การโรมมิ่งข้อมูลโดยไม่ต้องกังวล ในทุกแอป: eSIM Innovator 1GLOBAL มอบบริการโรมมิ่งของตัวเองให้กับกลุ่มเทคโนโลยีทางด้านการเงิน (FinTech)

Logo

  • ความสนใจที่เพิ่มขึ้นในการผสานรวม API การสื่อสารเคลื่อนที่อันเป็นเอกลักษณ์ของ 1GLOBAL จากบริษัทด้านการเดินทางและการเงิน
  • แพ็คเกจข้อมูลทั่วโลกที่ไม่มีค่าบริการโรมมิ่งถูกนำเสนอให้กับลูกค้าชาวยุโรปหลายล้านคนในเร็วๆ นี้
  • กลุ่มเทคโนโลยีทางด้านการเงิน (FinTech) กลายเป็นกลุ่มแรกในภาคส่วนที่บูรณาการเทคโนโลยี 1GLOBAL เข้ากับแอปธนาคาร

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–23 กุมภาพันธ์ 2024

อุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้บริการที่เป็นนวัตกรรมของ 1GLOBAL ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลูกค้าชาวยุโรปมากกว่า 30 ล้านรายจะหลีกเลี่ยงการเสียค่าบริการโรมมิ่งในกว่า 160 ประเทศในเร็วๆ นี้ได้

Data Roaming Without Worries, Now in Every App: eSIM Innovator 1GLOBAL gives FinTech its Own Roaming Service. (Graphic: Business Wire)

โรมมิ่งข้อมูลได้โดยไม่ต้องกังวล พร้อมแล้ววันนี้ในทุกแอป: eSIM Innovator 1GLOBAL มอบบริการโรมมิ่งของตัวเองให้กับกลุ่มเทคโนโลยีทางด้านการเงิน (FinTech) (กราฟฟิก: Business Wire)

ด้วยการบูรณาการ 1GLOBAL API อย่างสมบูรณ์ ทำให้เทคโนโลยีทางด้านการเงิน(fintech) Revolut ระดับโลกช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงเครือข่ายมือถือราคาประหยัดทั่วโลกของ 1GLOBAL ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เมื่อผู้ใช้เปิดใช้งานแล้ว SIM แบบฝัง (eSIM) จะถูกสร้างขึ้นสำหรับอุปกรณ์มือถือ

"ผู้ใช้สามารถติดตั้ง eSIM ได้ภายในหนึ่งนาทีโดยไม่ต้องออกจากแอป Revolut”  คุณ Hakan Koç ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ 1GLOBAL กล่าว “นี่คือเหตุผลที่ผู้เล่นจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การเดินทาง ประกันภัย เทคโนโลยีทางด้านการเงิน(fintech) สายการบิน โลจิสติกส์ VIP และอื่นๆ ต่างมาหาเราเพื่อเพิ่มขอบเขตบริการที่พวกเขานำเสนอโดยการบูรณาการการเชื่อมต่อของเรา"

แทนที่จะต้องได้รับซิมจริงเพื่อเข้าถึงเครือข่ายท้องถิ่นเมื่อมาถึง ลูกค้าที่ใช้แอปที่รวมเทคโนโลยีของ 1GLOBAL นั้นเพียงแค่ตั้งค่า eSIM บนอุปกรณ์ของตน ซึ่งจะทำให้พวกเขาควบคุมการเชื่อมต่อได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงการแสดงปริมาณการใช้ข้อมูลอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถใช้แอปเพื่อซื้อแผนบริการข้อมูลได้แม้ว่าแผนบริการจะหมดไปแล้วก็ตาม

ที่ Revolut เรารู้ว่าลูกค้าของเรายังคงเชื่อมต่อกับบริการของ Revolut อยู่เสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณข้อมูลที่ได้รับ Revolut eSIMs ซึ่งพัฒนาร่วมกับ 1Global เป็นเทคโนโลยีที่สะดวกสบายและมอบคุณค่าที่ยอดเยี่ยมซึ่งปรับให้เหมาะกับผู้ชมทั่วโลกของเรา" คุณ David Tirado รองประธานฝ่ายธุรกิจระดับโลกของ Revolut แสดงความคิดเห็น

บริษัทใดก็ตามสามารถรวมเทคโนโลยี 1GLOBAL เข้ากับข้อเสนอของลูกค้าผ่านชุด API ได้ เป็นผลให้ลูกค้าอยู่ในแอปนั้นได้นานขึ้น มีการสร้างช่องทางรายได้ใหม่ สร้างมูลค่าให้กับลูกค้า และความภักดีต่อแบรนด์เพิ่มขึ้น

ในกรณีของ Revolut การบูรณาการเทคโนโลยี 1GLOBAL อย่างเต็มรูปแบบได้ถูกสร้างขึ้นในแอปของตัวเองและภายใต้แบรนด์ของตัวเอง อีกทางเลือกหนึ่ง บริษัทต่างๆ สามารถนำเสนอการเชื่อมต่อ 1GLOBAL ในฐานะบุคคลที่สามหรือบริษัทในเครือผ่านการอ้างอิง (เช่น รหัส QR) ที่แนะนำให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ eSIM และ 1GLOBAL ของตนได้
 

"ในฐานะผู้ริเริ่มเทคโนโลยีโทรคมนาคม เราได้สร้างเครือข่ายโทรคมนาคมระดับโลกของเราเอง และสามารถออก eSIM และ International Mobile Subscriber Identity (IMSI) ได้”  Koç.อธิบาย “สิ่งนี้ทำให้เราแตกต่างจากผู้จำหน่ายที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายของตนเองและทำเพียงขายแพ็คเกจข้อมูลต่อเท่านั้น

แพลตฟอร์ม 1GLOBAL ช่วยให้ผู้ให้บริการแอปสามารถนำเสนอการเชื่อมต่อทั่วโลกแก่ผู้ใช้ ซึ่งสนับสนุนโดยผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือนบนมือถือ (MVNO) เก้าราย พันธมิตรโรมมิ่งที่ได้รับการสนับสนุนระหว่างประเทศห้าราย และการเชื่อมต่อระหว่างกันมากกว่า 150 รายการ การเชื่อมต่อ 'ไฮเปอร์สเกล' ประเภทนี้ซึ่งมีเส้นทาง 2,000 เส้นทางไปยังผู้ให้บริการมือถือ 350 ราย ครอบคลุม 2G ถึง 5G และ LPWAN จะเป็นไปไม่ได้หากปราศจากใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมของ 1GLOBAL

เกี่ยวกับ 1GLOBAL

1GLOBAL ให้การเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือที่รวดเร็วและปลอดภัยในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก เทคโนโลยี eSIM ของพวกเขาผสานรวมเข้ากับแอป Revolut ที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น และสามารถติดตั้งบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่รองรับ eSIM ได้ภายในเวลาไม่ถึงนาที

1GLOBAL ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 โดยเป็นสตาร์ทอัพใหม่ของ Hakan Koç ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอร่วมของ AUTO1 Group 1GLOBAL ได้เข้าซื้อกลุ่มสินทรัพย์โทรคมนาคมที่ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งรวมถึงเครือข่ายมือถือระดับโลกที่ได้รับการรับรองจาก GSMA ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล มีสำนักงานใหญ่ในลอนดอน และมีศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาในลิสบอน ปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 400 คนใน 12 ประเทศ และได้รับสถานะ MVNO ที่ได้รับการควบคุมโดยสมบูรณ์ใน 9 ประเทศ

www.1global.com

เกี่ยวกับ Revolut

Revolut คือเทคโนโลยีทางด้านการเงิน (FinTech) ระดับโลกที่ช่วยให้ผู้คนได้รับเงินมากขึ้น ในปี 2015 Revolut ได้เปิดตัวในสหราชอาณาจักรโดยให้บริการด้านการโอนเงินและแลกเปลี่ยน ปัจจุบัน ลูกค้ามากกว่า 35 ล้านคนทั่วโลกใช้ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของ Revolut หลายสิบรายการเพื่อทำธุรกรรมมากกว่าครึ่งพันล้านรายการต่อเดือน

ทั้งบัญชีส่วนบุคคลและบัญชีธุรกิจของเรา เราให้ลูกค้าควบคุมการเงินของตนได้มากขึ้น และเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกได้อย่างราบรื่น

www.revolut.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53900064/en

ติดต่อ

Ingmar Remus & Thomas Klimmek
1GLOBAL@siccmamedia.de

ที่มา: 1GLOBAL

สตาร์ทอัปกับความท้าทายในการช่วยพัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนสำหรับการผลักดันคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ของอุตสาหกรรมทั่วโลก

Logo

ลอนดอน –(BUSINESS WIRE)–20 กุมภาพันธ์ 2024

โครงการนานาชาติบุกเบิกที่นำสตาร์ทอัปด้านเทคโนโลยีมาพบกับผู้ผลิตชั้นนำในการดักจับคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์  (Net Zero) นั้นเริ่มต้นขึ้นแล้ว

Innovandi Open Challenge 2024 บริหารงานโดย Global Cement and Concrete Association (GCCA) หน่วยงานระดับนานาชาติชั้นนำของอุตสาหกรรมซึ่งมุ่งเน้นไปที่การช่วยให้อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบรรลุเป้าหมายบรรลุเป้าหมายคอนกรีตที่มีคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในที่สุด

การสมัครกำลังได้รับความสนใจจากสตาร์ทอัปทั่วโลก ที่สนใจในการทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาการติดตามการใช้และการจัดเก็บคาร์บอน สำหรับซีเมนต์และคอนกรีตที่มีคาร์บอนต่ำ มีการแสวงหาเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรม ซึ่งรวมถึงกระบวนการที่ถูกรวบรวมและการใช้และการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปลายท่อ และช่วยป้องกันไม่ให้คาร์บอนถูกปล่อยออกไปที่ชั้นบรรยากาศ

นี่จะเป็น Innovandi Open Challenge ครั้งที่สามและสร้างขึ้นมาจากความสำเร็จของปีก่อนๆ ชาเลนจ์ครั้งแรกในปี 2022 ก็มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน และมีสตาร์ทอัปสองรายได้ไปถึงขั้นตอนนำร่องแล้ว สตาร์ทอัป 15 รายที่ได้รับเลือกใน Innovandi Challenge ครั้งที่ 2 เมื่อปีที่แล้ว ที่จะทำงานในการพัฒนาคอนกรีตที่มีคาร์บอนต่ำ ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตในการจัดตั้งพันธมิตร

Claude Loréa ผู้อำนวยการ GCCA’s Cement, Innovation and ESG กล่าวว่า “อุตสาหกรรมของเรามีพันธะในการบรรลุคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์และการพัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนเป็นส่วนสำคัญของงานนั้น โครงการ Innovandi Opem Challenge ขั้นนำระดับโลกของเราได้มีความคืบหน้าที่สำคัญทั้งที่เพิ่งผ่านไปได้สองปี ด้วยความร่วมมือกันของเหล่าสตาร์ทอัปและบริษัทสมาชิกของเรา เราเฝ้ารอที่จะดูว่าผู้สมัครปีนี้จะนำพาอะไรมา เพื่อสร้างผลงานอันแพร่หลายที่กำลังดำเนินอยู่ทั่วโลก”

สมาชิก GCCA ทั้งหมดที่คิดเป็นสัดส่วน 80% ของกำลังการผลิตซีเมนต์ทั่วโลกนอกประเทศจีน และผู้ผลิตจีนชั้นนำจำนวนหนึ่ง มีความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ด้วยกลยุทธ์  Concrete Future 2050 Net Zero ของ GCCA อุตสาหกรรมระดับโลกแห่งแรกที่กำหนดแผนที่มีรายละเอียดชัดเจน นอกจากนี้ GCCA ยังเพิ่งลงนามสัญญาใหม่ในการทำงานร่วมกันเกี่ยวกับการลดคาร์บอนกับ China Cement Association (CCA)

การพัฒนาเทคโลยีใหม่เป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมสู่คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ และเทคโนโลยีการจับและกักเก็บคาร์บอนคาดว่าจะคิดเป็นประมาณ 36% ของการลดการปล่อยก๊าซทั้งหมดภายในปี 2050

โรงงานซีเมนต์ระดับอุตสาหกรรมแห่งแรกของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนมีกำหนดจะแล้วเสร็จด้วยเครื่องจักรที่ไซต์งาน Heidelberg Materials ในเมืองเบรวิค ประเทศนอร์เวย์ ภายในปี 2024 ด้วยการคาดการณ์ว่าจะมีโรงงานเปิดเพิ่มอีกหลายแห่งภายในปี 2030

Thomas Guillot ผู้บริหารระดับสูงของ GCCA กล่าวว่า “เรารู้อยู่แล้วว่าเทคโนโลยีของ CCUS ใช้งานได้ ด้วยโครงการนำร่องและโครงการอื่นๆ ที่กำลังดำเนินการทั่วโลก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูว่ามีนวัตกรรมอื่นอะไรบ้างที่นอกเหนืออุตสาหกรรมของเรา ที่อาจช่วยเร่งภารกิจคาร์บอนเป็นศูนย์ของเรา

“เราสนับสนุนการสมัครจากสตาร์ทอัปตัวโลกให้เข้าร่วมในการต่อสู่อันเร่งด่วนเพื่อจำกัดภาวะโลกร้อน ถ้าคุณเป็นสตาร์ทอัปจากออสเตรียไปจนถึงออสเตรเลีย จากบราซิลไปจนถึงบังกลาเทศ ที่มีแนวคิดนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเพื่อพัฒนา CCUS ให้ดียิ่งขึ้น ถ้าแบบนั้นคุณก็ควรสมัคร”

Jonathan Cool ซีอีโอแห่ง Ultra High Materials บริษัทสตาร์ทอัปแห่งหนึ่งที่เข้าร่วมเมื่อปีที่แล้ว ได้สนับสนุนให้บริษัทอื่นๆ มาสมัคร “การสนับสนุน คำแนะนำ การเปิดรับสมาชิก GCCA และการอำนวยความสะดวกในโอกาสในการทำงานร่วมกันกับ GCCA เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และส่งผลที่มีประโยชน์แก่พวกเราทุกคน ถ้ามีโอกาสให้ทำทั้งหมดอีกครั้ง เราก็คงจะทำแน่นอน”

สตาร์ทอัปที่สนใจในการสมัคร Innovandi Open Challenge ครั้งที่ 3 สามารถคลิกที่นี่ เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม ระยะเวลาสมัครสิ้นสุด 15 เมษายน

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

รายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอสัมภาษณ์ ให้ติดต่อ:
Simon Thomson, Head of Media, GCCA simon.thomson@gccassociation.org / +44 7380 972282

ที่มา: Global Cement and Concrete Association

Norths Collective มีการปรับแต่งประสบการณ์เฉพาะตัวสำหรับสมาชิกกว่า 61,000 ราย และเร่งการขยายตัวด้วย Boomi

Logo

กลุ่มฝ่ายต้อนรับและการออกกำลังกายแบบไดนามิกใน NSW มีการใช้ Boomi เพื่อเชื่อมต่อสภาพแวดล้อมดิจิทัลและสร้างรากฐานสำหรับการวิเคราะห์ธุรกิจ

SYDNEY–(BUSINESS WIRE)–20 กุมภาพันธ์ 2024

Boomi™ ผู้นำด้านการบูรณาการและระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ มีการประกาศในวันนี้ว่า Norths Collective มีการใช้ แพลตฟอร์ม Boomi เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์เฉพาะตัวสำหรับสมาชิก ส่งเสริมการดำเนินงานในแต่ละวัน และเร่งการขยายตัวโดยการควบรวมอุตสาหกรรม

Norths Collective Personalizes 61,000 Members’ Experiences, Expedites Expansion With Boomi (Graphic: Business Wire)

Norths Collective มีการปรับแต่งประสบการณ์เฉพาะตัวสำหรับสมาชิกกว่า 61,000 ราย และเร่งการขยายตัวด้วย Boomi (กราฟิก: Business Wire)

Norths Collective คือกลุ่มสถานบริการแปดแห่งและศูนย์ออกกำลังกายอีกสองแห่งที่สมาชิกเป็นเจ้าของ โดยตั้งอยู่ที่ชายฝั่งทางเหนือของ Sydney และทางตอนเหนือของ New South Wales ในฐานะธุรกิจที่แสวงหาผลกำไร ผลกำไรของ Norths Collective จะได้รับการคืนกลับไปสู่สมาชิกและชุมชน โดยบริการดิจิทัล Norths Collective มีการใช้แพลตฟอร์มบูรณาการของ Boomi ในฐานะบริการ (iPaaS) เพื่อช่วยขับเคลื่อนกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยอนุญาตให้สามารถเชื่อมต่อระบบที่แยกจากกัน รวมศูนย์ข้อมูลการปฏิบัติงานและข้อมูลสมาชิกที่ศูนย์กลาง และปรับปรุงการตัดสินใจทางธุรกิจ

ปีนี้จะเป็น ‘ปีแห่งการเพิ่มประสิทธิภาพการบูรณาการ’ สำหรับ Norths เพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติด้านการวิเคราะห์ธุรกิจที่จะยกระดับประสบการณ์ของลูกค้ากว่า 61,000 ทั่วทั้งฐานสมาชิกที่มีอยู่ โดยจะช่วยให้เราสามารถปรับปรุงวิธีการบริหารสถานที่ของเรา ตรวจสอบให้แน่ใจว่า มีการปรับการมีส่วนร่วมให้เหมาะกับความต้องการของสมาชิก และทำให้การเข้าถึงสถานที่และศูนย์ออกกำลังกายของเราได้อย่างง่ายดายเท่าที่เป็นไปได้” Robert Lopez ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายแบรนด์เพื่อสร้างประสบการณ์ของลูกค้าและนวัตกรรมที่ Norths Collective กล่าว “การบรรลุเป้าหมายทั้งหมดนี้เริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยการบูรณาการของเรา  Boomi เป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของเรา ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำเสนอมุมมองแบบ 360 องศา ใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น และขับเคลื่อนการตัดสินใจทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น”

Boomi ช่วยเสริมให้ Norths Collective สามารถบูรณาการ Salesforce เข้ากับแอปพลิเคชันที่ใช้สำหรับสถานที่ให้บริการและร้านอาหาร ฟิตเนสเซ็นเตอร์ การจองตั๋วและอีเว้นท์ต่างๆ จุดขาย และที่สำคัญที่สุดคือ โปรแกรมการเป็นสมาชิก และแอปมือถือรุ่นใหม่ ล่าสุด Norths Collective มีการบูรณาการ Tableau เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การวิเคราะห์ธุรกิจ และวางแผนที่จะรวมทรัพยากรบุคคล (HR) และบัญชีรายชื่อ ฝ่ายการเงินและการบัญชี ระบบซัพพลายเออร์ การจัดการความเสี่ยงขององค์กร (ERM) ระบบโทรศัพท์ และโซเชียลมีเดียในอนาคตอันใกล้นี้

ก่อนที่จะมี Boomi Norths Collective มีการจัดการการบูรณาการแบบจุดต่อจุดจำนวนมากด้วยตัวเอง แม้ว่าหลายระบบจะมีการดำเนินการอย่างเป็นอิสระต่อกันอย่างสมบูรณ์ก็ตาม ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของบริษัทในการเข้าถึงพฤติกรรมของสมาชิก และทำให้การนำเสนอบริการใหม่ๆ ได้ช้าลง

สภาพแวดล้อมที่เชื่อมต่อกับ Boomi ของ Norths Collective สร้างข้อได้เปรียบหลายประการ ปัจจุบันนี้ อีเมลทุกฉบับที่ส่งถึงสมาชิกจะได้รับการปรับแต่งเฉพาะสำหรับแต่ละสมาชิก ส่งผลให้มีการคลิกเพิ่มขึ้นถึง 10 เปอร์เซนต์ ด้วยการเปิดเผยข้อมูลที่สมบูรณ์ ช่วยให้ Norths Collective สามารถพัฒนาและแบ่งปันนโยบายการปรับเปลี่ยนเฉพาะตัวบุคคลอย่างมีจริยธรรมแก่ชุมชน พร้อมรายละเอียดวิธีการที่องค์กรใช้ข้อมูลอย่างมีจริยธรรม ในแผนงานอนาคต สถานที่จัดงานของ Norths Collective จะช่วยให้ผู้จัดการตามระดับขั้นสามารถมองเห็นภาพการจัดสรรพนักงานด้วยธุรกรรมแบบเรียลไทม์ เพื่อให้แน่ใจว่า มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ Boomi จะให้การสนับสนุนความมุ่งมั่นของ Norths Collective ในการผสานรวม Apple Pay และ Google Pay เข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถปรับเสริมและปรับปรุงการสมัครสมาชิกได้อย่างง่ายดาย โดยมีขั้นตอนการชำระเงินที่รวดเร็วและง่ายดาย

Boomi ยังมีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของ Norths Collective โดยการเร่งดำเนินการเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ อย่างรวดเร็วหลังการควบรวมกิจการ ดังที่กล่าวมา Norths Collective มีการวางแผนการควบรวมกิจการเพิ่มเติมในปีต่อๆ ไป โดยที่สมาชิกใหม่ที่ควบรวมเข้าด้วยกันจะสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์แบบเดียวกันกับสมาชิกที่มีอยู่อย่างรวดเร็ว

“ความสามารถในการขยายขนาดของเราได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ เราใช้เวลา 10 สัปดาห์ในการเปิดใช้สถานที่ใหม่และรวมเข้าในภูมิทัศน์ดิจิทัลของเรา” Lopez กล่าว “ปัจจุบันนี้ เราสามารถลดระยะเวลาลงได้เหลือสามสัปดาห์ – นั่นหมายถึง เราลดระยะเวลาในการเปิดตัวสู่ตลาดถึง 70 เปอร์เซนต์ Boomi ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อระบบที่แยกจากกันก่อนหน้านี้เข้ากับ Salesforce ได้แบบเรียลไทม์ ดังนั้น จึงไม่ต้องแยกข้อมูลออกจากกันอีกต่อไป และด้วยการบูรณาการแบบเรียลไทม์นี้ สมาชิกใหม่ก็สามารถเข้าถึงแอปของเราได้ในทันทีที่เข้าร่วม”

Nathan Gower ผู้อำนวยการของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ Boomi กล่าว “ประสบการณ์ของลูกค้าสามารถสร้างหรือทำลายธุรกิจของเราได้ คุณภาพในทุกการปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าจะต่อหน้า ผ่านแอป หรือออนไลน์ ล้วนเป็นตัวกำหนดแนวโน้มในการกลับมาอีกครั้งของผู้บริโภค Norths Collective มีการกำหนดมาตรฐานสำหรับประสบการณ์ของลูกค้าว่าควรเป็นเช่นไร ด้วยการเชื่อมต่อ Boomi เข้ากับระบบดิจิทัลทั้งหมด กลุ่มสมาชิกจึงมีความเข้าใจอย่างแท้จริงในความต้องการของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน เพื่อให้แน่ใจว่า การเข้าใช้งานแต่ละครั้งของลูกค้าจะได้รับความประทับใจในเชิงบวก”

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Boomi

Boomi ขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจด้วยการบูรณาการและระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ ในฐานะบริษัทซอฟต์แวร์และบริการชั้นนำ (SaaS) ระดับโลก Boomi เฉลิมฉลองในวาระที่มีลูกค้าทั่วโลกกว่า 20,000 คนและมีเครือข่ายพันธมิตรทั่วโลก 800 ราย องค์กรต่างๆ หันมาใช้แพลตฟอร์มที่ได้รับรางวัลของ Boomi ในการเชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชัน ข้อมูล และผู้คน เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ boomi.com

© 2024 Boomi, LP. Boomi, โลโก้ ‘B’, และ Boomiverse เป็นเครื่องหมายการค้าของ Boomi, LP หรือบริษัทในเครือ หรือบริษัทสาขา สงวนลิขสิทธิ์ ชื่อหรือเครื่องหมายอื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53893507/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ:
Jasmine Ee
Head of Influencer Relations, APJ
jasmine.ee@boomi.com

แหล่งข้อมูล: Boomi, Inc.

Celigo และ Netizen นําเสนอโซลูชันการบูรณาการ ที่ได้รับการปรับปรุงทั่วทั้ง APAC

Logo

เรดวูดซิตี้ แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–16 กุมภาพันธ์ 2024

Celigo, ผู้นําในภาค Integration Platform as a Service (iPaaS) ประกาศความสําเร็จอย่างต่อเนื่องในเอเชียแปซิฟิก (APAC) ผ่านการเป็นพันธมิตรกับ Netizen ซึ่งเป็น SAP Platinum Partner ระดับแนวหน้า ความร่วมมืออย่างต่อเนื่องนี้สัญญาว่าจะช่วยยกระดับสถานะทางการตลาดของ Celigo ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการบูรณาการแพลตฟอร์มขั้นสูงของ Celigo ไว้ในวาระการปฏิรูปเทคโนโลยีทางธุรกิจ (BTX) ของ Netizen ความร่วมมือดังกล่าวได้ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการดําเนินงานและนวัตกรรมสําหรับผู้ใช้ SAP ทั่วทั้งภูมิภาคแล้ว

"เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Celigo ซึ่งระบบบูรณาการสอดคล้องกับระบบปฏิบัติการ SAP ของเราอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการรวมระบบเหล่านี้ เราสามารถเพิ่มมูลค่าและสร้างมูลค่าทางธุรกิจในโดเมนต่างๆ ได้โดยไม่มีข้อจํากัดในการเชื่อมต่อข้อมูล" Seree Satukijchai ซีอีโอของ Netizen กล่าว

ความร่วมมือซึ่งได้ประกาศไปเมื่อปีที่แล้วได้ช่วยให้ Netizen ปรับปรุงกระบวนการภายในและปรับปรุงบริการที่มอบให้กับลูกค้า Celigo มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ Netizen ขยายส่วนแบ่งการตลาด ปรับปรุงความคิดริเริ่มในการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนปรับแต่งกลยุทธ์การขายและการตลาด

นอกจากนี้ Netizen ยังสามารถเปลี่ยนทรัพยากรไปสู่กิจกรรมสร้างรายได้ที่ขับเคลื่อนการเติบโต แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการบูรณาการภายใน แต่ตอนนี้พวกเขาใช้ประโยชน์จากความสามารถแบบบูรณาการของ Celigo เพื่อช่วยเหลือลูกค้าของตนได้อย่างราบรื่น การเปลี่ยนแปลงนี้ทําให้ Netizen สามารถเริ่มต้นการเดินทาง Business Technology Transformation (BTX) ที่แท้จริงได้

"ด้วยข้อจํากัดที่น้อยลง เราสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่สําคัญของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ของเรา ขณะนี้ทีมงานของเรามีอิสระในการใช้ความเชี่ยวชาญของพวกเขากับความคิดริเริ่มที่ไม่เพียง แต่สนับสนุนธุรกิจของเราเท่านั้น แต่ยังขยายการให้บริการของเราด้วย ความร่วมมือของ Celigo ไม่เพียงแต่ปรับปรุงการดําเนินงานในแต่ละวันของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราปรับขนาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เราสามารถส่งมอบคุณค่าที่มากขึ้นให้กับลูกค้าของเรา”

ลูกค้าของ Netizen ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการใช้ Celigo ผ่านโซลูชัน "HoneyConn" ที่พัฒนาร่วมกัน การบูรณาการ Celigo เข้ากับการดําเนินงานของพวกเขาได้ลดเวลาที่ต้องใช้ในการทำงาน ลดจํานวนบุคลากรที่ต้องการ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทํางาน ลดข้อผิดพลาดในการบูรณาการข้อมูล และเพิ่มมูลค่าให้กับงานของพวกเขา

หนึ่งในลูกค้าดังกล่าวคือ Do Day Dream PLC ผู้ผลิตและจัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามรายใหญ่ Netizen ประสบความสําเร็จในการใช้ HoneyConn เพื่อเชื่อมต่อระบบบันทึกข้อมูล POS กับ SAP เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกรรมของพวกเขาจะอัปเดตแบบเรียลไทม์ หัวหน้าฝ่ายการจัดจําหน่ายทางกายภาพและ MIS &IT ของ Do Day Dream ให้ความเห็นว่า "HoneyConn (Celigo) เป็นเครื่องมือที่ทําให้งานยากเป็นเรื่องง่าย”

ในปีหน้า Netizen และ Celigo วางแผนที่จะขยายโครงการ HoneyConn ผ่านโซลูชัน HoneyConn Out of the Box ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการบูรณาการ HoneyConn เข้ากับระบบอีคอมเมิร์ซต่างๆ โซลูชันนี้จะใช้ได้กับลูกค้าทั่วเอเชีย รวมถึงแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Shopee และ Lazada เพื่อรองรับแนวโน้มการเติบโตของการขายสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น

"ด้วยการเป็นพันธมิตรและความร่วมมือของเรา เราสามารถปรับปรุงการบูรณาการข้อมูลสําหรับลูกค้า SAP ทําให้พวกเขาสามารถเชื่อมต่อ SAP กับการทํางานของระบบต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย" George Polyzos รองประธาน APAC ของ Celigo กล่าว "เราภูมิใจกับงานที่เราทําสําเร็จกับ Netizen จนถึงตอนนี้ และตั้งตารอที่จะนํานวัตกรรมใหม่ๆ  มาปรับปรุงระบบอัตโนมัติทางธุรกิจสู่ตลาด APAC "

เมื่อมองไปข้างหน้า Netizen มีแผนระยะยาวสําหรับระบบอัตโนมัติ รวมถึงการสอน Celigo ให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสุดท้าย การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ (COE) สําหรับเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ และขยายโครงการริเริ่มด้านระบบอัตโนมัติไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมาร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น

Netizen ยังคงสร้างสรรค์และพัฒนาโซลูชันที่รวมระบบ SAP เข้ากับระบบปฏิบัติการต่างๆ เพื่อรองรับการขยายและการเติบโตของธุรกิจ การเป็นพันธมิตรกับ Celigo เป็นส่วนสําคัญของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่กำลังดำเนินอยู่นี้

"ตลอดการเป็นพันธมิตรของเรา การสนับสนุนของ Celigo ยังคงไม่มีอะไรพิเศษเลย" Seree Satukijchai ให้ความเห็น "พวกเขาให้วิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็ว และให้ความช่วยเหลือเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยส่งเสริมความยืดหยุ่นในการดําเนินงานของเรา และรับประกันความต่อเนื่องที่ราบรื่นของกระบวนการทางธุรกิจของเรา การสนับสนุนของพวกเขาได้กลายเป็นรากฐานที่สําคัญที่ขาดไม่ได้ของความสําเร็จที่ครอบคลุมของเรา"

เกี่ยวกับ Celigo

Celigo เป็นแพลตฟอร์มบูรณาการชั้นนําที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในฐานะบริการ (iPaaS) ที่ Celigo เราเข้าใจตลาดที่กําลังพัฒนาและเชื่อว่าทุกคนในองค์กรของคุณควรเข้าถึงการบูรณาการได้ แพลตฟอร์มของเราสร้างขึ้นสําหรับทั้งผู้ใช้สายงานธุรกิจและทีมงานด้านเทคนิค ส่งเสริมระบบอัตโนมัติในทุกระดับของธุรกิจ และทำให้เกิดการเติบโตและนวัตกรรมในวงกว้าง สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.celigo.com ติดตามเราได้ที่ LinkedIn,  X,  Facebook และ Instagram

เกี่ยวกับ Netizen

Netizen เป็น SAP Platinum Partner ชั้นนําที่ให้คําปรึกษาและนำระบบ SAP มาใช้มานานกว่า 20 ปี บริษัทให้ความสำคัญกับ Business Technology Transformation (BTX) บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อรองรับการดําเนินงานของลูกค้าในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.netizen.co.th

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สื่อ
Alex Miller
fama PR for Celigo
Celigo@famapr.com

ที่มา: Celigo

เชิญเข้าสู่ยุค 5G ที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดย GIGABYTE จะนำเสนอเซิร์ฟเวอร์ สำหรับยุคถัดไปเพื่อ AI/HPC, โทรคมนาคม และ แนวคิดคอมพิวเตอร์สีเขียวที่งาน MWC 2024

Logo

ไทเป–(BUSINESS WIRE)–16 กุมภาพันธ์ 2024

GIGABYTE Technology ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกด้านไอทีที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมระดับโลกผ่านระบบคลาวด์และคอมพิวเตอร์ AI จะมาร่วมงาน MWC 2024 พร้อมด้วยเซิร์ฟเวอร์สำหรับยุคถัดไปที่จะเสริมศักยภาพให้กับการโทรคมนาคม ผู้ให้บริการคลาวด์ องค์กร รวมไปถึง SMB เพื่อควบคุมค่าของ 5G และ AI จุดเด่นคือเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ล้ำสมัยซึ่งมี AMD Instinct™ MI300X 8-GPU และเซิร์ฟเวอร์รุ่น AI/HPC ที่ครอบคลุมซึ่งจะสนับสนุนเทคโนโลยีชิปล่าสุดจาก AMD, Intel และ NVIDIA นอกจากนั้น งานแสดงนี้ยังจะนำเสนอโซลูชันคอมพิวเตอร์สีเขียวแบบบูรณาการอันยอดเยี่ยมในการรับมือกับความร้อน การกระจายตัวและยังลดพลังงานลง

Inviting the AI-powered 5G Era, GIGABYTE will Present Next-Gen Servers for AI HPC, Telecom, and Green Computing Solutions at MWC 2024

เชิญเข้าสู่ยุค 5G ที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดย GIGABYTE จะนำเสนอเซิร์ฟเวอร์ สำหรับยุคถัดไปเพื่อ AI/HPC, โทรคมนาคม และ แนวคิดคอมพิวเตอร์สีเขียวที่งาน MWC 2024 (รูปภาพ: Business Wire)

การนำเสนอของ GIGABYTE จะสานต่อธีมบูธอันได้แก่  “Future of COMPUTING” โดยจะครอบคลุม servers สำหรับ AI/HPC ,เครือข่าย RAN และ Core ,แพลตฟอร์ม edge แบบโมดูลาร์ ,โซลูชันคอมพิวเตอร์สีเขียวแบบออลอินวัน และเทคโนโลยีการขับขี่ด้วยตนเองที่ขับเคลื่อนด้วย AI การจัดแสดงจะสาธิตวิธีที่อุตสาหกรรมต่างๆ ขยายแอปพลิเคชัน AI จากคลาวด์ไปยัง Edge และอุปกรณ์ปลายทางผ่านการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งจะขยายโอกาสในอนาคตด้วยเวลาในการออกสู่ตลาดที่เร็วขึ้นและการดำเนินงานที่ยั่งยืน โดยการจัดแสดงจะเป็นระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 26 ถึง 29 กุมภาพันธ์ที่บูธ  #5F60 ฮอลล์ 5 เมืองฟีร่า กรานเวีย, บาร์เซโลนา

'ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์' (AI supercomputer) แห่งอนาคต

ความต้องการสำหรับ AI-ready infrastructure และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลความเร็วสูงกำลังเพิ่มขึ้นภายในกรอบงาน 5G การดำเนินธุรกิจ และการวิจัยทางวิชาการ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตแบบทวีคูณของปริมาณข้อมูลและความซับซ้อนของโมเดล AI ซึ่ง GIGABYTE จะจัดแสดงซีรีส์ล่าสุดของ AI/HPC servers และเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลแบบ all-flash array (AFA) ซิร์ฟเวอร์เหล่านี้รองรับโมดูล GPU AMD Instinct™ MI300X OAM, MI300A APUs, 5th Gen Intel® Xeon® Scalable Processors, NVIDIA HGX H100 8-GPU, และ NVIDIA Grace Hopper Superchip ยังใช้ประโยชน์จาก next-gen HBM3 เพื่อให้มั่นใจในการส่งข้อมูลความเร็วสูง เทคโนโลยีนี้นไปสู่ก้าวกระโดดซึ่งพร้อมที่จะพัฒนาปริมาณงานของ AI ระดับ exascale และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์

สถาปัตยกรรมเซิร์ฟเวอร์ที่ยืดหยุ่นสำหรับเครือข่าย 5G ที่ใช้ AI

การใช้งานแอปพลิเคชัน 5G จำนวนมากจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ได้รับการกำหนดค่าอย่างยืดหยุ่นซึ่งสามารถรองรับระบบนิเวศไอทีที่หลากหลายได้ GIGABYTE จะเปิดตัวหนึ่งในแพลตฟอร์ม Edge แบบโมดูลาร์ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการปริมาณงานที่หลากหลาย รวมถึงการทำเครือข่าย, AI inferencing และการประมวลผลแบบคลาวด์ แพลตฟอร์มนี้ให้การอัพเกรดอย่างราบรื่นเพื่อรองรับเทคโนโลยีชิปและส่วนประกอบหลายรุ่น ทำให้มั่นใจได้ถึงการปรับตัวที่คล่องตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วพร้อมค่าบำรุงรักษาที่ลดลง

เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับแอปพลิเคชัน 5G และ AI ในธุรกิจที่มีขนาดแตกต่างกัน GIGABYTE จะเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ล่าสุดที่ปรับแต่งสำหรับเครือข่าย RAN และ Core ได้ เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้นำเสนอประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งรองรับความต้องการด้านการประมวลผลที่หลากหลายจาก cloud-native ขนาดใหญ่ ปริมาณงานและบริการโทรคมนาคมสำหรับการดำเนินงานด้าน IT ของ SMB เป็นเลิศในด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานและให้โอกาสในการขยายสำหรับ AI-accelerated computing

AI ที่ยั่งยืนและการประมวลผลบนคลาวด์ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า TCO จะได้รับการปรับปรุงอย่างเหมาะสม

ที่ MWC, GIGABYTE ถูกกำหนดให้จัดแสดงโซลูชันคอมพิวเตอร์สีเขียวแบบออลอินวันที่ครอบคลุม ซึ่งประกอบไปด้วย immersion cooling tank ขนาดใหญ่และ immersion-ready servers สองเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการปรับแต่งสำหรับ AI และการประมวลผลแบบคลาวด์ การจัดแสดงเน้นย้ำความสามารถในการกระจายความร้อนที่โดดเด่นและ การใช้พลังงานลดลงอย่างเห็นได้ชัดคุณสมบัติเหล่านี้แปลเป็นต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (TCO) ที่ดีโดยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ GIGABYTE ในด้านโซลูชั่นคอมพิวเตอร์ที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ

Future-Proof E-mobility ขับเคลื่อนโดย Edge AI

ด้วยการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย 5G และอัลกอริธึม AI ขั้นสูง เทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติของ GIGABYTE มอบประสบการณ์การขับขี่อัจฉริยะล้ำสมัยที่ขับเคลื่อนโดย Edge AI ประสิทธิภาพการส่งข้อมูลความเร็วสูงช่วยให้มั่นใจได้ว่าระบบ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) และระบบ telematics จะประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลจาก กล้อง เรดาร์ และเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกช่วยให้ระบบสามารถตัดสินใจขับขี่แบบเรียลไทม์ได้อย่างแม่นยำแม้ในสภาพถนนที่ซับซ้อน

ที่บูธของ GIGABYTE องค์กรต่างๆ สามารถสำรวจโซลูชันการประมวลผลที่เป็นนวัตกรรมและยืดหยุ่น ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของพวกเขาเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในอนาคตแบบ AI-accelerated 5G ได้

เยี่ยมชม GIGABYTE’s MWC event page.

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/53889993/en

เนื้อหาใจความในภาษาตน้ ฉบับของขา่ วประชาสัมพันธฉ์ บับนี้เป็นฉบับทเี่ ชอื่ ถอื ไดแ้ละเป็นทางการ การแปลต ้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออ านวยความสะดวกเท่านั้น และควรน าไปเทียบเคียงอ ้างอิง กับเนื้อหาในภาษาต ้นฉบับ ซงึ่ เป็นฉบับเดยี วทมี่ ผี ลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ฝ่ายสื่อ: Michael Pao brand@GIGABYTE.com

แหล่งที่มา: GIGABYTE

สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เปิดตัว “Falcon Foundation” เพื่อสนับสนุนโอเพ่นซอร์สของโมเดลเจนเนอเรทีฟเอไอ

Logo

มูลนิธิเพื่อการแบ่งปันความรู้และก่อให้เกิดการประชาภิวัตน์ของเอไอ

สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยี TII มอบเงิน 300 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงการในอนาคต

ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–13 กุมภาพันธ์ 2024

สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยี (TII) ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ขั้นนำระดับโลกและเสาหลักการวิจัยประยุกต์ของสภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง (ATRC) ของอาบูดาบี ได้ประกาศในวันนี้ถึงการเปิดตัว “Falcon Foundation” ซึ่งทางFalcon Foundation มุ่งมั่นในการพัฒนาโมเดลเจนเนอเรทีฟเอไอแบบโอเพ่นซอร์สและเพื่อการสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนของโครงการโอเพ่นซอร์สที่ช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยี ทาง TII จะมอบเงินจำนวน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเป็นทุนให้โครงการเหล่านี้ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้ง

การเปิด Falcon Foundation เกิดขึ้นในการประชุมสุดยอดรัฐบาลโลกปี 2024 (WGS) อันทรงเกียรติและถือเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในการประชุมความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อสร้างโมเดลการกำกับดูแลที่โปร่งใส และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ ในขณะที่ AI ยังคงกำหนดเส้นทางการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง

ทางมูลนิธิจะเรียกตัวผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นักพัฒนา นักวิชาการ และอุตสาหกรรม รวมถึงบุคคลทั่วไป โดยเริ่มต้นด้วยโมเดล Falcon AI อันทรงพลังของ TII และจะช่วยให้ตระหนักถึงพลังของการตัดสินใจแบบร่วมมือกันระหว่างผู้ร่วมให้ข้อมูล โดยจะช่วยเร่งการทำให้ AI เป็นประชาภิวัตน์ด้วยความช่วยเหลือจาก Falcon Foundation Ambassadors อันมีชื่อเสียง ซึ่งเป็นอาจารย์ด้าน AI ที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก รวมถึงผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมในสาขา AI

มูลนิธินี้มีไว้เพื่อสนับสนุนการปรับแต่งโมเดล Falcon เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมหรือภาคส่วนเฉพาะ ด้วยการเปิดใช้งานทรัพยากรคอมพิวเตอร์แบบเปิดสำหรับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Falcon AI มูลนิธิจะจัดให้มีระบบนิเวศที่แข็งแกร่งเพื่อให้แน่ใจว่ามีความสามารถในการปรับตัวของโมเดลนี้ในแอปพลิเคชันต่าง ๆ และบริบทที่หลากหลาย

Faisal Al Bannai เลขาธิการ ATRC มีความเห็นว่า "ในโลกที่เอไอยังคงก้าวหน้าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โครงการริเริ่มต่างๆ เช่น Falcon Foundation มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนวิถีการพัฒนา AI ไปสู่ความโปร่งใสและการเข้าถึงที่มากขึ้น"

Dr. Ray O. Johnson, CEO ของ TII กล่าวว่า: "เรามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความโปร่งใสและความร่วมมือในด้าน AI ด้วยการขยายจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปสู่การพัฒนา AI เราได้กำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการเปิดกว้าง และเรายังสนับสนุนให้หน่วยงานอื่นๆ ทั้งหมดที่สนับสนุนโอเพ่นซอร์สจากทั่วโลกเข้าร่วมกับเรา”

ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากมูลนิธิจะครอบคลุมหน่วยงานทั้งหมดที่ทำงานร่วมกับและเป็นผู้สนับสนุน AI ที่มีความรับผิดชอบแบบโอเพ่นซอร์ส ในการลดการพึ่งพาผู้จำหน่ายภายนอกนั้น ทาง Falcon Foundation จะต้องรับประกันความต่อเนื่องทางธุรกิจผ่านการเปิดใช้งานทางเลือกทางเทคโนโลยีที่เป็นอิสระ ในฐานะองค์กรที่เปิดกว้างสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนที่มีความมุ่งมั่นต่อโอเพ่นซอร์ส มูลนิธิจะใช้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับโลกโดยเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการกำกับดูแลและกฎหมายสำหรับปัญญาประดิษฐ์

ความมุ่งมั่นของมูลนิธิ Falcon Foundation ในด้านโอเพ่นซอร์สและนวัตกรรมในด้าน AI จะสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการคิดไปข้างหน้าที่จะช่วยให้อาบูดาบีและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก้าวกระโดดไปสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และสนับสนุนชุมชนทั่วโลกในการเก็บเกี่ยวความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมเพื่อความก้าวหน้าที่สำคัญด้าน AI

ที่มาAETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Jennifer Dewan, Senior Director of Communications
jennifer.dewan@tii.ae.

ที่มา: The Technology Innovation Institute

ETT | iByond™ ลงนามในสัญญามูลค่า 888 ล้านเหรียญสหรัฐกับ Capstone เพื่อมอบการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลทั่วโลกให้กับอุตสาหกรรมประกันภัย

Logo

ปาล์มบีช ฟลอริดา –(BUSINESS WIRE)–14 กุมภาพันธ์ 2024

เทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ “ETT | iByond™” (ETT) ได้ทำข้อตกลงการให้บริการซอฟต์แวร์และใบอนุญาตเป็นเวลาห้าปี ("ข้อตกลง") กับ Capstone Management Group ("Capstone" และ "บริษัท") ซึ่งมีมูลค่า 888 ล้านเหรียญสหรัฐตลอดอายุสัญญา ความร่วมมือครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมประกันภัยผ่านโซลูชันการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ล้ำสมัย

Christopher Condon | Chairman and CEO of ETT | iByond™ (Photo: Business Wire)

Christopher Condon | ประธานและซีอีโอของ ETT | iByond™ (รูปภาพ: Business Wire)

ETT | iByond™ ผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการ Intelligent Platform as a Service (iPaaS) ในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก แพลตฟอร์มนี้มอบความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยการอัปเกรดระบบเดิมได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้อง 'ตัดทิ้งและเปลี่ยนใหม่' ทํางานในทุกอุตสาหกรรมเพื่อช่วยบริษัทหลายพันล้าน ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงเทคโนโลยีให้ทันสมัยด้วยปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง (AI) แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และความเร็วของนวัตกรรมในหลายอุตสาหกรรม

Capstone เป็นบริษัทที่ปรึกษาและโฮลดิ้ง ซึ่งมีสินทรัพย์ที่หลากหลายในทุกสายงานของอุตสาหกรรมประกันภัยและการประกันภัยต่อ ผู้ก่อตั้ง Capstone มีประสบการณ์มากกว่า 90 ปีในด้านการประกันภัยและการประกันภัยต่อ และมีบทบาทสําคัญในการจัดตั้งโปรแกรมการดูแลสุขภาพที่ใช้ทุนตนเองสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ หลังจากการผ่าน ERISA ในปี 1974 ด้วยข้อตกลง Capstone ตอนนี้ ETT จะนําชุดเทคโนโลยีที่พลิกโฉมมาสู่อุตสาหกรรมประกันภัยและการประกันภัยต่อ ความร่วมมือระหว่าง Capstone Management Group และ ETT | iByond™ ส่งสัญญาณถึงก้าวสําคัญในนวัตกรรมภาคประกันภัย

การใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม 'Intelligence Beyond' ของ ETT | iByond Capstone สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการทํางานร่วมกันของข้อมูล และใช้ปัญญาประดิษฐ์ แมชชีนเลิร์นนิง และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเปลี่ยนแปลงการประเมินความเสี่ยงและการรับประกันภัย ความก้าวหน้าเหล่านี้ช่วยปรับปรุงความแม่นยําของราคา การคาดการณ์ได้ และเวลาแฝงในการประมวลผล ด้วยความเชี่ยวชาญของ Capstone ในด้านโซลูชันการประกันภัย และการดูแลสุขภาพ แพลตฟอร์มของ iByond ลูกค้าสามารถคาดหวังโซลูชันความเสี่ยงแบบหลายทิศทางที่ปรับแต่งได้ ETT | iByond™ เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการทํางานร่วมกันของข้อมูล ซึ่งจําเป็นในภาคการประกันภัย สิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของปัญญาประดิษฐ์ แมชชีนเลิร์นนิง และการวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินความเสี่ยงและขั้นตอนการรับประกันภัย แพลตฟอร์มของ ETT | iByond อํานวยความสะดวกในการบูรณาการระหว่างการควบรวมและซื้อกิจการ Capstone สามารถควบคุมเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ Artificial Intelligence of Things (AIOT) ที่ล้ำสมัยสําหรับข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ เสริมศักยภาพในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้นด้วยความเชี่ยวชาญของ Capstone ในด้านโซลูชันการประกันภัยและการดูแลสุขภาพ บูรณาการกับแพลตฟอร์มของ ETT | iByond ลูกค้าสามารถคาดหวังโซลูชันความเสี่ยงแบบหลายทิศทางที่ปรับแต่งได้

ตลาดประกันภัยต่อทั่วโลกมีมูลค่า 498.7 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2021 และคาดว่าจะสูงถึง 1344.3 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2031 โดยเติบโตที่ CAGR 10.8% ตั้งแต่ปี 2022 ถึง 2031

Christopher Condon ประธานและซีอีโอของ ETT I iByond™ เน้นย้ำถึงคุณค่ามหาศาลที่ความร่วมมือนี้มอบให้กับนักลงทุนและลูกค้า โดยกล่าวว่า "ความร่วมมือของเรากับ Capstone Management Group ถือเป็นช่วงเวลาสําคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมประกันภัย ด้วยนวัตกรรมที่มีความคิดก้าวหน้า ยกระดับการปฏิบัติงาน เพื่อให้บริการผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราได้ดียิ่งขึ้น"

ในทํานองเดียวกัน Nino Pedrini ซีอีโอของ Capstone Management Group ได้เน้นย้ำถึงลักษณะการทํางานร่วมกันของการเป็นหุ้นส่วน โดยกล่าวว่า "ที่ Capstone เรามุ่งมั่นที่จะมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา เราได้ทำตรวจสอบวิเคราะห์สถานะอย่างหนัก และเลือกแพลตฟอร์มของ the ETT | iByond เพื่อให้เราสามารถนําเสนอโซลูชันดิจิทัลที่เหนือชั้นและเป็นหนึ่งใน AI Data Engine ที่ทันสมัยที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมประกันภัย"

สัญญามูลค่า 888 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นการลงทุนครั้งสําคัญในอนาคตของการประกันภัย ซึ่งส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่กล้าหาญในระดับโลก

สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.ettworld.com หรือ www.capstonemg.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/53895972/en

ติดต่อ

สําหรับสื่อมวลชนกรุณาติดต่อ:
jczelusniak@ettworld.com

ที่มา: Economic Transformation Technologies

 


ATRC ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เปิดตัวแพลตฟอร์ม R&D เทคโนโลยีระดับโลกที่งาน WGS 2024: จัดสรรเงินทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเร่งสร้างนวัตกรรมเพื่อประเทศกําลังพัฒนา

Logo

  • ATRC เรียกร้องให้ทุกประเทศมองหาโซลูชันด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านเทคโนโลยีของตน
  • สนับสนุนเงินทุนเพื่อดูดซับทรัพยากร ต้นทุนการวิจัย เพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศกําลังพัฒนาด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–12 กุมภาพันธ์ 2024

ในการประกาศครั้งสําคัญในวันที่ 1 ของการประชุมสุดยอดรัฐบาลโลก (WGS) 2024 สภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง (ATRC) ของอาบูดาบี ได้เปิดตัวโครงการริเริ่มบุกเบิกที่มุ่งอํานวยความสะดวก ในการเข้าถึงโซลูชันเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยทั่วโลก 'ATRC Global Tech R&D Platform' ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ทําหน้าที่เป็นช่องทางสําหรับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อจัดการกับความท้าทายที่ไม่เหมือนใคร

ในฐานะที่เป็นแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังอาบูดาบีและระบบนิเวศด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ขั้นสูงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โครงการริเริ่มนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ ATRC ที่จะส่งเสริมการเติบโตที่ครอบคลุมและความเจริญรุ่งเรืองระดับโลก ในยุคของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มนี้พยายามเชื่อมช่องว่างทางเทคโนโลยีที่ประเทศต่างๆทั่วโลกกำลังประสบอยู่ ด้วยการนําเสนอโซลูชันที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการเร่งด่วนของพวกเขา

ในการเริ่มต้นการสมัครแอปพลิเคชันผ่านแพลตฟอร์ม ATRC จะจัดสรรเงินทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเร่งสร้างนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับประเทศเกิดใหม่ และประเทศกําลังพัฒนา ด้วยความมุ่งมั่นที่จะดูดซับทรัพยากรและต้นทุนการวิจัย เงินทุนดังกล่าวจะช่วยอํานวยความสะดวกในการพัฒนาโซลูชันเทคโนโลยีที่ซับซ้อน เสริมศักยภาพให้ประเทศเหล่านี้ให้ทันกับความก้าวหน้าล่าสุด

แพลตฟอร์ม ATRC Global Tech R&D เชิญชวนแอปพลิเคชันจากรัฐบาล องค์กร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีสิทธิ์ทั่วโลก โดยให้ความสําคัญกับการทํางานร่วมกันและการไม่แบ่งแยก ด้วยกระบวนการประเมินที่เข้มงวด โครงการริเริ่มต่างๆที่สอดคล้องกับภารกิจของแพลตฟอร์ม จะได้รับการสนับสนุนในหกภาคส่วนที่มีความสําคัญ ได้แก่ การบินและอวกาศ อาหารและการเกษตร ดูแล สุขภาพ; ความปลอดภัยและความมั่นคง ความยั่งยืน สิ่งแวดล้อม และพลังงาน และการขนส่ง

H.E. Faisal Al Bannai เลขาธิการ ATRC เน้นย้ำถึงผลกระทบระดับโลกของโครงการริเริ่มนี้ โดยกล่าวว่า "ความมุ่งมั่นของเราคือการเสริมศักยภาพให้กับทุกประเทศ ด้วยวิธีการที่จะเติบโตในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีนี้ ATRC พร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของเราในด้านเทคโนโลยี เพื่อรับมือกับความท้าทาย และขับเคลื่อนความก้าวหน้าร่วมกันในยุคที่ขับเคลื่อนด้วย AI"

ตลอดระยะเวลาเกือบสี่ปี ATRC ได้พัฒนาระบบนิเวศด้านการวิจัยและพัฒนาที่แข็งแกร่ง โดยมีนักวิจัยมากกว่า 850 คนจากกว่า 70 ประเทศ ได้สร้างระบบนิเวศทั้งหมดที่สนับสนุนทุกขั้นตอนที่สําคัญของเส้นทางการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ บริษัทในเครือ ASPIRE ระดมผู้มีความสามารถระดับโลกผ่านความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ และการแข่งขันระดับโลก และระบุช่องว่างทางเทคโนโลยีกับลูกค้า Technology Innovation Institute (TII) มุ่งเน้นไปที่การวิจัยประยุกต์ด้วยผลลัพธ์ที่ตั้งใจ และเป็นที่ตั้งของนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนํา ในขณะที่ VentureOne ดำเนินธุรกิจโซลูชันของตนในเชิงพาณิชย์ โดยนําผลิตภัณฑ์และบริการด้านการวิจัยและพัฒนาจากห้องปฏิบัติการสู่ตลาด

ATRC นําเสนอขีดความสามารถที่หลากหลายซึ่งครอบคลุมควอนตัม และ AI หุ่นยนต์อัตโนมัติ วิทยาการเข้ารหัสลับ ตลอดจนวัสดุขั้นสูง การขับเคลื่อน และอวกาศ ซึ่งเป็นแนวทางความต้องการด้านเทคโนโลยีตั้งแต่แนวคิดไปจนถึงนวัตกรรม

ตั้งแต่การระบุจุดบกพร่องด้านเทคโนโลยีขององค์กรไปจนถึงการพัฒนาโซลูชันการวิจัยและพัฒนาตามความต้องการ ATRC จัดเตรียมวงจรชีวิตของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สําหรับบริษัทและประเทศที่ต้องการการสนับสนุน ตั้งอยู่ที่ทางแยกระดับโลก ขยายการเข้าถึงไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก อํานวยความสะดวกด้านนวัตกรรมในระดับโลกอย่างแท้จริง

Al Bannai มีกําหนดจะกล่าวสุนทรพจน์เต็มในการประชุมสุดยอดรัฐบาลโลก โดยเน้นย้ำถึงมุมมองของเขาเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ AI และโอกาสที่เกิดขึ้นใหม่

Dr. Ray O. Johnson ซีอีโอของ TII ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยประยุกต์ระดับโลกของ ATRC แสดงทัศนคติในแง่ดีเกี่ยวกับศักยภาพของกองทุนในการกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม และกล่าวว่า " เราจะช่วยระบุนวัตกรรมที่ยังไม่ได้ใช้ทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มนี้ และปลดปล่อยพลังของเทคโนโลยีแห่งการเปลี่ยนแปลง และจุดประกายการเติบโตทางเศรษฐกิจ"

ATRC เรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันและมีส่วนร่วมในภูมิทัศน์ทางเทคโนโลยีระดับโลก สําหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ATRC Tech R&D Fund ผู้สมัครสามารถติดต่อสภาผ่านทาง ASPIRE ได้ที่ aspireuae.ae

"เราอยู่ที่นี่เพื่อระบุช่องว่างทางเทคโนโลยี และอํานวยความสะดวกในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนซึ่งประเทศต่างๆ อาจจำเป็นต้องสํารวจ เพื่ออนาคตที่มีความยืดหยุ่น" Stephane Timpano ซีอีโอของ ASPIRE กล่าว

ในจุดยืนที่คล้ายกันเพื่อสนับสนุนการนําเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในวงกว้าง เมื่อปีที่แล้ว Technology Innovation Institute (TII) เป็นหนึ่งในกลุ่มแรก ๆ ที่เปิดซอร์สโมเดลภาษาขนาดใหญ่ระดับโลกอย่าง Falcon 40B ภายใต้ใบอนุญาต Apache 2.0 – โดยไม่มีค่าลิขสิทธิ์

*ที่มา: AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Jennifer Dewan, ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการสื่อสาร
jennifer.dewan@tii.ae.

สภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง (ATRC)
comms@atrc.gov.ae

ที่มา: สภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง

Zextras Carbonio Community Edition: หนึ่งในแพลตฟอร์มสถานที่ทํางานและอีเมลดิจิทัลของ FOSS ที่ดีที่สุดสําหรับการสื่อสารและการทํางานร่วมกันแบบส่วนตัว

Logo

มิลาน–(BUSINESS WIRE)--13 กุมภาพันธ์ 2024

Zextras ผู้นําในการพัฒนาโซลูชันอีเมลที่เป็นนวัตกรรม ภูมิใจประกาศเปิดตัว Carbonio Community Edition (CE) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสถานที่ทํางานดิจิทัลแบบโอเพนซอร์สที่ล้ำสมัยและเต็มรูปแบบ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถโฮสต์สภาพแวดล้อมการทํางานร่วมกันได้ด้วยตนเอง เพื่อความเป็นส่วนตัวและการควบคุมที่เพิ่มขึ้น Carbonio CE มอบความเป็นส่วนตัวที่เหนือชั้นสําหรับธุรกิจที่กําลังมองหาทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ

  • โซลูชันโอเพนซอร์ส เช่น
    • Zimbra OSE
  • หรือโซลูชัน SaaS เช่น
    • G Suite
    • Microsoft 365 ออนไลน์

ในฐานะโซลูชัน FOSS (ซอฟต์แวร์แบบฟรีและโอเพนซอร์ส) Carbonio CE อนุญาตให้ผู้ใช้ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานซอฟต์แวร์ของตนได้อย่างสมบูรณ์ ทําให้สามารถปรับแต่งและบูรณาการที่สอดคล้องกับข้อกําหนดเฉพาะของบริษัทได้

คุณสมบัติ

แพลตฟอร์มอันทรงพลังนี้รวมเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญ เช่น

  • อีเมล
  • ปฏิทิน
  • รายชื่อผู้ติดต่อ
  • งาน
  • การสนทนา
  • วิดีโอแชท

อํานวยความสะดวกในสภาพแวดล้อมที่เหนียวแน่น ซึ่งสมาชิกในทีมสามารถเชื่อมต่อและทํางานร่วมกันได้อย่างง่ายดายจากทุกที่ ไม่ว่าจะผ่าน เว็บไคลเอ็นต์ หรือ อุปกรณ์มือถือ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยถือเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบของ Carbonio CE เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ละเอียดอ่อนจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ และป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

โซลูชันระดับองค์กร

Zextras ได้ควบคุมพลังของเทคโนโลยีโอเพนซอร์ส โดยนําเสนอโซลูชันระดับองค์กรให้กับธุรกิจทุกขนาด โดยไม่มีค่าใช้จ่ายระดับองค์กร สถาปัตยกรรมที่ปรับขนาดได้ของ Carbonio CE ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กรได้อย่างง่ายดาย ทําให้เหมาะสําหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง (SMB)

นอกเหนือจากคุณสมบัติที่มีอยู่ทั่วไปแล้ว Carbonio CE ยังได้รับการสนับสนุนจากความเชี่ยวชาญอันโด่งดังของ Zextras ในด้านโซลูชันอีเมลและระบบการทํางานร่วมกัน ข้อเสนอใหม่นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิวัติวิธีที่ธุรกิจต่างๆ สื่อสารภายใน และเป็นข้อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของ Zextras ในการนําเสนอโซลูชันเทคโนโลยีชั้นยอด

ความพร้อมใช้งาน

Carbonio CE พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ว ซึ่งช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถก้าวแรกสู่สถานที่ทํางานดิจิทัลที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และทํางานร่วมกันได้มากขึ้น

สําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Carbonio Community Edition และวิธีที่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารขององค์กรของคุณ โปรดไปที่ https://lp.zextras.com/carbonio-ce/?utm_source=business_wire&utm_medium=pr&utm_campaign=carbonio_ce_launch

เกี่ยวกับ Zextras

Zextras เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นนําในอุตสาหกรรมที่เชี่ยวชาญในการสร้างโซลูชันขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงแพลตฟอร์มการสื่อสาร และการทํางานร่วมกันแบบดิจิทัล ด้วยการมุ่งเน้นที่ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้และเทคโนโลยีโอเพนซอร์ส Zextras มุ่งมั่นที่จะนำเสนอเครื่องมือที่ซับซ้อนแต่ใช้งานง่าย ซึ่งตอบสนองความต้องการของภูมิทัศน์ดิจิทัลที่กําลังพัฒนา

สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ https://lp.zextras.com/carbonio-ce/?utm_source=business_wire&utm_medium=pr&utm_campaign=carbonio_ce_launch

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

รายละเอียดการติดต่อสื่อมวลชน

Paolo Storti
ซีอีโอ
marketing@zextras.com

Zextras
http://www.zextras.com

ที่มา: Zextras

กลุ่ม Mitsui Chemicals Group และ ARRK Thailand จัดนิทรรศการ MotionTech 2024 เป็นครั้งแรก

Logo

จัดแสดงวัสดุและเทคโนโลยีเพื่อการขับเคลื่อนแห่งอนาคต

กรุงเทพมหานคร–(BUSINESS WIRE)–13 กุมภาพันธ์ 2024

Mitsui Chemicals Asia Pacific (MCAP) – กลุ่มMitsui Chemicals และ ARRK Thailand จะร่วมกันจัดนิทรรศการสาธารณะในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งจะจัดแสดงวัสดุและเทคโนโลยีต่างๆ สำหรับการขับเคลื่อนแห่งอนาคต ที่ได้พัฒนาโดยกลุ่ม Mitsui Chemicals และกลุ่ม ARRK นิทรรศการ MotionTech 2024 จะเป็นนิทรรศการลักษณะดังกล่าวครั้งแรกของทั้งสององค์กร

ผู้เข้าชมสามารถชมเทคโนโลยีล่าสุดและวัสดุที่ใช้งานได้จริงสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งจัดขึ้นมากกว่าสองช่วง นอกจากนั้นยังมีนิทรรศการ touch-and-feel (สัมผัสและรับรู้) สำหรับวัสดุต่างๆ ที่ผลิตโดยกลุ่ม Mitsui Chemicals นอกจากนี้ MOLp (Mitsui Chemicals Material Oriented Laboratory) ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในญี่ปุ่น จะมาปรากฏตัวพร้อมกับผลิตภัณฑ์บางส่วนที่นำเสนอไปในนิทรรศการครั้งก่อนๆอีกด้วย

งานนี้ได้รับความร่วมมืออย่างภาคภูมิใจโดย Mitsui Chemicals Asia Pacific, Mitsui Chemicals (Thailand) และ ARRK Thailand

รายละเอียดของนิทรรศการ

ช่วงแรก

วันที่

15 ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2024

สถานที่

โรงแรม Nikko Hotel กรุงเทพฯ (ชั้น4)

27 ทองหล่อ, คลองตันเหนือ, วัฒนา, กรุงเทพฯ 10110

ช่วงที่สอง

วันที่

20 กุมภาพันธ์ 2024

สถานที่

โรงแรม Pacific Park ศรีราชา

2 1 ศรีราชานคร 3, ศรีราชา, อ.ศรีราชา, ชลบุรี 20110

เข้าชมได้ฟรี รับวอล์คอินสำหรับทุกท่าน (Walk-in) ไม่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า เชิญเข้าชมเว็บไซต์ Asia Pacific website เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ MotionTech 2024 หรือท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้

เกี่ยวกับ MOLp

MOLp™ เป็นโครงการห้องปฏิบัติการแบบเปิดโดย Mitsui Chemicals Group ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่และคุณค่าเชิงฟังก์ชันของวัสดุโดยการใช้ประสาทสัมผัสที่หลากหลายอย่างเต็มที่

เชิญเยี่ยมชมเว็บไซต์ MOLp™ website เพื่อทำความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับแรงบันดาลใจเบื้องหลังผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่นี้

บางโครงการของ MOLp™ จะนำเสนอใน MotionTech 2024 ด้วย:

321 IDEA CAVE

https://youtu.be/QJ4Uvl2k-Tk?si=bc0R-yIYK6b1YTB2

NAGORI® products

https://youtu.be/-zpoeglo8zc?si=kDCMTr-ojw4IKLgY

TAFNEX™ bench

https://jp.mitsuichemicals.com/en/release/2022/2022_1018/index.htm

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53893280/en

ติดต่อ

หากต้องการสอบถามเกี่ยวกับข่าวประชาสัมพันธ์นี้ โปรดติดต่อ:

Eric Lim
การสื่อสารองค์กรและการตลาด
Mitsui Chemicals Asia Pacific, Ltd.
eric.lim@mitsuichemicals.com

แหล่งที่มา: Mitsui Chemicals Asia Pacific 


The Bangkok Reporter