I Squared ประกาศการเข้าซื้อกิจการสถานีเก็บน้ำมัน Philippines Coastal ในอ่าวซูบิก ประเทศฟิลิปปินส์

Logo

มะนิลา, ฟิลิปปินส์ และไมอามี–(BUSINESS WIRE)–23 ตุลาคม 2024

I Squared Capital ประกาศในวันนี้ว่า ได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการ Philippines Coastal Storage & Pipeline Corporation และบริษัทในเครือ

Philippines Coastal terminal at Subic Bay. (Photo: Business Wire)

สถานี Philippines Coastal ที่อ่าวซูบิก (ภาพ : Business Wire)

Philippines Coastal ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวซูบิก (Subic Bay Freeport Zone) และให้บริการในระเบียงเศรษฐกิจลูซอน (Luzon Economic Corridor : LEC) เป็นสถานีนำเข้าอิสระที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ ด้วยความจุ 6.3 ล้านบาร์เรล Philippines Coastal มีความจุในการเก็บน้ำมันนำเข้าสูงกว่า 20% ของประเทศ

Philippines Coastal มีบทบาทสำคัญในการรับประกันว่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงเหลวเข้าสู่ประเทศจะเป็นไปอย่างมั่นคงและเชื่อถือได้ โดยตอบสนองความต้องการของผู้จัดจำหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่และผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์อื่น ๆ ด้วยท่าเทียบเรือน้ำลึกและทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ จึงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมในการให้บริการแก่ตลาดในเขตเมโทรมะนิลา (metro Manila) และลูซอนเหนือ และเป็นสถานีที่ผู้ประกอบการรายใหญ่เลือกใช้ในการนำเข้าเชื้อเพลิงเข้าประเทศ Philippines Coastal ได้รับประโยชน์จากสัญญาแบบจ่ายหรือรับ (take or pay contract) ที่คิดค่าเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐ กับลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือทางเครดิตสูง ซึ่งบริษัทมีความสัมพันธ์อันยาวนาน

ในเดือนเมษายน 2024 ประธานาธิบดีไบเดน นายกรัฐมนตรีคิชิดะแห่งญี่ปุ่น และประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์แห่งฟิลิปปินส์ ได้จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระเบียงเศรษฐกิจลูซอน เพื่อสนับสนุนการเชื่อมต่อระหว่างอ่าวซูบิก คลาร์ก (Clark) มะนิลา และบาตังกัส (Batangas) ในฟิลิปปินส์ Philippines Coastal ซึ่งตั้งอยู่ที่อ่าวซูบิก จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการลงทุนในอนาคตใน LEC

Harsh Agrawal หุ้นส่วนอาวุโสของ I Squared กล่าวว่า “Philippines Coastal เป็นสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นของฟิลิปปินส์ ด้วยการขยายตัวของเมืองและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น จากชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตในฟิลิปปินส์ ความต้องการเชื้อเพลิงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราเห็นโอกาสเชิงกลยุทธ์ในการขยายขีดความสามารถของสินทรัพย์เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นนี้ และเพื่อกระจายไปสู่การจัดเก็บเชื้อเพลิงชีวภาพและเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน”

ตั้งแต่ปี 1993 Philippines Coastal ได้ดำเนินการสถานีภายใต้สัญญาเช่าระยะเวลา 50 ปี กับหน่วยงานบริหารอ่าวซูบิก (Subic Bay Metropolitan Authority : SBMA) โดยมีสิทธิ์ในการขยายสัญญาเช่าออกไปอีก 15 ปี Philippines Coastal ครอบคลุมพื้นที่กว่า 160 เฮกตาร์ มีถังเก็บน้ำมัน 91 ถังสำหรับเชื้อเพลิงประเภทต่าง ๆ มีท่าเทียบเรือสองท่า โดยท่าเทียบเรือหลักสามารถรองรับเรือขนาดกลางประเภท 1 ได้ (Medium Range 1 ขนาดไม่เกิน 50,000 DWT) ในขณะที่ท่าเทียบเรือรองเหมาะสำหรับการขนถ่ายสินค้าไปยังเกาะอื่น ๆ ภายในประเทศ

พื้นที่ให้บริการของ Philippines Coastal ครอบคลุมความต้องการเชื้อเพลิงส่วนใหญ่ของฟิลิปปินส์ (มากกว่า 55% ของน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน มากกว่า 35% ของเชื้อเพลิงดีเซล/เบนซิน) และความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน (sustainable fuels) เช่น เอทานอลและไบโอดีเซลจากน้ำมันมะพร้าว

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิลิปปินส์เป็นผู้นำในการผสมเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน (sustainable fuel blending) ในเดือนตุลาคม รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้เพิ่มข้อกำหนดการผสมไบโอดีเซลเป็น 3% ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัจจุบัน การผสมเอทานอล 20% ในเชื้อเพลิงเบนซินเป็นไปโดยสมัครใจ และรัฐบาลกำลังพิจารณาที่จะทำให้เป็นข้อบังคับในอนาคต Philippines Coastal จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการริเริ่มด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการจัดเก็บเชื้อเพลิงระดับโลก เพื่อเก็บเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน

I Squared ได้ลงนามในข้อตกลงขั้นสุดท้ายเพื่อเข้าซื้อกิจการผ่านกองทุน ISQ Global Growth Market Fund ขณะนี้ I Squared กำลังเข้าซื้อ Philippines Coastal จาก Keppel Infrastructure Trust สิงคโปร์ และ Metro Pacific Investment Corporation ฟิลิปปินส์ การปิดดีลขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทั่วไปบางประการ รวมถึงการอนุมัติด้านการต่อต้านการผูกขาด (anti-trust clearance) ในฟิลิปปินส์ ภายใต้การปฏิบัติตามหรือการยกเว้นเงื่อนไขดังกล่าว (หากมี) คาดว่าจะสามารถปิดดีลในช่วงปลายปี 2024

ที่ปรึกษาทางการเงินของ I Squared สำหรับธุรกรรมนี้คือ Rippledot Capital Advisers Pte Ltd. ที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศคือ Latham & Watkins LLP สิงคโปร์ และที่ปรึกษากฎหมายฟิลิปปินส์คือ Romulo

เกี่ยวกับ I Squared

I Squared เป็นผู้นำในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่เป็นอิสระ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เราเป็นที่รู้จักในด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเริ่มต้นจากขนาดเล็กและเติบโตขึ้น เราใช้ข้อมูลเชิงลึกระดับโลกและความเข้าใจในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งเพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ส่งเสริมธุรกิจที่ชาญฉลาดขึ้น ให้บริการชุมชนท้องถิ่น และลงทุนในอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นเพื่อให้บริการที่จำเป็นแก่ผู้คนนับล้านทั่วโลก เรามีทีมงานกว่า 280 คน มีสำนักงานใหญ่ในไมอามี และสำนักงานในอาบูดาบี ลอนดอน มิวนิก นิวเดลี เซาเปาโล สิงคโปร์ ซิดนีย์ และไทเป เราดำเนินงานด้วยพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย ประกอบด้วย 86 บริษัทในกว่า 70 ประเทศ มีพนักงานกว่า 66,000 คน ในหลากหลายภาคส่วน ซึ่งรวมถึงภาคสาธารณูปโภค พลังงาน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.isquaredcapital.com

ข้อจำกัดความรับผิด

เอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะหรือข้อเสนอในการขายหรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมในหลักทรัพย์หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินใด ๆ เอกสารจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การลงทุนมีความเสี่ยง อาจสูญเสียเงินต้นได้

การลงทุนเฉพาะที่อธิบายไว้ในที่นี้ไม่ได้แสดงถึงการตัดสินใจลงทุนทั้งหมดที่ ISQ ทำ ผู้อ่านไม่ควรสันนิษฐานว่า การตัดสินใจลงทุนที่ระบุและอภิปรายไว้ในที่นี้ได้หรือจะมีกำไร คำแนะนำการลงทุนจำเพาะที่อ้างอิงจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เพื่อประกอบการอธิบายเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแทนของการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54140447/en

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ :

Dominic McMullan/Shelly Hagan

info@isquaredcapital.com

แหล่งที่มา : I Squared Capital

Inkia กำลังก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดในเปรูด้วยแผนขยายการดำเนินงานครั้งใหญ่

Logo

  • กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่กว่า 1 GW จะพร้อมใช้งานภายในสิ้นปี 2025
  • มีโครงการพลังงานที่กำลังพัฒนาอยู่กว่า 3 GW โดยมีโครงการพลังงานลมกว่า 600 MW ที่จะเปิดตัวในปี 2026
  • ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตจากโครงการไฮโดร พลังงานก๊าซธรรมชาติ และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ที่มีอยู่ 2,237 MW ดังนั้น Inkia จะยืนยันตำแหน่งในฐานะบริษัทผลิตไฟฟ้าที่มีความหลากหลายและใหญ่ที่สุดในเปรู

ลิมา ประเทศเปรู–(BUSINESS WIRE)–18 ตุลาคม 2024

Inkia Energy ผ่านบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดอย่าง Kallpa ได้รับการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับการขยายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในภาคใต้ของเปรู ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำระดับโลก การอนุมัติครั้งนี้จะทำให้โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ชื่อ Sunny ขยายจาก 228 MWp เป็น 338 MWp และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 Inkia Energy ซึ่งตั้งอยู่ในเปรูเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ และอยู่ภายใต้การควบคุมของ I Squared Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: Business Wire)

นอกเหนือจากโครงการ Sunny แล้ว Inkia ยังได้สนับสนุนการก่อสร้างโครงการพลังงานแสงอาทิตย์อีก 2 โครงการที่อยู่ใกล้เคียง โดยได้ลงนามในข้อตกลงซื้อขายพลังงานและใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (I-REC) สำหรับการพัฒนาเหล่านี้ ด้วยโครงการทั้ง 3 นี้ Inkia จะรวมพลังงานจาก “ศูนย์กลางพลังงานแสงอาทิตย์ของเปรู” ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนประมาณ 1 Gwp เข้าสู่โครงข่ายพลังงานแห่งชาติในไตรมาสที่ 4 ของปี 2025

นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะเปิดตัวโครงการพลังงานลมอีก 2 โครงการที่มีกำลังการผลิตรวมอย่างน้อย 600 MW ในปี 2026 โครงการพลังงานลม รวมถึงโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และโครงการ BESS อื่นๆ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับจุดยืนของบริษัทให้เป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในปัจจุบันและอนาคตของเปรู โครงการเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างคุณค่าของ Inkia ในการให้บริการลูกค้าด้วยพลังงานที่มีความต่อเนื่องและเชื่อถือได้ ซึ่งผลิตจากการรวมกันของแหล่งพลังงานหมุนเวียนหลายประเภทและก๊าซธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความสำคัญในการรองรับการขาดแคลนและความไม่ต่อเนื่องของพลังงานหมุนเวียน

Inkia ยังมีบริการโซลูชันด้านพลังงานที่เชื่อมต่อกันด้านหลังมิเตอร์การไฟฟ้าให้กับลูกค้าผ่านช่องทางขายปลีกของตน นั่นคือ Kondu ซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SME)

“Inkia เป็นนักพัฒนาโดยธรรมชาติ และเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเปิดตัวโครงการ Sunny ถือเป็นการเริ่มต้นของแคมเปญขยาย Inkia 2.0 ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการพลังงานของเปรู และยืนยันจุดยืนของ Inkia ในฐานะบริษัทโซลูชันพลังงานชั้นนำของประเทศ” Willem Van Twembeke ซีอีโอของ Inkia Energy กล่าว “เรามั่นใจว่าพอร์ตโฟลิโอที่มีความสมดุลและการจัดอันดับกลุ่มระดับลงทุนของ Inkia ทำให้บริษัทเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับลูกค้าในด้านความน่าเชื่อถือ ทั้งในแง่ของพลังงานและการสนับสนุนทางการเงิน”

เกี่ยวกับ Inkia Energy

Inkia เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในเปรู โดยมีกำลังการผลิตติดตั้ง 2,237 MW ผ่านบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดอย่าง Kallpa ซึ่ง Inkia Energy อยู่ภายใต้การควบคุมของ I Squared Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอิสระชั้นนำระดับโลกที่บริหารสินทรัพย์กว่า $40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเปรู Inkia ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติแบบผสมผสานที่มีประสิทธิภาพ และเพิ่งเปิดตัวระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ขนาด 34 MW นอกเหนือจากโครงการ Sunny แล้ว Kallpa ยังได้พัฒนาโครงการพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และ BESS หลายโครงการ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงการจัดหาไฟฟ้าที่ต่อเนื่อง เชื่อถือได้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับเปรู Inkia ยังเป็นเจ้าของ Kondu ซึ่งเป็นบริษัทโซลูชันด้านพลังงานที่มุ่งเน้นความต้องการของตลาดค้าปลีก และให้บริการโซลูชันด้านพลังงานหลากหลายและพลังงานที่เชื่อมต่อกันด้านหลังมิเตอร์การไฟฟ้าแก่ลูกค้าของ Inkia นอกเปรู Inkia ยังเป็นเจ้าของและดำเนินการสินทรัพย์การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ากว่า 5.5 GW และมีลูกค้ากว่า 2 ล้านรายทั่วละตินอเมริกา

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54133250/en

ข้อมูลติดต่อ

สื่อสัมพันธ์

Pamela Gutierrez
communications@inkiaenergy.com

แหล่งข้อมูล: Inkia Energy


กองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบียประกาศเข้ามามีบทบาทในเซอร์เบียเป็นครั้งแรก โดยให้เงินทุนสนับสนุน 3 โครงการพัฒนา มูลค่ารวม 205 ล้านดอลลาร์

Logo

เบลเกรด เซอร์เบีย –(BUSINESS WIRE)–17 ตุลาคม 2024

กองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบีย (SFD) ได้ลงนามในข้อตกลงเงินกู้พัฒนา 3 ฉบับกับสาธารณรัฐเซอร์เบีย รวมมูลค่า 205 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนโครงการสำคัญในภาคเกษตรกรรม การศึกษา และพลังงาน ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นการเข้ามามีบทบาทครั้งแรกของ SFD ในเซอร์เบีย โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว ข้อตกลงนี้ลงนามโดย H.E. Sultan Al-Marshad ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SFD และ H.E. Siniša Mali รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเซอร์เบีย โดยมี Mr.Ali Aldossary อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เป็นสักขีพยาน

H.E. Sultan Al-Marshad, CEO of the SFD, and H.E. Siniša Mali, Serbia’s Deputy Prime Minister and Minister of Finance (Photo: AETOSWire)

คุณ H.E. Sultan Al-Marshad ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอของ SFD กับคุณ H.E. Siniša Mali รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศเซอร์เบีย (รูป: AETOSWire)

สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงเหล่านี้ ทาง Mr. Mali กล่าวว่า “เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ลงนามในข้อตกลงสำคัญสามฉบับกับกองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญครั้งแรกหลังจากการลงนามบันทึกความเข้าใจเมื่อปีที่แล้ว เรารู้สึกขอบคุณสำหรับการสนับสนุน โครงการที่เงินทุนนี้จะนำไปใช้นั้นจะช่วยสร้างงานใหม่ เสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของเรา และปรับปรุงสถานะของสาธารณรัฐเซอร์เบียในชุมชนวิทยาศาสตร์ระดับโลก ข้อตกลงเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระยะยาวระหว่างสาธารณรัฐเซอร์เบียและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และช่วยพัฒนาโครงการสำคัญในประเทศของเรา”

ข้อตกลงประกอบด้วยโครงการ 3 โครงการ ได้แก่ การจัดสรรงบประมาณ 75 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการชลประทานในพื้นที่ต่าง ๆ และใช้ 65 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการก่อสร้างวิทยาเขต Bio4 ในกรุงเบลเกรด และอีก 65 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการพัฒนาผู้ดำเนินการระบบส่งไฟฟ้า (ระยะที่ 1)

โครงการแรกจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบชลประทานและปรับปรุงการจัดการน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญ โดยการสร้างสถานีสูบน้ำใหม่ ปรับปรุงคลองที่มีอยู่ และสร้างเครือข่ายชลประทานที่ทันสมัยครอบคลุมกว่า 230 กิโลเมตร โครงการนี้มุ่งเน้นในพื้นที่ เช่น Novi Slankamen และ Jasenicke Kapi โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและจัดการการแจกจ่ายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงภัยแล้ง

โครงการที่สองจะจัดสรรเงินทุนสำหรับการก่อสร้างวิทยาเขต Bio4 ในกรุงเบลเกรด ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่บุกเบิกซึ่งเน้นด้านเทคโนโลยีชีวภาพ วิทยาเขต Bio4 จะประกอบด้วย 6 คณะ 9 สถาบันวิจัย และห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย รวมถึงห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 ที่มหาวิทยาลัยเบลเกรด ศูนย์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและความร่วมมือในสาขาต่างๆ เช่น ชีววิทยา การแพทย์ และการวิจัยน้ำเสีย

โครงการสุดท้ายจะขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของเซอร์เบียด้วยการสร้างสายส่งไฟฟ้า 400 กิโลโวลต์ใหม่ และการปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อยที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเสถียรในการจ่ายพลังงานของเซอร์เบียและเชื่อมโยงประเทศเข้ากับตลาดไฟฟ้ายุโรปผ่านทางเดินส่งไฟฟ้า Trans-Balkan

เพื่อให้เห็นภาพถึงข้อตกลงนี้ ทาง Sultan Al-Marshad ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SFD กล่าว “การสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการให้ทุนเชิงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษานั้นเป็นภารกิจหลักของเรา ความร่วมมือครั้งนี้กับเซอร์เบียสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมนวัตกรรม เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการที่เราให้ทุนจะสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนให้กับประชาชนชาวเซอร์เบียและช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของพวกเขา

SFD มุ่งมั่นในการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก ในฐานะหน่วยงานพัฒนาทางการของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย SFD ได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการมากกว่า 800 โครงการในกว่า 100 ประเทศ โดยมีเงินทุนรวม 20 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2024 SFD ฉลองครบรอบ 50 ปีในการส่งเสริมการพัฒนาระดับโลก โดยล่าสุดได้ขยายไปยัง 11 ประเทศใหม่ รวมถึงเซอร์เบีย

ที่มาAETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54137077/en

ติดต่อ

Randah Al-Hothali
Director General of Corporate Communications
media@sfd.gov.sa

ที่มา: Saudi Fund for Development


ForeverGone ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถกำจัดและทำลาย PFAS ได้อย่างสมบูรณ์แบบในงานด้านอุตสาหกรรมและการประยุกต์ใช้ในเทศบาล

Logo

Gradiant ประกาศความสามารถในการทดสอบภายในที่โดดเด่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสามารถกำจัด PFAS ได้จนถึงระดับที่ต่ำกว่าข้อกำหนดของ EPA สหรัฐฯ และข้อบังคับของยุโรป

บอสตัน–(BUSINESS WIRE)–18 ตุลาคม 2024

Gradiant บริษัทผู้ให้บริการโซลูชันระดับโลกสำหรับการบำบัดน้ำและน้ำเสียได้ประกาศถึงก้าวสำคัญในความพยายามต่อสู้กับการปนเปื้อนของ PFAS ซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่เสื่อมสภาพ โดยทำงานร่วมกับน้ำที่ปนเปื้อนจากอุตสาหกรรม น้ำเทศบาล และน้ำจากหลุมฝังกลบ ซึ่ง ForeverGone™ ได้รับการพิสูจน์ทางปริมาณแล้ว ผ่านห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองจากบุคคลที่สามหลายแห่ง ว่าสามารถลดระดับ PFAS ลงไปถึงระดับที่ต่ำกว่าข้อกำหนดทางกฎหมายและทำลายสาร PFAS ที่เข้มข้นที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์

Gradiant's ForeverGone all-in-one solution and testing data for industrial wastewater (Photo: Business Wire)

โซลูชันแบบครบวงจรของ ForeverGone จาก Gradiant และข้อมูลการทดสอบน้ำเสียจากอุตสาหกรรม (ภาพ: Business Wire)

ก้าวสำคัญในกระบวนการพัฒนานี้เป็นการยืนยันว่า ForeverGone ซึ่งเปิดตัวในปีนี้ เป็นโซลูชันแบบครบวงจรเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถกำจัดและทำลาย PFAS ได้ที่โรงงาน ทำให้ไม่จำเป็นต้องจัดการกับของเสีย การฝังกลบ หรือการเผา ซึ่งแตกต่างจากเทคโนโลยีทั่วไป รวมถึงคาร์บอนที่ใช้งานได้แบบเม็ด (GAC) และการแลกเปลี่ยนไอออน

โซลูชัน ForeverGone ที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์สามารถนำไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วและติดตั้งในสถานที่เพื่อลดระดับ PFAS ให้ลงไปต่ำกว่าระดับสูงสุดที่กำหนดโดย US EPA ที่ 4.0 ppt และข้อกำหนดที่เข้มงวดที่กำหนดโดยกฎระเบียบในยุโรปและออสเตรเลีย

“ผู้ตัดสินใจที่สำคัญต่างชื่นชมข้อเสนอที่โดดเด่นของ ForeverGone ในการกำจัดและทำลาย PFAS จากน้ำที่ปนเปื้อนทุกรูปแบบ” นาย Sankar Natarajan หัวหน้าฝ่ายขายระดับโลกของ Gradiant กล่าว “เรากำลังประสบกับอัตราการขายที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การติดต่อครั้งแรกจนถึงการดำเนินโครงการในระดับเต็มรูปแบบในหลายภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ อาหารและเครื่องดื่ม การทำเหมืองแร่ และบริการสาธารณะใหญ่ๆ ทั้งหมดพยายามที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและปกป้องชุมชนของตน”

“เพื่อสนับสนุนการพัฒนา ForeverGone เราได้ลงทุนอย่างมากในความสามารถของ Gradiant Labs ในการตรวจจับ PFAS ได้ถึงเพียงหนึ่งส่วนในหนึ่งล้านล้านส่วน ซึ่งช่วยให้เราสามารถเสนอหลักฐานที่ลูกค้าต้องการเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเทคโนโลยีของเราในน้ำที่ปนเปื้อนได้อย่างรวดเร็ว” นาย Steven Lam หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ Gradiant กล่าว

Gradiant ได้นำโซลูชัน ForeverGone ไปใช้งานที่โรงงานของลูกค้าทั่วโลกอย่างจริงจัง โดยมอบข้อได้เปรียบที่สำคัญในการกำจัดและทำลาย PFAS แบบครบวงจร ตลอดไป

คุณสนใจนำ ForeverGone ไปใช้ที่โรงงานของคุณไหม Gradiant ขอแนะนำโครงการทดสอบที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อสาธิตการใช้ ForeverGone ในการบำบัดน้ำที่ปนเปื้อนหลากหลายประเภท หากสนใจให้ติดต่อ Gradiant ได้ที่ http://www.gradiant.com/contact

เกี่ยวกับ Gradiant
Gradiant คือบริษัทน้ำในรูปแบบที่แตกต่าง ด้วยชุดโซลูชันที่โดดเด่นและเป็นเจ้าของแบบครบวงจรสำหรับการบำบัดน้ำและน้ำเสียที่ขับเคลื่อนโดยผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดในด้านน้ำ บริษัทให้บริการการดำเนินงานที่สำคัญของลูกค้าในอุตสาหกรรมที่จำเป็นต่อโลก เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยา อาหารและเครื่องดื่ม ลิเธียม และแร่ธาตุที่สำคัญ รวมถึงพลังงานหมุนเวียน โซลูชันที่เป็นนวัตกรรมของ Gradiant ช่วยลดการใช้น้ำและน้ำเสียที่ปล่อยออกมา ฟื้นฟูทรัพยากรที่มีค่า และเปลี่ยนน้ำเสียให้เป็นน้ำสะอาด บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในบอสตันนี้ก่อตั้งขึ้นที่ MIT และมีพนักงานกว่า 1,000 คนทั่วโลก เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ gradiant.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: www.businesswire.com/news/home/54132753/en

ติดต่อ

องค์กร
Felix Wang
Gradiant, Global Head of Brand and PR
fwang@gradiant.com

ที่มา: Gradiant

Gradiant ประกาศเปิดตัว ProtiumSource โซลูชันน้ำที่พร้อมเข้ากระบวนการ อิเล็กโทรไลต์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการของผู้ผลิตไฮโดรเจนสีเขียว

Logo

ProtiumSource ไม่ต้องใช้น้ำป้อนเข้าระบบ การปล่อยของเหลวเป็นศูนย์ และทํางานด้วยพลังงานหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพในระดับชั้นนําของอุตสาหกรรมเพื่อผลิตไฮโดรเจนสีเขียว

บอสตัน

Black & Veatch จัดการกับความซับซ้อนของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในงาน Enlit Asia 2024

Logo

กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย

MidOcean Energy ของ EIG จะซื้อกรรมสิทธิ์ Peru LNG เพิ่มเติม 15% จาก Hunt Oil Company

Logo

Aramco นักลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ MidOcean จัดหาเงินทุนเพื่อการลงทุน

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2024

MidOcean Energy (“MidOcean” หรือ “บริษัท”), บริษัทก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก และ Hunt Oil Company (“Hunt”) ประกาศในวันนี้ว่าพวกเขาได้ทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายโดย MidOcean จะกรรมสิทธิ์ Peru LNG (“PLNG”) เพิ่มเติม 15% จาก Hunt

หลังจากปิดธุรกรรม กรรมสิทธิ์ PLNG ของ MidOcean จะเพิ่มขึ้นจาก จะเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 35% Aramco มีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบสถานะทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ที่สำคัญ ตลอดจนการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักในการอนุมัติธุรกรรม การทำธุรกรรมนี้จะได้รับเงินทุนทั้งหมดจาก Aramco ซึ่งจะเพิ่มกรรมสิทธิ์ MidOcean ของตนเป็น 49% การลงทุนเพิ่มเติมของ Aramco ใน MidOcean จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของ MidOcean และ Aramco ในตลาด LNG ทั่วโลก และจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสสัมผัสโครงการส่งออก LNG แห่งเดียวในอเมริกาใต้เพิ่มเติม สัดส่วนการถือหุ้นทางอ้อมของ Aramco ใน PLNG จะเท่ากับ 17.2% นอกจาก EIG และ Aramco แล้ว Mitsubishi Corporation ยังลงทุนใน MidOcean ท่ามกลางนักลงทุนระดับบลูชิปรายอื่นๆ

กรรมสิทธิ์ PLNG ของ Hunt จะลดลงจาก 50% เป็น 35% และ Hunt จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการของ PLNG หลังการทำธุรกรรม Hunt ยังคงถือกรรมสิทธิ์ 25.2% ในโครงการต้นน้ำ Camisea ในเปรู Hunt ลงทุนในเปรูมาตั้งแต่ปี 2000 และมุ่งมั่นที่จะสานต่อประวัติศาสตร์อันยาวนานของการลงทุนในเปรู และความเป็นเลิศในการดำเนินงานในโครงการ PLNG

PLNG เป็นเจ้าของและดำเนินการโรงงานส่งออก LNG แห่งเดียวในอเมริกาใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Pampa Melchorita ห่างจากกรุงลิมา ประเทศเปรู ไปทางใต้ 170 กิโลเมตร สินทรัพย์ของ PLNG ประกอบด้วยโรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวที่มีกำลังการผลิต 4.45 ล้านตันต่อปี ท่อส่งก๊าซความยาว 408 กิโลเมตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ PLNG โดยสมบูรณ์ซึ่งมีกำลังการผลิต 1,290 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ถังเก็บขนาด 130,000 ลูกบาศก์เมตรจำนวน 2 ถัง ท่าเรือทางทะเลความยาว 1.4 กิโลเมตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ PLNG โดยสมบูรณ์ และสถานที่บรรทุกสินค้าด้วยรถบรรทุกที่มีความจุสูงถึง 19.2 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดย PLNG จะได้รับการดำเนินการโดย Hunt และเป็นหนึ่งในโรงงานผลิต LNG เพียงสองแห่งในละตินอเมริกา

De la Rey Venter ผู้เป็น CEO ของ MidOcean กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน PLNG ซึ่งเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ MidOcean ในการสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลก ที่หลากหลาย และมีความยืดหยุ่น ความเชื่อของเราต่อพื้นฐานระยะยาวของตลาด LNG และในจุดแข็งของจุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ของ PLNG ในฐานะโรงงานส่งออก LNG เพียงแห่งเดียวในอเมริกาใต้ที่ยังคงแน่วแน่ เราตั้งตารอที่จะกระชับความร่วมมือของเรากับ Hunt Oil และผู้ร่วมทุน PLNG รายอื่นๆ และยังคงสนับสนุนผลกระทบเชิงบวกของโครงการต่อตลาดพลังงานของเปรูต่อไป”

Mark Gunnin ผู้เป็น CEO ของ Hunt กล่าวว่า “เรามุ่งเน้นไปที่การเตรียมโครงการ PLNG สำหรับอนาคต และโอกาสในการนำ MidOcean เข้ามาเป็นพันธมิตรถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”

Morgan Stanley ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ MidOcean ในการทำธุรกรรมครั้งนี้ และ Latham & Watkins ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย Bracewell LLP ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของ Hunt

เกี่ยวกับ EIG
EIG คือนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ซึ่งกำลังบริหารเงินลงทุนจำนวน 24.9 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2024 โดย EIG เชี่ยวชาญในการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ในตลอดช่วงระยะเวลา 42 ปี EIG ได้ทุ่มเงินกว่า 48.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับภาคพลังงานผ่านโครงการ 413 โครงการหรือบริษัทใน 42 ประเทศในหกทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยกองทุนเงินบำนาญ บริษัทประกันภัย กองทุนการกุศล มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งชั้นนำหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ รีโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ MidOcean Energy
MidOcean Energy ซึ่งป็นบริษัท LNG ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG มุ่งมั่นที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลกที่มีความหลากหลาย ยืดหยุ่น คุ้มทุน และเป็นคู่แข่งกับคาร์บอนได้ เป้าหมายของ MidOcean Energy สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของ EIG ที่มีต่อ LNG ในฐานะตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงพลังงาน และความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ LNG ในฐานะทรัพยากรพลังงานเชิงกลยุทธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ MidOcean Energy นำโดย De la Rey Venter ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานเป็นเวลา 26 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงหัวหน้าฝ่าย LNG ระดับโลกของ Shell Plc

เกี่ยวกับ Hunt Oil Company
Hunt ก่อตั้งขึ้นในปี 1934 โดยเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซอิสระที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา พื้นที่ปฏิบัติการหลักของบริษัทตั้งอยู่ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ในเปรู สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเคอร์ดิสถานของอิรัก รวมถึงโครงการสำรวจในตูนิเซียและโมร็อกโก Hunt เป็นบริษัทสำรวจระดับนานาชาติที่กระตือรือร้น และได้ขุดเจาะในทุกทวีปนอกเหนือจากทวีปแอนตาร์กติกา

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่เว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com หรือเว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายชื่อติดต่อ

ข้อมูลติดต่อ EIG
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

ข้อมูลติดต่อ Hunt
Paul Schulze
+1 214-978-8534
publicaffairs@huntconsolidated.com

แหล่งที่มา: EIG

Hgen ระดมทุน 5 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเสนอขายอิเล็กโทรไลเซอร์ประสิทธิภาพสูง

Logo

บริษัทสตาร์ทอัพที่ทำงานโดยมุ่งเน้นไปที่ไฮโดรเจนจะใช้เงินทุนเพื่อเร่งดำเนินการเสนอขายอิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ที่มีความหนาแน่นพลังงานเชิงปริมาตรที่สูงขึ้น 20 เท่า

ฮอว์ธอร์น แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–17 กันยายน 2024

Hgen ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตไฮโดรเจนสะอาดเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมหนัก ได้ประกาศปิดการระดมทุนรอบแรกซึ่งมีมูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐในวันนี้ การระดมทุนดังกล่าวนำโดย Seven Seven Six โดยมีส่วนร่วมจาก Founders Fund และ Fontinalis Partners โดย Hgen จะใช้เงินทุนนี้เพื่อเร่งการนำเทคโนโลยีไปเสนอขายที่ไซต์งานของลูกค้า

ไฮโดรเจนที่ได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิลเกือบ 100 ล้านเมตริกตันถูกผลิตขึ้นทุกปีเพื่อใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมและเคมี Hgen ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2021 มีเป้าหมายที่จะลดคาร์บอนของตลาดที่มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ นี้ด้วยการผลิตไฮโดรเจนที่สะอาดจากน้ำและไฟฟ้าผ่านอิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเล็กโทรไลเซอร์ประเภทหนึ่งที่มีต้นทุนขั้นต่ำที่สุด ดังนั้นจึงอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายต้นทุนของไฮโดรเจนที่สะอาด

Hgen ได้พัฒนาอิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ที่มีความหนาแน่นพลังงานเชิงปริมาตรสูงกว่า 20 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับอิเล็กโทรไลเซอร์แอลคาไลน์ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ระบบที่มีขนาดเล็กลง 20 เท่าที่สามารถผลิตไฮโดรเจนในปริมาณเท่ากันได้ ความหนาแน่นของพลังงานสูงนี้ถูกปลดล็อกโดยเซลล์สร้างไฮโดรเจนของ Hgen ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า 9% และบางกว่าเซลล์แอลคาไลน์มาตรฐานถึง 6 เท่า ซึ่งส่งผลให้ได้อิเล็กโทรไลเซอร์ที่มีขนาดกะทัดรัดและราคาถูกกว่า

Molly Yang ผู้เป็น CEO ของ Hgen กล่าวว่า “การติดตั้งอิเล็กโทรไลเซอร์ในปัจจุบันดูเหมือนโครงการก่อสร้างปิโตรเคมีแบบที่กำหนดเอง นั่นก็คือสร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์เฉพาะและมีค่าใช้จ่ายสูง โมดูลที่ประกอบไว้ล่วงหน้าของเราประกอบด้วยอุปกรณ์และโครงสร้างอื่นๆ ภายในโรงงาน ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการออกแบบที่กำหนดเองและการก่อสร้างในสถานที่ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนของโครงการไฮโดรเจนในปัจจุบัน”

ด้วยการสนับสนุนจาก Breakthrough Energy Fellows ในช่วงแรก Hgen ได้ขยายเทคโนโลยีจากต้นแบบแบบตั้งโต๊ะไปสู่การสาธิตระดับอุตสาหกรรมที่ทำงานอยู่ในโรงงานของตนในฮอว์ธอร์น ขณะนี้บริษัทมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีไปใช้ที่ไซต์งานของลูกค้า

Alexis Ohanian ผู้เป็นผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดชอบของ Seven Seven Six กล่าวว่า “Hgen ได้รวบรวมทีมผู้เชี่ยวชาญที่น่าทึ่งจาก SpaceX และ Tesla ซึ่งก่อนหน้านี้ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อนได้ดีกว่าบริษัทเจ้าตลาดในช่วงเวลาที่รวดเร็ว และตอนนี้กำลังสร้างความก้าวหน้าในด้านอิเล็กโทรลิซิสแบบแอลคาไลน์”

Katelin Holloway ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งของ Seven Seven Six กล่าวว่า “ผลตอบรับเชิงพาณิชย์ของ Hgen เป็นเครื่องยืนยันประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของเทคโนโลยีของ Hgen และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะสนับสนุนพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้”

Hgen กำลังรับสมัครงานในลอสแองเจลิส

เกี่ยวกับ Hgen:

Hgen สร้างไฮโดรเจนที่สะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมหนัก อิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ประสิทธิภาพสูงกว่าของ Hgen จะแปลงน้ำและไฟฟ้าให้เป็นไฮโดรเจนที่สะอาด ซึ่งถูกใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในกระบวนการทางอุตสาหกรรม เช่น การผลิตสารเคมีและเหล็ก เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.hgen.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายชื่อติดต่อ

contact@hgen.com

แหล่งที่มา: Hgen

BKV Corporation ประกาศเปิดตัวการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก

Logo

DENVER–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2024

BKV Corporation (“BKV”) ประกาศเปิดตัวการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกเป็นจำนวน 15,000,000 หุ้นในวันนี้ โดยผู้รับประกันการจำหน่ายจะสามารถเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 2,250,000 หุ้นจาก BKV ในราคานำเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกภายในเวลา 30 วัน เมื่อหักส่วนลดและค่าคอมมิชชันจากการจัดจำหน่ายแล้ว ราคาเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 19.00 เหรียญสหรัฐถึง 21.00 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น โดยหุ้นดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กภายใต้ชื่อ “BKV”

Citigroup และ Barclays จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจองซื้อหุ้นหลักสำหรับการเสนอขายในครั้งนี้ Evercore ISI, Jefferies และ Mizuho จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจองซื้อหุ้นร่วม KeyBanc Capital Markets, Susquehanna Financial Group, LLP, TPH&Co., ส่วนธูรกิจพลังงานของ Perella Weinberg Partners, และ Truist Securities จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการร่วมอาวุโส Citizens JMP และ SMBC Nikko จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการร่วมในการเสนอขาย

การเสนอขายจะทำผ่านหนังสื้อชี้ชวนเท่านั้น สามารถขอรับสำเนาหนังสือชี้ชวนเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายได้ที่: Citigroup, c/o Broadridge Financial Solutions, 1155 Long Island Avenue, Edgewood, New York 11717, or by telephone at (800) 831-9146; หรือที่ Barclays Capital Inc., c/o Broadridge Financial Solutions, 1155 Long Island Avenue, Edgewood, New York 11717, ทางอีเมลที่ barclaysprospectus@broadridge.com หรือทางโทรศัพท์ที่หมายเลข (888) 603-5847

สามารถขอรับสำเนาหนังสือชี้ชวนได้ฟรีที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“SEC”) www.sec.gov และค้นนหาภายใต้ชื้อผู้จดทะเบียน “BKV Corporation”

มีการยื่นหนังสือชี้แจงการจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้นต่อ SEC แล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ หลักทรัพย์เหล่านี้จะยังไม่สามารถขาย หรือไม่สามารถยอมรับข้อเสนอซื้อได้ ก่อนที่หนังสือชี้แจงการจดทะเบียนจะมีผลบังคับใช้ เอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ไม่ถือเป็นข้อเสนอขายหรือการชักชวนให้ซื้อ และจะไม่มีการขายหลักทรัพย์เหล่านี้ในรัฐหรือเขตอำนาจศาลใดๆ ที่ข้อเสนอ การชักชวน หรือการขายดังกล่าวถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายก่อนการจดทะเบียนหรือการได้รับการรับรองคุณสมบัติภายใต้กฏหมายหลักทรัพย์ของรัฐหรือเขตอำนาจศาลดังกล่าว

เกี่ยวกับ BKV Corporation

BKV Corporation (BKV) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เป็นบริษัทพลังงานที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลและขับเคลื่อนการเติบโตโดยมุ่งเน้นที่การสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ธุรกิจหลักของ BKV คือการผลิตก๊าซธรรมชาติจากธุรกิจต้นน้ำที่บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินการเอง BKV (และบริษัทก่อนหน้า) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2015 และ BKV และพนักงานของบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างบริษัทพลังงานรูปแบบใหม่ BKV เป็นหนึ่งในผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติ 20 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกาและเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดตามปริมาณการดำเนินการรวมใน Barnett Shale BKV Corporation เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มบริษัท BKV

คำชี้แจงเชิงคาดการณ์

ข้อมูลในเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ประกอบด้วยคำชี้แจงเชิงคาดการณ์ตามความหมายของกฏหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลาง โดยทั่วไปแล้ว คำชี้แจงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอนาคตหรือผลการดำเนินงานทางการเงินหรือการดำเนินงานในอนาคตของเรา และรวมถึงคำชี้แจงเกี่ยวกับขนาด เวลา และผลลัพธ์ที่คาดหวังของการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก เมื่อใช้ในเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ คำต่างๆ “คาดหวัง” “คาดการณ์” “ประมาณการ” “เชื่อว่า” “คาดการณ์ล่วงหน้า” “ตั้งใจ” “งบประมาณ” “วางแผน” “แสวงหา” “จินตนาการ” “ประเมินการ” “เป้าหมาย” “ทำนาย” “อาจจะ” “ควรจะ” “น่าจะ” “เป็นไปได้ที่จะ” “จะ” คำตรงข้ามของคำแหล่านี้และสำนวนที่คล้ายคลึงกันมีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า แม้ว่าคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าทั้งหมดจะไม่มีคำที่ระบุดังกล่าวก็ตาม คำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้ามีพื้นนฐานมาจากความคาดหวังและสมมติฐานปัจจุบันของฝ่ายบริหาร และอาจขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอน ความเสี่ยง และการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ที่คาดเดาได้ยาก ดังนั้น ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างเป็นอย่างมากจากที่ระบุไว้ในคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ เมื่อพิจารณาคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์เหล่านี้ คุณควรคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงและคำเตือนอื่นๆ ในหนังสือชี้ชวนของ BKV BKV จะไม่มีภาระผูกพันและจะไม่มีการปรับปรุงคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้เพื่อสะท้อนถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการนำเสนอเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ คุณจึงควรใช้วิจารณญาณที่จะไม่อ้างอิงคำกล่าวอ้างเชิงคาดการณ์เหล่านี้มากเกินไป เนื่องจากคำกล่างอ้างนี้มีผลใช้ได้เฉพาะในวันที่นำเสนอเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้เท่านั้น

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Becky Escott
BKV Corporation
media@bkvcorp.com

แหล่งข้อมูล: BKV Corporation

Black & Veatch พิสูจน์โอกาสในการดักจับคาร์บอนในเวียดนาม

Logo

ผู้นำด้านวิศวกรรม การก่อสร้าง และการให้คำปรึกษาในระดับโลกที่ศึกษาการนำเทคโนโลยีดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาใช้ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โฮจิมินห์ เวียดนาม–(BUSINESS WIRE)–13 กันยายน 2024

Black & Veatch ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ กำลังประเมินความเป็นไปได้และความพร้อมในการปรับใช้เทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในโรงไฟฟ้าถ่านหินของเวียดนามเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเ

สถาบันปิโตรเลียมเวียดนาม (VPI) ได้มอบหมายให้ Black & Veatch ศึกษาเทคโนโลยีการลดการปล่อยคาร์บอนในโรงไฟฟ้าถ่านหิน 3 แห่งซึ่งเป็นของ Vietnam Oil and Gas Group (Petrovietnam หรือ PVN) โรงไฟฟ้าเหล่านี้ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน Vung Ang 1 ในจังหวัด Ha Tinh โรงไฟฟ้าพลังความร้อน Song Hau 1 ในจังหวัด Hau Giang และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน Thai Binh 2 ในจังหวัด Thai Binh โดยแต่ละโรงไฟฟ้ามีกำลังการผลิต 2 x 600 เมกะวัตต์ (MW)

“นี่เป็นการศึกษาการดักจับคาร์บอนครั้งแรกที่ดำเนินการกับโรงไฟฟ้าถ่านหินในเวียดนาม และผลการศึกษานี้สามารถช่วยกำหนดแผนงานและกรอบทางกฎหมาย สำหรับการพัฒนา CCUS ของประเทศเราได้” ดร. Nguyen Huu Luong ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของ VPI กล่าว

วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือการแนวโน้มเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนในปัจจุบัน และประเมินความเป็นไปได้และประสิทธิภาพของการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้กับก๊าซไอเสียจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน

“การปรับใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น CCUS ไปใช้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาคสำหรับผู้ผลิตพลังงานและอุตสาหกรรมหนัก” Narsingh Chaudhary ประธานธุรกิจเอเชียแปซิฟิกและอินเดียของ Black & Veatch กล่าว

“Black & Veatch มุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันที่หลากหลายและล้ำหน้าเพื่อช่วยให้ธุรกิจพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นด้วยแหล่งพลังงานที่มีคาร์บอนต่ำหรือไม่มีคาร์บอน”

ในฐานะส่วนหนึ่งของการศึกษาการโหลดล่วงหน้า (FEL) Black & Veatch จะเตรียมการประเมินเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน และเสนอเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับโรงไฟฟ้าแต่ละแห่ง และพัฒนาการออกแบบโดนสรุปแนวความคิดสำหรับหน่วยดักจับคาร์บอน นอกจากนี้ Black & Veatch จะสรุปกลยุทธ์ในการเชื่อมต่อหน่วยดักจับคาร์บอนกับโรงไฟฟ้าที่มีอยู่

แผนแม่บทพลังงานแห่งชาติของเวียดนามสำหรับปี 2021-2030 ซึ่งมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2050 ส่งเสริมการนำโซลูชัน CCUS มาใช้ในโรงงานผลิตอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า เพื่อให้บรรลุศักยภาพในการดักจับประมาณ 1 ล้านเมตริกตัน (mt)ต่อปี ภายในปี 2040 และ 3 ล้านถึง 6 ล้านเมตริกตันต่อปี ภายในปี 2050

Black & Veatch เป็นผู้นำตลาดในการศึกษาวิจัยและนำเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนมานานกว่า 30 ปี บริษัทมีประสบการณ์มากมายในการวิเคราะห์และออกแบบรายละเอียดการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รวมถึงระบบบีบอัดและจัดการ CO2 บริษัทได้ประเมินเทคโนโลยีหลาบแบบที่สามารถนำ CO2 มาใช้ เช่น การผลิตเมทานอลและก๊าซธรรมชาติสังเคราะห์ รวมถึงกระบวนการทางชีวภาพที่ใช้ CO2 อีกทั้ง Black & Veatch ยังมีประสบการณ์ในการประเมินและสนับสนุนการเติบโตและการวางแผนโครงการดักจับและใช้หรือกักเก็บคาร์บอน

ติดต่อ Contact Black & Veatch เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทวิศวกรรม จัดซื้อ ที่ปรึกษา และก่อสร้างระดับโลกที่พนักงานเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประสบการณ์ด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่ปี 1915 เราได้ช่วยให้ลูกค้าของเราปรับปรุงชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยเน้นที่ความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และใน LinkedIn Facebook X (Twitter) และ Instagram

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ข้อมูลการติดต่อสำหรับสื่อมวลชน:
EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | | Chialp@bv.com
อีเมลสำหรับสื่อตลอด 24 ชั่วโมง| Media@bv.com

แหล่งที่มา: Black & Veatch

The Bangkok Reporter