พีแอนด์จีใช้พลังจากแนวทางบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศด้วยธรรมชาติเป็นตัวเร่งความก้าวหน้าการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และจะดำเนินธุรกิจโดยปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ตลอดทศวรรษนี้

Logo

ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 50% และซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมาใช้ 100% ในทุกฐานการผลิตภายในปี 2573

และ

เร่งพัฒนาแนวทางบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศด้วยธรรมชาติที่จะเป็นประโยชน์ทางด้านคาร์บอนและปริมาณก๊าซเรือนกระจกปัจจุบันจากการดำเนินธุรกิจ

ซินซินนาติ–(BUSINESS WIRE)–16 กรกฎาคม 2563

พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิลคอมปะนี (NYSE:PG) ประกาศ ให้คำมั่นครั้งใหม่ที่จะให้การดำเนินธุรกิจทั่วโลกของบริษัทบนเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (carbon neutral) ในทศวรรษนี้ ผ่านความพยายามยับยั้งในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะเป็นการปกป้อง ปรับปรุง และฟื้นฟูธรรมชาติ จาการที่เล็งเห็นว่าทศวรรษที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นช่วงเวลาที่โลกมีความไวต่อการพัฒนา (critical window) และสามารถเร่งให้เกิดความก้าวหน้าด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ พีแอนด์จี จึงจะเดินหน้าให้ไกลกว่าเป้าหมายที่อ้างอิงจากวิทยาศาสตร์ที่ตั้งไว้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 50% ด้วยการเร่งพัฒนาแนวทางบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศด้วยธรรมชาติให้มีความคืบหน้ายิ่งขึ้น ความพยายามเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ทางด้านคาร์บอนซึ่งลดทอนการปล่อยก๊าซที่เหลืออยู่ตลอดช่วง 10 ปีนับจากนี้ ทำให้การดำเนินการของพีแอนด์จีปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ตลอดทศวรรษนี้ จากการประเมิน ณ ปัจจุบัน บริษัทจำเป็นต้องชดเชยคาร์บอนให้ได้ 30 ล้านเมตริกตัน ระหว่างปี 2563 ถึง 2573 นี้

สิ่งที่พีแอนด์จีให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ยังเป็นการลดการปล่อยก๊าซ เป้าหมาย ณ ปัจจุบันของพีแอนด์จียังครอบคลุมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% และซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2573 และยังอยู่บนเส้นทางที่จะทำตามความมุ่งมั่นนี้ได้สำเร็จภายในปี 2573 นอกจากนี้ พีแอนด์จี จะเดินหน้าดำเนินการโครงการด้านพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานความร้อนใต้พิภพใหม่ ๆ เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ความพยายามเหล่านี้สอดคล้องกับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศได้กล่าวไว้ว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อช่วยสร้างความมั่นใจว่าบริษัทได้ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองในการหยุดไม่ให้อุณหภูมิของโลกสูงไปกว่านี้ และจะเดินหน้าต่อไปหลังปี 2573 อย่างไรก็ตาม จากเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบัน ยังคงมีการปล่อยก๊าซบางชนิดที่ไม่สามารถลดลงได้ภายในปี 2573 การลงทุนทางด้านโซลูชันสภาพภูมิอากาศธรรมชาติของบริษัท จะช่วยให้เร่งสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีถัดจากนี้

ช่วงเวลาที่โลกไวต่อการพัฒนา

รายงานเมื่อไม่นานมานี้ได้เน้นย้ำว่าโลกของเราไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ และนั่นทำให้ทศวรรษที่จะถึงนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซ และคงอยู่บนเส้นทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ภารกิจนี้จะยากยิ่งขึ้นไปอีกหากสังคมไม่เริ่มควบคุมการปล่อยก๊าซก่อนสิ้นสุดทศวรรษนี้ ภายในปี 2593 การปล่อยคาร์บอนจะต้องเป็นศูนย์หรือใกล้เคียง หากไม่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้จะทำให้อผู้คนในเจเนอเรชันถัดไปอยู่ในความเสี่ยงที่เกิดจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างมาก และทำให้ความตกลงปารีสบรรลุตามเป้าหมายเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น

"การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ และเราต้องลงมือตอนนี้” David Taylor ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งพีแอนด์จี กล่าว “การลดคาร์บอนฟุตปรินต์และการลงทุนในแนวทางบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศด้วยธรรมชาติของเราจะพาเราสู่การเป็นองค์กรที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในทุกธรุกิจตลอดทศวรรษนี้ และช่วยปกป้องระบบนิเวศอันเปราะบางรวมถึงชุมชนทั่วโลก”

แนวทางบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศด้วยธรรมชาติ: “ธรรมชาติเพียงอย่างเดียวสามารถแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เพียงหนึ่งในสาม”

พีแอนด์จีจะร่วมกับองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติและกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) เพื่อระบุปัญหาและลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่มีเป้าหมายในการปกป้อง ปรับปรุง และฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรมอย่างหนัก เช่น ป่าไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ ทุ่งหญ้าและพื้นที่ดินพรุ นอกเหนือจากการหยุดการก่อคาร์บอนอย่างสิ้นเชิงแล้ว อีกแง่มุมที่สำคัญของแนวทางบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศด้วยธรรมชาติก็คือศักยภาพในการสร้างสิ่งประโยชน์ร่วมทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ที่จะปกป้องและสร้างธรรมชาติให้ดีขึ้น รวมถึงพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชนในท้องถิ่น ขณะที่พีแอนด์จีกำลังเดินไปข้างหน้า บริษัทจะมุ่งค้นหา ตรวจสอบ และสื่อสารผลประโยชน์ร่วมที่เกี่ยวข้องนั้นจากการลงทุนทางด้านธรรมชาติของบริษัท

พีแอนด์จีกำลังพัฒนาพอร์ตโฟลิโอโครงการที่มีรายละเอียดและลงทุนในโครงการต่างๆ ทั่วโลก โครงการที่ได้รับการยืนยันแล้ว มีดังนี้:

– โครงการอนุรักษณ์เกาะปาลาวันในฟิลิปปินส์ร่วมกับองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ – เพื่อเป็นการปกป้อง ปรับปรุง และฟื้นฟูป่าชายเลยและระบบนิเวศที่เสื่อมโทรมของเกาะปาลาวัน เกาะปาลาวันเป็นพื้นที่ “ที่ไม่สามารถทดแทนได้” อันดับที่สี่ของโลกที่มีสัตว์ป่าที่มีลักษณะเฉพาะและกำลังถูกคุมคาม

– แผนฟื้นฟูป่าแอตแลนติกร่วมกับกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล – ในป่าแอตแลนติกทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศบราซิล วางรากฐานสำหรับการฟื้นฟูภูมิทัศน์ป่าไม้ที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความหลากหลายทางชีวภาพ น้ำ ความมั่นคงด้านอาหาร และผลประโยชน์ร่วมอื่น ๆ สำหรับชุมชนท้องถิ่น

– Evergreen Alliance ร่วมกับมูลนิธิ Arbor Day – นำให้บริษัท ชุมชน และประชาชนมารวมตัวกัน เพื่อดำเนินการที่สำคัญเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ถูกทำลายจากไฟป่าในแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ และการปรับปรุงป่าในเยอรมนี

“ธรรมชาติจะต้องเป็นส่วนสำคัญในทุกกลยุทธ์ที่จะต่อสู้กับวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศนี้” Dr. M. Sanjayan ซีอีโอขององค์กรอนุรักษณ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ กล่าว “งานวิจัยชี้ให้เห็นแล้วว่าเราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศได้นอกจากว่าเราจะปกป้อง ฟื้นฟู และพัฒนาการจัดการระบบนิเวศที่เต็มไปด้วยคาร์บอนนี้ให้ดีขึ้น หากเราสามารถทำได้อย่างเหมาะสม ความพยายามเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซได้ถึงหนึ่งในสาม ซึ่งเราต้องการสิ่งนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายภายในทศวรรษหน้า และที่สำคัญ เพื่อเป็นการช่วยเหลือการดำรงชีวิตของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศกว่าใคร เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับพรอคเตอร์แอนด์แกมเบิลในการปกปักธรรมชาติ ซึ่งเป็นการลงทุนที่เป็นชัยชนะสำหรับทั้งผู้คนและโลกใบนี้”

“ที่ผ่านมาเราได้ร่วมกับพีแอนด์จีในการขับเคลื่อนให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านสภาพภูมิอากาศและปกป้องผืนป่ามาตลอดทศวรรษ ด้วยขอบเขตทางธุรกิจของพวกเขาทำให้พวกเขาสามารถสร้างผลลัพธ์ในระดับที่สำคัญได้” Carter Roberts ประธานแห่งสหรัฐฯ และซีอีโอของกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล กล่าว “ที่สำคัญ ความก้าวหน้านั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่เรื่องคาร์บอนฟุตปรินต์ของบริษัทเท่านั้น พีแอนด์จีเป็นพันธมิตรรุ่นบุกเบิกของ Renewable Energy Buyers Alliance ซึ่งได้ช่วยเพิ่มการซื้อพลังงานหมุนเวียนในองค์กรทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา การประกาศในวันนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยการเพิ่มความสำคัญลงไปที่บทบาทของธรรมชาติ ที่ไม่ใช่เพียงแค่การดูดซับคาร์บอนที่ถูกปล่อยออกมาเท่านั้น แต่รวมถึงการจัดหาบริการและทรัพยากรที่จะช่วยให้สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้คงอยู่ เราหวังที่จะได้ทำงานร่วมกับพีแอนด์จีเพื่อบรรลุความมุ่งมั่นใหม่เหล่านี้ตลอดทศวรรษหน้า”

แบรนด์ภายใต้พีแอนด์จีเป็นผู้นำในการลดคาร์บอนฟุตปรินต์และกระตุ้นการเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสภาพภูมิอากาศที่ดีขึ้น

การมุ่งมั่นที่จะดำเนินการให้เกินเป้าหมายตามวิทยาศาสตร์เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากการประกอบธุรกิจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่บริษัทจะไม่หยุดเพียงแค่นั้น เป็นเวลากว่าสองทศวรรษที่พีแอนด์จีมุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงความเคร่งครัดด้านวิทยาศาสตร์ของการประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ของบริษัท เพื่อเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซจากซัพพลายเชนของบริษัทและผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ (ขอบเขตที่ 3) โดยการปล่อยก๊าซภายใต้ขอบเขตที่ 3 ของพีแอนด์จีสูงสุด 85% เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภค พีแอนด์จีเข้าถึงผู้คนราวห้าพันล้านคนผ่านผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ภายในเครือ และด้วยจำนวนที่มากขนาดนี้ย่อมต้องมีความรับผิดชอบในการสร้างอำนาจให้ผู้บริโภคในการลดคาร์บอนฟุตปรินต์ของพวกเขาด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบมาให้ช่วยประหยัดพลังงาน น้ำ และทรัพยากรธรรมชาติ

– กว่า 60% ของฟุตปริต์ที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ซักผ้าเกิดขึ้นในช่วงที่ผู้บริโภคใช้งาน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงานที่ถูกใช้ในการทำน้ำร้อน แบรนด์ Ariel และ Tide ได้ทำการปรับปรุงสูตรผลิตภัณฑ์ซักผ้าให้ดีขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการซักที่สูงในการซักผ้าด้วยน้ำอุณหภูมิต่ำ และสร้างแรงกระตุ้นเพื่อรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการซักผ้าผ่านแคมเปญ “Turn to 30” และ “Cold Water Wash” โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ 70% ของการทำงานของเครื่องซักผ้าเป็นการซักผ้ารอบพลังงานต่ำ ซึ่งโดยรวมแล้วบรรลุเป้าหมายด้วยการให้ความรู้กับผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาในช่วงสิบปีที่ผ่านมาถึงประโยชน์ทีได้จากการซักด้วยรอบพลังงานต่ำ พีแอนด์จีประเมินว่านับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา การหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซโดยผู้บริโภคด้วยการซักผ้าด้วยรอบพลังงานที่ต่ำทีเพิ่มขึ้น ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ราว 15 ล้านเมตริกตัน ซึ่งเท่ากับถนนที่มีรถน้อยลงถึงสามล้านคัน

– แบรนด์ Cascade ได้เปลี่ยนความเชื่อแบบเดิม ๆ ด้วยการทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าเครื่องล้างจานนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ช่วยประหยัดน้ำและพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการล้างจานในอ่างล้าง Cascade และเม็ดทำความสะอาดจานอัตโนมัติของ Fairy ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถข้ามขั้นตอนล้างน้ำสะอาดขั้นแรกและประหยัดน้ำและพลังงานที่ต้องใช้ในการทำให้น้ำร้อน ขณะที่พลังในการลดคาบมันของน้ำยาล้างจาน Fairy และ Dawn ช่วยประหยัดน้ำและพลังงาน และการลดอุณหภูมิน้ำลงมาที่ 20 องศาเซลเซีส (36 องศาฟาเรนไฮต์) ผู้บริโภคจะสามารถลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดถึง 50% ทุกครั้งที่ล้างจาน

“บทบาทของเราในฐานะผู้นำคือการสร้างระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตที่ลดการปล่อยก๊าซลงให้เกิดขึ้น รวมถึงเข้าถึงได้ และเป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับทุกคน” Virginie Helias ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืนของพีแอนด์จี กล่าว “สิ่งนี้เป็นความรับผิดชอบของเรา ที่จะปกป้อง critical carbon reserves และลงทุนในการหาทางออกที่จะสร้างโลกของเราให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ผู้บริโภคนั้นก็ต้องการที่จะมีส่วนร่วมมากขึ้นในการสะท้อนปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนี้ ในฐานะบริษัท เราเข้าถึงผู้คนกว่าห้าพันล้านคนผ่านแบรนด์ของเรา เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในทุก ๆ วัน ด้วยการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคอย่างรับผิดชอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและจะทำให้เกิดพฤติกรรมใหม่ ๆ ในการลดการปล่อยก๊าซโดยอัตโนมัติ”

วันนี้ เวลา 8.00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก และ 14.00 น. ตามเวลามาตรฐาน พีแอนด์จีจะรวมรวมผู้เชี่ยวชาญและผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อมาร่วมในการ อภิปรายที่มี National Geographic เป็นเจ้าภาพ เพื่อร่วมพูดคุยเกี่ยวกับพลังของธรรมชาติในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผู้เข่าร่วมประกอบด้วย David Taylor ซีอีโอของพีแอนด์จี Virginie Helias ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืนของพีแอน์จี Dr. M. Sanjayan ซีอีโอขององค์กรอนุรักษณ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ Carter Roberts ซีอีโอของกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สหรัฐอเมริกา และนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง Clover Hogan, Jiaxuan Zhang, Kehkashan Basu และ Vanessa Nakate

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพันธกิจใหม่ของพีแอนด์จี เพื่อเร่งพัฒนาแนวทางบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศด้วยธรรมชาติและเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ตลอดทศวรรษได้ที่ Multi Media Release site.

เกี่ยวกับพรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล

พีแอนด์จีให้บริการผู้บริโภคทั่วโลกด้วยการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและหลากหลาย มีคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงของโลก อันได้แก่ Always®, Ambi Pur®, Ariel®, Bounty®, Charmin®, Crest®, Dawn®, Downy®, Fairy®, Febreze ®, Gain®, Gillette®, Head & Shoulders®, Lenor®, Olay®, Oral-B®, Pampers®, Pantene®, SK-II®, Tide®, Vicks® และ Whisper® ชุมชน P & G มีการดำเนินงานในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก กรุณาเยี่ยมชม https://www.pg.com/ เพื่อรับข่าวสารล่าสุดและข้อมูลเกี่ยวกับพีแอนด์จีและแบรนด์ต่าง ๆ

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200716005294/en/

ติดต่อ:

สื่อพีแอนด์จี:
Maria Burquest
พีแอนด์จี, ฝ่ายสื่อสารทั่วโลก
Burquest.mh@pg.com

Loukia Tzekaki
พีแอนด์จี, ฝ่ายสื่อสาร ภูมิภาคยุโรป
Tzekaki.l@pg.com

เทคโนโลยีส่งกำลังที่ก้าวล้ำสามารถเพิ่มเครือข่ายกระจายและเพิ่มกำลังการผลิตในเอเชียให้สูงขึ้น

Logo

Black & Veatch พลิกโฉมโอกาสในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของเอเชีย ในฐานะผู้ให้บริการออกแบบสายส่งกำลังที่เป็นนวัตกรรมของ BOLD® แต่เพียงผู้เดียว

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–4 มิถุนายน 2563

เอเชียกำลังยกระดับระบบเชื่อมโยงไฟฟ้า (power grid) อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานที่มากขึ้นและขยายเครือข่ายกระจายไฟฟ้าในภูมิภาค การลงทุนหลักในภูมิภาคนี้อยู่ที่เรื่องความน่าเชื่อถือของระบบเชื่อมโยงไฟฟ้าและการรวมพลังงานหมุนเวียนเข้าในระบบไฟฟ้า (renewable energy integration)

ภูมิภาคเอเชียอยู่ระหว่างการประเมินเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งไฟฟ้าและความน่าเชื่อถือของระบบเชื่อมโยงผ่านเทคโนโลยีส่งกำลังที่มีความก้าวล้ำและส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพและความยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อยกระดับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของเอเชีย Black & Veatch จึงได้ขยายบริการที่ปรึกษาการออกแบบสายส่งแบบเดินลอยใหม่ล่าสุด (Breakthrough Overhead Line Design® หรือ BOLD) ไปยังประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทยและเวียดนาม โดย Black & Veatch เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านการออกแบบเทคโนโลยีสายส่งที่เป็นนวัตกรรมของ BOLD® แต่เพียงผู้เดียวในเอเชีย

“แนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าหรือ Right-of-Way (ROW) ปัจจุบันมีความหนาแน่นและมีความเป็นไปได้ในการขยายที่จำกัด ระบบสาธารณูปโภคในเอเชียเผชิญความยากลำบากมากขึ้นในการขยายแนวเขตสำหรับสายส่งสายใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เขตเมือง แต่สามารถสร้างโอกาสได้จากการปรับปรุงการใช้แนวเขตระบบโครงข่ายเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ตามความต้องการของผู้บริโภคไปพร้อมกับการรวมพลังงานหมุนเวียนเข้าในระบบ การรวมการออกแบบสายส่งที่ทันสมัยของ BOLD เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการติดตั้งที่เป็นที่ยอมรับของ Black & Veatch จึงเป็นหนึ่งในการเล็งเห็นถึงโอกาสนี้” Narsingh Chaudhary รองกรรมการผู้อำนวยการและกรรมการผู้จัดการด้านธุรกิจพลังงานในเอเชียแห่ง Black & Veatch กล่าว

โครงสร้างและคุณสมบัติจำเพาะของ BOLD® มีศักยภาพในการส่งมอบพลังงานได้เพิ่มขึ้นทำให้สามารถส่งไฟฟ้าได้มากขึ้นไปพร้อมกับลดผลกระทบต่อชุมชนโดยใช้โครงสร้างที่มีความสูงน้อยกว่าและมีการลดฟุตปรินต์จากการใช้ขั้นตอนแบบดั้งเดิม นั่นหมายถึงมีการใช้พื้นที่ลดลงเพื่อเติมเต็มความต้องการกำลังการผลิต

เทคโนโลยีการออกแบบที่ BOLD® เป็นเจ้าของใช้แขนเกี่ยวไขว้แบบโค้งเพียงชิ้นเดียวเพื่อยึดวงจรสองตัว การจัดวางวงจรที่กะทัดรัดและการประกอบฉนวนที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้มีความสูงลดลง ซึ่งช่วยให้ทำให้กระบวนการติดตั้งและการหาพื้นที่เป็นเรื่องง่ายขึ้น การออกแบบสามารถเพิ่มแนวเขตระบบโครงข่ายปัจจุบันด้วยการแทนที่สายส่งเก่าด้วยสายส่งของ BOLD® ที่มีขีดความสามารถสูงกว่าและมีปริมาณฟุตปรินต์ที่ลดลง

โครงสร้างของ BOLD® ยังช่วยลดขนาดความกว้างโดยรวมของแนวเขตระบบโครงข่ายแห่งใหม่ด้วย แนวเขตระบบโครงข่ายขนาด 150’ ที่ใช้โครงสร้างของ BOLD® สามารถส่งไฟฟ้าได้เกือบ 2000 เมกะวัตต์ (MW) ขณะที่โครงสร้างแบบทั่วไปจำเป็นต้องใช้ ROW ขนาด 450’ เพื่อจัดส่งไฟฟ้าได้ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับตัวเลขนี้

เมื่อเทียบกับสายไฟแบบดั้งเดิมขนาด 345 กิโลโวลต์ BOLD ให้กำลังการผลิตที่สูงกว่าถึง 60 เปอร์เซ็นต์และลดการสูญเสียของสายลงได้มากถึง 33 เปอร์เซ็นต์ และลดความสูงของโครงสร้างได้มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ การใช้การจัดเรียงเฟสแบบเดลต้าที่มีขนาดกะทัดรัดของดีไซน์แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการลดสนามแม่เหล็กระดับพื้นดินลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ สายส่งแบบวงจรคู่ขนาด 345 กิโลวัตต์ ของ BOLD® เพียง 1 สายมีสามารถส่งไฟฟ้าได้เท่ากับสายแบบวงจรเดียวขนาด 345 กิโลโวลต์ ถึง 3 สาย

เทคโนโลยี BOLD® ยังช่วยลดความซับซ้อนและค่าชดเชยรวมถึงนำวงจรแบบใหม่และวงจรทดแทนมาสู่การบริการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

“เทคโนโลยีส่งกำลังเป็นเสาหลักในกลยุทธ์โครงสร้างพื้นฐานการรวมพลังงานของเอเชีย” Chaudhary กล่าว “โครงสร้างพื้นฐานพลังงานแบบรวมจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการส่งและกระจายพลังงานรุ่นต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ระบบสาธารณูปโภคสามารถก้าวข้ามกับดักทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เริ่มมีอายุ พร้อมกับตอบสนองความต้องการด้านพลังงานหมุนเวียนที่มีความน่าเชื่อถือของผู้บริโภคที่กำลังเพิ่มขึ้นได้”

ผู้นำด้านโครงสร้างการส่งและกระจายไฟฟ้าในตลาดอย่าง Black & Veatch นำเสนอบริการที่ครบครัน ประกอบด้วยบริการที่ปรึกษา บริการด้านวิศวกรรม ไปจนถึงบริการวิศวกรรม จัดหา และก่อสร้าง (EPC) อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงบริการระบบตรวจสอบและซ่อมบำรุงพร้อมขีดความสามารถในการควบรวมโซลูชันพลังงานหมุนเวียนตามความต้องการของลูกค้าทางด้านความเสถียรของเครือข่ายการส่งและกระจายและความน่าเชื่อถือ

คลิกที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดภาพประกอบ

หมายเหตุบรรณาธิการ:

  • Black & Veatch ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับการส่งและสถานีส่งไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 เฉพาะในปี 2562 บริษัทก่อสร้างสถานีส่งไฟฟ้าไปกว่า 1,900 สถานี และโครงการส่งไฟฟ้า 500 โครงการทั่วโลก
  • บริการ EPC อย่างเต็มรูปแบบทางด้านสถานีไฟฟ้าแบบใช้ฉนวนก๊าซ (GIS) ซึ่งสนับสนุนทางด้านสถาปัตยกรรม เมืองและโครงสร้าง และความสามารถในการส่งกำลังอย่างเต็มรูปแบบ
  • Black & Veatch เคยเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมที่สร้างสถานีไฟฟ้าแบบใช้ฉนวนก๊าซขนาด 500 kV และ 230 kV รวมถึงสถานีไฟฟ้าขนาด 115 kV แห่งใหม่ที่สถานีฉะเชิงเทรา 2 ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับกรุงเทพมหานคร
  • ในสิงคโปร์ บริษัทเป็นผู้ให้บริการด้านแนวคิดและรายละเอียดทางวิศวกรรมในการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแบบใช้ฉนวนก๊าซขนาด 230/66 กิโลโวลต์ให้กับ Integrated Waste Management Facility ของ Singapore National Environment Agency
  • Black & Veatch มีส่วนร่วมในโครงการสถานีอพยพ Lontar ขนาด 150 กิโลโวลต์ของ Indonesia Perusahaan Listrik Negara
  • Jawa Satu Power ในประเทศอินโดนีเซีย แต่งตั้งให้ Black & Veatch เป็นวิศวกรสำหรับสถานีอพยพขนาด 500 กิโลโวลต์และสายส่งระหว่างเมือง Chilamaya และ Cibatu
  • ประสบการณ์ของบริษัทรวมถึงการก่อสร้างโครงสร้างคอนกรีตและไม้ทั้งแบบเป็นโครงตาข่ายเหล็กและท่อเหล็กทุกรูปแบบที่มี Black & Veatch ให้บริการทางด้านวิศวกรรมและการออกแบบในพื้นที่เมืองและพื้นที่ห่างไกลที่มีแรงดันระหว่าง 66 ถึง 765 กิโลโวลต์ ประสบการณ์ด้านจุดเชื่อมต่อและสถานีรวบรวมมีตั้งแต่เซอร์กิตที่มีการจัดเรียงแบบบัส (bus configurations) และแรงดันในระดับต่าง ๆ สูงสุด 765 กิโลโวลต์

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทที่พนักงานร่วมเป็นเจ้าของและเป็นผู้นำระดับโลกในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับความต้องการของมนุษย์ทั้งทางด้านพลังงาน ทรัพยากรน้ำ โทรคมนาคม และการบริการของภาครัฐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2458 บริษัทได้ให้บริการแก่ลูกค้าของบริษัทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในกว่า 100 ประเทศ โดยให้คำปรึกษา การออกแบบทางวิศวกรรม การดำเนินการก่อสร้าง และการบริหารโครงการ ในปี 2562 บริษัทมีรายได้รวมในการดำเนินงาน เท่ากับ 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และทางโซเชียลมีเดีย

เกี่ยวกับ BOLD®

BOLD® เป็นการออกแบบการส่งไฟฟ้าที่มีขนาดกะทัดรัด ซึ่งมีกำลังการผลิตที่สูงกว่า การสูญเสียพลังงานที่น้อยลง และโครงสร้างขนาดเล็ก รวมถึงผลกระทบทางทัศนคุณภาพที่ลดลง BOLD® ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มการใช้ประโยชน์ของแนวเขตระบบโครงข่าย (right-of-way) และลดความซับซ้อนในอุปกรณ์เฉพาะทาง เช่น ตัวเก็บประจุแบบอนุกรม ปัจจุบันมีการติดตั้งดังกล่าวในสายส่งหลายเส้นในสหรัฐอเมริกา เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ boldtransmission.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200527005970/en/

ติดต่อ:

Black & Veatch
EMILY CHIA | +65 6761 3511 p | +65 9875 8907 m | ChiaLP@BV.com
สายด่วน 24 ชั่วโมงสำหรับสื่อ | +1 866 496 9149

รางวัล GCSA 2020 มอบให้แด่ผู้ที่สร้างความยั่งยืนเพื่อโลกของเรา

Logo

เปิดให้เข้าร่วมเสนอชื่อรับรางวัลองค์กรพัฒนาอย่างยั่งยืนนานาชาติ (Global Corporate Sustainability Awards – GCSA) ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ไทเป, ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 – หลากหลายบริษัทในระดับนานาชาติทั่วโลก ที่ได้ดำเนินพันธกิจในการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด ถึงเวลาแล้วที่จะได้มีโอกาสที่จะได้รับการจารึกและประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ โดยเข้าร่วมการมอบรางวัลการองค์กรพัฒนาอย่างยั่งยืนนานาชาติ หรือ Global Corporate Sustainability Awards (GCSA) ประจำปี ค.ศ. 2020

สำหรับงานมอบรางวัล GCSA 2020 นี้ จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี 2030  (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) ซึ่งร่างขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ในปีที่ผ่านมา มีผู้ที่ได้รับรางวัลเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย อาทิเช่น ฮิวเล็ตต์ แพ็กการ์ด เอนเตอร์ไพรส์ จากสหรัฐอเมริกา, ซีเมนส์จากเยอรมัน, เอซุสเทคจากไต้หวัน, จีเอสบีจากประเทศไทย, พีที วาล์ว อินโดนีเซีย ทีบีเค จาก อินโดนีเซีย และ จานาจาลจากอินเดีย เป็นต้น  ผู้เข้าร่วมทั้งหมด จะได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติจากหลายภาคส่วน อาทิ ตัวแทนจากภาครัฐ, ภาคการศึกษา และ ภาคเอกชน เป็นต้น

วัตถุประสงค์ของการมอบรางวัล GCSA มีทั้งหมด 4 ข้อ โดยอาศัยแนวทางเดียวกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ประกอบด้วย

1. ประชาสัมพันธ์หลักการและข้อปฏิบัติแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้รับรู้วงกว้าง

2. ส่งเสริมให้องค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

3. ส่งเสริมให้องค์กรจัดทำและเผยแพร่รายงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านเศรษฐกิจ, สิ่งแวดล้อม, สังคมและการปกครอง ให้มีความชัดเจน ถูกต้อง เพื่อส่งแรงกระเพื่อมในเรื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปสู่สังคมในวงกว้าง

4. ส่งเสริมให้บุคคลทั่วไป ได้มีความตั้งใจอุทิศตนเพื่อสร้างพลังด้านบวก เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในเรื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสังคม

การมอบรางวัล GCSA มี 3 ประเภทหลัก ดังนี้ รางวัลความเป็นมืออาชีพยอดเยี่ยม, รางวัลการจัดทำรายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืนยอดเยี่ยม และ รางวัลผลการปฏิบัติงานยอดเยี่ยม

รางวัลความเป็นมืออาชีพยอดเยี่ยม : มอบให้แก่บุคคลทั่วไปที่ได้อุทิศตนเพื่อสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายในองค์กรที่สังกัด โดยเปิดโอกาสผู้เข้าร่วมเสนอชื่อมาจากหลายภาคส่วน อาทิ ข้าราชการในภาครัฐ, พนักงานบริษัทในองค์กรเอกชน หรือ นักวิชาการจากภาคการศึกษา เป็นต้น

รางวัลการจัดทำรายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืนยอดเยี่ยม : มอบให้แก่องค์กรต่างๆ ที่จัดทำรายงานเปิดเผยรายละเอียดความรับผิดชอบต่อสังคมที่มีความสมบูรณ์ น่าเชื่อถือ และ โปร่งใส

รางวัลผลการปฏิบัติงานยอดเยี่ยม : มอบให้แก่องค์กรธุรกิจที่ริเริ่มปฏิบัติงานในโครงการทางด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมลงทะเบียนได้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2020 และจะปิดรับลงทะเบียนวันที่ 10 สิงหาคม 2020 การประกาศผลผู้ได้รับรางวัลจะประกาศในวันที่ 4 ตุลาคม 2020 และจะมีการจัดงานมอบรางวัลในวันที่ 18  พฤศจิกายน 2020 ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในงานสัมนาองค์กรการพัฒนาอย่างยั่งยืนนานาชาติ (Global Corporate Sustainability Forum – GCSF) ณ กรุงไทเป , ไต้หวัน

รายละเอียดเพิ่มเติมงานมอบรางวัล  GCSA 2020  กรุณาดูได้ที่ bit.ly/2xM22i2

ประวัติย่อของสถาบันความยั่งยืนด้านพลังงานไต้หวัน (Taiwan Institute for Sustainable Energy – TAISE)

TAISE ก่อตั้งและได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานความยั่งยืนด้านพลังงานในปี 2007 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและวิจัยการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน รวมทั้งประชาสัมพันธ์โครงสร้างพื้นฐานของระบบพลังงานที่ยั่งยืนอีกด้วย สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TAISE กรุณาดูที่ https://www.taiseen.org.tw/

Media Contact

Kayla Lee

GlobalPR agency

kayla@globalpr.agency

Amazon ประกาศโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดสาธารณูปโภคจำนวน 5 โครงการเพื่อขับเคลื่อนกิจการทั่วโลกในประเทศจีน ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา

Logo

ห้าโครงการประกอบด้วยโครงการพลังงานทดแทนแห่งแรกของ Amazon ในประเทศจีน โครงการที่สองในออสเตรเลีย โครงการที่สองและสามในโอไฮโอ และที่ 12 ในเวอร์จิเนีย ด้วยกำลังการผลิตเพิ่มเติมรวม 615 เมกะวัตต์และคาดหวังการผลิตพลังงานที่ปีละ 1.2 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี หรือเพียงพอต่อการใช้พลังงานใน 113,000 บ้านในสหรัฐโดยเฉลี่ย

โครงการจะจะจัดหาพลังงานทดแทนให้กับศูนย์ขนส่งและศูนย์ข้อมูล AWS ที่สนับสนุนลูกค้าหลายล้านคนทั่วโลก

Amazon มีโครงการพลังงานหมุนเวียน 91 โครงการทั่วโลกที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 2,900 เมกะวัตต์และส่งมอบพลังงานมากกว่า 7.6 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปีเพื่อสนับสนุนพันธสัญญาว่าด้วยสิ่งแวดล้อมเพื่อบรรลุข้อตกลงปารีสก่อนเวลา 10 ปีและถึงเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2583

ซีแอตเทิล–(บิสิเนส ไวร์)–21 พฤษภาคม 2563

วันนี้ Amazon (NASDAQ: AMZN) ประกาศโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่ห้าโครงการในประเทศจีน ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกาที่สนับสนุนความมุ่งมั่นของ Amazon ในการเข้าถึงพลังงานทดแทน 80% ภายในปี 2024 และ 100% ภายในปี 2573 (หรืออาจจะภายในปี 2568) รวมถึงเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2583

โครงการพลังงานทดแทนแห่งแรกของ Amazon ในประเทศจีนคือโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 100 เมกะวัตต์ (MW) ในมณฑลซานตง  เมื่อเสร็จสิ้นโครงการคาดว่าจะสร้างพลังงานสะอาดได้ 128,000 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) ต่อปี

โครงการพลังงานทดแทนที่สองของ Amazon ในออสเตรเลียเป็นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 105 เมกะวัตต์ในรัฐนิวเซาท์เวลส์  โครงการนี้จะมีความสามารถในการสร้างพลังงานสะอาด 250,000 เมกะวัตต์ชั่วโมงในแต่ละปีซึ่งเพียงพอที่จะให้พลังงานแก่บ้านของชาวออสเตรเลียโดยเฉลี่ย 40,000 หลัง

โครงการพลังงานทดแทนใหม่ล่าสุดของ Amazon ในสหรัฐอเมริกาประกอบด้วยโครงการใหม่สองโครงการในโอไฮโอ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 200 เมกะวัตต์และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 80 เมกะวัตต์ นอกจากนี้โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 130 เมกะวัตต์ในรัฐเวอร์จิเนียทำให้จำนวนโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดในรัฐอยู่ที่ 12 เมื่อเปิดใช้งานแล้วโครงการทั้งสามแห่งของสหรัฐจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเท่ากับ 69,000 ครัวเรือนโดยเฉลี่ยในแต่ละปี

เมื่อเสร็จสิ้นแล้วโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่ของ Amazon ห้าโครงการรวม 615 เมกะวัตต์จะจัดหาพลังงานทดแทนเพิ่มเติมประมาณ 1.2 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมงให้กับต่อเครือข่ายขนส่งของบริษัทและศูนย์ข้อมูล Amazon Web Services (AWS) ซึ่งให้บริการ Amazon และลูกค้านับล้านทั่วโลก

จนถึงปัจจุบัน Amazon ได้ประกาศโครงการพลังงานลมและแสงอาทิตย์ขนาดสาธารณูปโภคจำนวน 31 โครงการและโซลาร์เซลล์ 60 หลังคาบนศูนย์ขนส่งและจัดเรียงทั่วโลก  เมื่อรวมกันแล้วโครงการเหล่านี้มีกำลังการผลิตรวมกว่า 2,900 เมกะวัตต์จะส่งมอบพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 7.6 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปีซึ่งเพียงพอต่อ 680,000 ครัวเรือนในสหรัฐอเมริกา

“ในฐานะผู้ลงนามในพันธสัญญาว่าด้วยสิ่งแวดล้อม เรามุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีสเร็วกว่ากำหนด 10 ปีและมีคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ทั่วทั้ง Amazon ภายในปี 2583” Kara Hurst รองประธานฝ่ายความยั่งยืนของ Amazon กล่าว “โครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่ทั้งห้านี้เป็นส่วนสำคัญของแผนงานของเราในการบรรลุเป้าหมายนี้  ในความเป็นจริง เราเชื่อว่าเป็นไปได้ที่จะเข้าถึงพลังงานทดแทน 100% ภายในปี 2568 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่เราได้ประกาศไปเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วเป็นเวลา 5 ปี  แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่เราก็มีแผนการที่จะไปให้ถึง”

“อนาคตพลังงานของเวอร์จิเนียนั้นสดใส  ด้วยการลงทุนในพลังงานสะอาดเราจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนและสร้างการจ้างงานเพื่อช่วยผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว” วุฒิสมาชิกเวอร์จิเนีย Senator Jennifer L. McClellan กล่าว “การประกาศโครงการโซล่าร์ใหม่ของ Amazon จะช่วยให้รัฐบรรลุเป้าหมายสิ่งแวดล้อมของเราและมีส่วนช่วยในการเติบโตทางเศรษฐกิจของเรา  กฎหมายธุรกิจสะอาดของเวอร์จิเนียจะช่วยผลักดันการลงทุนพลังงานสะอาดมากขึ้นเช่นนี้เพื่อทำให้เวอร์จิเนียเป็นศูนย์กลางแห่งชาติสำหรับงานพลังงานสะอาด”

“การสร้างงานพลังงานสะอาดเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในรัฐในระยะยาว” ตัวแทนเวอร์จิเนีย Richard C. Sullivan Jr. กล่าว “ผมดีใจที่ Amazon ยังคงลงทุนในอนาคตพลังงานสะอาดของเวอร์จิเนียต่อไป กฎหมายธุรกิจสะอาดของเวอร์จิเนียทำให้เราอยู่บนเส้นทางสู่พลังงานสะอาด 100 เปอร์เซ็นต์และ บริษัทอย่าง Amazon มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายดังกล่าว”

เยี่ยมชมเว็บไซต์การพัฒนาอย่างยั่งยืนของ Amazon สำหรับข้อมูลและตัวชี้วัดความยั่งยืนที่แบ่งปันความคืบหน้าของบริษัทสำหรับการบรรลุเป้าหมายพันธสัญญาว่าด้วยสิ่งแวดล้อม  เป้าหมาย ความมุ่งมั่น การลงทุน และโปรแกรมต่าง ๆ สร้างขึ้นจากความมุ่งมั่นในระยะยาวของ Amazon ที่มีต่อความยั่งยืนผ่านโครงการนวัตกรรมที่มีอยู่รวมถึง Shipment Zero ซึ่งวิสัยทัศน์ของ Amazon เพื่อให้การขนส่งทั้งหมดมีคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์โดยมีคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ 50% ในปี 2573 ความคิดริเริ่มบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนเช่นบรรจุภัณฑ์ปลอดความยุ่งยากและจัดส่งในคอนเทนเนอร์ของตัวเองซึ่งช่วยลดปริมาณขยะบรรจุภัณฑ์ลง 25% ตั้งแต่ปี 2558 โปรแกรมพลังงานหมุนเวียน การลงทุนในระบบเศรษฐกิจแบบวงกลมด้วย Closed Loop Fund และโครงการริเริ่มอื่นๆ มากมายที่เกิดขึ้นทุกวันและนำโดยทีมงานทั่ว Amazon

เกี่ยวกับ Amazon

Amazon นำโดยหลักการสี่ประการ: การครองใจลูกค้ามากกว่ามุ่งเน้นที่คู่แข่ง ความหลงใหลในการประดิษฐ์ ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในการดำเนินงาน และการคิดเชิงไกล ความคิดเห็นของลูกค้า การช็อปปิ้ง 1 คลิก คำแนะนำส่วนบุคคล Prime, Fulfillment โดย Amazon, AWS, Kindle Direct Publishing, Kindle, Fire tablet, Fire TV, Amazon Echo และ Alexa เป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่บุกเบิกโดย Amazon สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม amazon.com/about และติดตาม @AmazonNews

เกี่ยวกับ Amazon Web Services เป็น

เวลา 14 ปีที่ Amazon Web Services เป็นแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ครอบคลุมและได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก  AWS มีบริการที่โดดเด่นกว่า 175 รายการสำหรับการประมวลผล การจัด เก็บฐานข้อมูล เครือข่าย การวิเคราะห์ หุ่นยนต์ การเรียนรู้ของเครื่อง และปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ (IoT) โทรศัพท์มือถือ ความปลอดภัย ไฮบริด โลกเสมือนจริงและสภาพแวดล้อมเสมือน (VR และ AR ) สื่อ และการพัฒนาแอพพลิเคชั่น การใช้งาน และการจัดการจาก 76 Availability Zone (AZs) ภายใน 24 พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ พร้อมประกาศแผนสำหรับ Availability Zone อีกเก้าแห่งและอีกสามภูมิภาค AWS ในอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และสเปน  ลูกค้านับล้านรายรวมถึงบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุด องค์กรขนาดใหญ่ และหน่วยงานภาครัฐชั้นนำไว้วางใจ AWS ในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานให้มีความคล่องตัวมากขึ้นและลดต้นทุน หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ AWS โปรดไปที่ aws.amazon.com

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200521005212/en/

ติดต่อ:

Amazon.com, Inc.

สายด่วนสำหรับสื่อ

Amazon-pr@amazon.com

www.amazon.com/pr

MHPS เป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดกังหันก๊าซทั่วโลกอีกครั้ง

Logo

– อุปสงค์สำหรับกังหันก๊าซระดับคุณภาพทะยานสูงขึ้น –

โยโกฮามา ญี่ปุ่น–(บิสิเนสไวร์)–19 พฤษภาคม 2563

Mitsubishi Hitachi Power Systems (MHPS) คว้าลำดับแรกในด้านส่วนแบ่งตลาดโดยเมกะวัตต์ของการสั่งซื้อกังหันก๊าซในปี 2563 ตามข้อมูลจากรายงาน McCoy Power Reports  ยอดสั่งซื้อทั่วโลกในไตรมาสแรกรวม 2,638 เมกะวัตต์ทำให้ MHPS มีส่วนแบ่งของตลาดอยู่ที่ 28.5 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลก  ส่วนแบ่งตลาดกังหันแก๊สที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนใหญ่มาจากการสั่งจองทั่วโลกเพิ่มขึ้น 19.7% ในช่วงปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 ของ MHPS

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200519005485/en/

MHPS M501JAC gas turbine being manufactured at Takasago Works in Hyogo Prefecture, Japan. (Photo: Business Wire)

กังหันก๊าซ MHPS M501JAC ที่กำลังผลิตที่ Takasago Works ในจังหวัดเฮียวโกะ ประเทศญี่ปุ่น (ภาพ: บิสิเนสไวร์)

“ตลาดกังหันก๊าซทั่วโลกที่มีการแข่งขันสูงได้เคลื่อนตัวไปในทิศทางของเราด้วยความต้องการที่ชัดเจนสำหรับกังหันก๊าซ JAC ของเราซึ่งมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากังหันก๊าซของคู่แข่ง โดยทำสถิติใหม่ด้านการประหยัดพลังงานและการผลิตไฟฟ้า Ken Kawai ประธานและซีอีโอของ MHPS กล่าว “ยอดขายของกังหันก๊าซของ MHPS ทั้งในกลุ่มคุณภาพสูงและกลุ่มอนุพันธ์ทางอากาศได้รับแรงผลักดันจากกลุ่มสาธารณูปโภค ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ และเทศบาลทั่วโลกที่พยายามลดต้นทุนค่าไฟฟ้าด้วยการผสมผสานความเสถียรและประสิทธิภาพระดับโลกเข้าด้วยกัน”

กังหันก๊าซ J-Series ของ MHPS เข้าสู่การดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในปี 2554 และครองสถิติโลกด้านความเสถียรที่ 99.5%  นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพของวงจรรวมมากกว่า 64%  กลุ่มกังหันก๊าซ J-Series ดำเนินงานเชิงพาณิชย์ทั่วโลกรวมหนึ่งล้านชั่วโมงซึ่งสูงกว่ากังหันก๊าซที่มีขนาดใกล้เคียงกันเกือบสองเท่า

คำสั่งซื้อกังหันก๊าซ JAC ที่สามารถใช้หมุนเวียนไฮโดรเจน 2 เครื่องแรกสำหรับสำนักงาน Intermountain Power Agencyในเดลต้า รัฐยูทาห์ได้เพิ่มส่วนแบ่งตลาดในไตรมาสแรกของ MHPS ในปี 2563  Dan Eldredge แห่ง Intermountain Power Agency กล่าวว่า "เราเลือกเครื่องผลิตไฟฟ้า JAC ของ MHPS เพราะพวกเขาสามารถตอบโจทย์ด้านความต้องการอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าของเราได้ดีที่สุด ซึ่งได้แก่ความต้องการด้านความยืดหยุ่นของเชื้อเพลิงที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายสู่การผลิตไฟฟ้าปลอดคาร์บอน ​​100% ในปี 2045  ด้วยเครื่องมือและการสนับสนุนของ MHPS เราคาดว่าจะให้พลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้นสำหรับทศวรรษต่อๆ ไป"

กังหันก๊าซ J-Series ที่กำลังดำเนินการเชิงพาณิชย์อยู่มีจำนวนรวมสี่สิบห้าเครื่องและมีกำลังการผลิตรวมเกินกว่า 25 กิกะวัตต์ทั่วโลก  หนึ่งร้อยสี่หน่วยได้รับการคัดเลือกทางเทคนิคในบราซิล แคนาดา ญี่ปุ่น เม็กซิโก เปรู เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และสหรัฐอเมริกา

“ตลาดได้รับรู้ถึงความพยายามของเรา โดยเห็นได้จากการเลือกทางเทคนิคและคำสั่งซื้อที่วางไว้” Junichiro Masada รองประธานอาวุโสหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีร่วมและรองหัวหน้าสำนักงานใหญ่โรงกังหันของ MHPS กล่าว “และเรายังคงพัฒนาเทคโนโลยีของเราต่อไป ตัวอย่างเช่นเมื่อเร็วๆ นี้เราได้ผสานกับกริดไฟฟ้าใน Takasago ประเทศญี่ปุ่นและได้บรรลุโหลดเต็มรูปแบบด้วยการปรับปรุง JAC เป็น 60 Hz ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกำลังผลิตและประสิทธิภาพของวงจรรวมที่สูงเป็นสถิติใหม่  คู่แข่งของเรายังต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการผลิตกังหันก๊าซที่มีขนาดหรือประสิทธิภาพเท่าของเรา นอกจากนี้เราได้แสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญของ FT4000 ที่ศูนย์ทดสอบของเราในเวส ปาล์ม บีช ฟลอริดา”

กังหันก๊าซอนุพันธ์อากาศ FT4000 ซึ่งมีโครงการที่ใช้งานอยู่หลายแห่งในอเมริกาเหนือและทั่วโลก ได้เพิ่มกำลังผลิตขึ้นเป็นสามเท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาและได้ครองส่วนแบ่งการตลาดที่สำคัญในระดับเดียวกันนับตั้งแต่การซื้อ PW Power Systems (PWPS) ในปี 2556  เครื่อง PWPS FT4000 เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในปี 2558 และมอบประสิทธิภาพวงจร เวลาในการเปิดใช้งาน และอัตราการเร่งที่เป็นชั้นนำของอุตสาหกรรม

“เราภูมิใจที่เทคโนโลยีของเราได้ทำให้เราก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับโลกในตลาดกังหันก๊าซ” Ken Kawai ประธานและซีอีโอกล่าว “เราให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของพนักงานของเราทั่วโลกที่มุ่งนำเสนอเทคโนโลยีขั้นสูงและโซลูชั่นพลังงานให้กับตลาดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ราคาไม่แพงและเชื่อถือได้  เรายังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่เศรษฐกิจที่ไร้คาร์บอนและช่วยแก้ไขความท้าทายที่สังคมโลกของเราต้องเผชิญ”

เกี่ยวกับ Mitsubishi Hitachi Power Systems, Ltd.

Mitsubishi Hitachi Power Systems, Ltd. (MHPS) ที่มีสำนักงานใหญ่ในโยโกฮาม่าประเทศญี่ปุ่น เป็นบริษัทร่วมทุนที่ก่อตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 โดย Mitsubishi Heavy Industries, Ltd. and Hitachi, Ltd. ที่เป็นการผสานกิจการระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง  MHPS เพิ่งประกาศว่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น Mitsubishi Power ในไม่ช้า  MHPS ในวันนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ชั้นนำของโลกด้านอุปกรณ์และบริการตลาดผลิตไฟฟ้า โดยได้รับการสนับสนุนจากเงินทุน 100 พันล้านเยนและพนักงานประมาณ 20,000 คนทั่วโลก  ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้แก่ GTCC (กังหันก๊าซวงจรรวม) และโรงไฟฟ้า IGCC (การแปรสภาพเป็นแก๊สถ่านหินแบบรวมวงจรรวม) โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ/ถ่านหิน/ น้ำมันเชื้อเพลิง (ไอน้ำ) หม้อไอน้ำ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า กังหันก๊าซ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพ, AQCS (ระบบควบคุมคุณภาพอากาศ) อุปกรณ์ต่อพ่วงของโรงไฟฟ้าและเซลล์เชื้อเพลิงโซลิดออกไซด์ (SOFC) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทที่ https://www.mhps.com

ติดตามเราได้ที่
https://twitter.com/MHPS_Global หรือ http://www.linkedin.com/showcase/mhps

อ่านเวอร์ชั่นที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200519005485/en/

ติดต่อ:

Naoya Kanamura
Deputy Manager (รองผู้จัดการ)
Corporate Communications Group (ฝ่ายสื่อสารองค์กร)
Mitsubishi Hitachi Power Systems, Ltd.
เบอร์มือถือ: +81-(0)80-9592-0069
อีเมล: naoya_kanamura@mhps.com

Kurita Water Industries ได้รับรางวัล Natural Resources and Energy Director-General’s Award ในงานรางวัล Energy Conservation Grand Prize ปี 2562 ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนด้วยเทคโนโลยี Dropwise Condensation

Logo

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–17 ม.ค. 2563

Kurita Water Industries Ltd. (โตเกียว: 6370) (สำนักงานใหญ่: นาคาโนะ-คิว โตเกียว; ประธาน: Michiya Kadota; ต่อไปนี้เรียกว่า "Kurita") มีความยินดีที่จะประกาศว่าทางบริษัทได้รับรางวัลผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน (Natural Resources and Energy Director-General's Award) ในหมวดผลิตภัณฑ์และรูปแบบธุรกิจในรางวัลอนุรักษ์พลังงานปี 2562 (2019 Energy Conservation Grand Prize) ซึ่งจัดโดยศูนย์อนุรักษ์พลังงานประเทศญี่ปุ่น (Energy Conservation Center, Japan) (สนับสนุนโดยกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น)  รางวัลนี้ได้ยกย่องการปรับปรุงประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนด้วยเทคโนโลยี Dropwise Condensation ของ Kurita  เป็นครั้งที่สองที่ Kurita ได้รับรางวัล Energy Conservation Grand Prize หลังจากได้รับรางวัล Energy Conservation Center Chairman’s Award สำหรับเทคโนโลยี DReeM Polymer™ ในปี 2560

รางวัล Energy Conservation Grand Prize ตระหนักถึงความริเริ่มด้านการอนุรักษ์พลังงานในส่วนของผู้ประกอบการและสถานที่ รวมถึงผลิตภัณฑ์และรูปแบบธุรกิจที่แสดงให้เห็นถึงการอนุรักษ์พลังงานที่ยอดเยี่ยม  ความพยายามดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อขยายการรับรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในญี่ปุ่น ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงานอย่างกว้างขวาง และช่วยสร้างสังคมอนุรักษ์พลังงาน  ในปี 2562 รางวัล Energy Conservation Grand Prize ได้เชิดชูหัวข้อทั้งหมด 52 ประเด็น โดยมีเจ้าของรางวัล Agency of Natural Resources and Energy Director-General's Award ในหมวดหมู่รูปแบบผลิตภัณฑ์และธุรกิจจำนวนห้าราย

Kurita ได้รับการยอมรับด้านแนวคิดในการอนุรักษ์พลังงานผ่านทางเทคโนโลยี Dropwise Condensation และเทคโนโลยีพื้นฐาน  โดยทั่วไปแล้ว ปลายของเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนแบบไอน้ำจะเกิดชั้นน้ำบนพื้นผิวโลหะเนื่องจากการควบแน่นของไอน้ำ  ชั้นน้ำนี้อาจลดประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนอย่างมาก ก่อให้เกิดการสิ้นเปลืองพลังงานและประสิทธิภาพลดลงเนื่องจากต้องใช้ปริมาณไอน้ำมากขึ้น  เทคโนโลยี Dropwise Condensation ของ Kurita มอบคุณสมบัติกันน้ำให้กับพื้นผิวโลหะของเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนเพื่อกำจัดชั้นน้ำบนพื้นผิวโลหะและปรับปรุงประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อน  ผลลัพธ์นี้จะช่วยประหยัดพลังงานเนื่องจากปริมาณไอน้ำที่ใช้ลดลงและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ  ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากผลลัพธ์นี้ทำได้โดยเพียงเพิ่มสารเคมีบำบัดน้ำที่มีคุณสมบัติกันน้ำในท่อไอน้ำก่อนการแลกเปลี่ยนความร้อน จึงสามารถนำโซลูชันนี้มาใช้กับโรงงานปัจจุบันได้

Kurita กำลังเปิดตัวโซลูชั่นที่ใช้เทคโนโลยีนี้ในหลายสาขาธุรกิจและได้รับรองผลลัพธ์ที่โรงงานกระดาษที่ได้ลดปริมาณการใช้ไอน้ำต่อหน่วยและได้ลดการปล่อยก๊าซ CO2 โดยเฉลี่ย 5-10% ต่อปี  นอกจากนี้ ยังสามารถปรับปรุงผลลัพธ์การการประหยัดให้ดีขึ้นได้ด้วยการใช้ร่วมกับเทคโนโลยีด้านไอทีและการตรวจจับ  ในอนาคต Kurita จะเปิดตัวโซลูชั่นเหล่านี้ในฐานะผู้รับเหมาโดยแบ่งปันผลประโยชน์ที่มีต่ออุปกรณ์การผลิตร่วมกับลูกค้า เช่น การใช้พลังงานที่ลดลงและปริมาณการผลิตที่สูงขึ้น

ภายใต้แผนการจัดการระยะกลาง MVP-22 Kurita มองว่า “การแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำ” และ “การใช้พลังงานอย่างยั่งยืน” เป็นประเด็นทางสังคมที่ต้องจัดลำดับความสำคัญและจะมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าร่วมกับสังคม  Kurita Group มุ่งใส่ใจการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรม ส่งมอบการปรับปรุงประสิทธิภาพเชิงความร้อนทั่วทั้งโรงงาน และจะทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อแสวงหาการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน

การอ้างอิง: ข้อมูลและลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

อ่านข่าวที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200116005911/en/

ติดต่อ:

Kurita Water Industries Ltd.
Marketing Department1, Marketing Group, Solution Business Division (ฝ่ายการตลาด 1 กลุ่มการตลาด ฝ่ายโซลูชันธุรกิจ)
Mail: kwi_global_inquiry@kurita-water.com

PW Power Systems นำเสนอวันหยุดที่สว่างขึ้นในเปอร์โตริโก

Logo

สินทรัพย์การผลิตพลังงานเคลื่อนที่จะรักษาความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าและเสริมพลังงานทดแทน

แกลสตันบูรี คอนเนตทิคัต–(บิสิเนสไวร์)–05 ธ.ค. 2562

PW Power Systems (PWPS) ผู้ให้บริการชั้นนำของโซลูชั่นการผลิตพลังงานจากกังหัน aeroderivative ประกาศว่า PREPA (Puerto Rico Electric Power Authority) มีกังหันก๊าซ PWPS FT8® MOBILEPAC® จำนวนสามกังหันที่พร้อมใช้งาน  หน่วยกังหันก๊าซเคลื่อนที่ขนาด 30 เมกะวัตต์พร้อมใช้งานในกรณีฉุกเฉิน เช่นเดียวกับการรักษาความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนแผนความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของเปอร์โตริโก  PWPS ได้ให้การสนับสนุนแก่ ARG Precision Corporation ซึ่งเสร็จสิ้นการติดตั้งกังหันก๊าซคู่แบบครบวงจรของ FT8 MOBILEPAC ที่โรงไฟฟ้า Palo Seco ใน Toa Baja

ผู้ว่าการเปอร์โตริโก Wanda Vazquez กล่าวว่า “เครื่องปั่นไฟทั้งสามเครื่องทำให้สามารถตอบสนองต่อกรณีฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่เราสูญเสียพลังงานในเขตเมืองได้อย่างรวดเร็ว  ภายในแปดถึงสิบนาทีเราสามารถให้พลังงานระบบและบริการไฟฟ้าแก่ลูกค้าประมาณ 40,000 คน  บริการที่สำคัญเช่นโรงพยาบาลในเขตปริมณฑลจะมีความปลอดภัยเช่นกัน”

“เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่สามเครื่องนี้สามารถตอบสนองความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่นโรงพยาบาล Bayamón Regional Hospital ศูนย์การแพทย์ Río Piedras Medical Center และ Golden Mile ใน Hato Rey ตลอดจนปกป้องการปฏิบัติงานประจำวันของสนามบินนานาชาติ Luis Muñoz Marínใน Isla Verde”  Jose Ortiz ผู้อำนวยการบริหาร PREPA ยืนยันว่า “แม้ว่าจะตั้งอยู่ที่โรงงาน Palo Seco แต่อุปกรณ์นี้สามารถพกพาได้ จึงสามารถเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ต่างๆ ที่ไม่สามารถส่งสัญญาณได้ในกรณีฉุกเฉิน” คุณ Ortiz กล่าว

“ในขณะที่เปอร์โตริโกเปลี่ยนสถาปัตยกรรมระบบไฟฟ้า ความพร้อมใช้งานของ FT8 MOBILEPAC ทำให้เกิดความอุ่นใจทันทีสำหรับ PREPA และลูกค้า” Raul Pereda ประธานและซีอีโอของ PWPS กล่าว “ในระยะยาวเทคโนโลยีนี้เป็นโซลูชั่นที่มีหลายแง่มุมที่ช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นเมื่อเกิดสภาพอากาศเลวร้ายและช่วยให้ PREPA สามารถก้าวไปสู่การทำงานร่วมกับมาตรฐานพลังงานทดแทนใหม่  ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการตอบสนองความต้องการที่รวดเร็วช่วยให้มีความยืดหยุ่นอย่างมากเมื่อต้องรับมือกับความท้าทายในการพยากรณ์โหลดที่ไม่แน่นอนและการให้พลังงานที่เสถียรเมื่อเปอร์โตริโกต้องการมันมากที่สุด”

เกี่ยวกับ PW Power Systems

PW Power Systems LLC (PWPS) เป็นบริษัทในเครือ MHPS Americas มีสำนักงานใหญ่ในเลกแมรี รัฐฟลอริดา  PWPS ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูงของเครื่องยนต์อากาศยาน Pratt & Whitney® และได้นำไปใช้เพื่อแก้ปัญหาพลังงานระบบที่ซับซ้อนเพื่อเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า

PW Power Systems มีกังหันก๊าซอุตสาหกรรมมากกว่า 2,000 เครื่องที่ติดตั้งในกว่า 50 ประเทศทั่วโลกและภาคภูมิใจในความเหนือกว่าในการซ่อมแซมกังหันก๊าซและภาคยกเครื่อง  เครื่องยนต์กังหันก๊าซของ PWPS นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้ มีประสิทธิภาพ และยืดหยุ่นซึ่งสร้างพลังงานได้ 30 ถึง 140 เมกะวัตต์

เครื่องกำเนิดกังหันก๊าซ FT8® MOBILEPAC® นั้นมีประสิทธิภาพสูงและสามารถขนส่งได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วทั้งทางบก ทางทะเล หรือทางอากาศ  การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ช่วยให้สามารถเคลื่อนที่และถอนกำลังได้อย่างรวดเร็วด้วยเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ที่น้อยที่สุด

PW Power Systems มุ่งมั่นที่จะให้บริการโซลูชั่นที่มีคุณภาพสูงสำหรับตลาดพลังงานแบบกระจายที่เพิ่มการผลิตพลังงานและความเสถียรและส่งมอบการประหยัดการดำเนินงานให้กับลูกค้า  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม www.pwps.com

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20191205005154/en/

ติดต่อ:

Stefan Zavatone ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร 860-368-5499
stefan.zavatone@pwps.com

Azbil เตรียมพูดคุยเกี่ยวกับพลังงานอัจฉริยะและการสนับสนุนสัมนาที่เน้นการส่งเสริมเมืองและโซ่อุปทานอัจฉริยะ

Logo

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–28 พ.ย. 2562

Azbil Corporation (TOKYO: 6845) ประกาศเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของ NIKKEI SASIN FORUM 2019: "Smart City and Smart Supply Chain for Inclusive Urban and Rural Development" สัมนาที่จะจัดขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในวันที่ 29 พฤศจิกายนพร้อมกับการครบรอบ 10 ปีโครงการแลกเปลี่ยนแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น

สัมนานี้จัดขึ้นโดย Nikkei Inc. และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยจะมุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหวและพลังงานอัจฉริยะซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาสำหรับโครงการ "เมืองอัจฉริยะ" ของประเทศไทย  งานนี้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและผู้นำทางธุรกิจจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่นเพื่อส่งเสริมการเติบโตของเมืองอัจฉริยะ โดยไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด แต่ยังอำนวยความสะดวกในการจับคู่ธุรกิจและแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี

Azbil บริษัท ชั้นนำด้านอาคารและระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมมีส่วนช่วยในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะผ่านเทคโนโลยีการวัดและการควบคุมซึ่งเป็นรากฐานของระบบอัตโนมัติ  การสนับสนุนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ Azbil ที่จะนำมาซึ่งวิสัยทัศน์ของ “สังคมที่มีความฉลาดเฉลียว” ซึ่งเป็นแนวคิดแรกที่เสนอโดยรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านเทคโนโลยีอัตโนมัติที่ทันสมัย

Kiyohiro Yamamoto ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Azbil จะนำเสนอโซลูชั่นพลังงานอัจฉริยะสำหรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะโดยใช้ระบบอัตโนมัติที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง

“เรามีความสุขที่ได้รับเชิญให้มาพูดคุยที่ NIKKEI SASIN FORUM หลังจาก Nikkei-NUS Enterprise FORUM ที่ประสบความสำเร็จในสิงคโปร์” คุณ Yamamoto กล่าว “ Azbil มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเมืองอัจฉริยะบนพื้นฐานของระบบอัตโนมัติที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางโดยมอบโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพ  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บรรลุสังคมที่สะดวกสบายและประหยัดค่าใช้จ่าย และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมหลายอย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”

วิทยากรท่านอื่นๆ ได้แก่ ดร.ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน/CTO สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล คุณ Koji Uebayashi ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาตลาดโลก กองนโยบายระหว่างประเทศ สำนักนโยบายกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยว (MLIT) รัฐบาลญี่ปุ่น  นายพิรุณ ไพรีพ่ายฤทธิ์หัวหน้าคณะทำงาน 5G บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และดร. Takamasa Fujioka รองศาสตราจารย์บัณฑิตวิทยาลัยธุรกิจระดับโลกมหาวิทยาลัยเมจิ/ ผู้อำนวยการศูนย์ญี่ปุ่นศศินทร์ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เกี่ยวกับ Azbil Corporation

Azbil Corporation เดิมชื่อ Yamatake Corporation เป็นบริษัทชั้นนำในการสร้างและระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมโดยใช้เทคโนโลยีการวัดและการควบคุมเพื่อมอบโซลูชั่นมูลค่าเพิ่มสูงให้แก่ลูกค้าเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น  Azbil ก่อตั้งขึ้นในปี 2449 โดยให้บริการลูกค้าทั่วโลกในอุตสาหกรรมที่หลากหลายและมีเป้าหมายที่จะมีส่วนร่วมในด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบายและความพอใจ และการรักษาสิ่งแวดล้อมทั่วโลก  ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 Azbil มีพนักงาน 9,600 คนทั่วโลกและสร้างรายได้ 262 พันล้านเยน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาไปที่ https://www.azbil.com/

ดูที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20191127005665/en/

สำหรับสื่อมวลชน

Robert Jones /Masayoshi Kogai

สำนักงานประชาสัมพันธ์, Azbil Corporation

โทรศัพท์: +81-3-6810-1006
อีเมล: publicity@azbil.com

INNIO ลงนามข้อตกลงกับกฟผ. พัฒนาโซลูชั่นไม่โครกริดขั้นสูงในประเทศไทย

Logo

  • ข้อตกลงจะรวมถึงการพัฒนาการสาธิตไมโครกริดที่ศูนย์ความเป็นเลิศด้านพลังงานการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ของกฟผ. หรือ  EGAT’s zero-emissions energy excellence center ในเขตบางกรวย จ.นนทบุรี ประเทศไทย
  • การสาธิตไมโครกริดจะรวมระบบไฮโดรเจนจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
  • เป้าหมายของโครงการคือการติดตั้งเครื่องยนต์ก๊าซ INNIO Jenbacher เพื่อใช้เชื้อเพลิงทดแทน 100%

เมือง Jenbach, ประเทศอสเตรีย –(BUSINESS WIRE)–15 พ.ย. 2562

INNIO ประกาศในวันนี้ว่า บริษัท ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาของการสาธิตไมโครกริดที่ศูนย์ความเป็นเลิศด้านพลังงานการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ของกฟผ. ประเทศไทย โดย กฟผ. กำลังวางแผนที่จะติดตั้งเครื่องยนต์ก๊าซ Jenbacher จาก INNIO ที่สามารถทำงานบนก๊าซทดแทนได้ 100% เช่น ก๊าซชีวภาพ และไฮโดรเจนสีเขียว และที่สนับสนุนการสาธิตไมโครกริดสีเขียวขนาดเล็ก พิธีการการลงบันทึกความเข้าใจนี้จัดขึ้นที่ศูนย์การเรียนรู้ของกฟผ. ในกรุงเทพฯ

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคุณสมบัติเป็นมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20191115005236/en/

From left to right: Tawatchai Sumranwanich (EGAT, Generation and Transmission System Planning Division), Patana Sangsriroujana (EGAT, Deputy Governor Strategy), Carlos Lange (INNIO, President & CEO) and Anand Anton (INNIO, General Manager Sales and Services APAC). Copyright: EGAT

จากซ้ายไปขวา: ธวัชชัย สำราญวานิช (กฟผ., ฝ่ายวางแผนและสร้างระบบส่งกำลัง), พัฒนา แสงศรีโรจน์ (กฟผ., รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์), Carlos Lange (INNIO, ประธานและ CEO) และ Anand Anton (INNIO, ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและบริการ APAC)  ลิขสิทธิ์ของ EGAT

เทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับการพัฒนาช่วยให้ผู้ผลิตพลังงานผลิตไฟฟ้าด้วยการปล่อยคาร์บอนน้อยลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น กฟผ. ได้หันมาใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อมุ่งสู่การพัฒนานวัตกรรมพลังงานทดแทนและลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศโลก ความมั่นคงด้านพลังงาน และความเป็นอิสระ1

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ INNIO ในโครงการนี้ ในระหว่างที่เราพัฒนาโครงการสาธิตไมโครกริดสีเขียวที่ กฟผ. แผนการของเราคือการติดตั้งโซลูชั่นดังกล่าวทั่วประเทศไทยและขยายตัวออกไปมากกว่านั้น” พัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกล่าว

บันทึกความเข้าใจกับ INNIO กำหนดกรอบการทำงานเพื่อกำหนดการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนขั้นสูงและแสดงให้เห็นถึงโครงการไมโครกริด ที่ศูนย์การเรียนรู้ของกฟผ. ที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรีประเทศไทยซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2563 การบูรณาการเครื่องยนต์ก๊าซ Jenbacher พร้อมเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น ระบบแบตเตอรี่พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ และระบบอิเล็กโทรไลเซอร์ที่ผลิตไฮโดรเจนสีเขียวจะนำพาไมโครกริดสีเขียวมาสู่ประเทศไทยอย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และยืดหยุ่น ช่วยให้การจัดการพลังงานขั้นสูงตอบสนองความต้องการและให้โซลูชั่นการโหลดที่ลดลง

“ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านพลังงานการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ในประเทศไทยคาดว่าจะเป็นโครงการริเริ่มโครงการหนึ่งสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด และเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมลงทุนในนวัตกรรมนี้” Carlos Lange ซีอีโอและประธานบริษัท INNIO กล่าว “ เครื่องยนต์ก๊าซ Jenbacher ของ INNIO ใช้ก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซอื่น ๆ เช่น ก๊าซชีวภาพ และไฮโดรเจน เครื่องยนต์ก๊าซของ INNIO ให้การใช้งานมากกว่า 68 กิกะวัตต์ในหมู่อุตสาหกรรมที่หลากหลาย และให้ความร้อนและพลังงานที่เชื่อถือได้ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายของประเทศไทยในด้านความมั่นคงและความเป็นอิสระด้านพลังงาน”

* ระบุเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน

เกี่ยวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

กฟผ. เป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงพลังงานซึ่งรับผิดชอบการผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้ารวมทั้งจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจำนวนมากในประเทศไทย กฟผ. ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2512  เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีหน่วยงานทั่วประเทศด้วยกำลังการผลิตติดตั้งรวม 15,548 เมกะวัตต์

http://www.egat.co.th/en/.

เกี่ยวกับ INNIO

INNIO เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นชั้นนำสำหรับเครื่องยนต์ก๊าซ อุปกรณ์ไฟฟ้าแพลตฟอร์มดิจิทัล และบริการที่เกี่ยวข้องสำหรับการผลิตพลังงานและการบีบอัดก๊าซที่ใกล้กับจุดใช้งานหรือที่ ณ จุดการใช้งาน ด้วยแบรนด์ผลิตภัณฑ์ Jenbacher และ Waukesha ของเรา INNIO ก้าวไปไกลกว่าความเป็นไปได้ทั่วไปและมองไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญในวันพรุ่งนี้ ผลงานที่หลากหลายของเครื่องยนต์ก๊าซอุตสาหกรรมที่น่าเชื่อถือ ประหยัด และยั่งยืนนี้ สร้างพลังงาน 200 kW ถึง 10 MW สำหรับอุตสาหกรรมจำนวนมากทั่วโลก เราสามารถให้การสนับสนุนวงจรชีวิตแก่เครื่องยนต์ก๊าซที่ส่งมอบให้มากกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซกว่า 50,000 แห่งทั่วโลก และได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายบริการของเราในกว่า 100 ประเทศ INNIO เชื่อมต่อกับคุณในพื้นที่เพื่อตอบสนองความต้องการบริการของคุณอย่างรวดเร็ว

สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Jenbach ประเทศออสเตรีย และมีการดำเนินงานหลักในเมือง Welland, Ontario, Canada และ Waukesha, Wisconsin, US สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ บริษัท ที่ www.innio.com. ติดตาม INNIO บน Twitter และ LinkedIn.

1 https://www.egat.co.th/en/news-announcement/news-release/moe-egat-discuss-thai-energy-in-the-disruptive-era

ดูเวอร์ชั่นต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20191115005236/en/

ติดต่อ:

Susanne Reichelt

INNIO

+43 664 80833 2382

susanne.reichelt@ge.com

The Bangkok Reporter