Populous เข้าซื้อ Fentress Architects ขยายพอร์ตโฟลิโอด้านการบินทั่วโลก

Logo

แคนซัสซิตี้ รัฐมิสซูรี–(BUSINESS WIRE)–07 มิถุนายน 2025

Populous บริษัทออกแบบชื่อดังระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาและความบันเทิง ประกาศในวันนี้ว่า ได้เข้าซื้อกิจการ Fentress Architects ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเดนเวอร์ ผู้นำระดับโลกด้านโครงการการบินต่างๆ ที่เป็นสัญลักษณ์และอาคารสาธารณะที่โดดเด่น อาทิ ศูนย์การประชุม พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ของรัฐบาล

Los Angeles International Airport. Designed by Fentress Architects.

Los Angeles International Airport ออกแบบโดย Fentress Architects

การเข้าซื้อเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้เป็นการรวมตัวของสองชื่อที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในวงการสถาปัตยกรรม โดยผสมผสานความเชี่ยวชาญที่ไม่มีใครทัดเทียมของ Populous ในการออกแบบประสบการณ์ที่น่าจดจำเข้ากับผลงานที่ได้รับรางวัลของ Fentress ในด้านสถานที่สำคัญทางการบิน ชุมชน และวัฒนธรรม การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะขยายขอบเขตและขนาดของบริการที่ Populous สามารถนำเสนอให้กับลูกค้าทั่วโลกได้อย่างมาก

Bruce Miller ประธานและซีอีโอระดับโลกของ Populous ให้ความเห็นว่า:

“เรามุ่งมั่นที่จะขยายขอบเขตการปฏิบัติงานของเราให้กว้างขวางยิ่งขึ้น Fentress Architects เป็นที่รู้จักมานานแล้วในด้านสถาปัตยกรรมการบินและสาธารณะที่มีวิสัยทัศน์ คุณภาพการออกแบบที่ยอดเยี่ยม และความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ การที่ทีมการบินของเราผนึกกำลังกับ Fentress เพื่อก่อตั้ง Fentress Studios ที่เป็นบริษัทในเครือ Populous ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นของเราในด้านคุณภาพการออกแบบ

การเพิ่มความเชี่ยวชาญและฐานลูกค้าของ Fentress ให้กับพอร์ตโฟลิโอการบินและการขนส่งระดับโลกของ Populous รวมไปถึงการทำงานร่วมกันในด้านการออกแบบศูนย์ประชุม จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตของการออกแบบที่เน้นที่ผู้คน และเพิ่มผลกระทบในระดับโลกของเราในภาคส่วนเหล่านั้นได้”

Fentress Architects ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1980 และได้ออกแบบสถานที่สำคัญทางสถาปัตยกรรมมูลค่ากว่า 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก รวมถึงสนามบินนานาชาติเดนเวอร์ สนามบินนานาชาติอินชอน ศูนย์การประชุมไมอามีบีช และพิพิธภัณฑ์นาวิกโยธินแห่งชาติ บริษัทนี้มีชื่อเสียงในด้านการสร้างสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืน สอดคล้องกับบริบท และเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับชุมชนที่ให้บริการ

Curt Fentress ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าแผนกออกแบบของ Fentress Architects กล่าวว่า “Populous ยึดมั่นในคุณค่าของความเป็นเลิศด้านการออกแบบและการคิดที่เน้นที่ผู้คนเช่นเดียวกับเรา เราจะร่วมกันกำหนดนิยามใหม่ของสถาปัตยกรรมที่ดีและความสามารถในการจุดประกายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านการออกแบบที่สร้างแรงบันดาลใจสำหรับผู้คนต่อไป”

Fentress Architects จะเปลี่ยนชื่อเป็น Fentress Studios ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Populousโดยสตูดิโอดังกล่าวจะยังคงมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองเดนเวอร์และวอชิงตัน ดี.ซี. การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมศักยภาพของ Populous ในด้านการบิน การขนส่ง และการออกแบบภาคสาธารณะ

เกี่ยวกับ Populous

Populous เป็นบริษัทออกแบบระดับโลกที่เริ่มต้นจากความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการดึงดูดผู้คนให้มารวมตัวกันด้วยสิ่งที่พวกเขารัก ผ่านประสบการณ์ที่ดึงดูดทุกประสาทสัมผัสและขยายอารมณ์บริสุทธิ์ที่แบ่งปันในช่วงเวลาแห่งชีวิตมนุษย์ ในช่วง 40 กว่าปีที่ผ่านมา บริษัทได้ออกแบบโครงการมากกว่า 3,500 โครงการ มูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในตลาดเกิดใหม่และตลาดที่มีอยู่แล้ว บริการที่ครอบคลุมของ Populous ได้แก่ สถาปัตยกรรม การออกแบบภายใน การวางแผนและการวางซ้อนงานอีเว้นท์ สภาพแวดล้อมต่างๆ ที่ประกอบด้วยตราสินค้า การค้นหาเส้นทางและกราฟิกต่างๆ การวางแผนและการออกแบบเมือง สถาปัตยกรรมภูมิทัศน์ การออกแบบเกี่ยวกับการบินและการขนส่ง การบริการและการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบที่ยั่งยืน โดย Populous มีพนักงานมากกว่า 1,500 คนในสำนักงานทั่วโลก 32 แห่งในสี่ทวีป โดยมีศูนย์ภูมิภาคในแคนซัสซิตี้ ลอนดอน และบริสเบน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.populous.com

เกี่ยวกับ Fentress Architects

Fentress Architects คือบริษัทออกแบบระดับนานาชาติที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมที่สร้างสรรค์ ยั่งยืน และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผลงานของบริษัทได้แก่ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ Tom Bradley ที่สนามบิน LAX, ศาลฎีกาแห่งรัฐโคโลราโด Ralph L. Carr และสถานทูตนอร์เวย์

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/ 20250606849000/en

Contacts

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Kim Wallace Carlson | ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสาร ภูมิภาคอเมริกา
kim.wallacecarlson@populous.com
โทร.: +1 816 329 4468

Charlie Brooks | ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารระดับโลก
charlie.brooks@populous.com
โทร.: +44 (0)7881 268501

ที่มา: Populous














Mitsui Chemicals Group เตรียมร่วมงาน ProPak Asia 2025

Logo

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–04 มิถุนายน 2025

กลุ่มบริษัท Mitsui Chemicals เตรียมเข้าร่วมงาน ProPak Asia 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11–14 มิถุนายน 2025 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) ประเทศไทย ณ ฮอลล์ 99 บูธ T65 โดยในปีนี้ กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์มากยิ่งขึ้น

ในปีนี้ กลุ่มบริษัท Mitsui Chemicals จะจัดแสดงต้นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถสัมผัสและเรียนรู้โครงสร้างการใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งพัฒนาขึ้นจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ โดยตรง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพการใช้งานและความยั่งยืนในระยะยาว

รายละเอียดการจัดแสดง :

วันที่

11 ถึง 14 มิถุนายน 2025

สถานที่จัดงาน

ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) ประเทศไทย

บูท

Hall 99, T65

ผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่จัดแสดง:

ถุงพอลิโพรพิลีนพร้อมรีไซเคิลได้

  • ใช้วัสดุพอลิเมอร์ชนิดเดียว
  • ฟิล์ม BOPP ที่สามารถซีลได้และมีคุณสมบัติป้องกันการซึมผ่านของน้ำและอากาศ เพื่อช่วยลดการใช้พลาสติกใหม่

ถุงพอลิโอเลฟินพร้อมรีไซเคิลได้

  • เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นกรดสูง
  • เม็ดพลาสติก EVOLUE™ เกรดพิเศษ สามารถซีลได้ดีแม้ในสภาวะที่มีการปนเปื้อน
  • กาว TAKELAC™/TAKENATE™ เพื่อเสริมการยึดเกาะในการใช้งานที่รุนแรง

ฟิล์มที่มีคุณสมบัติการพับแน่น (Dead Fold)

  • ฟิล์มพอลิเอทิลีนดัดแปลงโดยใช้ผลิตภัณฑ์ของ Mitsui Chemicals
  • คงประสิทธิภาพการพับได้อย่างดีเยี่ยม
  • สามารถประยุกต์การใช้งานได้หลากหลาย

ฟิล์ม PCR ที่พิมพ์ได้ดี

  • ผลิตจากเม็ดพลาสติก Re’PRM™ ที่พัฒนาให้มีปรมาณเจลต่ำ และเพิ่มคุณภาพของการพิมพ์บนผิวของฟิล์ม
  • สำหรับเป็นบรรจุภัณฑ์นอกของผลิตภัณฑ์สินค้าสินค้าอุปโภค-บริโภคทั่วไป

ถุงโมโนพอลิเอทิลีนที่มีส่วนผสมของ PCR

ผลิตจากเม็ดพลาสติก Re’PRM™ และ EVOLUE™ คุณภาพสูง

เพิ่มคุณสมบัติในการซีลและปรับปรุงรูปลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์

ช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างความยั่งยืนและความสวยงามของผลิตภัณฑ์

เกี่ยวกับ Mitsui Chemicals Group

บริษัท Mitsui Chemicals, Inc. (MCI) เป็นหนึ่งในบริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและวัสดุนวัตกรรม บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันการใช้งานใหม่ ๆ ซึ่งถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ ยานยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) การดูแลสุขภาพ สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ตลอดจนบรรจุภัณฑ์

กลุ่มบริษัท Mitsui Chemicals มีบริษัทในเครือมากกว่า 20 แห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ให้บริการและโซลูชันที่ตอบโจทย์กับความต้องการของอุตสาหกรรมหลากหลายประเภทในภูมิภาคนี้

เกี่ยวกับ Mitsui Chemicals Asia Pacific

บริษัท Mitsui Chemicals Asia Pacific, Ltd. (MCAP) ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2540 โดยทำหน้าที่เป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบริษัท Mitsui Chemicals, Inc. (MCI) ครอบคลุมพื้นที่อาเซียน เอเชียใต้ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และโอเชียเนีย

ในฐานะสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก MCAP มุ่งมั่นขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ให้บริการด้านการจัดการและสนับสนุนเชิงกลยุทธ์แก่บริษัทในเครือและหน่วยธุรกิจในภูมิภาค พร้อมทั้งส่งมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้า ด้วยการผสานจุดแข็งจากเครือข่ายของกลุ่มบริษัท Mitsui Chemicals ทั้งหมด

หมายเหตุ:

เนื้อหาในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ เป็นการแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อความสะดวกในการสื่อสารเท่านั้น
ต้นฉบับภาษาอังกฤษถือเป็นฉบับที่ถูกต้องและมีผลทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการใช้อ้างอิง กรุณาอ้างอิงจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ

Contacts 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข่าวประชาสัมพันธ์นี้ กรุณาติดต่อ:

Eric Lim

ฝ่ายสื่อสารองค์กรและการตลาด

Mitsui Chemicals Asia Pacific, Ltd.

eric.lim@mitsuichemicals.com

ที่มา : บริษัท Mitsui Chemicals Asia Pacific, Ltd

Mary Kay Inc. มอบทุน 10 ทุนแก่นวัตกรรุ่นเยาว์ในงาน Regeneron International Science and Engineering Fair ประจำปี 2025

Logo

ดัลลาส–(BUSINESS WIRE)–29 พฤษภาคม 2025

Mary Kay Inc. ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่สนับสนุนการศึกษาของสตรีรุ่นเยาว์และส่งเสริมให้เยาวชนเดินตามความฝันในด้าน STEM ได้รับรางวัล Special Awards Organization อีกครั้งเป็นปีที่สองในงาน Regeneron International Science and Engineering Fair (Regeneron ISEF) ที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ โดยมอบทุนสนับสนุนจำนวน 10 ทุน รวมมูลค่าเกือบ 10,000 เหรียญสหรัฐฯ ให้แก่นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความโดดเด่นด้านโครงการสร้างสรรค์ต่างๆ ตั้งแต่การค้นหาวิธีรักษามะเร็งที่ส่งผลต่อสตรี ไปจนถึงนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการปกป้องทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของโลกเรา

Kristin Dasaro, Director, Package Engineering and Sustainability at Mary Kay, greets Brazilian cancer researcher, Carolina de Araujo Pereira da Silva, who received back-to-back awards from Mary Kay for innovative findings in the malignancy of tumors. (Photo Credit: Mary Kay Inc.)

Kristin Dasaro ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมบรรจุภัณฑ์และความยั่งยืนของ Mary Kay กล่าวต้อนรับนักวิจัยโรคมะเร็งชาวบราซิล Carolina de Araujo Pereira da Silva ผู้ได้รับรางวัลจาก Mary Kay ติดต่อกัน 2 ปีจากการค้นพบเชิงนวัตกรรมเกี่ยวกับมะเร็ง (เครดิตภาพ: Mary Kay Inc.)

ในแต่ละปี งานนี้มีผู้เข้าร่วมเกือบ 2,000 คนจากกว่า 60 ประเทศ โดยมีรางวัลรวมมูลค่ารวมกว่า 9 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมไปถึงคำเชิญไปร่วมงานขององค์กรและวิชาการกับผู้นำระดับโลกด้าน STEM

เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ75 ปี จึงได้จัดโครงการ ISEF ขึ้น ซึ่งเป็นโครงการของ Society for Science โดยเป็นการแข่งขัน STEM ระดับก่อนอุดมศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผ่านเครือข่ายระดับโลกของงานวิทยาศาสตร์ในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับชาติ นักเรียนหลายล้านคนได้รับการสนับสนุนให้สำรวจความหลงใหลในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ในแต่ละฤดูใบไม้ผลิ กลุ่มนักเรียนเหล่านี้จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้เข้ารอบสุดท้ายและได้รับโอกาสในการแข่งขันชิงรางวัลและทุนการศึกษามูลค่าประมาณ 9 ล้านเหรียญสหรัฐในงาน Regeneron ISEF ประจำปี

Carrissa Dowdy ผู้จัดการฝ่ายกำหนดสูตรผลิตภัณฑ์ของ Mary Kay กล่าวว่า “ความเฉลียวฉลาด ความหลงใหล และนวัตกรรมที่ผู้นำ STEM รุ่นเยาว์เหล่านี้แสดงให้เห็นนั้นน่าทึ่งมาก ผลงานของพวกเขามีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน และเร่งให้เกิดความก้าวหน้าครั้งสำคัญในสาขาต่างๆ เช่น การวิจัยโรคมะเร็ง วิทยาศาสตร์วัสดุ และวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม Mary Kay รู้สึกภูมิใจที่ได้ยืนหยัดเคียงข้างพวกเขาในการกำหนดอนาคตของ STEM”

 พบกับผู้นำ STEM ที่เป็นนักศึกษา

 1.

 Pragathi Kasani-Akula (จอร์เจีย สหรัฐอเมริกา)

 Multi-Color Magneto-Fluorescent Nanoarchitectures สำหรับการระบุเอ็กโซโซมของมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative อย่างมีเป้าหมาย

 2.

 Grace Liu (นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา)

 การประเมินความไม่เท่าเทียมกันทางเพศอันเนื่องมาจากการตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอนในการเป็นผู้ประกอบการ: การวิเคราะห์ข้อมูลแบบกลุ่ม

 3.

 Alina Albeik (เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา)

 ผลกระทบของเรสเวอราทรอลต่อการรักษาความจำใน Dugesia tigrina

 4.

 Kaili Tseng and Leila Gheysar (แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา)

 เปปไทด์ต้านจุลชีพ Bombyx mori: ตัวเร่งปฏิกิริยาใหม่และยั่งยืนสำหรับการยับยั้งการเจริญเติบโตและการตายของเซลล์มะเร็ง

 5.

 Elisabeth Fischermann and Tom Kressbach (บาวาเรีย เยอรมนี)

 ตามล่าหาอนุมูลอิสระด้วยปฏิกิริยาแสงสีฟ้า

 6.

 Ela Doruk Korkmaz (Istanbul, Turkey)

การตรวจสอบผลกระทบต่อต้านมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นของเอ็กโซโซมที่ได้จากเมล็ดกาแฟผ่านฤทธิ์ต้านการแพร่กระจายและการกระตุ้นอะพอพโทซิสของเซลล์มะเร็งผิวหนังเมลาโนมาผ่านเส้นทางการส่งสัญญาณโปรตีนไคเนสที่กระตุ้นด้วยไมโตเจน

 7.

 Carolina de Araujo Pereira da Silva* (ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล)

 ซาลิโนไมซินเป็นโมเลกุลฮอร์จันที่พุ่งเป้าไปที่มะเร็งที่เกิดจาก Mn ในเนื้องอกที่ลุกลาม

 8.

 Sofia Nunes (มารันเยา บราซิล)

 การพัฒนาสูตรผิวหนังเทียมราคาประหยัดสำหรับการสร้างเซลล์ใหม่และการรักษาอาการไหม้รุนแรง

 9.

 Margareth Ac-ac (เนกรอส โอเรียนทัล ประเทศฟิลิปปินส์)

 SKIMP: อุปกรณ์ตรวจจับมะเร็งผิวหนังแบบพกพาด้วยปัญญาประดิษฐ์ – เครือข่ายประสาทเทียมแบบ Convolutional (CNN) พร้อมโปรแกรมแจ้งเตือนมะเร็งผิวหนังที่ใช้ Python

10.

 Kamila Rotger-Costas and Miranda Sanz-Alvarez (กวยนาโบและคากัวส เปอร์โตริโก)

 EcoReishiFlex: นวัตกรรมพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้อย่างยั่งยืน ผลิตจากโพลีแซ็กคาไรด์จากเห็ดหลินจือ

* Carolina de Araujo Pereira da Silva เป็นผู้ได้รับทุน Mary Kay Young Women ด้าน STEM ถึงสองครั้งจากผลงานที่โดดเด่นของเธอในสาขาการวิจัยโรคมะเร็ง เงินรางวัลประจำปี 2024 ของเธอถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนโครงการที่เธอเสนอ – Rock the Metals! Investigating Manganese as a Trigger of Malignancy and Metal Transporters as Targets in Cancer Treatment ซึ่งทำให้ผลงานที่ได้รับรางวัลประจำปี 2025 ของเธอได้รับการยกระดับขึ้น

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay Ash ผู้ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของเธอในเท็กซัสเมื่อปี 1963 โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 40 ตลาด เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่โอกาสของ Mary Kay ได้ส่งเสริมให้ผู้หญิงกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay มุ่งมั่นที่จะลงทุนในด้านวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอางสี อาหารเสริม และน้ำหอมที่ล้ำสมัย Mary Kay เชื่อในการอนุรักษ์โลกของเราไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการล่วงละเมิดในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนเดินตามความฝันของตนเอง เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com พบกับเราได้บน Facebook, Instagram และ LinkedIn หรือติดตามเราบน X.

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250528325390/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ฝ่ายสื่อสารองค์กร Mary Kay Inc.
newsroom.marykay.com
972.687.5332 or media@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc.


การประชุมสภาบริหาร APO ครั้งที่ 67 ในอินโดนีเซีย กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์สำหรับวิสัยทัศน์ด้านผลิตภาพที่เป็นหนึ่งเดียว

Logo

จาการ์ตา, อินโดนีเซีย–(BUSINESS WIRE)–26 พฤษภาคม 2025

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) จัดการประชุมสภาบริหาร (GBM) ครั้งที่ 67 ระหว่างวันที่ 20–22 พฤษภาคม 2025 ที่จาการ์ตา โดยมีรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพ โดยการประชุมประจำปีครั้งนี้มีผู้แทนจากรัฐบาลสมาชิก APO มากกว่า 50 คนเข้าร่วมหารือเกี่ยวกับทิศทางเชิงกลยุทธ์ของ APO และรับรองความน่าเชื่อถือ ประสิทธิผล และความเกี่ยวข้องขององค์กรอย่างต่อเนื่องท่ามกลางภูมิทัศน์ด้านผลิตภาพที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

Heads of delegations and the Minister of Manpower of the Republic of Indonesia (center, seated) at the 67th GBM.

หัวหน้าคณะผู้แทนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกำลังคนของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (นั่งตรงกลาง) ในการประชุม GBM ครั้งที่ 67

การประชุม GBM ครั้งที่ 67 มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำที่สำคัญมากมาย ผู้อำนวยการ APO ประจำอินเดีย Amardeep Singh Bhatia เข้ารับตำแหน่งประธาน APO ประจำปี 2025–26 แทนผู้อำนวยการ APO ประจำฟิจิ Jone Maritino Nemani นอกจากนี้ Agung Nur Rohmad ผู้อำนวยการ APO ประจำอินโดนีเซีย และ Dr. Mohammad Saleh Owlia ผู้อำนวยการ APO ประจำสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ยังได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานคนแรกและคนที่สองตามลำดับ

คณะกรรมการบริหารแสดงความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องต่อความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้าของ Dr. Indra Pradana Singawinata เลขาธิการคนปัจจุบัน ซึ่งได้รับการเสนอชื่อโดยรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยเลือกให้เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการเป็นสมัยที่สองตั้งแต่เดือนกันยายน 2025 ถึงเดือนกันยายน 2028

ในคำกล่าวเปิดงาน ประธาน APO Bhatia ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของอินเดียที่มีต่อวิสัยทัศน์ของ APO ที่จะเติบโตอย่างครอบคลุม ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้ง APO นอกจากนี้ เขายังยืนยันถึงความมุ่งมั่นของอินเดียในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของสถาบันและแนวทางเชิงกลยุทธ์ของ APO ผ่านการดำรงตำแหน่งประธาน และชื่นชมความคืบหน้าที่สำคัญที่เกิดขึ้นในการพัฒนาระบบนิเวศ Green Productivity (GP) 2.0

การประชุมเปิดงาน GBM ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกำลังคนของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ศาสตราจารย์ Yassierli โดยในสุนทรพจน์เปิดงาน รัฐมนตรีศาสตราจารย์ Yassierli ได้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการตอบสนองร่วมกันต่อภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีลักษณะเด่นคือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การหยุดชะงักของเทคโนโลยี และแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้น ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว ไม่ควรมองผลผลิตเป็นการแข่งขันระหว่างประเทศ แต่ควรมองเป็นการเดินทางร่วมกันที่หยั่งรากลึกในความเคารพซึ่งกันและกัน ความรู้ร่วมกัน และความสามัคคี ศาสตราจารย์ Yassierli ได้กล่าวถึงบทบาทสำคัญของ APO ในการอำนวยความสะดวกให้เกิดความสามัคคีในหมู่สมาชิกโดยทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับความร่วมมือในทางปฏิบัติผ่านโซลูชันที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นและได้รับข้อมูลระดับโลก เช่น GP

การประชุม GBM ครั้งที่ 67 นำเสนอการหารือเชิงลึกในประเด็นสำคัญเชิงกลยุทธ์หลายประการเพื่อกำหนดทิศทางของ APO ในปีต่อๆ ไป โดยประเด็นสำคัญในการประชุมนี้ คือ การหารือเกี่ยวกับกรอบวิสัยทัศน์ของ APO หลังปี 2025 ซึ่งจะวางรากฐานสำหรับกิจกรรมของ APO ต่อจากปี 2025 นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับการพัฒนาระบบนิเวศ GP 2.0 และคณะกรรมการบริหารยินดีกับคำแนะนำจากการประชุมประจำปีของ Green Productivity Advisory Council ซึ่งจัดขึ้นที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 14 ถึง 15 เมษายน 2025

หัวข้อสำคัญอื่นๆ รวมถึงการแก้ไขที่เสนอต่อสูตรการสนับสนุนสมาชิกตามคำแนะนำของคณะทำงานเพื่อให้แน่ใจว่าการจัดหาเงินทุนของ APO จะยุติธรรมและยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการเสริมสร้างความสามารถด้านดิจิทัลของสำนักงานเลขาธิการผ่านระบบที่ได้รับการปรับปรุงและขยายการเข้าถึงบริการของ APO นอกจากนี้ GBM ยังได้ทบทวนความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขตามการประเมินของบุคคลภายนอกที่เป็นอิสระ ซึ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ APO ที่มีต่อธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และประสิทธิภาพของสถาบัน นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ อีก ได้แก่ การรับรองสถาบันรับรองการพัฒนาของฟิลิปปินส์ให้ดำเนินการตามแผน Productivity Specialist และการขยายขอบเขตของสถาบันรับรองระดับชาติของอินโดนีเซีย GBM ยังต้อนรับผู้สังเกตการณ์จากองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติและกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ซึ่งแสดงถึงการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นของ APO กับองค์กรที่ไม่ใช่สมาชิกและองค์กรระหว่างประเทศที่ดำเนินการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

การประชุม GBM ครั้งที่ 67 ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงได้สิ้นสุดลงด้วยข้อความแสดงความยินดี โดยคณะกรรมการบริหารได้ต้อนรับการประกาศของประธาน APO Bhatia อย่างอบอุ่นเกี่ยวกับความพร้อมของอินเดียในการเป็นเจ้าภาพการประชุม GBM ครั้งที่ 68 ในปี 2026

เกี่ยวกับ APO

APO เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลที่มุ่งมั่นในการปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิตและการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านบริการให้คำแนะนำด้านนโยบาย ความคิดริเริ่มในการสร้างศักยภาพ การแบ่งปันความรู้ และความร่วมมือ โดยเป็นองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่แสวงหากำไร และไม่เลือกปฏิบัติ

APO ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้ง 8 ประเทศ ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 21 ประเทศ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: 
https://www.businesswire.com/news/home/20250526891094/en

Contacts

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO)
ติดต่อ: pr@apo-tokyo.org
เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org

ที่มา: The Asian Productivity Organization

การถ่ายทอดสดการประชุมสัมมนาผู้บริโภคระดับนานาชาติที่โทคุชิมะจะจัดขึ้นในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2025

Logo

จังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–12 พฤษภาคม 2025

จังหวัดโทคุชิมะจะจัด “การประชุมนานาชาติเพื่อผู้บริโภคในจังหวัดโทคุชิมะ” ในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน โดยรวบรวมผู้นำด้านผู้บริโภคจากญี่ปุ่นและต่างประเทศ รวมถึงเยาวชนที่จะเป็นผู้นำรุ่นต่อไปที่มีจริยธรรม การประชุมครั้งนี้จะเน้นการอภิปรายอย่างคึกคักเกี่ยวกับความคิดริเริ่มต่างๆ ที่สามารถส่งต่อไปยังอนาคตได้ เช่น “การส่งเสริมการบริโภค” เช่น การลดขยะอาหารและส่งเสริมการผลิตและการบริโภคในท้องถิ่น

Reference: International Forum held in 2023

แหล่งอ้างอิง : ฟอรั่มนานาชาติจัดขึ้นในปี ค.ศ. 2023

ปีนี้ถือเป็นวันครบรอบ 10 ปีของการกำเนิดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในปี ค.ศ. 2015 ความตระหนักรู้และการกระทำของแต่ละบุคคลของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน? และตอนนี้เรามีเวลาเหลืออีก 5 ปีก่อนถึงเส้นตายสำหรับการบรรลุเป้าหมาย SDGs ขั้นตอนต่อไปของเราคืออะไร?

ในวันสัมมนาจะมีการประชุมสัมมนาหลากหลายหัวข้อดังนี้

  • สำหรับปาฐกถาพิเศษ บริษัท มารูฮะ นิชิโรซึ่งเป็นบริษัทเอกชนแห่งแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงปลาทูน่าครีบน้ำเงินครบวงจร จะนำเสนอความพยายามของตนในการบรรลุเป้าหมาย SDGs
  • ต่อไปจะเป็นการประชุมเยาวชนระดับโลกซึ่งนักศึกษาจากจังหวัดโทคุชิมะ ออสเตรเลีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย จะร่วมกันอภิปรายภายใต้หัวข้อเรื่อง “การบริโภคอาหารอย่างมีจริยธรรม”
  • ในที่สุด จะมีการหารือเกี่ยวกับนโยบายผู้บริโภค ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายผู้บริโภคจากญี่ปุ่น ไทย เกาหลีใต้ และฮ่องกง ซึ่งมีเที่ยวบินตรงมายังจังหวัดโทคุชิมะ ภายใต้หัวข้อเรื่อง “แนวทางของหน่วยงานบริหารผู้บริโภคสู่สังคมที่ยั่งยืน”

การประชุมสัมมนานี้จะถ่ายทอดสดผ่านทางเว็บไซต์ด้านล่างนี้

เราหวังว่าการอภิปรายที่นี่จะนำไปสู่การพัฒนานโยบายผู้บริโภคระดับนานาชาติที่สำคัญและส่งเสริมพฤติกรรมผู้บริโภคสู่สังคมที่ยั่งยืนทั่วโลก

เว็บไซต์: สัมมนาผู้บริโภคนานาชาติที่จังหวัดโทคุชิมะ
https://www.pref.tokushima.lg.jp/en/world.consumer.symposium/2025/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  

https://www.businesswire.com/news/home/20250511609959/en  

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สำหรับสอบถามข้อมูล
กลุ่มงานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กองนโยบายผู้บริโภค
ฝ่ายกิจการสังคมและสิ่งแวดล้อม
รัฐบาลจังหวัดโทคุชิมะ
โทร: +81-(0)88-621-2499
อีเมล: shohishaseisakuka@pref.tokushima.lg.jp

ที่มา: Tokushima Prefectural Government

เปิดตัวระบบการจัดอันดับคาร์บอนต่ำสำหรับซีเมนต์และคอนกรีตระบบแรกของโลก

Logo

  • ระบบระดับโลกที่มุ่งหวังในการกระตุ้นให้เกิดการจัดหาวัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืนมากขึ้น
  • โดยระบบจะทำให้เกิดความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ และช่วยให้รัฐบาลและธุรกิจต่างๆ ระบุและซื้อซีเมนต์รวมถึงคอนกรีตที่ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีการใช้มากที่สุดในโลกรองจากน้ำ

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–24 เมษายน 2025

สมาคมซีเมนต์และคอนกรีตโลก (GCCA) ประกาศเปิดตัวระบบการจัดอันดับคาร์บอนต่ำ (LCR) สำหรับซีเมนต์และคอนกรีตซึ่งเป็นระบบการจัดอันดับระดับโลกที่โปร่งใสระบบแรกที่ช่วยให้สามารถระบุซีเมนต์และคอนกรีตตามปริมาณคาร์บอนได้ ระบบการจัดอันดับนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ลูกค้าจัดลำดับความสำคัญของความยั่งยืนเมื่อเลือกวัสดุก่อสร้างโดยใช้มาตราส่วน AA ถึง G ที่ชัดเจนและใช้งานง่าย

GCCA Low Carbon Ratings for Cement and Concrete

ที่มา: Global Cement and Concrete Association

โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการประเมินที่เป็นที่รู้จัก เช่น ใบรับรองประสิทธิภาพการใช้พลังงานของสหภาพยุโรปและระบบการจัดอันดับพลังงานในบ้านของสหรัฐอเมริกา โดย LCR เป็นเครื่องมือที่เรียบง่าย โปร่งใส และสามารถปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งช่วยให้ผู้สร้าง สถาปนิก รัฐบาล นักวางแผน และผู้บริโภคทั่วโลกสามารถเลือกตัดสินใจได้อย่างรอบรู้และยั่งยืนมากขึ้น

Thomas Guillot ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GCCA กล่าวว่า: ซีเมนต์และคอนกรีตเป็นรากฐานของชีวิตสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่เราอาศัยและทำงาน ถนนที่เราใช้สัญจร และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับน้ำสะอาดและพลังงานสีเขียว ในขณะที่ความต้องการในการก่อสร้างที่ยั่งยืนทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น ความจำเป็นในการมีความโปร่งใสมากขึ้นเกี่ยวกับปริมาณคาร์บอนของวัสดุก่อสร้างจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย

ระบบการจัดอันดับคาร์บอนต่ำของเรารองรับแนวทางการจัดซื้อที่ยั่งยืนมากขึ้น และจะช่วยส่งเสริมให้ห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดนั้นเร่งกระบวนการลดคาร์บอน

ระบบการจัดอันดับได้รับการออกแบบมาให้จดจำได้ง่าย โดยมีกราฟิกที่เรียบง่ายซึ่งระบุการจัดอันดับของผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน ระบบการจัดอันดับคาร์บอนสำหรับซีเมนต์และคอนกรีตนั้นมีความสม่ำเสมอและสามารถเปรียบเทียบได้ ประเทศต่างๆ สามารถใช้การจัดอันดับระดับโลกตามที่มีอยู่ หรือปรับใช้หากการคำนวณคาร์บอนในท้องถิ่นแตกต่างจากบรรทัดฐานระดับโลก

Riccardo Savigliano หัวหน้าหน่วยระบบพลังงานและการลดคาร์บอน UNIDO กล่าวว่า: นี่ถือเป็นก้าวสำคัญในการประสานคำจำกัดความระดับโลกสำหรับซีเมนต์และคอนกรีตที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำเพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอน

โครงการก่อสร้างที่โดดเด่นมักจะแสดงให้เห็นถึงการใช้ซีเมนต์และคอนกรีตที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ อุตสาหกรรมนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การเปิดตัวระบบการจัดอันดับระดับโลกนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญบนเส้นทางสู่ความยั่งยืนที่มากขึ้น

Marlène Dance – ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดคาร์บอนและการออกแบบที่ยั่งยืน Bouygues Bâtiment International กล่าวว่า: เราเชื่อว่าระบบการจัดอันดับคาร์บอนที่สอดคล้องกันทั่วโลกที่สามารถนำไปใช้ในทุกประเทศและใช้โดยซัพพลายเออร์คอนกรีตทุกราย จะเป็นตัวเปลี่ยนเกม

เราเห็นว่าเครื่องมือที่เรียบง่ายและใช้งานง่ายซึ่งออกแบบมาสำหรับทีมก่อสร้างนั้นมีคุณค่ามาก เครื่องมือนี้จะช่วยให้ทีมงานในไซต์งานของเราเข้าใจและจัดการปริมาณคาร์บอนจากคอนกรีตที่พวกเขาใช้ได้ดีขึ้น

Mr Guillot กล่าวเสริมว่า: ด้วยระบบการจัดอันดับนี้ รัฐบาล ผู้กำหนดนโยบาย และภาคเอกชนสามารถให้ความสำคัญกับซีเมนต์และคอนกรีตที่มีคาร์บอนต่ำในกระบวนการจัดซื้อ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอนในวัสดุก่อสร้างที่จำเป็นเหล่านี้มากยิ่งขึ้น

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ

ระบบการจัดอันดับนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับคำประกาศผลิตภัณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม (EPD) ซึ่งตามคำจำกัดความแล้วจะต้องได้รับการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม

ระบบการจัดอันดับใช้คำจำกัดความเชิงตัวเลขในหน่วยของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อตันของซีเมนต์และต่อลูกบาศก์เมตรของผลิตภัณฑ์คอนกรีต (ECO2e /m3) ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าศักยภาพในการทำให้โลกร้อน (GWP) ซึ่งคำนวณตามมาตรฐานการประกาศผลิตภัณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม (EPD) คำจำกัดความของผลิตภัณฑ์เหล่านี้สำหรับการปล่อยคาร์บอน “คาร์บอนต่ำ” และ “เกือบเป็นศูนย์” ได้รับแรงบันดาลใจจากคำจำกัดความการผลิตซีเมนต์โดยสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศและแผนงานอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีต GCCA 2050 สำหรับคอนกรีตสุทธิเป็นศูนย์

ระบบการจัดอันดับซีเมนต์ของ GCCA สามารถนำไปใช้ได้ในประเทศต่างๆ โดยเยอรมนีเป็นตัวอย่างที่ใช้งานได้จริง กระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของรัฐบาลกลางเยอรมนีและ VDZ (สมาคมซีเมนต์เยอรมนี) ได้พัฒนาระบบที่สอดคล้องกับระบบ GCCA อย่างสมบูรณ์ และได้นำไปปฏิบัติแล้ว

GCCA ทำงานร่วมกับ Clean Energy Ministerial Industrial Deep Decarbonisation Initiative (IDDI) และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อสร้างชุดคำจำกัดความที่ใช้ได้ทั่วโลกสำหรับคอนกรีต ซึ่งพร้อมใช้งานในประเทศส่วนใหญ่ หากประเทศใดมีแนวทางปฏิบัติในการนับคาร์บอนของผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างออกไป ก็สามารถปรับการจัดอันดับได้ ซึ่งระบบนี้ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วในสหราชอาณาจักร

การจัดอันดับซีเมนต์และคอนกรีตของ GCCA สามารถใช้กับฐานข้อมูลอ้างอิงและเป้าหมายระดับประเทศและระดับท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการจัดซื้อคาร์บอนต่ำ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/20250424485662/en

Contacts

Paul Adeleke
Paul.Adeleke@gccassocation.org


Strategic Capital: ตอบกลับ: ข้อเสนอของผู้ถือหุ้นต่อ NIPPON STEEL CORP. (รหัส TOKYO 5401)

Logo

(โปรดดู “ https://stracap.jp/english/wp-content/uploads/2025/04/Shareholder-Proposal-to-NIPPON-STEEL-CORP-1.pdf ” สำหรับรายละเอียดต่างๆ)

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–22 เมษายน 2025

Strategic Capital, Inc. (ต่อไปนี้เรียกว่า “SC”) อยู่ภายใต้สัญญาการลงทุนตามดุลพินิจกับ INTERTRUST TRUSTEES (CAYMAN) LIMITED ในฐานะทรัสต์ของ JAPAN-UP เท่านั้น (ต่อไปนี้เรียกว่า “กองทุน”) และกองทุนและ SC (ต่อไปนี้เรียกว่า “ผู้ถือหุ้นถือสิทธิ”) ที่ถือหน่วยสิทธิออกเสียงมากกว่า 300 หน่วยของ Nippon Steel Corp. (ต่อไปนี้เรียกว่า “Nippon Steel” หรือ “บริษัท” ตามบริบทที่จำเป็น) เป็นเวลา 6 เดือน

ผู้ถือหุ้นที่ถือสิทธิมีความยินดีที่จะประกาศว่าได้ดำเนินการตามสิทธิของผู้ถือหุ้นในการเสนอข้อเสนอในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้
บริษัทได้กำหนดกำลังการผลิตเหล็กดิบทั่วโลกไว้ที่ 100 ล้านตันและกำไรจากธุรกิจรวม 1 ล้านล้านเยนเป็นตัวชี้วัดหลัก (“ตัวชี้วัดหลัก”) และในปัจจุบันได้ตั้งเป้าที่จะเข้าซื้อกิจการ U.S. Steel เพื่อส่งเสริมการเข้าซื้อกิจการ Nippon Steel ได้เน้นย้ำถึงผลประโยชน์ที่ U.S. Steel จะได้รับ แต่ผู้ถือหุ้นที่ถือสิทธิสงสัยว่ามูลค่าองค์กรของบริษัทย่อยของ Nippon Steel จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนหรือไม่
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2025 บริษัท Nippon Steel มีบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในญี่ปุ่น 5 แห่ง โดย 4 แห่งมี PBR ต่ำกว่า 1 เท่าและบริษัทเหล่านี้ไม่ได้รับการตรวจสอบการบริหารจัดการที่ประมาทเลินเล่อ นอกจากนี้ บริษัทย่อยนี้ยังได้ฝากเงินส่วนเกินจำนวนมากในรูปแบบของเงินฝากและเงินกู้ยืมให้กับบริษัท ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการบริหารเงินทุนของบริษัทลดลง และกรรมการส่วนใหญ่ของบริษัทเหล่านี้ก็เป็นศิษย์เก่าของบริษัท Nippon Steel
นอกจากนี้ การประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทเองก็หยุดนิ่งโดยมี PBR ต่ำกว่า 1 เท่ามาเป็นเวลานานเช่นกัน
ผู้ถือหุ้นที่ถือสิทธิพยายามแก้ไขการบริหารจัดการที่ประมาทเลินเล่อของ Nippon Steel จึงเสนอข้อเสนอต่อไปนี้

(1) การแก้ไขบทบัญญัติของบทความเกี่ยวกับการบริหารจัดการบริษัทย่อย

มีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทย่อย ตัวอย่างเช่น เป็นเวลาหลายปีที่บริษัทย่อยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ให้เงินทุนจำนวนมากแก่บริษัทในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุนส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อยอย่างมาก ส่งผลให้ประสิทธิภาพของเงินทุนลดลงและผู้ถือหุ้นรายย่อยสูญเสียกำไร

หากบริษัทต้องการรับผลประโยชน์เช่นเดิมต่อไป บริษัทย่อยเหล่านี้ควรแปลงเป็นบริษัทย่อยที่เป็นเจ้าของทั้งหมดและเป็นบริษัทเอกชน หากจะต้องรักษาการจดทะเบียนบริษัทแม่-บริษัทย่อย รายงานการกำกับดูแลกิจการควรระบุเหตุผลในการรักษาการจดทะเบียนบริษัทแม่-บริษัทย่อย ฯลฯ อย่างชัดเจน ในขณะที่พยายามขยายผลประโยชน์ร่วมกันของผู้ถือหุ้นทั้งสองและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทย่อย

นอกจากนี้ บริษัทย่อยจดทะเบียนที่ละเมิดหรือมีแนวโน้มสูงที่จะละเมิดเกณฑ์ในการรักษาการจดทะเบียนจะต้องให้การคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อยมากขึ้น

(2) ให้ค่าตอบแทนเป็นหุ้นจำกัดและเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของค่าตอบแทนคงที่ เชื่อมโยงกับผลงาน และค่าตอบแทนตามหุ้นของกรรมการตัวแทน

ข้อเสนอนี้จะพิจารณาถึงการนำค่าตอบแทนแบบหุ้นมาใช้กับกรรมการตัวแทน และการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนค่าตอบแทนแบบคงที่ เชื่อมโยงกับผลงานและค่าตอบแทนตามหุ้น

ปัจจุบันค่าตอบแทนของกรรมการตัวแทนประกอบด้วยค่าตอบแทนคงที่และค่าตอบแทนตามผลงานในอัตราส่วน 50:50 โดยไม่มีค่าตอบแทนที่เป็นหุ้น

แม้จะมีตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่กล่าวไว้ข้างต้น มูลค่าของผู้ถือหุ้นก็จะไม่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เว้นแต่การลงทุน การเข้าซื้อกิจการ ฯลฯ ในราคาที่เหมาะสม

ด้วยเหตุนี้ จึงควรนำค่าตอบแทนแบบหุ้นมาใช้กับกรรมการตัวแทนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้น

(3) การเพิ่มเงื่อนไขการเรียกคืนเงินให้กับค่าตอบแทนที่เชื่อมโยงกับผลงานของกรรมการตัวแทน

ข้อเสนอนี้มุ่งหวังที่จะเลื่อนการจ่ายค่าตอบแทนที่เชื่อมโยงกับผลงานแก่กรรมการตัวแทน และการสละสิทธิ์บางส่วนในกรณีที่เกิดการสูญเสียที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ถูกซื้อกิจการในอนาคต

แม้ว่าการเข้าซื้อกิจการที่กล่าวถึงข้างต้นอาจมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก แต่ยังคงมีความกังวลว่าการขยายขนาดการเข้าซื้อกิจการจะนำไปสู่มูลค่าของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นหรือไม่

เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขที่น่าสังเกตของบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่น จึงมีข้อสงสัยว่ามูลค่าองค์กรของบริษัทย่อยที่เข้าซื้อกิจการจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนอันเป็นผลจากการซื้อกิจการ

ดังนั้น ในกรณีที่เกิดการด้อยค่าหรือการสูญเสียอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่เข้าซื้อกิจการภายหลังการประชุมสามัญประจำปี (AGM) บริษัทควรคำนวณค่าตอบแทนที่เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานใหม่หลังจากคำนึงถึงจำนวนเงินของการสูญเสียดังกล่าว และลดจำนวนเงินที่ชำระไปแล้ว

รายละเอียดต่างๆ

โปรดดูด้านล่างเพื่อดูเวอร์ชันเต็มของข้อเสนอของผู้ถือหุ้น
https://stracap.jp/english/wp-content/uploads/2025/04/Shareholder-Proposal-to-NIPPON-STEEL-CORP-1.pdf

ข้อสงวนสิทธิ์

ข่าวเผยแพร่ฉบับนี้เป็นการแปลแบบย่อของประกาศฉบับดั้งเดิมเป็นภาษาญี่ปุ่น ในกรณีที่มีความแตกต่างระหว่างฉบับภาษาญี่ปุ่นดั้งเดิมกับฉบับแปล ให้ถือฉบับภาษาญี่ปุ่นดั้งเดิมเป็นหลัก

Contacts

สำหรับการสอบถามข้อมูลทางสื่อ โปรดติดต่อ
Strategic Capital, Inc.
ติดต่อ: ฝ่ายการลงทุน
โทร.: +81-3-6433-5277
อีเมล: info@stracap.jp

ที่มา: Strategic Capital, Inc.

Funko ประกาศเปิดร้านลิขสิทธิ์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ฟิลิปปินส์

Logo

Funko เดินหน้าขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ด้วยการมอบประสบการณ์ร้านค้าที่ดื่มด่ำให้แก่หนึ่งในชุมชนแฟนคลับ ที่เติบโตเร็วที่สุดของแบรนด์

มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์–(BUSINESS WIRE)–15 เมษายน 2025

Funko, Inc. (NASDAQ: FNKO) แบรนด์ไลฟ์สไตล์ด้านวัฒนธรรมป๊อประดับโลก ประกาศในวันนี้ถึงแผนการเปิดร้านลิขสิทธิ์ Funko แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยดำเนินการผ่านผู้ค้าปลีกท้องถิ่น Funtastik Enterprises Corp ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2025 การขยายตัวครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในกลยุทธ์การเติบโตระดับสากลของ Funko ตอกย้ำความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการเข้าถึงแฟนๆ ในทุกที่ และส่งมอบประสบการณ์ของแบรนด์ให้ใกล้ชิดกับชุมชนผู้หลงใหลมากที่สุด

ด้วยแรงขับเคลื่อนจากงานคอมิกคอนที่คึกคัก การมีส่วนร่วมของชุมชนที่แข็งแกร่ง และระบบอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ฟิลิปปินส์จึงกลายเป็นหนึ่งในตลาดวัฒนธรรมป๊อปที่คึกคักที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชุมชนแฟนคลับชาวฟิลิปปินส์ยังถือเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ติดตามที่มีความกระตือรือร้นมากที่สุดในโลกสำหรับ Funko ทำให้การเปิดสาขาที่นี่เป็นก้าวกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างความผูกพันในท้องถิ่นและดึงดูดแฟนหน้าใหม่ Funko ได้จับมือกับ Funtastik จากประสบการณ์ในตลาดและความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้า

“Funko ในฐานะแบรนด์ระดับโลก ยังคงเดินหน้าขยายสู่กลุ่มแฟนคลับที่มีการมีส่วนร่วมสูงและเติบโตเร็วที่สุด” Cynthia Williams ซีอีโอของ Funko, Inc. กล่าว “ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดของเราในเอเชีย การเปิดร้านลิขสิทธิ์ครั้งนี้จึงสะท้อนถึงความตั้งใจของเราที่จะลงทุนในฐานแฟนที่มีความหลงใหลอย่างลึกซึ้ง เราเคยประสบความสำเร็จมาแล้วกับร้านลิขสิทธิ์ในตะวันออกกลาง และรู้สึกยินดีที่ได้นำพลังนั้นมาสู่ที่นี่เช่นกัน การขยายการเข้าถึงในระดับท้องถิ่นและการยกระดับประสบการณ์แบบตรงถึงผู้บริโภค ช่วยให้เราสร้างแรงบันดาลใจในการเชื่อมโยง การแสดงออกถึงตัวตน และความสนุกให้กับแฟน ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนในโลกก็ตาม”

ร้านลิขสิทธิ์แห่งนี้ตั้งอยู่ในห้าง SM Mall of Asia โดยจะเป็นพื้นที่ค้าปลีกที่ออกแบบมาให้แฟน ๆ ได้สัมผัสประสบการณ์แบบเต็มอิ่มผ่านโซนกิจกรรมและสินค้าพิเศษที่มีเฉพาะที่นี่ รวมถึงการเฉลิมฉลองแฟรนไชส์จากวงการบันเทิง กีฬา ดนตรี และอนิเมะที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง แฟน ๆ สามารถคาดหวังที่จะพบกับของสะสมหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไลน์ยอดนิยมอย่าง Funko Pop!, Bitty Pop!, Loungefly รวมถึงเสื้อผ้าคอลเลกชันเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเฉพาะในมะนิลา

การเปิดตัวครั้งนี้ทำให้ Funko ยังคงขยายการเข้าถึงระดับโลกต่อไปผ่านความร่วมมือด้านค้าปลีกและลิขสิทธิ์ชั้นนำ พร้อมทั้งกำหนดทิศทางใหม่ของวัฒนธรรมแฟนคลับในเอเชียและทั่วโลก

เกี่ยวกับ Funko

Funko เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ด้านวัฒนธรรมป๊อประดับโลกที่เป็นผู้นำ ด้วยคอลเลกชันหลากหลายของแบรนด์ต่าง ๆ รวมถึง Funko, Loungefly, และ Mondo พร้อมทั้งพอร์ตโฟลิโอลิขสิทธิ์ที่นำหน้าอุตสาหกรรม Funko นำเสนอสินค้าชั้นนำที่ครอบคลุมตั้งแต่ฟิกเกอร์วินิล, ไมโครคอลเลกชัน, เครื่องประดับแฟชั่น, เสื้อผ้า, ตุ๊กตานุ่ม, ของเล่นแอคชั่น, งานศิลปะระดับสูง, ดนตรี และของสะสมดิจิทัล ซึ่งหลายรายการอยู่ในแนวหน้าของเศรษฐกิจ Kidult ที่กำลังเติบโต ผ่านสินค้าของเรา เช่น ไลน์ Pop! ที่เป็นเอกลักษณ์, Bitty Pop!, และ Pop! Yourself, Funko ส่งแรงบันดาลใจให้แฟน ๆ ทั่วโลกแสดงออกถึงความหลงใหล, สร้างชุมชน, และสนุกสนานกับการสะสมสินค้า ก่อตั้งขึ้นในปี 1998 และมีสำนักงานใหญ่ในรัฐวอชิงตัน, Funko มีสำนักงาน, ร้านค้าปลีก, การดำเนินงาน, และความร่วมมือด้านลิขสิทธิ์ในตลาดผู้บริโภคหลักทั่วโลกFunko.com, Loungefly.com, MondoShop.com, and Droppp.io, และติดตามเราได้ที่TikTok, X, และInstagram.

คำชี้แจงเชิงคาดการณ์

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคำชี้แจงเชิงคาดการณ์ภายใต้ความหมายของพระราชบัญญัติการปฏิรูปการฟ้องร้องหลักทรัพย์ส่วนบุคคล (Private Securities Litigation Reform Act) ประจำปี 1995 ข้อความทั้งหมดในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงในอดีต ควรถือเป็นคำชี้แจงเชิงคาดการณ์ รวมถึงข้อความที่เกี่ยวกับการมีอยู่ของ Funko ในตลาดค้าปลีกและความร่วมมือทางธุรกิจ คำชี้แจงเชิงคาดการณ์เหล่านี้อ้างอิงจากการคาดการณ์ในปัจจุบันของฝ่ายบริหาร ข้อความเหล่านี้ไม่ใช่คำมั่นสัญญาหรือการรับประกัน แต่มีความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่อาจทำให้ผลลัพธ์จริง การดำเนินงาน หรือความสำเร็จของเราต่างจากผลลัพธ์ การดำเนินงาน หรือความสำเร็จในอนาคตที่แสดงหรือโดยนัยจากคำชี้แจงเชิงคาดการณ์ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ปัจจัยสำคัญที่ได้กล่าวถึงในหัวข้อ “ปัจจัยเสี่ยง” ในรายงานประจำปีของเราในแบบฟอร์ม 10-K สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2024 และเอกสารอื่น ๆ ที่ยื่นกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์จริงแตกต่างจากคำชี้แจงเชิงคาดการณ์ที่ปรากฏในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ ข้อความชี้แจงเชิงคาดการณ์เหล่านี้เป็นการประมาณการของฝ่ายบริหาร ณ วันที่ของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ แม้ว่าเราจะเลือกที่จะอัปเดตคำชี้แจงเชิงคาดการณ์เหล่านี้ในอนาคต แต่เราไม่ยืนยันภาระผูกพันที่จะต้องทำเช่นนั้น แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ในภายหลังที่ทำให้มุมมองของเราเปลี่ยนแปลงไป คำชี้แจงเชิงคาดการณ์เหล่านี้ไม่ควรได้รับการพึ่งพาว่าเป็นการแสดงถึงมุมมองของเราในวันที่หลังจากวันที่ของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

pr@funko.com

ที่มา: Funko, Inc.

Perma-Pipe International Holdings, Inc. ประกาศการได้รับรางวัลโครงการใหม่ในทวีปอเมริกาและภูมิภาค MENA

Logo

เมืองสปริง รัฐเท็กซัส–(BUSINESS WIRE)–10 เมษายน 2025

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (Nasdaq: PPIH) ประกาศในวันนี้ว่าได้รับรางวัลโครงการหลายโครงการในทวีปอเมริกาและภูมิภาค MENA โดยมีมูลค่ารวมเกินกว่า 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โครงการเหล่านี้จะใช้ความสามารถในการเคลือบป้องกันการกัดกร่อนของ Perma-Pipe และระบบฉนวน XTRU-THERM® ซึ่งเป็นโฟมพอลียูรีเทนที่พ่นทับและหุ้มด้วยปลอกพลาสติกโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง

  • การได้รับรางวัลหลายรายการสำหรับการให้บริการเคลือบป้องกันการกัดกร่อนในตลาดน้ำมันและก๊าซในแคนาดาตะวันตกและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
  • การได้รับรางวัลหลายรายการสำหรับการให้บริการโซลูชันท่อแบบมีการป้องกันซ้อนและท่อที่ติดตั้งฉนวนล่วงหน้าสำหรับโครงการขยายศูนย์ข้อมูลและอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบีย

Marc Huber รองประธานอาวุโสของ Perma-Pipe ในภูมิภาคอเมริกา กล่าวไว้ว่า “การได้รับรางวัลโครงการใหญ่เหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับโซลูชันของ Perma-Pipe ความต้องการนี้ได้รับการขับเคลื่อนจากการเติบโตของตลาดศูนย์ข้อมูล การลงทุนที่เพิ่มขึ้นในภาคเภสัชกรรมและอุตสาหกรรม รวมถึงการขยายตัวของโครงการพลังงานในส่วนกลาง”

Saleh Sagr ประธานบริษัท กล่าวไว้ว่า “การได้รับรางวัลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องและการเพิ่มขึ้นของงานที่รอดำเนินการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อผลิตภัณฑ์และบริการของเรา การกระจายผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์และการขยายตลาดในเชิงภูมิศาสตร์เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตนี้ เปิดตลาดใหม่ และรับรองความสำเร็จในอนาคตของเรา”

David Mansfield ซีอีโอ กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นกับรางวัลใหม่ๆ เหล่านี้ เพราะมันเป็นจุดสำคัญในการพัฒนาของบริษัทและช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับงานที่รอดำเนินการในปีหน้า โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโซลูชันของเรา แต่ยังมีบทบาทเชิงกลยุทธ์ในการเสริมสร้างตำแหน่งของเราในตลาด เรามั่นใจว่ารางวัลเหล่านี้จะผลักดันการเติบโตและความสำเร็จของเราอย่างต่อเนื่อง และเสริมสร้างชื่อเสียงของเราในฐานะผู้นำที่น่าเชื่อถือในอุตสาหกรรม”

Perma-Pipe International Holdings, Inc.

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (Nasdaq: PPIH, “Perma-Pipe” หรือ “บริษัท”) เป็นผู้นำระดับโลกในด้านท่อที่ติดตั้งฉนวนล่วงหน้าและระบบตรวจจับการรั่วสำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ การทำความร้อนและความเย็นในเขตเมือง และการใช้งานอื่นๆ บริษัทใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการผลิตที่กว้างขวางในการพัฒนาโซลูชันท่อที่แก้ปัญหาที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการขนส่งของเหลวหลายประเภทอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยรวมแล้ว Perma-Pipe มีการดำเนินงานที่ 14 แห่งใน 6 ประเทศ

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า

บางคำแถลงและข้อมูลอื่น ๆ ที่ปรากฏในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ ซึ่งสามารถระบุได้จากการใช้คำที่เกี่ยวข้องกับการคาดการณ์ล่วงหน้า จะถือเป็น “ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า” ตามความหมายของมาตรา 27A แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ปี 1933 แก้ไข และมาตรา 21E แห่งพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ปี 1934 แก้ไข ซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองจากข้อบังคับเหล่านั้น รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียง ข้อความที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานและการดำเนินการในอนาคตของบริษัท ข้อความเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณาว่าอยู่ภายใต้ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่มีอยู่ในธุรกิจและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของบริษัท ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียง ต่อไปนี้: (i) ผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (“COVID-19”) ต่อผลการดำเนินงาน สภาพการเงิน และกระแสเงินสดของบริษัท (ii) การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อปริมาณคำสั่งซื้อของลูกค้าสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท (iii) ความสามารถของบริษัทในการปฏิบัติตามพันธกรณีทั้งหมดในสิ่งอำนวยความสะดวกทางเครดิต (iv) ความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้และต่ออายุสิ่งอำนวยความสะดวกทางเครดิตระหว่างประเทศที่หมดอายุ (v) ความสามารถของบริษัทในการดำเนินกลยุทธ์และบรรลุผลกำไรและกระแสเงินสดที่เป็นบวก (vi) ผลกระทบจากความอ่อนแอและความผันผวนทางเศรษฐกิจทั่วโลก (vii) การเปลี่ยนแปลงของราคาสตีลและความสามารถของบริษัทในการชดเชยการเพิ่มขึ้นของราคาสตีลผ่านการปรับราคาผลิตภัณฑ์ (viii) การรับคำสั่งซื้อ การดำเนินการ การส่งมอบ และการยอมรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท (ix) การลดลงของการใช้จ่ายของรัฐบาลในโครงการที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท และความท้าทายต่อสภาพคล่องและการเข้าถึงเงินทุนของลูกค้าภายนอกภาครัฐของบริษัท (x) ความสามารถของบริษัทในการเจรจาต่อรองข้อตกลงการเรียกเก็บเงินล่วงหน้าสำหรับสัญญาขนาดใหญ่ (xi) การตั้งราคาที่รุนแรงจากคู่แข่งที่มีอยู่และการเข้ามาของคู่แข่งใหม่ในตลาดที่บริษัทดำเนินการ (xii) ความสามารถของบริษัทในการซื้อวัตถุดิบในราคาที่ดีและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีในการจัดหาสินค้าจากซัพพลายเออร์ (xiii) ความสามารถของบริษัทในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากข้อบกพร่องแฝงและการฟื้นตัวจากซัพพลายเออร์ที่อาจจัดหาวัสดุที่มีข้อบกพร่องให้กับบริษัท (xiv) การลดลงหรือการยกเลิกคำสั่งซื้อที่รวมอยู่ในงานที่รอดำเนินการของบริษัท (xv) ความสามารถของบริษัทในการเรียกเก็บบัญชีที่เกี่ยวข้องกับโครงการในตะวันออกกลาง (xvi) ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัท (xvii) ความสามารถของบริษัทในการดึงดูดและรักษาผู้บริหารระดับสูงและบุคลากรสำคัญ (xviii) ความสามารถของบริษัทในการบรรลุผลประโยชน์ที่คาดหวังจากการเติบโต (xix) ความสามารถของบริษัทในการตีความการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบภาษีและกฎหมาย (xx) ความสามารถของบริษัทในการใช้การขาดทุนจากการดำเนินงานที่ยกมา (xxi) การย้อนกลับรายได้และกำไรก่อนหน้านี้ที่บันทึกจากการประมาณการที่ไม่ถูกต้องในการรับรู้รายได้แบบเปอร์เซ็นต์ของการดำเนินการ (xxii) ความล้มเหลวของบริษัทในการสร้างและรักษาการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพในการรายงานทางการเงิน (xxiii) ผลกระทบจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท ผู้ถือหุ้น นักลงทุนที่มีศักยภาพ และผู้อ่านอื่น ๆ ได้รับการกระตุ้นให้พิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบในการประเมินข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าและขอเตือนว่าไม่ควรวางใจในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้มากเกินไป ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ได้รับการกล่าวถึงในวันที่ของข่าวประชาสัมพันธ์นี้เท่านั้น และบริษัทไม่มีภาระผูกพันในการอัปเดตข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นผลจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่นๆ ข้อมูลที่ละเอียดเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของเราสามารถพบได้ในเอกสารที่ยื่นกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ที่ https://www.sec.gov และภายใต้ส่วนของ Investor Center บนเว็บไซต์ของเรา ( http://investors.permapipe.com )

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Perma-Pipe International Holdings, Inc.
David Mansfield ซีอีโอ

Perma-Pipe ฝ่ายความสัมพันธ์นักลงทุน
847.929.1200
investor@permapipe.com

ที่มา: Perma-Pipe International Holdings, Inc.

รายงานระดับโลกของ NIQ เผยความท้าทายและโอกาสสำหรับการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์

Logo

เมื่ออคติที่ผู้คนมีต่อผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตลดลงไปเรื่อยๆ ยอดขายทั่วโลกก็เติบโตขึ้นถึง 4.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

10 แบรนด์ชั้นนำของโลกมียอดขายเติบโตแซงหน้าผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตถึงกว่า 4.8%

ผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตที่ต่างต้องแข่งกันช่วงชิงความสนใจจากผู้บริโภคอาจหันมาร่วมมือกันเพื่อเติบโตไปด้วยกันได้

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–27 มีนาคม 2025

ในวันนี้ NielsenIQ (NIQ) เผยแพร่รายงาน Finding Harmony on the Shelf: 2025 Global Outlook on Private Label & Branded Products (หาจุดร่วมในตลาดไปด้วยกัน: มุมมองทั่วโลกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์ในปี 2025) เป็นรายงานฉบับใหม่ที่ให้การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับทัศนคติของผู้บริโภคทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงไปต่อผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์ ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ผลักดันแนวโน้มเหล่านี้ในระดับโลกและระดับภูมิภาค และข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญที่ผู้ค้าปลีกและผู้ผลิต CPG ควรคำนึงถึง เพื่อให้สามารถวางกลยุทธ์เข้าถึงผู้บริโภคภายในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคที่เดินหน้าไปอย่างรวดเร็วได้

จากรายงานของ NIQ พบว่าผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลกกว่าครึ่ง (53%) ซื้อผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตมากขึ้น ในขณะเดียวกัน 10 แบรนด์ชั้นนำของโลกก็มียอดขายทั่วโลกที่ฟื้นตัวขึ้นในปี 2024 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ค้าปลีกและผู้ผลิต CPG จะยังคงแข่งกันช่วงชิงความสนใจจากผู้บริโภคบนชั้นวางสินค้าในร้านขายของชำและร้านค้าปลีกทั้งเล็กและใหญ่ต่อไป

“ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้ออย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้ากับสภาพตลาดปัจจุบัน รายงานของเราย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกจะต้องร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของ CPG ระลอกต่อไปและดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ” Marta Cyhan-Bowles หัวหน้าฝ่ายการสื่อสารและหัวหน้าทีม COE ฝ่ายการตลาดระดับโลกจาก NIQ กล่าว “ในการค้นหาวิธีทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มเหล่านี้เพื่อปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ และเพิ่มภาพจำในตลาด”

แนวโน้มสำคัญที่กำหนดทิศทางการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์

การรับรู้ที่ผู้บริโภคมีต่อผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่แบรนด์ระดับโลกก็มีผลการดำเนินธุรกิจที่ดีเช่นกัน แนวโน้มสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์ ได้แก่:

  •  การเปลี่ยนแปลงของมูลค่าที่รับรู้: อคติต่อผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตกำลังลดลงไปเรื่อยๆ โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 68% มองว่าผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตเป็นทางเลือกที่ดีที่ทดแทนแบรนด์ที่มีชื่อเสียงได้ และ 69% มองว่าผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตมีความคุ้มค่า
  •  ความต้องการที่เพิ่มขึ้น: ด้วยเหตุผลข้างต้น ผู้บริโภคทั่วโลก 60% จึงกล่าวว่าตนจะซื้อผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตมากขึ้น หากมีสินค้าให้เลือกหลากหลายกว่าเดิม
  •  การรักษาเสถียรภาพผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิต: สัดส่วนยอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1.4 จุด แต่มีสัญญาณการเติบโตที่ชะลอตัวในทุกภูมิภาค ในยุโรป การเติบโตชะลอตัวลงจากเกือบ 12% ในปี 2023 เหลือเพียงต่ำกว่า 4% ในปี 2024
  •  ความพิเศษ: ผู้บริโภคทั่วโลกกว่าครึ่ง (54%) กล่าวว่าตนมีแนวโน้มที่จะให้รางวัลกับตัวเองด้วยหันไปใช้ผลิตภัณฑ์แบรนด์พรีเมียม โดยคนรุ่นใหม่ อันได้แก่ กลุ่มมิลเลนเนียล (61%) และกลุ่ม Gen Z (58%) มีพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าวเกินกว่าค่าเฉลี่ย
  •  ​ ความเปิดกว้างในการสำรวจ: ผู้ตอบแบบสำรวจกว่าครึ่ง (58%) ยังระบุด้วยว่าตนกำลังขยายการซื้อสินค้าจากแบรนด์ต่างๆ ไปยังหลายหมวดหมู่ ผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลกอีก 58% ระบุว่าสินค้ามีแบรนด์หรือสินค้าตราห้างนั้นไม่ต่างกัน โดยเลือกผลิตภัณฑ์ตามความจำเป็นแทน

“ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะที่สุดที่องค์กรต่างๆ จะร่วมมือกันค้นหาวิธีขับเคลื่อนการเติบโตในแง่ผลกำไรโดยรวมจากผู้บริโภค การเติบโตไม่ใช่เรื่องที่เกินเอื้อมเลยสำหรับหลายๆ บริษัทในตลาดที่มีความหลากหลายเกินคาดแห่งนี้ ผู้ค้าปลีกควรเพิ่มปริมาณการเข้าชมตามหมวดหมู่ให้สูงสุดด้วยการวางกลยุทธ์ผสมผสานระหว่างผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตอย่างสมดุลกัน และพิจารณาโปรแกรมส่งเสริมการขายร่วมกันเพื่อกระตุ้นการเติบโตตามหมวดหมู่โดยรวม ในทางกลับกัน ผู้ผลิตจำเป็นต้องปกป้องและขยายส่วนแบ่งการตลาดของตนด้วยการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่มีแรงจูงใจทางการค้า ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามรักษาคุณค่าโดยรวมที่แบรนด์ของตนจะให้ได้เอาไว้ด้วย” กล่าวโดย Lauren Fernandes รองประธานฝ่ายผู้นำความคิดระดับโลกจาก NIQ

ความรู้สึกในเชิงบวกของผู้บริโภคสะท้อนให้เห็นได้จากข้อมูลยอดขายทั่วโลกที่น่าประทับใจ โดย NIQ Retail Measurement Services รายงานว่ายอดขายของแบรนด์ชั้นนำ 10 อันดับแรกของโลกเพิ่มขึ้น 4.8% ซึ่งแซงหน้าการเติบโตของยอดขายประจำปีของผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตไปเล็กน้อยที่ 4.3% อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความแตกต่างในแต่ละภูมิภาคอยู่ กล่าวคือ ชาวอียิปต์มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตมากกว่า ในขณะที่ชาวเกาหลีใต้มีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะมองว่าผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตเป็นทางเลือกที่ทดแทนแบรนด์ที่มีชื่อเสียงได้

การหาจุดร่วมในความสำเร็จระหว่างผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์

กลยุทธ์ที่ผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตจะใช้ในการประสานงานเพื่อการเติบโตร่วมกันได้ ได้แก่:

  •  สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิต:
    •  ฮาโลเอฟเฟกต์ของแบรนด์: การอยู่ใกล้แบรนด์ที่มีชื่อเสียงช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจให้กับผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตได้ แบรนด์ต่างๆ หล่อเลี้ยงธุรกิจผ่านความภาคภูมิใจ (30%), ความเหนือกว่า (37%) และชื่อเสียง (48%) แต่ผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตจะได้รับความไว้วางใจเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อมีคุณภาพเทียบเท่ากับแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้
    •  การเปรียบเทียบราคา: โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์จากแบรนด์จะขายในราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตในหมวดหมู่ CPG ทั่วโลกถึง 26% ช่องว่างด้านราคาสามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกสินค้าจากความคุ้มค่าได้ เพื่อลองสินค้าใหม่หรือสินค้าที่ทัดเทียมกัน
  •  สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์:
    •  เพิ่มปริมาณการเข้าชม: ผู้บริโภคทั่วโลกเกือบสองในสาม (60%) ไว้วางใจสินค้าตราห้างเนื่องจากตนเชื่อใจในตัวผู้ค้าปลีก ข้อมูลของ NIQ แสดงให้เห็นว่าผู้ค้าปลีกชั้นนำในสหราชอาณาจักรกระตุ้นยอดขายทั้งผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิต และผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์ได้ โดยในปี 2024 ผู้ค้าปลีกในสหราชอาณาจักรสามรายผลักดันการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตกว่า 70% และผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์กว่า 86% ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่าชื่อเสียงของผู้ค้าปลีกจะส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้วย
    •  การขยายตลาด: ผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตช่วยกระตุ้นยอดขายให้เติบโตกว่าครึ่งหนึ่งในหมวดหมู่สินค้า เช่น กาแฟพร้อมดื่มและสแน็กบาร์ ซึ่งสร้างโอกาสให้กับทุกแบรนด์ ในช่วงแรก ผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตช่วยสร้างการรับรู้ในหมวดหมู่สินค้าและส่งเสริมการยอมรับในแบรนด์ที่มีชื่อเสียงได้ แบรนด์ต่างๆ จึงควรเน้นให้ความสำคัญกับภาคส่วนที่ผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตจะสร้างโอกาสในหมวดหมู่สินค้าได้

เกี่ยวกับ Finding Harmony on the Shelf: 2025 Global Outlook on Private Label & Branded Products Report

รายงานที่มีลักษณะเฉพาะนี้มุ่งเน้นไปที่แนวโน้มที่ขับเคลื่อนการเติบโตทั่วโลกนี้ประเมินพลวัตการพึ่งพาและแข่งขันกันระหว่างผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้าจ้างผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์และระบุโอกาสสำหรับผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตในการขับเคลื่อนความร่วมมือและการเติบโต เพื่อทำความเข้าใจว่าแนวโน้มเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อตลาดในท้องถิ่นของคุณอย่างไร ดาวน์โหลดสำเนารายงานฟรี

ระเบียบวิธีการวิจัย

แบบสำรวจทั่วโลกของรายงาน NIQ 2025 Private Label & Branded Products จัดทำขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2024 ถึงมกราคม 2025 โดยสำรวจผู้บริโภคออนไลน์กว่า 17,000 รายใน 25 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลางและแอฟริกา และอเมริกาเหนือ ผู้ตอบแบบสำรวจได้แก่ผู้บริโภคที่มักเป็นผู้ตัดสินใจเลือกซื้อของเข้าบ้านและตกลงที่จะเข้าร่วมการสำรวจนี้ กลุ่มตัวอย่างสำหรับแต่ละประเทศได้มาจากผู้คนในกลุ่มอายุและเพศในสัดส่วนที่สอดคล้องกับข้อมูลสำมะโนของพื้นที่นั้นๆ โดยมีการรับรองแล้วว่ากลุ่มประชากรแต่ละกลุ่มนั้นมีจำนวนตามขนาดพื้นฐานที่จะให้ผลที่เชื่อถือได้ทางสถิติ

เกี่ยวกับ NIQ

NielsenIQ (NIQ) เป็นบริษัทชั้นนำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคที่ให้คุณได้เข้าใจพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคโดยครบถ้วนรอบด้านที่สุดและเผยเส้นทางใหม่สู่การเติบโต โดย NIQ ร่วมมือกับ GfK ในปี 2023 ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้นำอุตสาหกรรมสองรายที่มีขอบเขตการเข้าถึงทั่วโลกที่ไม่มีใครเทียบได้ การเข้าถึงทั่วโลกของเรากว้างไกลไปถึงกว่า 90 ประเทศ ครอบคลุมประชากรประมาณ 85% ของประชากรโลก และข้อมูลค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคทั่วโลกรวมกว่า 7.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยข้อมูลการค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ครอบคลุมที่สุด ซึ่งนำเสนอด้วยการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ทันสมัย ทำให้ ​​NIQ ส่งมอบบริการแบบ Full View™ ได้

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.niq.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

sweta.patra@nielseniq.com

ที่มา: NielsenIQ

The Bangkok Reporter