(China International Import Expo หรือ CIIE) มหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีน ครั้งที่ 5 เอื้อประโยชน์ต่อนานาประเทศในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

Logo

เซี่ยงไฮ้–(ฺBUSINESS WIRE)–4 ส.ค. 2565

มหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีน (China International Import Expo หรือ CIIE) เวทีสำคัญสำหรับการจัดซื้อระหว่างประเทศ การส่งเสริมการลงทุน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการสร้างความร่วมมือที่เปิดกว้าง ประสบความสำเร็จในการจัดงาน 4 ปีติดต่อกัน อีกทั้งยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นสินค้าสาธารณะระหว่างประเทศและระบบการค้าข้ามชาติ ตลอดจนเป็นสื่อกลางสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้างและประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ

นับตั้งแต่จัดงานครั้งแรกในปี 2561 มหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีนได้เติบโตทั้งในแง่ของขนาดและอิทธิพลของงาน โดยพื้นที่จัดแสดงเพิ่มขึ้นจาก 270,000 ตารางเมตรในปี 2561 เป็น 366,000 ตารางเมตรในปี 2564 ด้านผู้จัดแสดงในงาน 4 ครั้งที่ผ่านมาได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และบริการใหม่มากกว่า 1,500 รายการ และบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นคิดเป็นมูลค่ากว่า 2.70 แสนล้านดอลลาร์

ในขณะที่มหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีนเข้าสู่ปีที่ 5 ประเทศต่าง ๆ ในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ก็ให้ความสนใจตลาดจีนและส่งออกสินค้ามายังจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ   

ในมหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีนครั้งแรก คุณหม่า อวี้เซี่ย นักธุรกิจหญิงชาวจีนที่อยู่ในอเมริกาใต้ ได้นำตุ๊กตาอัลปากามาบุกตลาดจีน

คุณหม่าและหุ้นส่วนชาวเปรูเช่าบูธเล็ก ๆ ขนาด 9 ตารางเมตรเพื่อจัดแสดงและโปรโมทตุ๊กตาอัลปากา รวมถึงงานหัตถกรรมพื้นบ้านของเปรู นอกจากนั้นยังสร้างแบรนด์ของตัวเองในชื่อวอร์มปากา (Warmpaca)

การออกบูธในครั้งนั้นได้ผลดีอย่างเหลือเชื่อ และหลังจากเข้าร่วมมหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีน 4 ปีติดต่อกัน ตอนนี้สินค้าของวอร์มปากามีวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้ากว่า 20 แห่งในจีน

จนถึงตอนนี้ พื้นที่จัดแสดงในมหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีน ครั้งที่ 5 ได้ถูกจับจองไปแล้วกว่า 80% โดยบริษัทกว่า 260 แห่งที่ติดอันดับฟอร์จูน โกลบอล 500 (Fortune Global 500) และบรรดาผู้นำอุตสาหกรรมจะเข้าร่วมงานในปีนี้

ขณะเดียวกัน หลายประเทศก็ยืนยันว่าจะเข้าร่วมงานในส่วนจัดแสดงของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ ภายในงานจะมีการเผยแพร่รายงานการเปิดกว้างทั่วโลก (World Openness Report) และดัชนีการเปิดกว้างทั่วโลก (World Openness Index) ในการประชุมเศรษฐกิจนานาชาติหงเฉียว (Hongqiao International Economic Forum) ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญของงานนี้

เนื่องจากงานนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก พื้นที่จัดแสดงจะถูกจับจองจนหมดในอีกไม่นานนี้ จีงขอเชิญผู้ที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมจัดแสดงในงานก่อนที่จะไม่ทันกาล โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่ https://www.ciie.org/exhibition/f/book/register?locale=en.

ติดต่อ: เนี่ย ฉิงซิน (Nie Qingxin)
โทร: 0086-21-67008870/67008988

มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป (MHI Group) ลงนามในข้อตกลงเป็นผู้สนันสนุน กับสโมสรฟุตบอลเมืองทองยูไนเต็ดของประเทศไทย

Logo

ข่าวประชาสัมพันธ์

2022-08-04

— สนับสนุนการพัฒนาผู้เล่นรุ่นต่อไปและกิจกรรมอื่นๆของทีม ที่เอื้อให้เกิดการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย —

  • ข้อตกลงเป็นส่วนหนึ่งของโครงการช่วยเหลือสังคมของ มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป ในขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมคุณค่าให้กับแบรนด์ด้วย
  • จะมีโลโก้บริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ บริเวณไหล่ขวาของชุดเเข่งขัน และในสนามเหย้าของสโมสร

โตเกียว, 4 สิงหาคม 2022 – กลุ่ม มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ (เอ็มเอชไอ) ได้ลงนามในข้อตกลงการเป็นผู้สนับสนุนกับสโมสรฟุตบอลเมืองทองยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลอาชีพไทยลีก 1 ที่ตั้งอยู่ในเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย ข้อตกลงนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการช่วยเหลือสังคมของ มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป จะสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของทีมและพัฒนาผู้เล่นรุ่นต่อไป รวมทั้งมีส่วนเอื้อต่อการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย กับส่งเสริมให้แบรนด์ เอ็มเอชไอ เป็นที่รู้จักและเพิ่มคุณค่าด้วย

Widodo Makmur Perkasa (IDX : WMPP) Slaughterhouse facilities in Cianjur, West Java, equipped with solar panel technology.

(ภาพ: BUSINESS WIRE)

เมืองทอง ยูไนเต็ด บรรลุข้อตกลงบันทึกความเข้าใจในปี 2564 กับอุราวะ เรด ไดมอนส์ (อุราวะ เรดส์) สโมสรฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่นในลีก J1 ซึ่ง มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ เป็นผู้สนับสนุนหลัก เมืองทองยูไนเต็ด ด้วยเอกลักษณ์ของทีมที่สร้างขึ้นโดยใช้สีแดง ดำ และขาวแบบเดียวกับอุราวะ เรดส์ และได้สร้างผู้เล่นหลายคนให้กับเจลีกของญี่ปุ่นด้วย จากการมีข้อตกลงการเป็นผู้สนับสนุนี้ นับตั้งแต่เริ่มการแข่งขันลีกในวันที่ 13 สิงหาคม เมืองทอง ยูไนเต็ด จะแสดงโลโก้บริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ บริเวณไหล่ขวาของชุดเเข่งขัน และในสนามเหย้าของสโมสร

มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป ดำเนินโครงการ MHI Sports Challenge ที่มุ่งใช้กีฬาเพื่อสนับสนุน CSR และมีส่วนช่วยชุมชนท้องถิ่นและสังคม ตลอดจนเพื่อส่งเสริมแบรนด์องค์กรของกลุ่มและเพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงาน  การปรากฏตัวของ มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป ในประเทศไทยรวมถึงบริษัทในเครือ มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ในท้องถิ่น พร้อมทั้งหน่วยธุรกิจต่างๆในการผลิตเครื่องปรับอากาศรถยก และการให้บริการหลังการขายสำหรับกังหันก๊าซ 

การเป็นสปอนเซอร์ให้กับสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมของพนักงานในท้องถิ่น  การมีส่วนร่วมในการพัฒนาภูมิภาค และเพิ่มคุณค่าขององค์กร

###

เกี่ยวกับ มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป

Mitsubishi Heavy Industries (MHI) Group หรือ มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป เป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก ครอบคลุมด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ เครื่องจักรอุตสาหกรรม การบินและอวกาศ และการกลาโหม

มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ กรุ๊ป ผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับประสบการณ์ที่ล้ำลึกเพื่อส่งมอบนวัตกรรมการแก้ปัญหาแบบบูรณาการที่ช่วยให้ตระหนักถึงเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอนของโลก ปรับปรุงคุณภาพชีวิต และทำให้โลกปลอดภัยยิ่งขึ้น

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.mhi.com หรือติดตามข้อมูลเชิงลึกและเรื่องราวของเราที่ spectra.mhi.com

ติดต่อสอบถาม:

ฝ่ายสื่อสารองค์กร

บริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรีส์ จำกัด

อีเมล: mediacontact_global@mhi.com

งานแสดงสินค้า Korea International Construction & Industrial Safety Expo 2565 จะจัดแสดงนวัตกรรมการก่อสร้างอัจฉริยะและโซลูชั่นความปลอดภัยในอุตสาหกรรมที่ KINTEX ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

Logo

งาน K-Con Safety Expo 2565 เป็นพื้นที่พบปะของผู้ซื้อเเละผู้ขายเพื่อติดต่อซื้อขายสินค้าและบริการกัน (marketplace) ที่สมบูรณ์แบบสำหรับอุตสาหกรรมการก่อสร้างและความปลอดภัยในอุตสาหกรรม จัดแสดงโซลูชั่นอัจฉริยะและอุปกรณ์ความปลอดภัยในที่ทำงานของ LG U+, Bentley Systems, 3M Korea และ GERB

โกยาง สาธารณรัฐเกาหลี–(BUSINESS WIRE)–3 ส.ค. 2565

งานแสดงสินค้า Korea International Construction & Industrial Safety Expo 2022 ซึ่งเป็นที่ที่ผู้เข้าร่วมงานสามารถสัมผัสโลกแห่งโซลูชั่นความปลอดภัยในการก่อสร้างที่ทันสมัยได้ในที่เดียว จะถูกจัดขึ้นที่ KINTEX ในเมืองโกยาง ประเทศเกาหลี ในวันที่ 19 ถึง 21 ตุลาคม

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหาเป็นมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220731005060/en/

Korea Int'l Construction and Industrial Safety Expo (K-Con Safety Expo) 2022 Official Poster (Graphic: Business Wire)

โปสเตอร์อย่างเป็นทางการของ Korea Int'l Construction and Industrial Safety Expo (K-Con Safety Expo) 2565 (กราฟิก: Business Wire)

K-Con Safety Expo 2022 ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในด้านพบปะของผู้ซื้อเเละผู้ขายเพื่อติดต่อซื้อขายสินค้าและบริการกันสำหรับผู้บริหารด้านความปลอดภัยในการก่อสร้าง มาเป็นรุ่นที่สี่แล้ว ด้วยการสนับสนุนจากกระทรวงของรัฐบาลตลอดมา แม้จะเป็นในช่วงที่มีการระบาดของ โควิด-19 ก็ตาม โดย K-Con Safety Expo 2022 มุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่สำหรับความพยายามทางด้านพื้นที่พบปะของผู้ซื้อเเละผู้ขายเพื่อติดต่อซื้อขายสินค้าและบริการและความพยายามด้านการขายของผู้เข้าร่วมงาน ผ่านกิจกรรมที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการสัมนาทางธุรกิจที่หลากหลายขึ้น และเพื่อการนำเสนอโซลูชันแบบบูรณาการเพื่อความปลอดภัยในการก่อสร้างที่สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมทั่วโลก

นอกเหนือจากงานแสดงสินค้าแล้ว ผู้บริหารระดับสูงและผู้มีอำนาจตัดสินใจในอุตสาหกรรมความปลอดภัยในการก่อสร้างของเกาหลีจะเป็นผู้เปิดฟอรั่มการประชุม นอกจากนี้ ยังจะมีการจัดการประชุมทางธุรกิจออนไลน์ตามกำหนดการแบบตัวต่อตัว โดยร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการค้าการลงทุนของเกาหลี ด้วยความหวังว่าผู้ซื้อจากต่างประเทศจะสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ร่วมกับผู้แสดงสินค้าชาวเกาหลีที่มีคุณสมบัติเหมาะสม นอกจากนี้ ยังจะมีคณะผู้แทนจากองค์กรภาครัฐและเอกชนมาเยี่ยมชมงาน อีกด้วย

สิ่งที่คุณจะพลาดไม่ได้เลยคือการได้เห็นเทคโนโลยีล่าสุดในตลาดการก่อสร้างอัจฉริยะ (smart construction market) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องที่อัตราเฉลี่ยต่อปีที่ 26% ภายในปี 2568 โดยบริษัทก่อสร้างอัจฉริยะและความปลอดภัยในอุตสาหกรรมรายใหญ่ของเกาหลี ซึ่งรวมไปถึง LG U+, GSIL และ HULAN จะมาเข้าร่วมงานด้วย  งานนี้จะสร้างจุดเชื่อมต่อที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้บริหารความปลอดภัยในการก่อสร้างจากทั่วทุกมุมโลกที่ต้องการสร้างสถานที่ก่อสร้างที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น เมื่อคำนึงถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดการก่อสร้างในเอเชีย

บริษัทระดับโลกรายใหญ่จะเข้าร่วมในฐานะผู้แสดงสินค้าโดยมีเป้าหมายเพื่อขยายฐานตลาดในเกาหลี อุปกรณ์ความปลอดภัยในสถานที่ทำงานและอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของ 3M ของเกาหลี กับ ระบบควบคุมการสั่นสะเทือนของกลุ่ม GERB ของเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมระบบแยกการสั่นสะเทือนระดับโลก และโซลูชั่นการจัดการการก่อสร้างอัจฉริยะของ Bentley Systems ก็จะถูกจัดแสดงเพื่อปูทางเข้าสู่ตลาดเกาหลี อีกด้วย

K-Con Safety Expo 2022 กำลังมองหาผู้แสดงสินค้าและผู้ซื้อจากต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมการประชุมธุรกิจออนไลน์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ(www.k-consafetyexpo.com).

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220731005060/en/

ติดต่อ:

Naru Kang

KINTEX

+82-(0)31-995-8044

internationalbusiness@kintex.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Midea ขึ้นอันดับที่ 245 ใน Fortune Global 500 ปี 2565 ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและการเจาะตลาดต่างประเทศ

Logo

ฝอซาน ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–03 ส.ค. 2565

รายชื่อ Fortune Global 500 ปี 2565 โดย Midea Group ได้รับการจดทะเบียนใน Fortune Global 500 เป็นปีที่เจ็ดติดต่อกัน โดยคราวนี้ได้เลื่อนขึ้นสู่อันดับที่ 245

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220731005072/en/

(Graphic: Business Wire)

(กราฟิก: Business Wire)

ในเดือนเมษายนนี้ Midea Group เผยแพร่รายงานประจำปี 2564 – รายได้ของบริษัทต่อปีเพิ่มขึ้น 20.06% ในปี 2564 โดยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 343.4 พันล้านหยวน

Midea ยึดมั่นในการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ใน “ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี” และเร่งการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

สำหรับธุรกิจ C-suite สมาร์ทโฮมมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์เครื่องใช้และบริการในบ้านอัจฉริยะทั้งบ้านที่ดีที่สุดผ่านการใช้เทคโนโลยี IoT และ AI

สำหรับธุรกิจ B-suite, Midea มุ่งเน้นที่การพัฒนาไม่เพียงแต่ด้านธุรกิจของ ToB เช่น หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีอาคาร การจัดการพลังงาน การเดินทางอัจฉริยะ และ Midea Healthcare แต่ยังพัฒนาต่อยอดการเปลี่ยนแปลงและยกระดับธุรกิจนวัตกรรมดิจิทัล เช่น Annto Midea Cloud

ในแนวทางนี้ Midea มุ่งที่จะบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดในการปรับปรุงจากบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านให้เป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

Midea Industrial Technology ลงทุนในพลังงานสีเขียวและผลิตภัณฑ์ที่มีความแม่นยำสูง และดำเนินการแบรนด์ต่างๆ เช่น GMCC, Welling, HICONICS, SERVOTRONIX เป็นต้น

ด้วยแพลตฟอร์มบริการอาคารดิจิทัล Midea Building Technologies นำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรที่ชาญฉลาด ดิจิทัล และคาร์บอนต่ำ

แผนก Robotics & Automation มุ่งเน้นในการจัดหาโซลูชั่นสำหรับหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ระบบลอจิสติกส์อัตโนมัติ และระบบส่งกำลังสำหรับสาขาที่เกี่ยวข้องกับโรงงานในอนาคต ตลอดจนโซลูชั่นสำหรับการดูแลสุขภาพ ความบันเทิง การบริโภคใหม่ ฯลฯ

ธุรกิจนวัตกรรมดิจิทัลให้บริการโซลูชั่นและบริการ สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลขององค์กร

นอกจากนี้ Midea ยังแสวงหาความก้าวหน้าในตลาดต่างประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ CSP Abu Dhabi ของ COSCO ได้ลงนามในข้อตกลงกับ Midea เกี่ยวกับการก่อสร้างร่วมกันของศูนย์ขนส่งคลังสินค้าในต่างประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ต่างประเทศเข้าถึงผลิตภัณฑ์ Midea ได้ง่ายขึ้น

Midea Group ภูมิใจที่มีครอบครัวพนักงานประมาณ 160,000 คน รวมถึงกว่า 30,000 คนในต่างประเทศ

เกี่ยวกับ Midea Group

Midea Group ยึดมั่นในปรัชญาในการสร้างชีวิตที่ดีขึ้นผ่านเทคโนโลยีนับตั้งแต่ก่อตั้ง 54 ปีที่แล้ว ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา Midea ได้ลงทุนเกือบ 5 หมื่นล้านหยวนในการวิจัยและพัฒนา และมีศูนย์วิจัยและพัฒนา 35 แห่ง และฐานการผลิตหลัก 35 แห่งทั่วโลก ผู้บริโภค 400 ล้านคนใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของ Midea ในกว่า 200 ประเทศและภูมิภาค

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220731005072/en/

ติดต่อ:

Lori Luo
+8613512784739
luory17@midea.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Black & Veatch เข้าร่วม Australian Hydrogen Council ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ออสเตรเลีย

Logo

ผู้นำในการแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมชั้นนำของออสเตรเลีย ในขณะที่ประเทศกำลังเดินหน้าแผนพัฒนาอุตสาหกรรมไฮโดรเจนมูลค่า 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

เมืองเมลเบิร์น, ประเทศออสเตรเลีย–(BUSINESS WIRE)–04 สิงหาคม 2565

Black & Veatch ได้เข้าร่วม Australian Hydrogen Council (AHC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพยายามเร่งการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกให้นำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ และเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจพลังงานไฮโดรเจนทั่วโลก

Dr Fiona Simon ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ AHC กล่าวว่าจุดแข็งอย่างหนึ่งของ AHC คือความกว้างขวางและความลึกซึ้งในกลุ่มสมาชิก ซึ่งรวมถึงบริษัทระดับโลกอย่าง Black & Veatch

Dr Simon กล่าวอีกว่า “ในฐานะที่เป็นผู้นำในการสนับสนุนการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยการเปลี่ยนผ่านสู่ไฮโดรเจน Black & Veatch จะนำความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติมมาสู่สมาชิกของเรา และเรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับบริษัทนี้”

Mick Scrivens รองประธานและผู้อำนวยการของ Black & Veatch ประจำภูมิภาคออสเตรเลียแปซิฟิก กล่าวว่า “ไฮโดรเจนและแอมโมเนียจะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนออกจากระบบพลังงาน ซัพพลายเชน และอุตสาหกรรมหนักของโลก ความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างผู้นำด้านวิศวกรรม เช่น Black & Veatch และองค์กรภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น Australian Hydrogen Council จะช่วยให้บรรลุถึงเป้าหมายอันแรงกล้าของออสเตรเลียในการจัดหาแอมโมเนียที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับตลาดในประเทศและเอเชีย”

ไฮโดรเจนมีศักยภาพในการลดและทดแทนการพึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิลเพื่อการผลิตไฟฟ้า ตลอดจนการจัดเก็บพลังงาน การให้ความร้อน การขนส่ง การผลิตสารเคมีและปุ๋ยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ไฮโดรเจนสามารถเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งผลิตขึ้นโดยใช้พลังงานหมุนเวียนที่ปราศจากคาร์บอน 100%

แอมโมเนียเป็นสารเคมีเหลวที่ประกอบด้วยไนโตรเจนและไฮโดรเจน มีพลังงานหนาแน่นกว่าไฮโดรเจนบริสุทธิ์ มีความเสถียรอย่างเหลือเชื่อและสามารถทำให้เป็นของเหลวได้ง่ายสำหรับการกักเก็บและจัดส่งไปทั่วโลกในลักษณะเดียวกันกับ LNG

แอมโมเนียสามารถใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานจำนวนมากเพื่อผลิตไฟฟ้าที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นตัวกลางเพื่อกักเก็บพลังงาน สามารถเผาได้โดยตรงโดยไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอน สามารถเป็นแหล่งพลังงานที่ปราศจากการปล่อยมลพิษ หรือ สามารถดัดแปลงให้เปลี่ยนกลับไปเป็นไฮโดรเจนในฐานะตัวนำพลังงานได้

การดัดแปลงโครงสร้างพื้นฐานของ LNG ให้กระจายไปทั่วโลกนั้น สถานีปลายทางที่รับ LNG และโรงกักเก็บ จะช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งแอมโมเนียให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

รายงานเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าในเอเชียในปี 2565 ของ Back & Veatch ระบุว่า 73% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าไฮโดรเจนจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนภายใน 10 ปีนับจากนี้ มากกว่าเทคโนโลยีอื่น ๆ

นักวิเคราะห์ด้านอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่าประเทศออสเตรเลียจะมีสัดส่วนของอุปทานแอมโมเนียที่ปราศจากคาร์บอนมากกว่า 10% ทั่วโลกภายในปี 2578

Scrivens กล่าวเพิ่มเติมว่า “Black & Veatch มีประวัติการทำงานยาวนาน 80 ปีในการผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียในหลากหลายอุตสาหกรรม ด้วยความเชี่ยวชาญในทุกขั้นตอนของโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านไฮโดรเจน ตั้งแต่บริการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคและการออกแบบไปจนถึงการดำเนินงาน เรายังคงสนับสนุนโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลก ซึ่งรวมถึงโครงการในประเทศออสเตรเลีย”

AHC เป็นหน่วยงานสูงสุดสำหรับอุตสาหกรรมไฮโดรเจนในประเทศออสเตรเลีย โดยมีสมาชิกจากห่วงโซ่คุณค่าด้านไฮโดรเจนทั้งหมด ซึ่งรวมทั้ง ผู้ผลิตยานยนต์ บริษัทพลังงาน ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน องค์กรวิจัย และรัฐบาล

หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ:

เกี่ยวกับ Black & Veatch 
Black & Veatch เป็นบริษัทด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลกที่พนักงานร่วมเป็นเจ้าของ 100% โดยมีประวัติผลงานด้านนวัตกรรมเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมากว่า 100 ปี ตั้งแต่ปี 2458 เป็นต้นมา เราได้ช่วยลูกค้าของเราพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยจัดการกับความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ในปี 2563 บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงานมากกว่า 3,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ติดตามเราได้ที่ www.bv.com  และทางโซเชียลมีเดีย ติดตามเราได้ทาง www.bv.com และโซเชียลมีเดีย

ข้อมูลการติดต่อสื่อ
EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | +65 9875 8907 M | Chialp@bv.com 
ฮอตไลน์สำหรับสื่อ 24 ชั่วโมง | +1 855-999-5991

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

The Bangkok Reporter