Black & Veatch จัดการกับความซับซ้อนของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในงาน Enlit Asia 2024

Logo

กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย

MidOcean Energy ของ EIG จะซื้อกรรมสิทธิ์ Peru LNG เพิ่มเติม 15% จาก Hunt Oil Company

Logo

Aramco นักลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ MidOcean จัดหาเงินทุนเพื่อการลงทุน

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2024

MidOcean Energy (“MidOcean” หรือ “บริษัท”), บริษัทก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก และ Hunt Oil Company (“Hunt”) ประกาศในวันนี้ว่าพวกเขาได้ทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายโดย MidOcean จะกรรมสิทธิ์ Peru LNG (“PLNG”) เพิ่มเติม 15% จาก Hunt

หลังจากปิดธุรกรรม กรรมสิทธิ์ PLNG ของ MidOcean จะเพิ่มขึ้นจาก จะเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 35% Aramco มีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบสถานะทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ที่สำคัญ ตลอดจนการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักในการอนุมัติธุรกรรม การทำธุรกรรมนี้จะได้รับเงินทุนทั้งหมดจาก Aramco ซึ่งจะเพิ่มกรรมสิทธิ์ MidOcean ของตนเป็น 49% การลงทุนเพิ่มเติมของ Aramco ใน MidOcean จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของ MidOcean และ Aramco ในตลาด LNG ทั่วโลก และจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสสัมผัสโครงการส่งออก LNG แห่งเดียวในอเมริกาใต้เพิ่มเติม สัดส่วนการถือหุ้นทางอ้อมของ Aramco ใน PLNG จะเท่ากับ 17.2% นอกจาก EIG และ Aramco แล้ว Mitsubishi Corporation ยังลงทุนใน MidOcean ท่ามกลางนักลงทุนระดับบลูชิปรายอื่นๆ

กรรมสิทธิ์ PLNG ของ Hunt จะลดลงจาก 50% เป็น 35% และ Hunt จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการของ PLNG หลังการทำธุรกรรม Hunt ยังคงถือกรรมสิทธิ์ 25.2% ในโครงการต้นน้ำ Camisea ในเปรู Hunt ลงทุนในเปรูมาตั้งแต่ปี 2000 และมุ่งมั่นที่จะสานต่อประวัติศาสตร์อันยาวนานของการลงทุนในเปรู และความเป็นเลิศในการดำเนินงานในโครงการ PLNG

PLNG เป็นเจ้าของและดำเนินการโรงงานส่งออก LNG แห่งเดียวในอเมริกาใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Pampa Melchorita ห่างจากกรุงลิมา ประเทศเปรู ไปทางใต้ 170 กิโลเมตร สินทรัพย์ของ PLNG ประกอบด้วยโรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวที่มีกำลังการผลิต 4.45 ล้านตันต่อปี ท่อส่งก๊าซความยาว 408 กิโลเมตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ PLNG โดยสมบูรณ์ซึ่งมีกำลังการผลิต 1,290 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ถังเก็บขนาด 130,000 ลูกบาศก์เมตรจำนวน 2 ถัง ท่าเรือทางทะเลความยาว 1.4 กิโลเมตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ PLNG โดยสมบูรณ์ และสถานที่บรรทุกสินค้าด้วยรถบรรทุกที่มีความจุสูงถึง 19.2 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดย PLNG จะได้รับการดำเนินการโดย Hunt และเป็นหนึ่งในโรงงานผลิต LNG เพียงสองแห่งในละตินอเมริกา

De la Rey Venter ผู้เป็น CEO ของ MidOcean กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน PLNG ซึ่งเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ MidOcean ในการสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลก ที่หลากหลาย และมีความยืดหยุ่น ความเชื่อของเราต่อพื้นฐานระยะยาวของตลาด LNG และในจุดแข็งของจุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ของ PLNG ในฐานะโรงงานส่งออก LNG เพียงแห่งเดียวในอเมริกาใต้ที่ยังคงแน่วแน่ เราตั้งตารอที่จะกระชับความร่วมมือของเรากับ Hunt Oil และผู้ร่วมทุน PLNG รายอื่นๆ และยังคงสนับสนุนผลกระทบเชิงบวกของโครงการต่อตลาดพลังงานของเปรูต่อไป”

Mark Gunnin ผู้เป็น CEO ของ Hunt กล่าวว่า “เรามุ่งเน้นไปที่การเตรียมโครงการ PLNG สำหรับอนาคต และโอกาสในการนำ MidOcean เข้ามาเป็นพันธมิตรถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”

Morgan Stanley ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ MidOcean ในการทำธุรกรรมครั้งนี้ และ Latham & Watkins ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย Bracewell LLP ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของ Hunt

เกี่ยวกับ EIG
EIG คือนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ซึ่งกำลังบริหารเงินลงทุนจำนวน 24.9 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2024 โดย EIG เชี่ยวชาญในการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ในตลอดช่วงระยะเวลา 42 ปี EIG ได้ทุ่มเงินกว่า 48.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับภาคพลังงานผ่านโครงการ 413 โครงการหรือบริษัทใน 42 ประเทศในหกทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยกองทุนเงินบำนาญ บริษัทประกันภัย กองทุนการกุศล มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งชั้นนำหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ รีโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ MidOcean Energy
MidOcean Energy ซึ่งป็นบริษัท LNG ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG มุ่งมั่นที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลกที่มีความหลากหลาย ยืดหยุ่น คุ้มทุน และเป็นคู่แข่งกับคาร์บอนได้ เป้าหมายของ MidOcean Energy สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของ EIG ที่มีต่อ LNG ในฐานะตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงพลังงาน และความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ LNG ในฐานะทรัพยากรพลังงานเชิงกลยุทธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ MidOcean Energy นำโดย De la Rey Venter ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานเป็นเวลา 26 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงหัวหน้าฝ่าย LNG ระดับโลกของ Shell Plc

เกี่ยวกับ Hunt Oil Company
Hunt ก่อตั้งขึ้นในปี 1934 โดยเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซอิสระที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา พื้นที่ปฏิบัติการหลักของบริษัทตั้งอยู่ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ในเปรู สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเคอร์ดิสถานของอิรัก รวมถึงโครงการสำรวจในตูนิเซียและโมร็อกโก Hunt เป็นบริษัทสำรวจระดับนานาชาติที่กระตือรือร้น และได้ขุดเจาะในทุกทวีปนอกเหนือจากทวีปแอนตาร์กติกา

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่เว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com หรือเว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายชื่อติดต่อ

ข้อมูลติดต่อ EIG
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

ข้อมูลติดต่อ Hunt
Paul Schulze
+1 214-978-8534
publicaffairs@huntconsolidated.com

แหล่งที่มา: EIG

Hgen ระดมทุน 5 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเสนอขายอิเล็กโทรไลเซอร์ประสิทธิภาพสูง

Logo

บริษัทสตาร์ทอัพที่ทำงานโดยมุ่งเน้นไปที่ไฮโดรเจนจะใช้เงินทุนเพื่อเร่งดำเนินการเสนอขายอิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ที่มีความหนาแน่นพลังงานเชิงปริมาตรที่สูงขึ้น 20 เท่า

ฮอว์ธอร์น แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–17 กันยายน 2024

Hgen ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตไฮโดรเจนสะอาดเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมหนัก ได้ประกาศปิดการระดมทุนรอบแรกซึ่งมีมูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐในวันนี้ การระดมทุนดังกล่าวนำโดย Seven Seven Six โดยมีส่วนร่วมจาก Founders Fund และ Fontinalis Partners โดย Hgen จะใช้เงินทุนนี้เพื่อเร่งการนำเทคโนโลยีไปเสนอขายที่ไซต์งานของลูกค้า

ไฮโดรเจนที่ได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิลเกือบ 100 ล้านเมตริกตันถูกผลิตขึ้นทุกปีเพื่อใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมและเคมี Hgen ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2021 มีเป้าหมายที่จะลดคาร์บอนของตลาดที่มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ นี้ด้วยการผลิตไฮโดรเจนที่สะอาดจากน้ำและไฟฟ้าผ่านอิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเล็กโทรไลเซอร์ประเภทหนึ่งที่มีต้นทุนขั้นต่ำที่สุด ดังนั้นจึงอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายต้นทุนของไฮโดรเจนที่สะอาด

Hgen ได้พัฒนาอิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ที่มีความหนาแน่นพลังงานเชิงปริมาตรสูงกว่า 20 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับอิเล็กโทรไลเซอร์แอลคาไลน์ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ระบบที่มีขนาดเล็กลง 20 เท่าที่สามารถผลิตไฮโดรเจนในปริมาณเท่ากันได้ ความหนาแน่นของพลังงานสูงนี้ถูกปลดล็อกโดยเซลล์สร้างไฮโดรเจนของ Hgen ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า 9% และบางกว่าเซลล์แอลคาไลน์มาตรฐานถึง 6 เท่า ซึ่งส่งผลให้ได้อิเล็กโทรไลเซอร์ที่มีขนาดกะทัดรัดและราคาถูกกว่า

Molly Yang ผู้เป็น CEO ของ Hgen กล่าวว่า “การติดตั้งอิเล็กโทรไลเซอร์ในปัจจุบันดูเหมือนโครงการก่อสร้างปิโตรเคมีแบบที่กำหนดเอง นั่นก็คือสร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์เฉพาะและมีค่าใช้จ่ายสูง โมดูลที่ประกอบไว้ล่วงหน้าของเราประกอบด้วยอุปกรณ์และโครงสร้างอื่นๆ ภายในโรงงาน ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการออกแบบที่กำหนดเองและการก่อสร้างในสถานที่ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนของโครงการไฮโดรเจนในปัจจุบัน”

ด้วยการสนับสนุนจาก Breakthrough Energy Fellows ในช่วงแรก Hgen ได้ขยายเทคโนโลยีจากต้นแบบแบบตั้งโต๊ะไปสู่การสาธิตระดับอุตสาหกรรมที่ทำงานอยู่ในโรงงานของตนในฮอว์ธอร์น ขณะนี้บริษัทมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีไปใช้ที่ไซต์งานของลูกค้า

Alexis Ohanian ผู้เป็นผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดชอบของ Seven Seven Six กล่าวว่า “Hgen ได้รวบรวมทีมผู้เชี่ยวชาญที่น่าทึ่งจาก SpaceX และ Tesla ซึ่งก่อนหน้านี้ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อนได้ดีกว่าบริษัทเจ้าตลาดในช่วงเวลาที่รวดเร็ว และตอนนี้กำลังสร้างความก้าวหน้าในด้านอิเล็กโทรลิซิสแบบแอลคาไลน์”

Katelin Holloway ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งของ Seven Seven Six กล่าวว่า “ผลตอบรับเชิงพาณิชย์ของ Hgen เป็นเครื่องยืนยันประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของเทคโนโลยีของ Hgen และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะสนับสนุนพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้”

Hgen กำลังรับสมัครงานในลอสแองเจลิส

เกี่ยวกับ Hgen:

Hgen สร้างไฮโดรเจนที่สะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมหนัก อิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ประสิทธิภาพสูงกว่าของ Hgen จะแปลงน้ำและไฟฟ้าให้เป็นไฮโดรเจนที่สะอาด ซึ่งถูกใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในกระบวนการทางอุตสาหกรรม เช่น การผลิตสารเคมีและเหล็ก เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.hgen.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายชื่อติดต่อ

contact@hgen.com

แหล่งที่มา: Hgen

BKV Corporation ประกาศเปิดตัวการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก

Logo

DENVER–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2024

BKV Corporation (“BKV”) ประกาศเปิดตัวการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกเป็นจำนวน 15,000,000 หุ้นในวันนี้ โดยผู้รับประกันการจำหน่ายจะสามารถเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 2,250,000 หุ้นจาก BKV ในราคานำเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกภายในเวลา 30 วัน เมื่อหักส่วนลดและค่าคอมมิชชันจากการจัดจำหน่ายแล้ว ราคาเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 19.00 เหรียญสหรัฐถึง 21.00 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น โดยหุ้นดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กภายใต้ชื่อ “BKV”

Citigroup และ Barclays จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจองซื้อหุ้นหลักสำหรับการเสนอขายในครั้งนี้ Evercore ISI, Jefferies และ Mizuho จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจองซื้อหุ้นร่วม KeyBanc Capital Markets, Susquehanna Financial Group, LLP, TPH&Co., ส่วนธูรกิจพลังงานของ Perella Weinberg Partners, และ Truist Securities จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการร่วมอาวุโส Citizens JMP และ SMBC Nikko จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการร่วมในการเสนอขาย

การเสนอขายจะทำผ่านหนังสื้อชี้ชวนเท่านั้น สามารถขอรับสำเนาหนังสือชี้ชวนเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายได้ที่: Citigroup, c/o Broadridge Financial Solutions, 1155 Long Island Avenue, Edgewood, New York 11717, or by telephone at (800) 831-9146; หรือที่ Barclays Capital Inc., c/o Broadridge Financial Solutions, 1155 Long Island Avenue, Edgewood, New York 11717, ทางอีเมลที่ barclaysprospectus@broadridge.com หรือทางโทรศัพท์ที่หมายเลข (888) 603-5847

สามารถขอรับสำเนาหนังสือชี้ชวนได้ฟรีที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“SEC”) www.sec.gov และค้นนหาภายใต้ชื้อผู้จดทะเบียน “BKV Corporation”

มีการยื่นหนังสือชี้แจงการจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้นต่อ SEC แล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ หลักทรัพย์เหล่านี้จะยังไม่สามารถขาย หรือไม่สามารถยอมรับข้อเสนอซื้อได้ ก่อนที่หนังสือชี้แจงการจดทะเบียนจะมีผลบังคับใช้ เอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ไม่ถือเป็นข้อเสนอขายหรือการชักชวนให้ซื้อ และจะไม่มีการขายหลักทรัพย์เหล่านี้ในรัฐหรือเขตอำนาจศาลใดๆ ที่ข้อเสนอ การชักชวน หรือการขายดังกล่าวถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายก่อนการจดทะเบียนหรือการได้รับการรับรองคุณสมบัติภายใต้กฏหมายหลักทรัพย์ของรัฐหรือเขตอำนาจศาลดังกล่าว

เกี่ยวกับ BKV Corporation

BKV Corporation (BKV) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เป็นบริษัทพลังงานที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลและขับเคลื่อนการเติบโตโดยมุ่งเน้นที่การสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ธุรกิจหลักของ BKV คือการผลิตก๊าซธรรมชาติจากธุรกิจต้นน้ำที่บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินการเอง BKV (และบริษัทก่อนหน้า) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2015 และ BKV และพนักงานของบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างบริษัทพลังงานรูปแบบใหม่ BKV เป็นหนึ่งในผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติ 20 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกาและเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดตามปริมาณการดำเนินการรวมใน Barnett Shale BKV Corporation เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มบริษัท BKV

คำชี้แจงเชิงคาดการณ์

ข้อมูลในเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ประกอบด้วยคำชี้แจงเชิงคาดการณ์ตามความหมายของกฏหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลาง โดยทั่วไปแล้ว คำชี้แจงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอนาคตหรือผลการดำเนินงานทางการเงินหรือการดำเนินงานในอนาคตของเรา และรวมถึงคำชี้แจงเกี่ยวกับขนาด เวลา และผลลัพธ์ที่คาดหวังของการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก เมื่อใช้ในเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ คำต่างๆ “คาดหวัง” “คาดการณ์” “ประมาณการ” “เชื่อว่า” “คาดการณ์ล่วงหน้า” “ตั้งใจ” “งบประมาณ” “วางแผน” “แสวงหา” “จินตนาการ” “ประเมินการ” “เป้าหมาย” “ทำนาย” “อาจจะ” “ควรจะ” “น่าจะ” “เป็นไปได้ที่จะ” “จะ” คำตรงข้ามของคำแหล่านี้และสำนวนที่คล้ายคลึงกันมีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า แม้ว่าคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าทั้งหมดจะไม่มีคำที่ระบุดังกล่าวก็ตาม คำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้ามีพื้นนฐานมาจากความคาดหวังและสมมติฐานปัจจุบันของฝ่ายบริหาร และอาจขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอน ความเสี่ยง และการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ที่คาดเดาได้ยาก ดังนั้น ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างเป็นอย่างมากจากที่ระบุไว้ในคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ เมื่อพิจารณาคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์เหล่านี้ คุณควรคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงและคำเตือนอื่นๆ ในหนังสือชี้ชวนของ BKV BKV จะไม่มีภาระผูกพันและจะไม่มีการปรับปรุงคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้เพื่อสะท้อนถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการนำเสนอเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ คุณจึงควรใช้วิจารณญาณที่จะไม่อ้างอิงคำกล่าวอ้างเชิงคาดการณ์เหล่านี้มากเกินไป เนื่องจากคำกล่างอ้างนี้มีผลใช้ได้เฉพาะในวันที่นำเสนอเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้เท่านั้น

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Becky Escott
BKV Corporation
media@bkvcorp.com

แหล่งข้อมูล: BKV Corporation

Black & Veatch พิสูจน์โอกาสในการดักจับคาร์บอนในเวียดนาม

Logo

ผู้นำด้านวิศวกรรม การก่อสร้าง และการให้คำปรึกษาในระดับโลกที่ศึกษาการนำเทคโนโลยีดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาใช้ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โฮจิมินห์ เวียดนาม–(BUSINESS WIRE)–13 กันยายน 2024

Black & Veatch ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ กำลังประเมินความเป็นไปได้และความพร้อมในการปรับใช้เทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในโรงไฟฟ้าถ่านหินของเวียดนามเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเ

สถาบันปิโตรเลียมเวียดนาม (VPI) ได้มอบหมายให้ Black & Veatch ศึกษาเทคโนโลยีการลดการปล่อยคาร์บอนในโรงไฟฟ้าถ่านหิน 3 แห่งซึ่งเป็นของ Vietnam Oil and Gas Group (Petrovietnam หรือ PVN) โรงไฟฟ้าเหล่านี้ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน Vung Ang 1 ในจังหวัด Ha Tinh โรงไฟฟ้าพลังความร้อน Song Hau 1 ในจังหวัด Hau Giang และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน Thai Binh 2 ในจังหวัด Thai Binh โดยแต่ละโรงไฟฟ้ามีกำลังการผลิต 2 x 600 เมกะวัตต์ (MW)

“นี่เป็นการศึกษาการดักจับคาร์บอนครั้งแรกที่ดำเนินการกับโรงไฟฟ้าถ่านหินในเวียดนาม และผลการศึกษานี้สามารถช่วยกำหนดแผนงานและกรอบทางกฎหมาย สำหรับการพัฒนา CCUS ของประเทศเราได้” ดร. Nguyen Huu Luong ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของ VPI กล่าว

วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือการแนวโน้มเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนในปัจจุบัน และประเมินความเป็นไปได้และประสิทธิภาพของการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้กับก๊าซไอเสียจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน

“การปรับใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น CCUS ไปใช้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาคสำหรับผู้ผลิตพลังงานและอุตสาหกรรมหนัก” Narsingh Chaudhary ประธานธุรกิจเอเชียแปซิฟิกและอินเดียของ Black & Veatch กล่าว

“Black & Veatch มุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันที่หลากหลายและล้ำหน้าเพื่อช่วยให้ธุรกิจพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นด้วยแหล่งพลังงานที่มีคาร์บอนต่ำหรือไม่มีคาร์บอน”

ในฐานะส่วนหนึ่งของการศึกษาการโหลดล่วงหน้า (FEL) Black & Veatch จะเตรียมการประเมินเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน และเสนอเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับโรงไฟฟ้าแต่ละแห่ง และพัฒนาการออกแบบโดนสรุปแนวความคิดสำหรับหน่วยดักจับคาร์บอน นอกจากนี้ Black & Veatch จะสรุปกลยุทธ์ในการเชื่อมต่อหน่วยดักจับคาร์บอนกับโรงไฟฟ้าที่มีอยู่

แผนแม่บทพลังงานแห่งชาติของเวียดนามสำหรับปี 2021-2030 ซึ่งมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2050 ส่งเสริมการนำโซลูชัน CCUS มาใช้ในโรงงานผลิตอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า เพื่อให้บรรลุศักยภาพในการดักจับประมาณ 1 ล้านเมตริกตัน (mt)ต่อปี ภายในปี 2040 และ 3 ล้านถึง 6 ล้านเมตริกตันต่อปี ภายในปี 2050

Black & Veatch เป็นผู้นำตลาดในการศึกษาวิจัยและนำเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนมานานกว่า 30 ปี บริษัทมีประสบการณ์มากมายในการวิเคราะห์และออกแบบรายละเอียดการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รวมถึงระบบบีบอัดและจัดการ CO2 บริษัทได้ประเมินเทคโนโลยีหลาบแบบที่สามารถนำ CO2 มาใช้ เช่น การผลิตเมทานอลและก๊าซธรรมชาติสังเคราะห์ รวมถึงกระบวนการทางชีวภาพที่ใช้ CO2 อีกทั้ง Black & Veatch ยังมีประสบการณ์ในการประเมินและสนับสนุนการเติบโตและการวางแผนโครงการดักจับและใช้หรือกักเก็บคาร์บอน

ติดต่อ Contact Black & Veatch เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทวิศวกรรม จัดซื้อ ที่ปรึกษา และก่อสร้างระดับโลกที่พนักงานเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประสบการณ์ด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่ปี 1915 เราได้ช่วยให้ลูกค้าของเราปรับปรุงชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยเน้นที่ความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และใน LinkedIn Facebook X (Twitter) และ Instagram

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ข้อมูลการติดต่อสำหรับสื่อมวลชน:
EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | | Chialp@bv.com
อีเมลสำหรับสื่อตลอด 24 ชั่วโมง| Media@bv.com

แหล่งที่มา: Black & Veatch

โครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาลาบังกาโดย บริษัท เนกซิฟ-ราช เอนเนอจี ได้เริ่มดำเนินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว

Logo

คาลาบังกา ฟิลิปปินส์–(BUSINESS WIRE)–07 สิงหาคม 2024

บริษัทร่วมทุน เนกซิฟ-ราช เอนเนอจี ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานอิสระชั้นนำด้านพลังงานหมุนเวียนยินดีที่จะแจ้งว่า โครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แบบติดตั้งบนพี้นดิน คาลาบังกา ขนาดกำลังการผลิต 74.2 แมกกะวัตต์ ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2024  หลังจากที่ National Grid Corporation of the Philippines ได้ดำเนินการทดสอบและทดลองระบบแล้วเสร็จ 

โครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาลาบังกา ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดคามารีเนสซูร์ บริเวณตอนใต้ของเกาะลูซอน เป็นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่โครงการแรกในเขตบีโคล ซึ่งผลิตพลังงานไฟฟ้าให้แก่โครงข่ายไฟฟ้าของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์  งพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะจำหน่ายให้บริษัทย่อยในกลุ่มของ Aboitiz Power Corporation ผ่านสัญญาซึ้อขายไฟระยะเวลา 10 ปี

สำหรับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ บริษัทร่วมทุน เนกซิฟ-ราช เอนเนอจี มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพื่อตอบสนองนโยบายพลังงานเพื่อความยั่งยืน ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นีกรอส ขนาดกำลังการผลิต 145 เมกะวัตต์ ในเขตวิซายัส  และการพัฒนาโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานลมอีก 2 แห่ง ได้แก่ โครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานลมใกล้ชายฝั่งบริเวณอ่าวซานมิเกล ที่คาดว่าจะมีศักยภาพในการผลิตสูงถึง 500 เมกะวัตต์ และโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งในเมืองลูเซนา ที่คาดว่าจะมีศักยภาพในการผลิตสูงถึง 450 เมกะวัตต์

นายไซริล ดิเซคคู กรรมการผู้จัดการบริษัท เนกซิฟ-ราช เอนเนอจี กล่าวว่า “ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะแจ้งว่า โครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาลาบังกาได้เดินเครื่องเชิงพาณิชย์สำเร็จแล้ว  โครงการนี้เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแรกของเราใน สาธารณรัฐฟิลิปปินส์  เรามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนเพื่ออนาตคที่ยั่งยืน”

นายซูรินเดอร์ ซิงค์ ประธานกรรมการ บริษัท เนกซิฟ-ราช เอนเนอจี กล่าวว่า “ผมขอขอบคุณคณะรัฐบาลสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ที่ได้ให้ความไว้วางใจ และสนับสนุนบริษัทฯ ในการพัฒนาโครงการคาลาบังกา นอกจากนี้ผมขอขอบคุณ คู่ค้าและชุมชนท้องถิ่นในคามารีเนสซูร์  บริษัทฯ ยินดีที่จะแจ้งว่าพัฒนาโครงการอื่นๆ ก็มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”

ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทร่วมทุน เนกซิฟ-ราช เอนเนอจี และโครงการในแผนพัฒนาได้ที่ www.nexifratch.com

ข้อมูลเพื่มเติมของบริษัทร่วมทุน เนกซิฟ-ราช เอนเนอจี:

บริษัท เนกซิฟ-ราช เอนเนอจี จัดเป็นผู้ผลิตพลังงานอิสระด้านพลังงานหมุนเวียน ที่พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ และมีสำนักงานระดับภูมิภาคตั้งอยู่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทฯ ประกอบด้วยโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการโรงงานไฟฟ้าพลังน้ำ และโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานลมขนาด  บริษัทฯ มีกำลังการผลิตของโครงการที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์รวม 378 เมกะวัตต์ และ กำลังการผลิตของโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา การก่อสร้าง และพร้อมดำเนินงาน รวมกว่า 6 กิกะวัตต์

บริษัท เนกซิฟ-ราช เอนเนอจี เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัทเนกซิฟ เอนเนอจี ประเทศสิงค์โปร์ และ  บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผู้ติดต่อ

ชริยา ภู่พิสิฐ

บริษัท เนกซิฟ-ราช เอนเนอจี

info@nexifratch.com

Tabreed Eyes ขยายสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการสนับสนุนการประชุม Asia Urban Energy Assembly ครั้งที่ 3

Logo

  • บริษัทพร้อมนำเสนอประสบการณ์ชั้นนำระดับโลกสู่สมาชิกสภานิติบัญญัติและนักพัฒนาในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและการปรับขนาดให้มีการประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น

ABU DHABI, United Arab Emirates–(BUSINESS WIRE)–09 กรกฎาคม 2024

Tabreed บริษัทชั้นนำด้านระบบทำความเย็นของโลก ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในงาน Asia Urban Energy Assembly ครั้งที่ 3 ซึ่งมีการจัดขึ้นในกรุงเทพ ประเทศไทย ด้วยแนวโน้มเชิงกลยุทธ์การตลาดที่มีความเป็นไปได้สูงสำหรับระบบทำความเย็นในภูมิภาคอย่างยั่งยืน Tabreed มองหาโอกาสใหม่ๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีผลกระทบทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสังคมเพิ่มขึ้นจากบรรยากาศอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปของโลก

Chief Executive Officer, Khalid Al Marzooqi (Photo: AETOSWire)

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร, Khalid Al Marzooqi (ภาพถ่าย: AETOSWire)

สมาชิกในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของ Tabreed แสดงความมุ่งมั่นที่ชัดเจนในการร่วมมือกับนักพัฒนา สถาปนิก นักวางแผน วิศวกร ที่ปรึกษา และเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยตรง โดยมีการแสดงกรณีศึกษาที่น่าสนใจและเป็นส่วนสำคัญสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนสำหรับระบบทำความเย็นในภูมิภาค เมื่อมีการวางแผนสร้างเมืองอัจฉริยะใหม่ๆ ขึ้น รัฐบาลและนักพัฒนาที่รับผิดชอบโครงการจะคำนึงถึงเทคโนโลยีที่รองรับอนาคต โดยสามารถลดการใช้พลังงานด้วยบริการที่เชื่อถือได้และมีความยั่งยืน ซึ่งมีส่วนเสริมให้ชุมชนและอุตสาหกรรมเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น

“ระบบการทำความเย็นไม่ถือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยอีกต่อไป” Khalid Al Marzooqi ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tabreed กล่าว “ปัจจุบันนี้ ระบบการทำความเย็นถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตและมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีต่อประเทศและเขตแดนต่างๆ มากขึ้น จึงมีความจำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อสุขภาพ ความสะดวกสบาย และความปรองดองในสังคม และ Tabreed เป็นผู้ส่งเสริมสิ่งที่สำคัญเหล่านี้มานานแล้วกว่ากึ่งศตวรรษ”

ระบบการทำความเย็นในภูมิภาคจะมีการจ่ายน้ำเย็นให้กับภาคส่วนพัฒนาอุตสาหกรรม ธุรกิจ และที่อยู่อาศัยจากโรงงานส่วนกลางผ่านเครือข่ายท่อหุ้มฉนวนใต้ดิน ซึ่งจากนั้น จะมีการนำไปใช้ในระบบปรับอากาศของอาคาร ก่อนที่จะมีการส่งกลับไปยังโรงงานเพื่อใช้ในระบบการทำความเย็นในวงจรอย่างต่อเนื่อง โดยมีการบันทึกประโยชน์ต่างๆ ในเอกสารเป็นอย่างดี รวมถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ลดลง 50% เมื่อเทียบกับระบบการทำความเย็นแบบดั้งเดิม รวมถึงการลดมลภาวะทางเสียงและทัศนียภาพ นักพัฒนาก็สามารถใช้ประโยชน์จากการลงทุนเป็นศูนย์และเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ได้ด้วยเช่นกัน

“ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น” Al Marzooqi กล่าวสรุป “ในแต่ปี ด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและการใช้พลังงานที่ลดลง การดำเนินงานของ Tabreed จึงสามารถป้องกันการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้หลายล้านตัน นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน ทุกที่ และเรากำลังมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้หลายประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ได้”

เกี่ยวกับ Tabreed

Tabreed ให้บริการระบบทำความเย็นที่จำเป็นและยั่งยืนแก่ภูมิภาคเพื่อการพัฒนาอย่างมีเอกลักษณ์สำหรับภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชีย โดยเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมทั่วโลกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1998 มีการจดทะเบียนในตลาดการเงินดูไบ และเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ด้วยการดำเนินงานที่กว้างขวางระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยมีความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพระดับชั้นนำในอุตสาหกรรม มีโปรแกรมการวิจัยและการพัฒนา และมีการลงทุนในเทคโนโลยี AI ทำให้ Tabreed เป็นผู้นำระดับโลกของอุตสาหกรรมระบบทำความเย็นในภูมิภาค นอกเหนือจากระบบทำความเย็นในภูมิภาคแล้ว บริการด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพของ Tabreed ยังขยายผลต่อความยั่งยืนของบริษัท ช่วยให้ธุรกิจและองค์กรสามารถปรับปรุงการใช้พลังงานโดยองค์รวม ในทางกลับกัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์การปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นกลางอีกด้วย

แหล่งข้อมูลAETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54091062/en

ติดต่อ

Samer Al Tawil
ผู้จัดการอาวุโส, Marketing and Engagement
saltawil@tabreed.ae

Kevin Hackett
รองผู้จัดการ, External Communications
khackett@tabreed.ae

แหล่งข้อมูล: Tabreed

Pearl Pipelines ของ EIG เสร็จสิ้นโครงการรีไฟแนนซ์หนี้ไม่ด้อยสิทธิมูลค่า 11 พันล้านดอลลาร์

Logo

นำเงินทุนทั้งหมดที่ลงทุนในท่อส่งน้ำมันของ Aramco ในสัดส่วน 49% มาเป็นเงินประมาณ $13 พันล้านดอลลาร์ รองรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสำหรับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียด้วยเงินลงทุนประมาณ 65% จากนอกราชอาณาจักร

ลักเซมเบิร์ก–(BUSINESS WIRE)–02 กรกฎาคม 2024

บริษัทผู้ถือหุ้น EIG Pearl Holdings S.à r.l. ที่ก่อตั้งและบริหารโดย EIG ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในสถาบันชั้นแนวหน้าในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ได้ประกาศในวันนี้ถึงการเสร็จสิ้นโครงการรีไฟแนนซ์หนี้ไม่ด้อยสิทธิมูลค่าประมาณ 11.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเงินที่ใช้ในการชำระคืนเงินกู้ยืมภายใต้วงเงินกู้ยืมสำหรับการซื้อกิจการซึ่งใช้ในการจัดหาเงินทุนในการซื้อหุ้น 49% ในบริษัท Aramco Oil Pipelines Company (“AOPC”) ในเดือนมิถุนายนปี 2021

โครงสร้างเงินทุนล่วงหน้าของ EIG Pearl Holdings S.à r.l. ประกอบด้วยพันธบัตรสาธารณะแบบมีหลักประกันและตราสารหนี้ภาคเอกชนมูลค่าประมาณ 11.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอายุเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักที่เหลืออยู่ประมาณ 16 ปี และหุ้นสามัญมูลค่าประมาณ 1.9 พันล้านดอลลาร์ที่ลงทุนในเดือนมิถุนายนปี 2021 เพื่อเป็นเงินทุนบางส่วนสำหรับการเข้าซื้อกิจการ

การเสร็จสิ้นโครงการรีไฟแนนซ์หนี้ไม่ด้อยสิทธินี้จะเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ให้บริการเงินทุนระดับโลกในการทำธุรกรรมนี้ และสินทรัพย์อ้างอิงในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียประมาณ 8.5 พันล้านดอลลาร์หรือประมาณ 65% ของเงินลงทุนทั้งหมดมาจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลกและผู้ให้กู้จากสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสถาบันระดับโลกอื่นๆ

เกี่ยวกับ EIG Pearl Holdings S.à r.l.

EIG Pearl Holdings S.à r.l. ถือหุ้น 49% ใน AOPC ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดที่จัดตั้งขึ้นในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดยมีสิทธิได้รับชำระภาษีเป็นเวลา 25 ปีสำหรับการขนส่งน้ำมันผ่านเครือข่ายท่อส่งน้ำมันดิบที่มีความเสถียรของ Aramco ซึ่งมีท่อส่งน้ำมันทั้งในปัจจุบันและที่จะมีอีกในอนาคตทั้งหมดอยู่ภายในราชอาณาจักร โดยที่ EIG Pearl Holdings S.à r.l. เป็นเจ้าของทางอ้อม 89.45% ในยานพาหนะรวบรวมที่จัดการและควบคุมโดย EIG Management Company, LLC และบริษัทในเครือ

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ของ EIG Pearl Holdings S.à r.l. ที่ www.pearlpipelines.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

แหล่งข้อมูล: EIG

Black & Veatch เสนอแผนการปรับใช้นวัตกรรม Low-Carbon อย่างรวดเร็วเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่งาน Future Energy Asia

Logo

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย–(BUSINESS WIRE)–9 พฤษภาคม 2567

Black & Vetch ผู้นําโซลูชันด้านโครงสร้างพื้นฐานได้เสนอว่าเอเซียแปซิฟิกต้องระบุและปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีคาร์บอนต่ำให้มากขึ้น เพื่อเร่งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและการพัฒนาเชื้อเพลิงทางเลือกขั้นตอนต่อไปเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นงานที่มีความซับซ้อน

โครงการพลังงานหมุนเวียนหลายแห่งจะมีขนาดใหญ่และบ่อยครั้งโครงการจะตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่จะต้องเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้ากับแหล่งพลังงานใหม่ที่เหมาะสมสําหรับทั้งการผลิตและการพัฒนาไฮโดรเจนสีเขียวในรูปแบบเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ การถอดถอนโครงสร้างพื้นฐานถ่านหินเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน จะต้องต้องมีการจัดการด้านการเงินให้เหมาะสมและเป็นธรรมต่อประชาชนและธุรกิจในท้องถิ่นดังกล่าว

“อย่างไรก็ตาม โอกาสมากมายที่มีอยู่ในเอเชียแปซิฟิกในการรวมเทคโนโลยีการผลิตพลังงานที่แตกต่าง ระบบสายส่ง และการจัดจําหน่ายในราคาที่เหมาะสมและในเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้บรรลุความสําเร็จเชิงพาณิชย์และสิ่งแวดล้อม” กล่าวโดย Narsingh Chaudhary ประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอินเดียของ Black &Veatch

“Black & Veatch เป็นผู้นำด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สําคัญมาหลายทศวรรษแล้ว และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นในเอเชียแปซิฟิกด้วยแหล่งพลังงานที่มีคาร์บอนต่ำและไม่มีคาร์บอน” กล่าวโดย Narsingh Chaudhary

ในขณะที่เศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกเปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่พื้นฐานใช้พลังงานที่มีคาร์บอน มาเป็นใช้พลังงานจากอิเล็กตรอนและโมเลกุล ภูมิภาคนี้จะต้องหาแหล่งพลังงานที่เหมาะสมสําหรับความต้องการระยะสั้นและการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว รวมถึง ระดับการเข้าถึงแหล่งพลังงาน ความต้องการพลังงานที่แตกต่าง และความต้องการโซลูชันที่หลากหลาย

ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สามารถรองรับการเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหิน และผสมพลังงานเพิ่มเติมที่จําเป็นต้องมีเพื่อสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจในตลาดกําลังพัฒนาได้

เทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงาน เช่น ระบบจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) และการจัดเก็บพลังงานน้ำระบบสูบกลับ (PSH) จะเป็นส่วนที่ช่วยรักษา เสริมสร้างความมีเสถียรภาพ และความมั่นคงให้กับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอันเนื่องมาจากความแปรปรวนหรือการขาดหายอย่างฉับพลันของพลังงานหมุนเวียนต่างๆในระบบ

ไฮโดรเจน จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่จะมีศักยภาพในอนาคต สำหรับการกักเก็บ และ รักษาสมดุล สำหรับการเชื่อมโยงกันของ ภาคผลิตสาธารณูปโภค, ภาคธุรกิจ และ ภาคอุตสาหกรรม ที่ยังคงต้องการการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

การวางแผนและการออกแบบโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพที่ดี อันประกอบด้วย ระบบการเชื่อมโยงสายส่ง ระบบการเชื่อมโยงสถานีไฟฟ้า และระบบการทดแทนของแหล่งพลังงาน จะเป็นตัวแปรสำคัญในการรรักษาเสถียรภาพ ในด้านแรงดัน, ความถี่ และความต้องการไฟฟ้า ของแต่ละประเทศใน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค

ที่งาน Future Energy Asia 2024  Narsingh Chaudhary จะนําเสนอตัวอย่าง การใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน รวมถึงที่ Narsingh Chaudharyจะแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบทบาทของก๊าซและ LNG ในฐานะเชื้อเพลิงเปลี่ยนผ่าน

หัวข้ออื่น ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของ Black & Veatch จะหารือที่ Future Energy Asia ได้แก่:

  • เปิดใช้งานการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนเข้ากับเทคโนโลยีสมาร์ทกริด
  • ความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาการดําเนินการด้านสภาพอากาศ โซลูชัน และนวัตกรรม
  • การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ PV และ BESS
  • การใช้ไฮโดรเจนสีเขียว

ติดต่อ Black & Veatch สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black &Veatch เป็นบริษัทด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คําปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลกที่พนักงานเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในด้านนวัตกรรมในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ตั้งแต่ปี 1915 เราได้ช่วยลูกค้าของเราปรับปรุงชีวิตของผู้คนทั่วโลก โดยจัดการกับความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญที่สุดของเรา ติดตามเราบน www.bv.com และบนโซเชียลมีเดีย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสื่อมวลชน:
EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | +65 9875 8907 M | Chialp@bv.com
อีเมลสื่อตลอด 24 ชั่วโมง | LINKEDIN Media@bv.com

ที่มา: Black & Veatch

MidOcean Energy ของ EIG แต่งตั้ง Armand Lumens เป็น CFO

Logo

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–14 พฤษภาคม 2024

MidOcean Energy (“MidOcean”) อันเป็นบริษัทก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ได้ประกาศแต่งตั้ง Armand Lumens ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ในวันนี้

(Photo: Business Wire)

(ภาพ: Business Wire)

Mr. Lumens นำประสบการณ์กว่า 30 ปีที่มีความเกี่ยวข้องอย่างมากและมีความเชี่ยวชาญในวงกว้างมาสู่ MidOcean ทั้งในด้าน M&A หุ้นนอกตลาด การพัฒนาธุรกิจ การค้าขาย การเงิน การตรวจสอบ การจัดการความเสี่ยง การร่วมลงทุน การเสนอขายหุ้นแก่เอกชน และการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก

“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ Armand เข้าสู่ทีม MidOcean” De la Rey Venter ผู้เป็น CEO ของ MidOcean กล่าว “เรามั่นใจในความสามารถของเขาในการขับเคลื่อนความเป็นเลิศทางการเงิน อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้บริษัทเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาของเขาจะเป็นทรัพย์สินอันล้ำค่า ในขณะที่ MidOcean จะยังคงดำเนินการตามวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ต่อไป”

Lumens กล่าวว่า “MidOcean อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะสร้างผลกระทบสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านของภาคส่วนพลังงานผ่านความเชี่ยวชาญและมุ่งเน้นไปที่ LNG ผมตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมงานกับ De la Rey และทีม EIG เนื่องจากมันจะเป็นการสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลก”

ล่าสุด Mr. Lumens ดำรงตำแหน่ง Group CFO ของ Neptune Energy ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและปรับใช้กลยุทธ์ทางการเงินและไอทีของบริษัท ตลอดจนบรรลุความสำเร็จในการดำเนินงาน ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งที่ Neptune Energy เขาดำรงตำแหน่ง Group CFO ที่ Louis Dreyfus ก่อนหน้านี้ Mr. Lumens ทำงานที่ Shell มานานกว่า 24 ปี โดยดำรงตำแหน่งอาวุโสหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึง CFO ของ Shell Trading ประธานผู้ตรวจสอบภายใน และหัวหน้าฝ่ายการรายงานและการวางแผนภายนอกของกลุ่มอีกด้วย

Mr. Lumens สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและ MBA จากมหาวิทยาลัย Maastricht และปริญญาโทสาขาการเงินจาก London Business School เขาเป็นผู้ตรวจสอบภายในที่ผ่านการรับรองและเป็นศิษย์เก่าของหลักสูตรภาวะผู้นำผู้บริหารของ IMD Mr. Lumens สามารถพูดภาษาอังกฤษ ดัตช์ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาลีได้อย่างคล่องแคล่ว

เกี่ยวกับ EIG
EIG คือนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก โดยมีมูลค่าภายใต้การบริหาร 24.7 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2024 EIG เชี่ยวชาญในการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ในช่วงประวัติศาสตร์ 42 ปี EIG ได้ทุ่มเงินกว่า 47.9 พันล้านดอลลาร์ให้กับภาคพลังงานผ่านโครงการหรือบริษัท 410 แห่งใน 42 ประเทศใน 6 ทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยแผนบำนาญ บริษัทประกันภัย กองทุนการกุศล มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งชั้นนำหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ รีโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ MidOcean Energy
MidOcean Energy ซึ่งเป็นบริษัท LNG ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG มุ่งมั่นที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลกที่มีความหลากหลาย ฟื้นตัวได้ ต้นทุน และคาร์บอนได้ โดยสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของ EIG ที่มีต่อ LNG ในฐานะตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงพลังงาน และความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ LNG ในฐานะทรัพยากรพลังงานเชิงกลยุทธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ MidOcean Energy นำโดย De la Rey Venter ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมมา 26 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึง Global Head of LNG ของ Shell Plc ด้วย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com หรือเว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

EIG
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

แหล่งที่มา: EIG

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53985677/en

The Bangkok Reporter