใหม่และกลไก rolling shutter ซึ่งช่วยให้ก้าวข้าวหนึ่งในสาเหตุของภาพถ่ายม่านตาที่ได้เกรดต่ำโดยสามารถถ่ายภาพขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ 2.00 มม. ขึ้นไป* เซ็นเซอร์ 12 เมกะพิกเซลให้ภาพจอสีคุณภาพเยี่ยมสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์ที่ชัดเจน

NW500 มีส่วนช่วยในกระบวนการทำงานที่คล่องตัวและเพิ่มประสบการณ์ของผู้ป่วยด้วยการนำเสนอความสามารถในการรับภาพจอตาในสภาพแสงโดยไม่จำเป็นต้องขยายม่านตาผู้ป่วย NW500 ให้ภาพจอสีคุณภาพเยี่ยมในจุดยึดแบบเดิม 3 จุด (ดิสก์ จุดศูนย์กลาง และมาคูล่า) รวมถึงตำแหน่งการตรึง 9 ตำแหน่งสำหรับการถ่ายภาพบริเวณขอบภาพ

การใช้งานหน้าจอสัมผัสช่วยให้จับภาพได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว การดำเนินการอัตโนมัติเต็มรูปแบบช่วยให้แพทย์มีความยืดหยุ่นในการมอบหมายการตรวจคัดกรองให้กับเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่คลินิก ความเร็วในการประมวลผลที่ดีขึ้น** หมายถึงสามารถใช้เวลาน้อยลงในการจับภาพ และทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเพิ่มปริมาณงานของผู้ป่วยได้ โดยมีตัวเลือกการเชื่อมต่อที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของธุรกิจทางคลินิกและการคัดกรอง

"NW500 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Topcon ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในการแสวงหาเทคโนโลยีที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับและทำให้การดูแลมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้มากขึ้น" Tobias Kurzke ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์กล่าว “เมื่อรวมกันแล้ว เทคโนโลยี slit scan ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และกล้อง 12 เมกะพิกเซลช่วยให้แพทย์ได้ภาพที่มีคุณภาพรวดเร็วและคมชัด โดยมีความล้มเหลวและการถ่ายภาพซ้ำน้อยลง ทำให้กระบวนการรับภาพอวัยวะได้รวดเร็วและเชื่อถือได้มากกว่าเดิม และปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วยผ่านการตรวจคัดกรองที่เร็วขึ้นและไม่จำเป็นต้องขยายม่านตา ซึ่งจะทำให้แพทย์และการตรวจสุขภาพมีความได้เปรียบในการแข่งขัน”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ https://topconhealthcare.jp/products/nw500

เกี่ยวกับ Topcon Healthcare

Topcon Healthcare เห็นว่าสุขภาพดวงตาแตกต่างจากผู้อื่น วิสัยทัศน์ของเราคือการส่งเสริมผู้ให้บริการด้วยเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพสำหรับการดูแลผู้ป่วยที่ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ทันกับภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ เรานำเสนอโซลูชั่นแบบบูรณาการล่าสุด รวมถึงการถ่ายภาพหลายโมเดลขั้นสูง การจัดการข้อมูลที่เป็นกลางจากผู้ขาย การเว้นระยะห่างอย่างปลอดภัย และเทคโนโลยีการวินิจฉัยระยะไกลที่ก้าวล้ำ

Topcon เป็นธุรกิจระดับโลกที่มุ่งเน้นการพัฒนาโซลูชันเพื่อแก้ปัญหาความท้าทายทางสังคมในโดเมนขนาดใหญ่ของการดูแลสุขภาพ การเกษตร และโครงสร้างพื้นฐาน ในด้านการดูแลสุขภาพ ความท้าทายเหล่านี้รวมถึงโรคตาที่เพิ่มขึ้น ค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น การเข้าถึงการรักษาพยาบาล และการขาดแคลนแพทย์ ด้วยการลงทุนในนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า Topcon ทำงานเพื่อให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

* ยืนยันในรุ่น eye

** เมื่อเปรียบเทียบกับกล้องเรตินอลที่ไม่ใช่ mydriatic ของ Topcon TRC-NW400

ผลิตภัณฑ์ บริการ หรือข้อเสนอบางอย่างไม่ได้รับการอนุมัติหรือเสนอในทุกตลาด และผลิตภัณฑ์แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ติดต่อผู้จัดจำหน่ายในพื้นที่ของคุณสำหรับข้อมูลเฉพาะประเทศและความพร้อมใช้งาน

https://topconhealthcare.jp/

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20221005005153/en/

ติดต่อ:

Topcon Corporation Eyecare Business Division
Yasuko Sasaki
infomid@topcon.co.jp

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ทีมวิจัยสหวิทยาการแห่ง NTHU ค้นพบความลับสู่ความสำเร็จ

Logo

ซินจู๋, ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2565

กุญแจสู่ความสำเร็จก็คือการไม่ยอมแพ้! การวิจัยข้ามสายพันธุ์โดยทีมวิจัยสหวิทยาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (NTHU) ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ Yu-Ju Chou จากภาควิชาการศึกษาปฐมวัย และ Tsung-Han Kuo จากสถาบันประสาทวิทยาศาสตร์เชิงระบบ พบว่าลำดับชั้นทางสังคมของเด็กและหนูถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นคล้าย ๆ กัน ทั้งสองค้นพบพร้อมกับความประหลาดใจที่ว่าการจัดลำดับชั้นเหล่านี้ไม่ได้พิจารณาจากความแข็งแรงเท่าไรนัก แต่จะดูว่าใครที่จะยอมจำนนมากกว่า

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220913005090/en/

Chou Yu-Ju (left) and Kuo Tsung-Han have found that social dominance is not so much determined by who is stronger, but rather by who is willing to yield. (Photo: National Tsing Hua University)

Chou Yu-Ju (ซ้าย) และ Kuo Tsung-Han พบว่าการครอบงำทางสังคมไม่ได้กำหนดจากการที่ใครแข็งแรงกว่า แต่ดูจากว่าใครจะยอมจำนนมากกว่ากัน (ภาพ: มหาวิทยาลัยแห่งชาติชินหวา)

รายงานดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ในวารสาร iScience ซึ่งเป็นวารสารฉบับย่อด้านเซลล์ โดยทั้งคู่ได้แนะนำว่าผู้ปกครองและครูควรให้ความใส่ใจในเรื่องการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในเด็กอย่างใกล้ชิด และให้คำแนะนำและการสนับสนุนเป็นพิเศษกับเด็กที่ไม่ค่อยมีความกล้าหรือเด็กที่มักโอนอ่อนผ่อนตาม

การทดลองที่นำมาใช้เพื่อระบุลำดับชั้นของหนูเรียกว่า “tube test” ซึ่งหนูจะถูกคู่ต่อสู้บังคับให้ล่าถอยเข้าไปในท่อแคบ ๆ ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อผลลัพธ์นั้นไม่ได้ถูกกำหนดโดยพฤติกรรมของหนูตัวที่มีพลังมากกว่า แต่เป็นแนวโน้มที่จะยอมแพ้ในบรรดาหนูที่ยอมจำนน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นลักษณะของ “การตัดสินใจของผู้แพ้”

ทีมวิจัยยังได้ทำการทดลองด้านพฤติกรรมในกลุ่มเด็กก่อนเข้าเรียนและได้ผลลัพธ์ออกมาคล้ายกัน โดย Chou กล่าวว่าเด็ก ๆ ที่ชนะการแข่งขันไม่ต้องใช้ความพยายามมากเลย ส่วนกลุ่มผู้แพ้ก็ยอมอยู่แล้วตั้งแต่แรกหรือไม่ก็โดนคู่แข่งกล่อมให้ยอมแบบง่าย ๆ ขณะที่เด็กบางคนสามารถคุมเกมได้โดยเป็นผู้ออกคำสั่งให้ผู้อื่นทำตาม ส่วนเด็ก ๆ ที่มีความโอนอ่อนผ่อนตามก็มีความยืนหยัดน้อยกว่าและมีแนวโน้มที่จะเป็นฝ่ายถอย

Kuo กล่าวว่าผลที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าบางครั้งกุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จก็เป็นแค่ความมุ่งมั่นไม่ลดละและการยึดมั่นในเป้าหมายแรกเริ่ม ขณะที่ Chou ชี้ให้เห็นว่าผู้ปกครองและครูควรให้ความใส่ใจต่อเด็กที่มีความโอนอ่อนผ่อนตามและขาดความกล้าอย่างใกล้ชิด การเพิ่มความมั่นใจในตัวเองให้พวกเขาด้วยการมอบประสบการณ์ด้านความสำเร็จในด้านบวกจะเป็นประโยชน์ต่อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของเด็กกลุ่มนี้อย่างมาก

การศึกษานี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักวิจัยและพัฒนา การควบรวมระหว่างมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาและมหาวิทยาลัยการศึกษาแห่งชาติซินจู๋เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดความร่วมมือในวงกว้าง รวมถึงการวิจัยที่เป็นตัวอย่างน่ายกย่องนี้

Chou และ Kuo เห็นพ้องต้องกันว่าความร่วมมือแบบข้ามสาขาวิชาสร้างมุมมองใหม่ ๆ ให้กับงานวิจัยของตน โดย Chou กล่าวว่าในการศึกษาด้านมนุษย์นั้นมีข้อจำกัดทางจริยธรรมอยู่หลายอย่าง ในทางตรงกันข้าม ข้อจำกัดที่น้อยกว่าในการทดลองในสัตว์ช่วยให้นักวิจัยสามารถทำการทดลองที่อาจเป็นการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวในหนูได้ Kuo กล่าวว่า เนื่องจากหนูไม่สามารถพูดได้ เราจึงทำได้เพียงสังเกตพฤติกรรมของตัวอย่างเพื่อตีความลำดับชั้นทางสังคมของพวกมัน ในทางกลับกัน เด็ก ๆ นั้นมีช่วงพฤติกรรมที่มีความซับซ้อนกว่ามากและมีความน่าสนใจ

ในโปรเจกต์หลังจากนั้น Chou และ Kuo ได้ร่วมกับ Dr. Shi-Bing Yang จาก Academia Sinica และพบความเชื่อมโยงในเชิงบวกระหว่างลำดับชั้นและความจำ การศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ายาที่ช่วยเพิ่มความจำไม่เพียงสามารถเพิ่มความจำในหนูได้แต่ยังรวมถึงการครอบงำทางสังคมด้วย นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าเด็กที่มีความจำดีกว่าจะรับเอายุทธศาสตร์ทางสังคมมาใช้และรู้จำการแสดงออกทางใบหน้าที่แสดงถึงอำนาจได้ดี ซึ่งสิ่งนี้นำไปสู่ความเป็นผู้นำ การวิจัยนี้เพิ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Communications Biology เมื่อไม่นานมานี้

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220913005090/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh 
NTHU 
(886)3-5162006 
hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Mary Kay Inc. ร่วมมือกับ Dr. Jack Gilbert เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ไมโครไบโอม” บนผิวหนังและผลกระทบต่อกระบวนการของความชรา

Logo

ดัลลาส–(BUSINESS WIRE)–07 กรกฎาคม 2565

Mary Kay Inc. หนึ่งในบริษัทวิจัยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชั้นนำของโลกได้ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับ Dr. Jack Gilbert ศาสตราจารย์ด้านกุมารเวชศาสตร์ที่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียซานดิเอโก (University of California San Diego School of Medicine) และศาสตราจารย์ด้านสมุทรศาสตร์จุลินทรีย์ที่สถาบันสมุทรศาสตร์สคริปปส์ มหาวิทยาลัยซานดิเอโก (UC San Diego Scripps Institution of Oceanography) โดยความเป็นพันธมิตรนี้นักวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay จะทำงานร่วมกับ Dr. Gilbert เพื่อศึกษาประเด็นที่สำคัญที่สุดด้านหนึ่งแต่เข้าใจน้อยที่สุดคือความชราและสุขภาพผิว นั่นคือไมโครไบโอมบนผิวหนัง

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220707005167/en/

Mary Kay Inc. has announced a new partnership with Dr. Jack Gilbert, professor of pediatrics at the University of California San Diego School of Medicine and professor of microbial oceanography at UC San Diego Scripps Institution of Oceanography. Through the partnership, scientists at Mary Kay will work in conjunction with Dr. Gilbert to study one of the most important—but least understood—areas of aging and skin health: the skin Microbiome. (Photo: Mary Kay Inc.)

Mary Kay Inc. ได้ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับ Dr. Jack Gilbert ศาสตราจารย์ด้านกุมารเวชศาสตร์ที่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียซานดิเอโก (University of California San Diego School of Medicine) และศาสตราจารย์ด้านสมุทรศาสตร์จุลินทรีย์ที่สถาบันสมุทรศาสตร์สคริปปส์ มหาวิทยาลัยซานดิเอโก (UC San Diego Scripps Institution of Oceanography) โดยความร่วมมือนี้นักวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay จะทำงานร่วมกับ Dr. Gilbert เพื่อศึกษาประเด็นที่สำคัญที่สุดด้านหนึ่งแต่เข้าใจน้อยที่สุดคือความชราและสุขภาพผิว นั่นคือไมโครไบโอมบนผิวหนัง (ภาพ: Mary Kay Inc.)

“การทำความเข้าใจว่ากระบวนการของความชราของเราส่งผลต่อจุลินทรีย์บนผิวหนังที่อาจเป็นการค้นพบใหม่ที่น่าตกใจซึ่งกำหนดอนาคตในการออกแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง” Dr. Lucy Gildea ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายนวัตกรรม ฝ่ายผลิตภัณฑ์และวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay Inc. กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ Dr. Gilbert เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบของไมโครไบโอมบนสุขภาพผิวโดยรวม”

ในปี 2565 นี้ Dr. Gilbert ได้รับตำแหน่งกรรมการบริหารร่วมของศูนย์ไมโครไบโอมและเมตาจีโนมิกส์ที่มหาลัยซานดิเอโก (UC San Diego) ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการโภชนาการเพื่อสุขภาพมูลค่า 175 ล้านดอลลาร์ของสถาบันวิจัยวิทยาศาตร์สาธารณสุข (National Institutes of Health) เมื่อรวมกับความเชี่ยวชาญของ Dr. Gilbert นักวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay หวังว่าจะได้วินิจฉัยคุณลักษณะต่าง ๆ ของผิวสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในผู้หญิงได้อย่างไร “มันมีช่องว่างของความรู้อยู่ตรงนี้” Dr. Gildea กล่าวเสริม “เราหวังว่าจะเป็นสะพานเชื่อมสู่สิ่งนี้”

การวิจัยก่อนหน้านี้ได้ข้อสรุปว่าผิวหนังของมนุษย์มีระบบนิเวศที่ซับซ้อนของแบคทีเรียและจุลินทรีย์อื่น ๆ ซึ่งเป็นรากฐานที่ดีต่อสุขภาพ เช่นเดียวกันกับที่พบในลำไส้ ผิวหนังของมนุษย์ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายที่ต้องการแบคทีเรียเหล่านี้เพื่อการทำงานที่ดีที่สุด เหล่าแบคทีเรียยังคงรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตามสถานที่ อายุ เพศ และปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้มีความรู้ที่จำกัดเป็นอย่างมากเกี่ยวกับปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อเหล่าแบคทีเรียบนผิวหนังที่มีความแปรปรวนสูง และผลกระทบต่อกระบวนการของความชรา

ความร่วมมือกับ Dr. Gilbert เป็นเพียงความพยายามครั้งล่าสุดของ Mary Kay ในการตอกย้ำความมุ่งมั่นที่มีมาอย่างยาวนานของแบรนด์ในการวิจัยและพัฒนาสุขภาพผิวให้ก้าวหน้า Mary Kay ถือครองสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และการออกแบบบรรจุภัณฑ์มากกว่า 1,600 รายการในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั่วโลก

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay Ash คือหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่มองไม่เห็น และก่อตั้งบริษัทความงามของตัวเองขึ้นในปี 2506 โดยมีเป้าหมายหนึ่งคือเติมเต็มชีวิตให้กับผู้หญิง ความฝันของเธอได้เบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทที่เติบโตทางการเงินมูลค่าหลายพันล้าน พร้อมพนักงานขายอิสระกว่าล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ ในฐานะบริษัทพัฒนาผู้ประกอบการ Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้หญิงในการเดินทางผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน เครือข่าย และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงาม และผลิตสินค้าบำรุงผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและน้ำหอม Mary Kay เชื่อมั่นในการทำให้ชีวิตดีขึ้นในวันนี้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ด้วยการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ จากทั่วโลกที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความเป็นเลิศทางธุรกิจ สนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ปกป้องผู้รอดชีวิตจากการความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำตามความฝัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com พบกับเราบน FacebookInstagram, และ LinkedIn หรือติดตามเราบน Twitter

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220707005167/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

SINOVAC จับมือทีมวิจัย HKU-CTC และโรงพยาบาล Gleneagles ฮ่องกง เริ่มวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกกับวัคซีนชนิดเชื้อตายที่จำเพาะต่อสายพันธุ์โอไมครอน เพื่อใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันในฮ่องกง ประเทศจีน

Logo

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–04 กรกฎาคม 2565

พิธีเปิดงานจัดขึ้นที่โรงพยาบาล Gleneagles ฮ่องกง (Gleneagles หรือ GHK) ในการเริ่มวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกเพื่อประเมินความปลอดภัยและประเมินภูมิคุ้มกันของวัคซีนชนิดเชื้อตายที่จำเพาะต่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนของ SINOVAC ที่ถูกใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรง การทดลองนี้คาดว่าจะนำมาซึ่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อใช้เป็นแนวทางการสร้างภูมิคุ้มกันในอนาคตต่อไป การทดลองครั้งนี้นำโดยทีมวิจัยทางการแพทย์ของศูนย์วิจัยเชิงทดลองทางคลินิกแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKU-CTC) ร่วมกับโรงพยาบาล Gleneagles

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220704005146/en/

[From right to left] Professor Ivan Hung Fan-ngai, Ru Chien & Helen Lieh Professor in Health Sciences Pedagogy, Clinical Professor and Chief of Infectious Diseases, Department of Medicine, School of Clinical Medicine, Assistant Dean (Admissions), LKS Faculty of Medicine of The University of Hong Kong; Dr Kenneth Tsang, CEO of Gleneagles Hospital Hong Kong; Ms. Cheryl Law, International Business Development Director, Asia Pacific of SINOVAC; Mr. Henry Yau, Managing Director of The University of Hong Kong Clinical Trials Centre. (Photo: Business Wire)

[จากขวาไปซ้าย] ศาสตราจารย์ Ivan Hung Fan-ngai ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ Ru Chien & Helen Lieh ด้านการสอนวิทยาศาสตร์สุขภาพ ศาสตราจารย์คลินิกและหัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อ ภาควิชาแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์คลินิก ผู้ช่วยคณบดี (วิทยาลัย) คณะแพทยศาสตร์ LKS มหาวิทยาลัยฮ่องกง; Dr Kenneth Tsang ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Gleneagles Hospital Hong Kong; Cheryl Law ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ SINOVAC; Henry Yau กรรมการผู้จัดการศูนย์การทดลองทางคลินิกของมหาวิทยาลัยฮ่องกง (ภาพ: Business Wire)

ในการศึกษานี้ จะคัดเลือกอาสาสมัครผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 300 คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตายหรือวัคซีน mRNA ในการป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 2 หรือ 3 โดส

ศาสตราจารย์ Ivan Hung Fan-ngai ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ Ru Chien และ Helen Lieh ด้านการสอนวิทยาศาสตร์สุขภาพ, ศาสตราจารย์คลินิกและหัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อ และผู้ช่วยคณบดีภาควิชาแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์คลินิก, ผู้ช่วยคณบดี (วิทยาลัย) คณะแพทยศาสตร์ LKS มหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKUMed) กล่าวในพิธีว่า "อย่างที่เราทราบ การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่งในการรับมือกับโรคติดเชื้อต่าง ๆ ปัจจุบันโอไมครอนได้คร่าชีวิตผู้คนในโลกอย่างต่อเนื่อง ผมหวังว่าการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมการวิจัยวัคซีนและการจัดการด้านการฉีดวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

Dr Kenneth Tsang กล่าวว่า "ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสถานที่วิจัยของมหาวิทยาลัยฮ่องกง เรายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเชิงทดทองทางคลินิกนี้ และมีส่วนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาแนวทางด้านวัคซีนและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยส่งเสริมการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชน"

Cheryl Law ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศของ SINOVAC กล่าวว่า "ความร่วมมือกับศาสตราจารย์ Hung ศูนย์วิจัยเชิงทดลองทางคลินิกแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKU-CTC) และโรงพยาบาล Gleneagles มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกของวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อต้านสายพันธุ์โอไมครอน เราหวังว่าจะพบวิธีแก้ปัญหาให้แก่ฮ่องกงและทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับไวรัสชนิดใหม่จากผลการทดลองครั้งนี้”

SINOVAC ได้รับตัวอย่างสายพันธุ์โอไมครอนเมื่อต้นเดือนธันวาคมปี 2564 จากนั้นได้ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย (สายพันธุ์จำเพาะโอไมครอน) การวิจัยระยะพรีคลินิกแสดงให้เห็นว่าวัคซีนสามารถใช้ในสัตว์ได้อย่างปลอดภัยมีประสิทธิภาพ การวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกด้วยการฉีดวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันต่อต้านสายพันธุ์โอไมครอน ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย (IRB) ของมหาวิทยาลัยฮ่องกงและโรงพยาบาล Gleneagles ฮ่องกง เมื่อวันที่ 12 เมษายน และจากคณะกรรมการเภสัชกรรมและสารพิษแห่งฮ่องกงเมื่อวันที่ 14 เมษายน ปี 2565 โดยอนุญาตให้ดำเนินการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของผู้คนต่อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในฮ่องกง

เกี่ยวกับ Sinovac Biotech Ltd.

SINOVAC Biotech Ltd. (SINOVAC) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำของจีนที่มุ่งเน้นการวิจัย การพัฒนานวัตกรรม การผลิต และการค้าด้านวัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อในมนุษย์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ SINOVAC ประกอบด้วย วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ เช่น โควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ H5N1 (ไข้หวัดนก) ไข้หวัดใหญ่ H1N1 (ไข้หวัดหมู) และเอนเทอโรไวรัส 71 (EV71) รวมถึงโรคติดเชื้อทั่วไปอื่น ๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล นิวโมคอคคัส โปลิโอ อีสุกอีใส และคางทูม SINOVAC ยังค้นหาโอกาสในตลาดต่างประเทศ และส่งออกวัคซีนไปยังประเทศและองค์กรระหว่างประเทศหลายสิบแห่ง ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SINOVAC ได้ที่ www.sinovac.com

เกี่ยวกับศูนย์วิจัยเชิงทดลองทางคลินิกแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKU-CTC)

ศูนย์วิจัยเชิงทดลองทางคลินิกแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKU-CTC) เป็นแพลตฟอร์มดำเนินการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกแบบครบวงจรที่ทุ่มเทในการมอบความสะดวกในการจัดทำโครงการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกอย่างมืออาชีพภายใต้การดูแลของคณะแพทยศาสตร์ LKS แห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKUMed) นับตั้งแต่ก่อตั้ง ศูนย์วิจัยเชิงทดลองทางคลินิกแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกงได้ดำเนินการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกที่ได้รับการสนับสนุนและที่ริเริ่มโดยผู้วิจัยเองกว่าพันรายการ ผ่านร่วมมือกับผู้สนับสนุนและผู้วิจัยทั่วโลก

เกี่ยวกับโรงพยาบาล Gleneagles ฮ่องกง

โรงพยาบาล Gleneagles ฮ่องกง (Gleneagles) ตั้งอยู่ที่ Wong Chuk Hang บนเกาะฮ่องกงตอนใต้ เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหลายด้าน ให้บริการเตียง 500 เตียง พร้อมเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้ำสมัย และบริการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกที่ครอบคลุมมากกว่า 35 สาขาวิชาเฉพาะและสาขาย่อย ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของฮ่องกง Gleneagles ยังมีส่วนช่วยในการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และความก้าวหน้าของการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิก Gleneagles เป็นการร่วมทุนระหว่าง IHH Healthcare และ NWS Holdings Limited โดยมีมหาวิทยาลัยฮ่องกงเป็นพันธมิตรทางการแพทย์ที่สำคัญ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงพยาบาล Gleneagles ฮ่องกง ได้ที่ https://www.gleneagles.hk/

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220704005146/en/

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ

Sinovac Biotech Ltd.
คุณ Will Chan
โทร: +852 61408385
อีเมล: will.chan@sinovac.com

ศูนย์วิจัยเชิงทดลองทางคลินิกแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKU-CTC)
คุณ Cathy Shen
โทร: +852 2255 2553
อีเมล: cathyswi@hku.hk

โรงพยาบาล Gleneagles ฮ่องกง
คุณ Tracy Chow
โทร: +852 3153 9330
อีเมล: tracy.chow@gleneagles.hk

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

The Bangkok Reporter