แบรนด์ไทยกวาดรางวัลระดับโลกในงาน World Branding Awards ประจำปี 2563-2564

Logo

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–10 มี.ค. 2564

รางวัล World Branding Awards อันทรงเกียรติ ซึ่งถือเป็นรางวัลที่แสดงการยอมรับแบรนด์ระดับโลกขั้นสุดยอด ได้รับการจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 12 แล้วนับถึงปัจจุบัน โดยมีแบรนด์มากกว่า 400 แบรนด์ จากกว่า 45 ประเทศที่ได้รับรางวัล "แบรนด์แห่งปี" ประจำปี 2563-2564 ผ่านการเสนอชื่อโดยผู้บริโภคมากกว่า 250,000 คนทั่วโลก

ในบรรดาแบรนด์ชั้นนำที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ชนะระดับโลก รวมถึง Beijing Tong Ren Tang, CoCo, Faber Castell, Fender, Heinz, IKEA, LEGO, Lurpak, McCain, Netflix, PILOT, Spotify, Yakult และ Yamaha เป็นต้น

ผู้ชนะระดับภูมิภาค ได้แก่ Anchor (นิวซีแลนด์), Cotton On (ออสเตรเลีย), Elkjøp (นอร์เวย์), LuLu (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์), Isetan และ Uniqlo (ญี่ปุ่น) เป็นต้น

แชมป์ระดับประเทศ ได้แก่ ออโรร่า (อัญมณี), คาเฟ่อเมซอน (ร้านค้าปลีก – กาแฟ), คิงเพาเวอร์ (ร้านค้าปลีก – ดิวตี้ฟรี), M-150 (เครื่องดื่มชูกำลัง), สถานีปตท. (ปั๊มน้ำมัน / ปั๊มก๊าซ), ไทยประกันชีวิต (ประกันภัย), และ TrueOnline (บรอดแบนด์ / ISP) ซึ่งทั้งหมดนี้เคยเป็นผู้ได้รับรางวัลมาปีก่อนหน้านี้ ร่วมด้วยแบรนด์อื่น ๆ

ผู้ชนะจะได้รับการตัดสินโดยวิธีการที่แตกต่างกันสามวิธี ได้แก่ การประเมินมูลค่าแบรนด์ การวิจัยตลาดผู้บริโภค และการลงคะแนนออนไลน์แบบสาธารณะ ทั้งนี้ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของขั้นตอนการให้คะแนนมาจากการโหวตของผู้บริโภค โดยสามารถมีผู้ชนะได้เพียงหนึ่งรายในแต่ละประเภทต่อประเทศ

การลงคะแนนและการเสนอชื่อเกิดขึ้นในระหว่างที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลก ในขณะที่หลายประเทศต้องเผชิญกับมาตรการควบคุมและป้องกันที่ส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจอย่างมาก รางวัลนี้ถือเป็นการเฉลิมฉลองวิธีที่สร้างสรรค์ระดับนวัตกรรมที่แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อคงความแตกต่างของแบรนด์และเพื่อการสร้างประโยชน์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในช่วงปีที่ผ่านมา

“นี่คือการเฉลิมฉลองให้กับนักการตลาดที่ดีที่สุดจากทั่วโลก รางวัลนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของทีมงานที่สร้างและรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” Richard Rowles ประธาน World Branding Forum กล่าว

“ในการเป็นผู้ชนะรางวัลในครั้งนี้ แบรนด์ที่ชนะรางวัลได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้สร้างตัวเองขึ้นมาจนได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มแบรนด์ที่ดีที่สุดในโลก” Danny Pek ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ World Branding Forum กล่าว

สำหรับปีนี้ที่เป็นปีที่ 7 แล้ว การประกาศรางวัลจะจัดโดย World Branding Forum ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลกที่อุทิศตนเพื่อพัฒนามาตรฐานการสร้างแบรนด์ โดยงานขององค์กรส่วนหนึ่งคือการจัดและสนับสนุนโปรแกรมที่ให้ความรู้ที่หลากหลาย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและรายชื่อแบรนด์ได้รับรางวัลทั้งหมด โปรดไปที่ awards.brandingforum.org.

เกี่ยวกับ the World Branding Forum

World Branding Forum (WBF) เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลกที่จดทะเบียนแล้ว ที่มีจุดมุ่งหมายในการสร้างกิจกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานในการสร้างแบรนด์สินค้าเพื่อประโยชน์ของอุตสาหกรรมและผู้บริโภค อนึ่ง WBF ผลิต จัดการ และสนับสนุนโครงการที่หลากหลายซึ่งครอบคลุมถึงการวิจัย การพัฒนา การศึกษา การรับรู้ การสร้างเครือข่าย และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ brandingforum.org.

###

ติดต่อ:

Peter Michaels

peter.michaels@brandingforum.org

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

“Aman Residences Tokyo” และแบรนด์โรงแรมใหม่ “Janu Tokyo”“ ไฮไลท์โครงการพัฒนาเมืองโทราโนมอน-อาซาบุได

Logo

Mori Building และ Aman Resorts จับมือเป็นพันธมิตรเพื่อโครงการพัฒนาครั้งสำคัญใจกลางโตเกียว

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–18 ก.พ. 2564

Mori Building Co., Ltd. ผู้พัฒนาภูมิทัศน์เมืองชั้นนำของญี่ปุ่นประกาศการร่วมมือกับ Aman ผู้ให้บริการโรงแรมและรีสอร์ทหรูระดับโลกในโครงการ Toranomon-Azabudai Urban Redevelopment ซึ่งโครงการฟื้นฟูชีวิตชีวาให้แก่พื้นที่ขนาดใหญ่ในใจกลางกรุงโตเกียวที่จะแล้วเสร็จในปี 2566  ผลลัพธ์หลักสองประการของการเป็นหุ้นส่วนคือโครงการที่อยู่อาศัย Aman Residences, Tokyo และโรงแรมหรู Janu Tokyo ซึ่งเป็นแบรนด์ในเครือของ Aman และถือเป็นการเปิดตัวแบรนด์ Janu ในญี่ปุ่น

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210217006076/en/

Toranomon-Azabudai Project (image) (Graphic: Business Wire)

โครงการโทราโนมอน-อาซาบุได (ภาพ) (กราฟิก: บิสิเนสไวร์)

Shingo Tsuji ประธานและซีอีโอของ Mori Building กล่าวว่า “โตเกียวต้องเสริมสร้างแรงดึงดูดของตนหากจะประสบความสำเร็จในการแข่งขันกับเมืองใหญ่อื่นในโลก  Mori Building ได้จับมือกับ Aman ซึ่งดำเนินธุรกิจรีสอร์ตระดับโลกที่หลากหลายเพื่อมอบสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยและโรงแรมชั้นนำระดับโลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในโตเกียว ซึ่งผู้คนจะได้สัมผัสความกลมกลืนกับธรรมชาติ รวมถึงพบปะและสร้างแรงบันดาลใจที่สร้างสรรค์ให้แก่กัน  ด้วยการตระหนักถึง "สุขภาพในเมือง" Mori Building จะช่วยเพิ่มแรงดึงดูดของโตเกียว "

Vladislav Doronin ประธานและซีอีโอของ Aman และ Janu กล่าวว่า “การเปิดตัว Aman Residences ในเมืองแห่งแรกในญี่ปุ่นถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Aman และพูดถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างแบรนด์ของเรากับประเทศนี้ซึ่งมีวัฒนธรรมที่วิเศษอย่างเหลือเชื่อ  การทำงานร่วมกับนักพัฒนาชั้นนำ Mori Building และการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโทราโนมอน-อาซาบุไดเป็นโครงการพัฒนาที่ห้าของ Aman ในญี่ปุ่น ซึ่งนำเสนอที่พักพึงสำหรับเจ้าของ รวมถึงการเข้าถึงวิถีชีวิตแนว Aman  นอกจากนี้ยังเป็นการปูทางให้แก่ Janu Tokyo  ในศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมและศิลปะนี้ เราอยากเชื่อมโยงแขกกับใจกลางชุมชนที่มีชีวิตชีวาแห่งนี้และเปิดโอกาสให้กับการแสดงออกที่สร้างสรรค์”

Aman Residences, Tokyo – ประสบการณ์การอยู่อาศัยในเมืองที่ไม่มีใครเทียบได้

Aman Residences, Tokyo จะตั้งอยู่บนชั้น 54–64 ของ A District Tower ที่มีความสูง 330 เมตร โดยมีที่พัก 91 แห่งตามแบรนด์ของโรงแรมพร้อมบริการพิเศษรวมถึง Aman Spa สำหรับผู้พักอาศัยเท่านั้น (ขนาด 1,400 ตร.ม.)  บริการที่อบอุ่นและราบรื่นอันเป็นเอกลักษณ์ของ Aman จะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเพลิดเพลินไปกับวิถีชีวิตที่เงียบสงบท่ามกลางวิวมหานครโตเกียวที่มีชีวิตชีวา  การออกแบบสถาปัตยกรรมตึกระฟ้าเป็นผลงานชั้นยอดของ Pelli Clarke Pelli Architects (สหรัฐอเมริกา) และการออกแบบภายในได้รับการสร้างสรรค์โดย Yabu Pushelberg (แคนาดา)

Janu Tokyo – แบรนด์ในเครือของ Amanเปิดตัวในญี่ปุ่น

Janu แบรนด์โรงแรมหรูของ Aman จะเปิดตัวในญี่ปุ่นกับ Janu Tokyo บนชั้น 1–13 ใน B-2 District Tower โรงแรมแห่งนี้ออกแบบโดย Denniston (มาเลเซีย) ภายใต้การนำของ Jean-Michel Gathy  นอกจากนี้ห้องพักสุดหรูทั้ง 120 ห้องมอบวิวของโซนกลางที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม Janu Tokyo จะมีสปาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ( 3,500 ตร.ม.) พร้อมศูนย์ออกกำลังกาย ห้องอาหาร 6 แห่ง รวมถึงคาเฟ่และบาร์สำหรับการพักผ่อนและการสังสรรค์ทางธุรกิจ  Janu Tokyo จะต้อนรับแขกจากทั่วโลก

เกี่ยวกับ Aman

Aman ก่อตั้งขึ้นในปี 1988 ด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างสถานที่พักผ่อนที่เป็นส่วนตัวพร้อมการต้อนรับที่อบอุ่นและราบรื่นในแนวของบ้านส่วนตัวที่สง่างาม  Amanpuri (สถานที่แห่งความสงบสุข) แห่งแรกได้เปิดตัวแนวคิดของตนในภูเก็ต ประเทศไทยและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Aman ได้เติบโตขึ้นจนครอบคลุมโรงแรมและรีสอร์ทอันเงียบสงบ 33 แห่งในจุดหมายปลายทาง 20 แห่งทั่วโลก โดยมีอีก 7 แห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง  Aman ที่ต่อไปที่จะเปิดคือ Aman New York.  ในปี 2563 ได้มีการเปิดตัวแบรนด์โรงแรมใหม่ชื่อ Janu ซึ่งมีความหมายว่า จิตวิญญาณ' ในภาษาสันสกฤต  Janu นำเสนอบริการที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นที่ที่มีการปฏิสัมพันธ์อย่างแท้จริงระหว่างผู้คน การตกแต่งแนวสนุกสนาน และสุขภาพทางสังคมเป็นหัวใจหลักของประสบการณ์  Janu มีเป้าหมายที่จะสร้างความสมดุลระหว่างสมองและหัวใจและจุดประกายให้กับจิตวิญญาณกลับมาอีกครั้ง  Janu เตรียมเปิดตัวโรงแรมถึงสามแห่งซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ที่มอนเตเนโกร (2022) อัลอูลาในซาอุดีอาระเบีย (2565) และโตเกียว (2566) รวมถึงโครงการหลายแห่งในอนาคต

เกี่ยวกับ Mori Building

Mori Building เป็นผู้พัฒนาเมืองแห่งนวัตกรรมที่ตั้งอยู่ในโตเกียว  บริษัทมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างแรงดึงดูดของเมืองโดยการสร้างและดูแลศูนย์กลางเมืองให้ปลอดภัย ยั่งยืน และเป็นสากลตามแนวคิด Vertical Garden City ที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับอาคารพาณิชย์ การศึกษา การพักผ่อนและที่อยู่อาศัย  แนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ในโครงการระดับแนวหน้าของบริษัทหลายโครงการเช่น ARK Hills, Roppongi Hills และ Toranomon Hills ในโตเกียวและ Shanghai World Financial Center. Mori Building ยังดำเนินธุรกิจด้านการเช่าอสังหาริมทรัพย์ การบริหารโครงการ และการให้คำปรึกษา โปรดเยี่ยมชม www.mori.co.jp/en

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

ข่าวประชาสัมพันธ์ “Mori Building เปิดตัวโครงการฟอร์มยักษ์เพื่อฟื้นฟูใจกลางเมืองโตเกียว” เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2019:
https://www.mori.co.jp/en/img/ article / 190822.pdf

รายละเอียดโครงการ Toranomon-Azabudai: https://www.mori.co.jp/en/projects/toranomon_azabudai/img/fact_book.pdf

รูปและวีดีโอ Toranomon-Azabudai Project: https://www.youtube. com / watch? v = 5akVE7tWOto & feature = emb_logoบิล

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210217006076/en/

สอบถามข้อมูลสำหรับสื่อต่างประเทศ
Public Relations, Mori Building Co., Ltd. (ฝ่ายประชาสัมพันธ์)
Saori Asano
โทร +81 (0)3 6406 6606
แฟกซ์ +81 (0)3 6406 9306 
อีเมล koho@mori.co.jp 

Weber Shandwick Japan
Reina Matsushita (โทร: +81 (0)80 2375 0295),
Mayuko Harada (โทร: +81 (0)90 9006 4968)
หรือ Masashi Nonaka (โทร: +81 (0)80 1037 7879)
อีเมล moribldg@webershandwick.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย



แลคตาซอย x แมคโดนัลด์ เสิร์ฟความอร่อยฟินมื้อเช้า ด้วย “แลคตาซอยพร้อมพ์” จับคู่ “แมคปาท่องโก๋” วันนี้ที่แมคโดนัลด์

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS ON BEHALF OF INTEGRATED COMMUNICATION)–6 พฤศจิกายน 2563

img

แลคตาซอย เอาใจสายเร่งรีบได้อร่อยเต็มอิ่ม จับคู่เสิร์ฟมื้อเช้ากับ “แลคตาซอยพร้อมพ์” และ “แมคปาท่องโก๋” โดยในเมนูประกอบด้วย แมคปาท่องโก๋ ทอดร้อนสดใหม่ กรอบนอกนุ่มใน 2 ชิ้น ทานคู่กับเครื่องดื่มแลคตาซอยพร้อมพ์ 350 ml. ที่เต็มไปด้วยโปรตีนและคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อความพร้อมในทุกกิจกรรม ในราคาเพียง 40 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 24 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น

นอกจากนี้ แฟนแลคตาซอยยังสามารถอร่อยฟินกับ แลคตาซอย พร้อมพ์ และ แลคตาซอย โกลด์ซีรีย์ เอ็กซ์ตร้าช็อกโก และ คอลลาเจนไฟเบอร์ ได้แล้วที่ร้านแมคโดนัลด์ ติดตามรายละเอียดความอิ่มสุดฟินและกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: lactasoyclub https://www.facebook.com/lactasoyclub

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร.081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th


แลคตาซอย มอบนมถั่วเหลืองสูตรเจ ให้มูลนิธิธารนุเคราะห์ สถานพักฟื้นคนชราบางเขน

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS ON BEHALF OF INTEGRATED COMMUNICATION)–30 ตุลาคม 2563

imgบริษัท แลคตาซอย จำกัด มอบ “นมถั่วเหลืองแลคตาซอยสูตรเจ คละรส” ขนาด 250 ML จำนวน 1,920 กล่อง พร้อมด้วยเซ็ทแก้วน้ำ ชาม และกล่องเก็บอาหารจากแคมเปญ “เติมพลังบุญกับแลคตาซอยสูตรเจ” ให้กับมูลนิธิธารนุเคราะห์ สถานพักฟื้นคนชราบางเขน โดยแคมเปญนี้แลคตาซอยเป็นสะพานบุญให้กับผู้บริโภคได้เติมพลังบุญในเทศกาลเจ ด้วยการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองแลคตาซอย กดเลือกเซ็ทสินค้าที่ต้องการบริจาค และนำยอดสั่งซื้อไปมอบให้กับ 3 มูลนิธิ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ไปมอบให้กับมูลนิธิบ้านนกขมิ้นและโรงพยาบาลสงฆ์ สำหรับผู้สนใจร่วมกิจกรรมดีๆ กับแลคตาซอยในครั้งต่อไป ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : LACTASOY https://www.facebook.com/lactasoyclub

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร. 081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

BrainBox AI ขยายความร่วมมือในเอเชียกับ Sunland Cleantech

Logo

มอนทรีออล–(BUSINESS WIRE)–29 กันยายน 2563

BrainBox AI ผู้บุกเบิกบริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อัตโนมัติสำหรับอาคารสำนักงานและอาคารพาณิชย์ ต้อนรับ Sunland Cleantech สมาชิกใหม่จากฮ่องกงสู่ครอบครัวพันธมิตรผู้แทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตที่กำลังเติบโตอย่างชื่นมื่น

บริการสำหรับเจ้าของอาคารจาก BrainBox AI ประกอบด้วยเทคโนโลยีเฉพาะที่รวมศาสตร์การเรียนรู้เชิงลึก (deep learning) คลาวด์คอมพิวติ้งและอัลกอริทึมเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้อาคารสามารถบริหารจัดการได้ด้วยตัวเอง โซลูชันปัญญาประดิษฐ์ของ BrainBox ช่วยให้ระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) ของอาคารสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติและแบบเรียลไทม์ ซึ่งทำให้ต้นทุนทางพลังงานโดยรวมลดลงถึง 25% ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ลดลง 20-40% และระดับความสบายภายในตัวอาคารเพิ่มขึ้น 60%

ปัจจุบัน ลูกค้าของ Sunland Cleantech สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยจัดการการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมที่ใหม่ที่สุดของตลาดและช่วยให้เจ้าของอาคารประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคได้อย่างเห็นผล เทคโนโลยีของ BrainBox AI สามารถติดตั้งให้เสร็จได้ใน 2-3 ชั่วโมงโดยไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งเซ็นเซอร์

“การจับมือกับ BrainBox AI เพื่อให้บริการด้านการประหยัดพลังงานกับลูกค้าของเราโดยมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเป็นศูนย์และระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบที่สั้นช่วยให้เราทำตามพันธกิจที่ต้องการลดการบริโภคพลังงานทั้งจากระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศในเอเชีย” Chad Sunde กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง Sunland Cleantech เผย “จากผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นทุกวัน โซลูชันของ BrainBox AI สามารถนำเสนอทางเลือกที่ดีกว่าที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น”

“พวกเรายินดีเป็นอย่างมากที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Sunland Cleantech และนำเสนอ BrainBox AI ในตลาดเอเชีย เราหวังว่า Sunland Cleantech จะช่วยให้เราบรรลุภารกิจในการลดการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งให้ผลกระทบทางด้านสภาพภูมิอากาศลดลงไปด้วย” Rainer Wellige ผู้อำนวยการสูงสุดด้านรายได้ของ BrainBox AI กล่าว

นับตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2562 เป็นต้นมา BrainBox AI ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรจากทั่วโลกไปแล้วกว่า 30 ราย เพื่อนำเสนอโซลูชัน AI ที่เป็นตัวกำหนดอุตสาหกรรมให้กับตลาด Sunland Cleantech ขอเรียนเชิญเจ้าของอาคารในเอเชียให้ติดต่อทีมงาน Sunland Cleantech เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการด้านอาคารใหม่ล่าสุดจาก BrainBox AI โปรดเยี่ยชมเว็บไซต์ของ BrainBox AI เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี

เกี่ยวกับ Sunland Cleantech

Sunland Cleantech เป็นบริษัทจากฮ่องกงที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ เราตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการอันดับ 1 ทางด้านเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดพลังงานในระบบทำความร้อน ระบายอากาศและปรับอากาศ (HVAC) ในเอเชีย และตื่นเต้นกับการได้นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในตลาดให้กับบริษัทต่าง ๆ ในเอเชีย

ไม่เพียงเท่านั้น เรายังเป็นบริษัทที่รักษ์โลกและต้องการทำสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันกลับมาสู่สภาวะสมดุลและทำให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับคนเจเนอเรชันถัดไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ Sunland Cleantech

เกี่ยวกับ BrainBox AI

BrainBox AI ภายใต้การนำของ Sean Neely ผู้เป็นทั้งซีอีโอและผู้ก่อตั้งร่วม ผนวกกับความเชี่ยวชาญของ Jean-Simon Venne ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสูงสุดด้านเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2560 โดยตั้งเป้าที่จะพลิกโฉมระบบอัตโนมัติภายในอาคารด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อเป็นผู้นำด้านอาคารสีเขียว สำนักงานใหญ่ของ BrainBox AI ตั้งอยู่ที่เมืองมอนทรีออล ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของโลก มีพนักงานกว่า 60 คนที่คอยสนับสนุนลูกค้าในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ในหลายภาคส่วน ได้แก่ อาคารสำนักงาน สนามบิน โรงแรม ที่พักอาศัย อาคารพักอาศัยรวม สถานดูแลระยะยาว ร้านขายของชำและร้านค้าปลีกเชิงพาณิชย์

BrainBox AI ทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านวิจัยหลายราย รวมถึงห้องปฏิบัติการพลังงานทดแทนแห่งชาติ (NREL) ของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และ Institute for Data Valorization (IVADO) รวมถึงสถาบันด้านการศึกษาอย่าง École de technologie supérieure (ETS) ในมอนทรีออล ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ BrainBox AI

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่:
Sunland Cleantech
Chris Marland
chris@slcleantech.com

BrainBox AI
Perry Goldman
ผู้อำนวยการ, Montieth & Co.
pgoldman@montiethco.com

BrainBox AI ขยายความร่วมมือในเอเชียกับ Sunland Cleantech

Logo

มอนทรีออล–(BUSINESS WIRE)–28 กันยายน 2563

BrainBox AI ผู้บุกเบิกบริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อัตโนมัติสำหรับอาคารสำนักงานและอาคารพาณิชย์ ต้อนรับ Sunland Cleantech สมาชิกใหม่จากฮ่องกงสู่ครอบครัวพันธมิตรผู้แทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตที่กำลังเติบโตอย่างชื่นมื่น

บริการสำหรับเจ้าของอาคารจาก BrainBox AI ประกอบด้วยเทคโนโลยีเฉพาะที่รวมศาสตร์การเรียนรู้เชิงลึก (deep learning) คลาวด์คอมพิวติ้งและอัลกอริทึมเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้อาคารสามารถบริหารจัดการได้ด้วยตัวเอง โซลูชันปัญญาประดิษฐ์ของ BrainBox ช่วยให้ระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) ของอาคารสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติและแบบเรียลไทม์ ซึ่งทำให้ต้นทุนทางพลังงานโดยรวมลดลงถึง 25% ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ลดลง 20-40% และระดับความสบายภายในตัวอาคารเพิ่มขึ้น 60%

ปัจจุบัน ลูกค้าของ Sunland Cleantech สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยจัดการการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมที่ใหม่ที่สุดของตลาดและช่วยให้เจ้าของอาคารประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคได้อย่างเห็นผล เทคโนโลยีของ BrainBox AI สามารถติดตั้งให้เสร็จได้ใน 2-3 ชั่วโมงโดยไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งเซ็นเซอร์

“การจับมือกับ BrainBox AI เพื่อให้บริการด้านการประหยัดพลังงานกับลูกค้าของเราโดยมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเป็นศูนย์และระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบที่สั้นช่วยให้เราทำตามพันธกิจที่ต้องการลดการบริโภคพลังงานทั้งจากระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศในเอเชีย” Chad Sunde กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง Sunland Cleantech เผย “จากผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นทุกวัน โซลูชันของ BrainBox AI สามารถนำเสนอทางเลือกที่ดีกว่าที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น”

“พวกเรายินดีเป็นอย่างมากที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Sunland Cleantech และนำเสนอ BrainBox AI ในตลาดเอเชีย เราหวังว่า Sunland Cleantech จะช่วยให้เราบรรลุภารกิจในการลดการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งให้ผลกระทบทางด้านสภาพภูมิอากาศลดลงไปด้วย” Rainer Wellige ผู้อำนวยการสูงสุดด้านรายได้ของ BrainBox AI กล่าว

นับตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2562 เป็นต้นมา BrainBox AI ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรจากทั่วโลกไปแล้วกว่า 30 ราย เพื่อนำเสนอโซลูชัน AI ที่เป็นตัวกำหนดอุตสาหกรรมให้กับตลาด Sunland Cleantech ขอเรียนเชิญเจ้าของอาคารในเอเชียให้ติดต่อทีมงาน Sunland Cleantech เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการด้านอาคารใหม่ล่าสุดจาก BrainBox AI โปรดเยี่ยชมเว็บไซต์ของ BrainBox AI เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี

เกี่ยวกับ Sunland Cleantech

Sunland Cleantech เป็นบริษัทจากฮ่องกงที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ เราตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการอันดับ 1 ทางด้านเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดพลังงานในระบบทำความร้อน ระบายอากาศและปรับอากาศ (HVAC) ในเอเชีย และตื่นเต้นกับการได้นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในตลาดให้กับบริษัทต่าง ๆ ในเอเชีย

ไม่เพียงเท่านั้น เรายังเป็นบริษัทที่รักษ์โลกและต้องการทำสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันกลับมาสู่สภาวะสมดุลและทำให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับคนเจเนอเรชันถัดไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ Sunland Cleantech

เกี่ยวกับ BrainBox AI

BrainBox AI ภายใต้การนำของ Sean Neely ผู้เป็นทั้งซีอีโอและผู้ก่อตั้งร่วม ผนวกกับความเชี่ยวชาญของ Jean-Simon Venne ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสูงสุดด้านเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2560 โดยตั้งเป้าที่จะพลิกโฉมระบบอัตโนมัติภายในอาคารด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อเป็นผู้นำด้านอาคารสีเขียว สำนักงานใหญ่ของ BrainBox AI ตั้งอยู่ที่เมืองมอนทรีออล ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของโลก มีพนักงานกว่า 60 คนที่คอยสนับสนุนลูกค้าในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ในหลายภาคส่วน ได้แก่ อาคารสำนักงาน สนามบิน โรงแรม ที่พักอาศัย อาคารพักอาศัยรวม สถานดูแลระยะยาว ร้านขายของชำและร้านค้าปลีกเชิงพาณิชย์

BrainBox AI ทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านวิจัยหลายราย รวมถึงห้องปฏิบัติการพลังงานทดแทนแห่งชาติ (NREL) ของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และ Institute for Data Valorization (IVADO) รวมถึงสถาบันด้านการศึกษาอย่าง École de technologie supérieure (ETS) ในมอนทรีออล ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ BrainBox AI

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่:
Sunland Cleantech
Chris Marland
chris@slcleantech.com

BrainBox AI
Perry Goldman
ผู้อำนวยการ, Montieth & Co.
pgoldman@montiethco.com

IWBI เผย Menarco เป็นรายแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผ่านการประเมิน WELL Health-Safety Rating สำหรับการบริหารและจัดการอาคารสถานที่

Logo

แชมป์ประจำภูมิภาคเป็นผู้บุกเบิกวิธีรับมือกับความท้าทายจากการระบาดของ Covid -19 และให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยในภาพรวมเป็นอันดับต้น ๆ

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–24 กันยายน 2563

วันนี้ International WELL Building Institute หรือ IWBI ได้ประกาศว่าตึก Menarco Tower สัญลักษณ์ของฟิลิปปินส์ เป็นอาคารแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ที่ผ่านระบบประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัยสำหรับการบริหารและจัดการอาคารสถานที่โดย WELL ซึ่งเป็นโครงการที่ IWBI เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้เพื่อเป็นแนวทางและช่วยให้ธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นต่าง ๆ ที่จะทำให้เรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของทั้งพนักงาน ผู้มาเยือน และผู้ถือหุ้นเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ๆ

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยเนื้อหาในรูปแบบมัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200924005639/en/
 

Menarco เป็น 1 ในบริษัทกว่า 100 แห่งทั่วโลกที่ลงทะเบียนในการประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัยในรูปแบบเอกสารตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม และได้เตรียมแนวทางซึ่งรองรับโดยวิทยาศาสตร์ของบริษัทขึ้นมา การประเมินนี้เป็นการประเมินโดยอิงจากหลักฐานและมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานภายนอกสำหรับประเภทอาคารและพื้นที่ใช้สอยใหม่และที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งให้ความสำคัญกับนโยบายเชิงปฏิบัติการ เกณฑ์วิธีด้านการบำรุงรักษา แผนฉุกเฉิน และกลยุทธ์การมีส่วนร่วมของผู้ถือหุ้นเพื่อช่วยให้องค์กรกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ

“ระหว่างที่เรากำลังชื่นชมความสำเร็จของ Menarco Tower ในการเป็นอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกของภูมิภาคที่ได้รับการประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัยจาก WELL อยู่นี้ เราภาคภูมิใจที่ได้เห็น Menarco ก้าวไปอีกขั้นในการเดินทางร่วมกับ WELL ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของพวกเขาต่อเรื่องสุขภาพ ความปลอดภัย และการเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน” Rachel Gutter ประธาน IWBI กล่าว “ความสำเร็จครั้งล่าสุดของ Menarco เป็นเสมือนเครื่องยืนยันให้กับทีมที่รับผิดชอบโครงการ พนักงาน และผู้ถือหุ้นว่ามาตรการต่าง ๆ ที่พวกเขานำมาปฏิบัติสอดคล้องกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และผ่านการตรวจสอบตามขั้นตอนรับรองของหน่วยงานภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือในระดับนานาชาติ”

อาคาร Menarco Tower เป็นโครงการแรกที่ได้รับการรับรอง WELL Certified ในประเทศฟิลิปปินส์ โดย Gutter ชี้ให้เห็นว่าเส้นทางสู่การประเมิน WELL Health-Safety Rating ของโครงการที่ได้ขึ้นทะเบียน WELL-registered และได้รับการรับรอง WELL Certified นั้นมีการออกแบบอย่างถี่ถ้วน โดยใช้ประโยชน์จากความสอดคล้องกันของทั้งสองโปรแกรมอย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรมประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัย WELL นั้นดัดแปลงจาก WELL v2 ซึ่งเป็นมาตรฐานอาคารของ WELL ฉบับล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่จะให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาอาคารและปฏิบัติการที่อยู่ในรูปของเอกสารเป็นพิเศษ โครงการต่าง ๆ ของ WELL สามารถนำกลุยทธ์การออกแบบในระยะที่ยาวนานขึ้นไปใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการกระจายของโรคติดเชื้อได้ รวมถึงศึกษาจากระบบประเมินเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เพื่อรับมือกับปัญหาภัยคุกคามแบบฉับพลันและเรียกความมั่นใจให้กลับคืนมาเพื่อรองรับการทำธุรกิจขององค์กร

“ด้วยความร่วมมือจาก IWBI Menarco จะยังคงครองตำแหน่งผู้นำในโครงการริเริ่มต่าง ๆ ด้านอาคารที่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป” Carmen Jimenez-Ong ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Menarco Development Corporation กล่าว ก่อนที่จะเสริมว่า Menarco confidently strode forward during the Covid-19 pandemic despite rising cases in the Philippines. “Menarco ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนา (Covid-19) และยอดผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นในฟิลิปปินส์ “เราทราบดีว่าระบบประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัย WELL ที่เรานำมาใช้นั้นเป็นแนวปฏิบัติที่ใช้ในระดับนานาชาติ และฉันมีความยินดีอย่างมากที่ได้แจ้งข่าวว่าในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ อาคาร Menarco Tower ได้ช่วยเหลือให้ผู้คนปลอดภัยและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข”

Menarco Tower ผ่านการประเมินจากการดำเนินการต่าง ๆ ในห้าหมวดหมู่ ได้แก่ ขั้นตอนการทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อ โครงการเตรียมความพร้อมฉุกเฉินซึ่งประกอบด้วยแผนสำหรับทั้งพนักงานและแขกของอาคาร และแผนสำหรับกลับเข้าอาคารหลักเกิดเหตุฉุกเฉิน ทรัพยากรสำหรับบริการด้านสุขภาพ เช่น การจัดโปรแกรมฟื้นฟูสำหรับผู้ที่ลาป่วยหรือลาคลอด การจัดการคุณภาพอากาศและน้ำ และการมีส่วนร่วมของผู้ถือหุ้นและทรัพยากรสื่อสารเพื่อส่งเสริมการสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

ระบบประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัย WELL โดย IWBI จัดทำขึ้นภายใต้แนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคต่าง ๆ และหน่วยงานที่ดูแลด้านการจัดการเหตุฉุกเฉิน คณะกรรมการจัดทำมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ เช่น ASTM International and ASHRAE และสถาบันวิชาการและวิจัยชั้นนำทั่วโลก IWBI ได้ประโยชน์อย่างมากจากข้อมูลเชิงลึกจากทีม Task Force on COVID-19 ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังเกิดโรคระบาดเพื่อช่วยให้ธุรกิจและผู้นำด้านอาคารต่าง ๆ บูรณาการข้อมูลเชิงลึกพร้อมใช้และกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ได้รับการรับรองแล้วในการต่อสู้กับ COVID-19 และโรคคิดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ

เจ้าของอาคาร ผู้ดำเนินการ และผู้เช่าสามารถรับการประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัย WELL ได้เองอย่างอิสระโดยใช้ระบบประเมินเป็นเป็นแนวทางสู่การได้รับการรับรอง WELL Certification หรือรวมการประเมินไว้ในความสำเร็จสำคัญ ๆ ภายใต้การเดินทางสู่การขอรับรอง WELL Certification หรือใน WELL Portfolio

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบประเมินสุขภาพและความปอลดภัย WELL ได้ที่ https://www.wellcertified.com/health-safety

เกี่ยวกับ Menarco Development:

Menarco Development Corporation (Menarco) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2557 โดยตระกูล Jimenez ที่มี Menardo R. Jimenez (GMA Network) เป็นประธาน และก่อตั้งโดย Carmen Jimenez-Ong ภายใต้วิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่การเป็นกระบอกเสียงในการสร้างพื้นที่ทำงาน เล่น และอาศัยที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ที่ได้รับความไว้วางใจในระดับโลก ด้วยยึดในหลักที่ว่าสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ สุขภาพ และพฤติกรรม Carmen จึงได้เริ่มภารกิจสร้างอาคารสำนักงานที่ดีกว่า ซึ่งได้มาตรฐานด้านสุขภาพและความยั่งยืนในระดับนานาชาติ ผลลัพธ์ที่ได้คืออาคาร Menarco Tower อาคารสำนักงานขนาด 32 ชั้นที่เป็นแลนด์มาร์กและคว้ารางวัลมามากมายซึ่งก่อสร้างเสร็จในปี 2560 อาคารแห่งนี้ได้รับการพิจารณาให้เป็นอาคารที่ดีที่สุดด้านสุขภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังจากเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวที่ได้รับการรับรอง WELL Certified™ ระดับ Gold ของภูมิภาคนี้ การรับรอง LEED ™ Gold ยังเป็นเครื่องยืนยันที่ว่าอาคารแห่งนี้ไม่เพียงดีต่อผู้คนแต่ยังรวมถึงโลกด้วย ปัจจุบัน Menarco ตั้งตระหง่านอย่างภาคภูมิในฐานะอาคารที่เป็นหนึ่งเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยหลังผ่านการประเมิน Health & Safety Rating ™ จาก IWBI ที่เป็นที่ต้องการของหลาย ๆ คน โดยMenarco เป็นอสังหาแห่งที่สองของโลกที่ผ่านการประเมินต่อจากสนามแยงกี้สเตเดียม

Menarco Development Corporation เจ้าของอาคาร Menarco Tower ซึ่งเป็นเครื่องการันตีถึงความสามารถของบริษัทในการดำเนินการตามวิสัยทัศน์ เป็นผู้นำและนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ในฟิลิปปินส์โดยเป็นผู้บุกเบิกการสร้างอาคารที่ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพและพื้นที่ใช้สอยที่ให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น ตามสโลแกน Putting You Above All สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม คลิกที่นี่ Facebook: facebook.com/MenarcoDevCorp; InstagramL @menarcotower

เกี่ยวกับ International WELL Building Institute:

The International WELL Building Institute (IWBI) คือผู้นำการเคลื่อนไหวที่จะพาโลกสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านอาคารและชุมชน ด้วยวิธีการที่จะช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ มากขึ้น สิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือวิธีการที่จะทำให้อาคารและชุมชน และทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น มีความสบายมากขึ้น สร้างทางเลือกที่ดีกว่า และยกระดับสุขภาพกายและสุขภาพใจของผู้คนให้ดีขึ้น

WELL v2 เป็นเวอร์ชันล่าสุดของมาตรฐาน WELL Building Standard (WELL) ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และโครงการนำร่อง WELL Community Standard เป็นระบบให้คะแนนในระดับเขตที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการสร้างชุมชนสุขภาพดีทั่วโลก ระบบประเมิน WELL Health-Safety Rating เป็นการประเมินจากหลักฐานและรับรองโดยหน่วยงานภายนอกที่สามารถใช้ได้กับอาคารทุกประเภท ซึ่งให้ความสำคัญกับนโยบายเชิงปฏิบัติการ เกณฑ์วิธีด้านการบำรุงรักษา แผนฉุกเฉิน และการศึกษาของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อรับมือกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) และปัญหาด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่กว้างขึ้นต่อไปในอนาคต IWBI ขับเคลื่อนชุมชนสุขภาพด้วยการจัดการของ WELL AP การแสวงหางานวิจัยที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ การพัฒนาด้านแหล่งทรัพยากรทางการศึกษา และการสนับสนุนด้านนโยบายที่จะส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีทั่วโลก IWBI เป็นสมาชิก United Nations Global Compact ซึ่งเป็นโครงการด้านการเป็นพลเมืองที่ดีขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดของโลก และช่วยเหลือให้บริษัทพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยใช้ WELL สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่นี่

International WELL Building Institute, IWBI, the WELL Building Standard, WELL v2, WELL Certified, WELL AP, WELL Portfolio, WELL Portfolio Score, The WELL Conference, We Are WELL, the WELL Community Standard, WELL Health-Safety Rating, WELL Health-Safety Rated, WELL Workforce, WELL และอื่น ๆ รวมถึงโลโก้ที่เกี่ยวข้องเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายรับรองของ International WELL Building Institute pbc ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ.

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่นี่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200924005639/en/

สื่อ:
Yan Tai
media@wellcertified.com
hello@menarco.com.ph

International WELL Building Institute เปิดตัว WELL v2 อย่างเป็นทางการ

Logo

WELL v2 เวอร์ชันนี้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและการพัฒนาของ WELL Building Standard (WELL) โดยเป็นเวอร์ชันที่มีความยืดหยุ่น แข็งแกร่ง ผ่านการทดสอบและรับรองที่มีความเข้มข้นสูงสุด

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–15 กันยายน 2563

หลังการพัฒนา การทดสอบและตรวจสอบการใช้งานอย่างต่อเนื่องมาตลอดสองปี วันนี้ International WELL Building Institute (IWBI) ได้ทำการเปิดตัวมาตรฐานการก่อสร้าง WELL Building Standard หรือ WELL v2 เวอร์ชันล่าสุดอย่างเป็นทางการ โดยมาตรฐานที่เพิ่งเปิดตัวนี้เป็นเวอร์ชันที่มีความยืดหยุ่นและตอบสนองได้รวดเร็วมากที่สุดในบรรดาระบบประเมินของ IWBI ที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน และยังทำหน้าที่เป็นรากฐานในการสร้างระบบนิเวศทั้งหมดของ WELL อีกด้วย

“อาคารบ้านเรือนที่พัฒนา ชุมชนที่มีชีวิตชีวา และองค์กรที่แข็งแกร่งขึ้นคือหัวใจสำคัญในพันธกิจของเรานั้บตั้งแต่ WELL ได้รับการเปิดตัวในปี 2557” Rick Fedrizzi ประธานและซีอีโอของ IWBI กล่าว “เส้นทางที่นำเรามาสู่จุดนี้เป็นเส้นทางที่ยาวไกล แต่เรายืนยันได้ว่า WELL v2 นั้นมีความแกร่ง แข็งแรง และยืดหยุ่นพร้อมเผชิญทุกความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลกหรือเรื่องความยุติธรรมในสังคม WELL v2 ได้พิสูจน์ให้เเห็นแล้วว่ามีความสอดคล้อง สามารถขยายขนาดเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ และเป็นระบบประเมินระดับโลกที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว มีความครอบคลุมครบวงจร มีความแข็งแกร่งในเชิงเทคนิค ให้ความสำคับกับลูกค้า และสามารถนำไปใช้ได้กับองค์กรหรือพื้นที่ได้ทุกประเภท”

WELL v2 เป็นพาหนะให้อาคารและองค์กรสามารถสร้างพื้นที่โดยคิดอย่างละเอียดรอบคอบมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับสุขภาพและสวัสดิภาพที่ดีขึ้นให้กับผู้คน ในมาตรฐานประกอบไปด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสุขภาพของผู้คนผ่านการแทรกแซงด้วยการออกแบบ (Design Intervention) เกณฑ์วิธีเชิงปฏิบัติการ รวมถึงนโยบายและพันธสัญญาที่จะสร้างวัฒนธรรมแห่งการเสริมสร้างสุขภาพและสุขภาวะที่ดี WELL v2 ซึ่งต่อยอดจากรากฐานของ WELL Building Standard (WELL v1) เวอร์ชันแรกนั้นสะสมความเชี่ยวชาญจากชุมชนผู้ใช้ WELL ที่มีความหลากหลาย ผู้ชำนาญด้านการแพทย์และการออกแบบ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และนักวิทยาศาสตร์ด้านอาคารจากทั่วโลก

WELL v2 รวมเอาทุกสิ่งจากระบบก่อนหน้ามาไว้ในระบบประเมินเวอร์ชันล่าสุดและออกแบบให้สามารถสร้างความสะดวกให้กับโครงการทุกประเภทในทุกภาคส่วน โดยมีการตั้งเป้าให้ระบบดังกล่าวเติบโตในแง่ของความเชี่ยวชาญแบบเฉพาะด้านเพื่อสามารถรองรับประเภทโครงการและพื้นที่ได้อย่างหลากหลายต่อไป รวมถึงเพื่อตอบสนองหลักฐานใหม่ ๆ และความจำเป็นด้านสาธารณสุขที่มีวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลา มาตรฐานนี้เกิดขึ้นบนแนวคิด 10 ด้าน ได้แก่ อากาศ น้ำ อาหารเพื่อสุขภาพ แสง การเคลื่อนที่ สภาวะสบายเชิงความร้อน (thermal comfort) เสียง วัสดุ ความคิด และชุมชน ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของมนุษย์

ความสำคัญขององค์ประกอบในแนวคิดเหล่านี้ถูกเน้นย้ำด้วยหลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งเชื่อมโยงกับการออกแบบ นโยบาย และกลยุทธ์ด้านอาคารที่จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ทางด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดี และยังได้รับการรับรองโดยหน่วยงานภายนอกอย่าง Green Business Certification Inc. (GBCI) โดยผ่านการทดสอบทั้งด้านเอกสารและ/หรือประสิทธิภาพ ได้รับการทดสอบในระยะนำร่องทั้งในเวอร์ชัน WELL v1 และ/หรือ WELL v2 และแสดงให้เห็นว่าได้รับการยอมรับและนำไปใช้และในโครงการต่าง ๆ กว่า 3,300 โครงการในหลากหลายประเภท บนพื้นที่กว่า 413 ล้านตารางฟุต ใน 54 ประเทศ และยังรวมข้อมูลจากภายนอกจากชุมชนของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการออกแบบที่มีความหลากหลาย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง ผู้ใช้ และบุคคลภายนอกอื่น ๆ

“ในฐานะเครื่องมือชั้นนำด้านการพัฒนาสุขภาพและสุขภาวะที่ดีระดับโลก WELL Building Standard จะช่วยให้ผู้คนทำงาน ใช้ชีวิต ทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพพร้อมสุขภาพที่ดี IWBI ที่มี WELL เป็นพาหนะ จะช่วยเปลี่ยนสิ่งที่เรารู้ให้เป็นสิ่งที่เราปฏิบัติ” Rachel Gutter ประธาน IWBI กล่าว “เรานำสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาไว้ในระบบประเมินที่เข้าถึงและปรับเปลี่ยนได้ รวมทั้งมีความเป็นธรรมมากขึ้น และจะยังคงยึดการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ และแนวปฏิบัติที่ดีของอุตสาหกรรมต่อไป WELL v2 ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความยืดหยุ่น ตรวจสอบได้ และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงโลก”

นอกจากนี้ Gutter ยังกล่าวเสริมว่า “นับตั้งแต่การเปิดตัวมาตรฐาน WELL v2 เวอร์ชันนำร่องในปี 2561 เราได้ทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อนำความคิดเห็นของสมาชิกหลายพันคนจากชุมชนทั่วโลกมาปรับใช้เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด มีการตรวจสอบทุกกลยุทธ์และทดสอบหัวข้อต่างๆ อย่างครบถ้วนไม่ขาดตก หลังจากที่มาตรฐาน WELL v2 ผ่านการทดสอบในระยะนำร่องแล้ว ช่วงเวลานี้ถือเป็นจุดสุดยอดของปีแห่งการสร้างสรรค์ร่วมกันที่จะขยายออกไปสู่อาคาร ชุมชน และองค์กรต่างๆ ทั่วโลก”

มาตรฐาน WELL v2 ในระยะนำร่องถูกนำมาใช้โดยชุมชน IWBI ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และนับตั้งเเต่มีีการปล่อยให้ใช้ มีโครงการต่าง ๆ กว่า 3,300 โครงการลงทะเบียนเพื่อขอรับการรับรอง WELL Certification ภายใต้มาตรฐานนี้ องค์ประกอบที่เป็นกุญแจสำคัญของกระบวนการพัฒนาสำหรับ WELL คือการทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลจากบุคคลหลากหลายกลุ่ม ในช่วงระยะนำร่องตลอดสองปี มาตรฐาน WELL v2 ผ่านการปรับปรุงและปรับโฉมอย่างต่อเนื่องผ่านขั้นตอนการพัฒนาที่มีความเข้มข้น และการรับฟังความเห็นจากสาธารณะเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งนำมาสู่ความเห็นหลายร้อยความเห็น รีวิวและความคิดเห็นจากที่ปรึกษาด้านแนวคิดของ WELL 150 ชุด รวมถึงความคิดเห็นหลายพันชุดจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องระหว่างขั้นตอนแสดงความคิดเห็นขั้นสุดท้าย และภาคผนวก และภาคผนวกที่นำเสนอคำอธิบายและกลยุทธ์ที่สนับสนุนการนำมาตรฐาน WELL v2 ในระยะนำร่องมาใช้กับโครงการในสถานที่ต่าง ๆ ที่ได้รับการตีพิมพ์ทั้งหมด 8 ชิ้น นอกจากนี้ ทีม IWBI Task Force on COVID-19 ซึ่งประกอบด้วยผู้นำทางความคิดที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก 16 รายที่เข้ามามีบทบาทในฐานะประธานร่วม ผู้นำตลาดและผู้เชี่ยวชาญเกือบ 600 คนจาก 30 ประเทศ ยังได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นอีกหลายพันความคิดเห็นตลอดช่วง 40 วันของกิจกรรมสุดเข้มข้นเพื่อประเมินทิศทางของ WELL v2 ที่จะสามารถเสริมสร้างให้แกร่งยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนเกี่ยวกับการป้องกัน การเตรียมความพร้อม ความยืดหยุ่นและการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

นอกจากการสนับสนุนด้านการสอนที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ไปจนถึงการวิจัยที่เจาะลึกเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์และเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนแล้ว WELL v2 ยังมาพร้อมเเพ็คเกจส่วนเสริม ผลิตภัณฑ์และบริการที่จะพลิกโฉมวิธีที่องค์กรมีส่วนร่วมกับ WELL และชุมชนที่กำลังเติบโตทั่วโลก ตลอดทั้งปีที่เหลือ IWBI จะแนะนำทรัพยากรและเครื่องมือใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนสามารถมีส่วนร่วมซึ่งกันและมีส่วนร่วมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลของ IWBI เครื่องมือ WELL v2 Skybridge ใหม่ ซึ่งพร้อมใช้งานแล้วขณะนี้ ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานประเมินความคล้ายคลึงและความแตกต่างที่สำคัญ ๆ ระหว่างมาตรฐาน WELL v2 เวอร์ชันนำร่องและ WELL v2 เวอร์ชันทางการ 

หลังสิ้นสุดระยะนำร่องของมาตรฐาน WELL v2 โครงการ WELL v2 เวอร์ชันนำร่อและโครงการ WELL v1 จะปิดให้ลงทะเบียนวันที่ 31 ธันวาคม 2563 แบบทดสอบ WELL AP จะยังคงใช้เนื้อหาตามมาตรฐาน WELL v1 จนถึงปลายปี 2564

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรฐาน WELL v2 ได้ที่ https://v2.wellcertified.com/wellv2/en/overview และสามารถเข้าร่วมการประชุมทางไกลหัวข้อ Let's celebrate: WELL v2 is here ได้ในวันที่ 24 กันยายน 2563 นี้

เกี่ยวกับ International WELL Building Institute

The International WELL Building Institute (IWBI) คือผู้นำการเคลื่อนไหวที่จะพาโลกสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านอาคารและชุมชน ด้วยวิธีการที่จะช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ มากขึ้น สิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือวิธีการที่จะทำให้อาคารและชุมชน และทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น มีความสบายมากขึ้น สร้างทางเลือกที่ดีกว่า และยกระดับสุขภาพกายและสุขภาพใจของผู้คนให้ดีขึ้น WELL v2 เป็นเวอร์ชันล่าสุดของมาตรฐาน WELL Building Standard (WELL) ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และโครงการนำร่อง WELL Community Standard เป็นระบบให้คะแนนในระดับเขตที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการสร้างชุมชนสุขภาพดีทั่วโลก ระบบประเมิน WELL Health-Safety Rating เป็นการประเมินจากหลักฐานและรับรองโดยหน่วยงานภายนอกที่สามารถใช้ได้กับอาคารทุกประเภท ซึ่งให้ความสำคัญกับนโยบายเชิงปฏิบัติการ เกณฑ์วิธีด้านการบำรุงรักษา แผนฉุกเฉิน และการศึกษาของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อรับมือกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) และปัญหาด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่กว้างขึ้นต่อไปในอนาคต IWBI ขับเคลื่อนชุมชนสุขภาพด้วยการจัดการของ WELL AP การแสวงหางานวิจัยที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ การพัฒนาด้านแหล่งทรัพยากรทางการศึกษา และการสนับสนุนด้านนโยบายที่จะส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีทั่วโลก IWBI เป็นสมาชิก United Nations Global Compact ซึ่งเป็นโครงการด้านการเป็นพลเมืองที่ดีขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดของโลก และช่วยเหลือให้บริษัทพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยใช้ WELL สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่นี่

International WELL Building Institute, IWBI, the WELL Building Standard, WELL v2, WELL Certified, WELL AP, WELL Portfolio, WELL Portfolio Score, The WELL Conference, We Are WELL, the WELL Community Standard, WELL Health-Safety Rating, WELL Health-Safety Rated, WELL Workforce, WELL และอื่น ๆ รวมถึงโลโก้ที่เกี่ยวข้องเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายรับรองของ International WELL Building Institute pbc ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200915006099/en/

ติดต่อ:
Judith Webb, media@wellcertified.com

SL Green ฉลองการเปิด One Vanderbilt Avenue ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์

Logo

ตึกสูง 1,401 ฟุตสร้างนิยามใหม่ให้กับวิวตึกระฟ้าของแมนฮัตตัน สร้างเทรนด์สถานที่ทำงานที่ทันสมัย และการันตีอนาคตอันสดใสของมหานครนิวยอร์ก

SL Green เปิดตัวการลงทุนเอกชนมูลค่า 220 ล้านดอลลาร์ในพื้นที่สาธารณะซึ่งรวมถึงการสร้างลานสาธารณะแห่งใหม่ ห้องโถงสำหรับเปลี่ยนรถไฟ และการเพิ่มความจุในสถานี Grand Central Terminal

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–14 ก.ย. 2563

SL Green Realty Corp. (NYSE: SLG) เจ้าของสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดในแมนฮัตตัน ร่วมกับ Hines และ National Pension Service of Kore ซึ่งเป็นหุ่นส่วน ได้เปิดตัว One Vanderbilt Avenue ซึ่งเป็นอาคารสูงเสียดฟ้าใจกลางย่าน East Midtown ในวันนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ขนส่ง ผู้นำแรงงาน ผู้เช่าอาคารและทีมพัฒนา  มาร่วมเข้าร่วมในพิธีตัดริบบิ้นกับผู้นำ SL Green เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัวไอคอนใหม่ล่าสุดของนครนิวยอร์กอย่างเป็นทางการ โดยอาคารดังกล่าวได้รับใบรับรองให้ตั้งอยู่ที่นั่น หรือ Temporary Certificate of Occupancy อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200914005672/en/

Standing 1,401 feet tall and totaling 1.7 million square feet, One Vanderbilt offers an unparalleled package of amenities, innovative office design, technology offerings, best-in-class sustainability practices and a prime location at the doorstep of Grand Central Terminal. The iconic tower is the tallest office tower in Midtown Manhattan. (Photo: Business Wire)

อาคาร One Vanderbilt ซึ่งมีความสูง 1,401 ฟุตและมีพื้นที่รวม 1.7 ล้านตารางฟุต นำเสนอแพ็คเกจสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่มีใครเทียบได้ ที่มาพร้อมกับการออกแบบสำนักงานระดับนวัตกรรม การนำเสนอเทคโนโลยี แนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนที่ดีที่สุด และตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟ Grand Central Terminal ทั้งนี้หอคอยระดับไอคอนแห่งนี้จะเป็นอาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในมิดทาวน์แมนฮัตตัน (ภาพ: Business Wire)

ที่ความสูง 1,401 ฟุต One Vanderbilt กลายเป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัทต่าง ๆ ทั้งด้านการเงิน การธนาคาร กฎหมาย และอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลกหลายแห่ง และมีผู้เช่าประมาณ 70% โดยตึกระฟ้าขนาด 1.7 ล้านตารางฟุตนำเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหนือชั้น การออกแบบสำนักงานระดับนวัตกรรม การนำเสนอเทคโนโลยี แนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนที่ดีที่สุด และทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยมที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Grand Central Terminal มาก ๆ

“วันนี้เราภูมิใจที่ได้เปิด One Vanderbilt Avenue อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการเพิ่มอนุสาวรีย์แห่งใหม่ให้กับวิวตึกระฟ้าของแมนฮัตตันที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งมีส่วนช่วยในการฟื้นฟู East Midtown และเป็นการย้ำเจตนารมณ์ในการกำหนดอนาคตที่สดใสสำหรับเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” Marc Holliday ประธานและซีอีโอ ของ SL Green กล่าว “One Vanderbilt มีทำเลที่ดีที่สุดในแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทชั้นนำระดับโลกและเป็นที่ตั้งของพื้นที่และมุมมองที่น่าทึ่งที่สุดในนิวยอร์กซิตี้ ทั้งนี้ One Vanderbilt ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับมหานครนิวยอร์ก และวันนี้เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะส่งมอบการโครงการพัฒนาปรับปรุงสาธารณะเป็นชุด ๆ ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากเอกชนทั้งบริเวณในและรอบ ๆ Grand Central Terminal ให้กับชาวนิวยอร์ก”

ความร่วมมือภาครัฐและเอกชน

One Vanderbilt แสดงให้เห็นถึงโมเดลใหม่สำหรับวิธีที่ภาคเอกชนและรัฐบาลสามารถทำงานร่วมกันเพื่อส่งมอบผลประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะที่สำคัญซึ่งสร้างขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง City of New York และ Metropolitan Transportation Authority ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างประวัติศาสตร์ของย่าน East Midtown

วันนี้ SL Green เปิดตัวแพคเกจพื้นที่สาธารณะแบบเปิดมูลค่า 220 ล้านดอลลาร์และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งซึ่งจะช่วยบรรเทาความแออัดยัดเยียดบนชานชาลารถไฟใต้ดิน เพิ่มการไหลเวียนของผู้โดยสารในและรอบ ๆ อาคารผู้โดยสาร และสร้างทางเดินใหม่ที่ตรงไปยังทางรถไฟที่ไปสู่ภูมิภาค

การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงห้องโถงขนส่งสาธารณะแห่งใหม่ขนาด 4,000 ตารางฟุตภายในอาคาร โดยให้การเชื่อมต่อที่ดีขึ้นไปยังรถไฟ Metro-North รถไฟไปยังไทม์สแควร์และสถานี Long Island Rail Road ในอนาคตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ East Side Access  โดยพื้นที่ติดกับห้องโถงขนส่งเป็นลานสำหรับคนเดินแห่งใหม่ขนาด 14,000 ตารางฟุต บนถนน Vanderbilt ระหว่างถนนสาย 42 และ 43 ตะวันออก

SL Green ยังได้สร้างทางเข้ารถไฟใต้ดินระดับถนนใหม่อีก 2 ทางและเปิดทางเชื่อม Mobil Passageway อีกครั้ง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อสถานีแกรนด์เซ็นทรัลกับทางเข้าใหม่ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของถนนหมายเลข 42 และ Lexington Avenue สถานการณ์ความคับคั่งของผู้โดยสารภายในสถานีรถไฟใต้ดิน Grand Central ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีพื้นที่หมุนเวียนบนชั้นลอยเพิ่มขึ้น 37% มีบันไดใหม่ระหว่างชั้นลอยและชานชาลาของรถไฟใต้ดินเส้น 4, 5, 6 และ 7 เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงลิฟต์ ADA หนึ่งตัวตัวใหม่ พร้อมบันไดเลื่อนและลิฟต์ใหม่อีกมากมาย ร่วมกับประตูหมุนและประตูเพิ่มเติมและบันไดที่เชื่อมไปยังไทม์สแควร์ การปรับเปลี่ยนเหล่านี้จะช่วยบรรเทาความแออัดบนชานชาลาส่งผลให้มีรถไฟผ่านสถานีเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งลำต่อชั่วโมง

การปรับปรุงระบบขนส่งของ SL Green ที่สถานี Grand Central Terminal ช่วยเสริมโครงการโครงการเชื่อมถนนหมายเลข 42  ของ MTA Construction & Development เมื่อโครงการเชื่อมถนนหมายเลข 42 เสร็จสิ้นแล้ว มันจะเชื่อมต่อกับทางเดินขนส่งใต้ถนนหมายเลข 42 อย่างราบรื่นยิ่งขึ้นเพื่อให้ทรานสเฟอร์ง่ายขึ้น ลดเวลาในการเดินทางโดยรวมสำหรับลูกค้า และขยายการเข้าถึงระบบสำหรับลูกค้าที่มีความทุพพลภาพ ใช้รถไฟสาย 42 St ได้ จากสถิติคนเดินผ่านทางเดิน 42 St มากกว่า 1.1 ล้านทุกวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าจำนวนผู้โดยสารของระบบรถไฟใต้ดินและรถประจำทางทั้งหมดของบอสตันในหนึ่งวัน

“ ในขณะที่เราสร้างเมืองที่เป็นธรรมมากขึ้นและดีขึ้น เราจำเป็นต้องมีโครงการพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบ อย่างเช่น One Vanderbilt มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม” นายกเทศมนตรี de Blasio กล่าว “ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเช่นนี้จะช่วยให้เมืองนิวยอร์กกลับมาแข็งแกร่งและช่วยฟื้นฟูศูนย์กลางธุรกิจหลัก ๆ อย่าง Midtown East  ผมภูมิใจที่ได้ยืนหยัดร่วมกับพันธมิตรของเราในแวดวงธุรกิจในวันนี้ และหวังว่าจะได้ร่วมงานกับพวกเขาในโครงการที่กล้าหาญและทะเยอทะยานอื่น ๆ ในอนาคตอีก”

“ ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะเจาะกว่าครั้งไหน ๆ ที่เราต้องแสดงให้เพื่อนชาวนิวยอร์กเห็นว่าเรายังคงสามารถบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในเมืองนี้ได้ การสร้าง One Vaderbilt จนเสร็จสิ้นและการเปิด One Vanderbilt เป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ สำหรับผู้ที่ทำงาน ผู้ใช้ชีวิตและ ผู้เดินทางผ่านย่านแกรนด์เซ็นทรัล พวกเขาจะเห็นผลกระทบที่ดีขึ้นในทันทีต่อคุณภาพชีวิตของพวกเขาผ่านผลประโยชน์สาธารณะที่เราสร้างให้พวกเขาได้” Gale A. Brewer ประธานเขต Manhattan Borough กล่าว “ เริ่มตั้งแต่การอัพเกรดระบบขนส่งสาธารณะบนชานชาลารถไฟใต้ดิน การเชื่อมต่อโดยตรงไปยังสายภูมิภาค และลานสาธารณะแห่งใหม่นอกแกรนด์เซ็นทรัล สิ่งเหล่านี้เป็นการปรับปรุงที่สำคัญซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนนี้ในอีกหลายปีข้างหน้า ฉันอยากขอบคุณ SL Green สำหรับการเป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยมและการดำเนินการฟื้นฟู East Midtown อย่างต่อเนื่องให้เป็นย่านธุรกิจชั้นนำแห่งหนึ่งของโลก”

“ การปรับโฉม East Midtown เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการปรับปรุง Midtown ให้ทันสมัยในขณะที่เชื่อมต่อการเติบโตใหม่ ๆ กับระบบขนส่งสาธารณะและพื้นที่เปิดโล่ง (open space)” Keith Powers สมาชิกสภากล่าว “ วันนี้ One Vanderbilt เป็นโครงการสำคัญโครงการแรกที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เราทุกคนสามารถตั้งคารอคอยภาพชาวนิวยอร์กที่จะได้ใช้รถไฟใต้ดินที่อัพเกรดใหม่และพื้นที่สาธารณะรอบ ๆ แกรนด์เซ็นทรัลในอนาคต เอาไว้ได้เลย”

“แกรนด์เซ็นทรัลเป็นหนึ่งในสถานีรถไฟใต้ดินที่พลุกพล่านที่สุดในนิวยอร์กและในโลก ความจุทางเข้าและขาออกที่ถูกเพิ่มเติมจากการอัพเกรดที่ล้ำสมัยเหล่านี้จะทำให้คนเดินในสถานีนำได้ง่ายขึ้นและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า” Janno Lieber ประธานฝ่ายการก่อสร้างและพัฒนา MTA กล่าว “ โครงการนี้ยังแสดงให้เห็นว่าองค์กร MTA C&D แห่งใหม่ใช้ประโยชน์จากการลงทุนส่วนตัวเพื่อส่งมอบโครงการได้เร็วขึ้น ดีขึ้นและถูกลงได้อย่างไร One Vanderbilt เป็นหลักฐานยืนยันการฟื้นคืนชีพของ East Midtown และการบรรลุโครงการ East Side Accessในปี 2565 จะทำให้สถานะของเขตนี้แข็งแกร่งขึ้นถึงขีดสุด "

สำนักงานใหญ่ของบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ด้านการธนาคาร การเงินและกฎหมายระดับโลก

บัญชีรายชื่อผู้เช่าที่แข็งแกร่งของตึกเต็มไปด้วยบริษัทการเงิน การธนาคารกฎหมายและอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ซึ่ง One Vanderbilt มีผู้เช่าเกือบ 70% แล้ว ผู้เช่าของอาคารรวมถึง TD Securities บริษัท ด้านการธนาคารและการลงทุนชั้นนำที่ให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการด้านตลาดทุนที่หลากหลายและ TD Bank,  America's Most Convenient Bank ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา บริษัท The Carlyle Group, KPS Capital Partners, Oak Hill Advisors, InTandem Capital, SageWind Capital และ Sentinel Capital Partners ซึ่งเป็นสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง Greenberg Traurig and McDermott Will & Emery, DZ Bank บริษัทการเงินระดับโลกของเยอรมัน, MFA Financial Inc. ทรัสต์และบริษัทมหาชนเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  และ SL Green Realty Corp.

“ในฐานะผู้เช่ารายใหญ่ที่สุด โครงการ  One Vanderbilt ของ TD เป็นภาพสะท้อนของการเติบโตและความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อนิวยอร์กซิตี้” Greg Braca ประธานและซีอีโอของ TD Bank, America’s Most Convenient Bank กล่าว “ ความปรารถนาของเราที่จะรวมหลายหน่วยงานเอาไว้ในอาคารที่โดดเด่นเพียงแห่งเดียวทำให้เกิดวิทยาเขตที่มีความก้าวหน้าสำหรับลูกค้า สำหรับเพื่อนร่วมงาน และชุมชนของเรา One Vanderbilt จะเป็นที่ตั้งของหน่วยธุรกิจหลายรายรวมถึง TD Securities และ TD Bank, America’s Most Convenient Bank ซึ่งจะมีหน้าร้าน TD ที่ชั้นล่างสำหรับลูกค้าของเราที่อาศัยหรือทำงานที่นี่ หรือที่แวะมาที่นิวยอร์ก”

ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์

Kohn Pedersen Fox (KPF) Associates เป็นผู้รับผิดชอบการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของ One Vanderbilt ซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินสี่ลำที่เชื่อมต่อกันและลำเรียวเล็กไปที่ด้านบนหมุนวนไปบนท้องฟ้า ที่ฐานของตึก การตัดมุมทางด้านทิศใต้ของบล็อกแสดงให้เห็นภาพของสถานี Grand Central Terminal เป็นทอด ๆ เผยให้เห็นมุมบัวอันงดงามของสถานี Granf Terminal ซึ่งเป็นมุมมองที่ถูกบดบังมาเกือบศตวรรษ กำบังหน้าที่ทำจากดินเผาของตึกซึ่งรวมเอากระเบื้องเพดานที่แตกต่างกันแบบเดียวกับที่พบทั่วไปใน Grand Central Terminal ทำให้โครงสร้างที่สูงตระหง่านดูมีพื้นผิวที่ส่องสว่างเป็นธรรมชาติ ทาง American Institute of Architects (AIA) ยังต้องยกย่อง One Vanderbilt และ KPF ด้วยรางวัลอันทรงเกียรติ 2018 AIANY Merit Award สาขาการออกแบบเมือง

"อาคาร One Vanderbilt เป็นการย้อนตำนานยุคทองของสถาปัตยกรรมตึกสูงในนิวยอร์ก" James von Klemperer ประธาน KPF และอาจารย์ใหญ่ด้านการออกแบบของ KPF กล่าว"ในฐานะที่เป็นหอคอยรูปทรงสี่เหลี่ยมเรียวแหลม ด้านบนที่โดดเด่นของตึกเด่นเสมออาคาร Empire State และ Chrysler เมื่อมองไปที่วิวของตึกระฟ้า ในขณะเดียวกันการออกแบบตึกนี้ก็ช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงด้านจุดประสงค์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม อาคารใหม่เชื่อมต่อทั้งเชิงพื้นที่และเชิงโครงการกับสถานี Grand Central Terminal เราดีใจมากที่สามารถออกแบบตึกระฟ้าเชิงพาณิชย์ที่รองรับวาระสำคัญของการสร้างความยั่งยืนและเพิ่มคุณค่าให้กับพื้นที่สาธารณะในปัจจุบัน โดยรวมแล้วโครงการได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ East Midtown ทำให้ขึ้นมาเป็นผู้นำในการฟื้นฟูย่านธุรกิจเก่าแก่ของแมนฮัตตันต่อไป”

นวัตกรรมด้านสุขภาพและความยั่งยืน

ในฐานะผู้นำระดับโลกในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล SL Green ได้ลงทุนเป็นจำนวนมูลค่า 17 ล้านดอลลาร์ในการสร้างคุณสมบัติด้านความยั่งยืนที่ One Vanderbilt เพื่อให้มั่นใจว่าตึกแห่งนี้จะรักษารอยเท้าคาร์บอน (carbon footprints) ให้อยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาอาคารที่มีขนาดใกล้เคียงกันในนิวยอร์กซิตี้ ตึกแห่งนี้สร้างขึ้นโดยใช้เหล็กเส้นที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล 90% ซึ่งอาศัยเทคโนโลยีล้ำสมัยซึ่งรวมถึงระบบผลิตโคเจนเนอเรชั่น 1.2 เมกะวัตต์และระบบรวบรวมน้ำฝน 90,000 แกลลอนและมีการควบคุมฉนวนกันความร้อนสำหรับการทำความร้อนและการระบายความร้อนผ่านกระจกที่มีประสิทธิภาพสูง เห็นได้ชัดว่าการดำเนินงานของ One Vanderbilt จะนำไปสู่การได้รับการการันตีด้านสิ่งแวดล้อมหลายประการ ซึ่งรวมถึงการรับรอง LEED และ WELL ระดับสูงสุด

One Vanderbilt จะรวมโครงการริเริ่ม“ SL Green Forward” ซึ่งส่งเสริมความปลอดภัย ความสะอาด และสุขลักษณะที่ดีสำหรับผู้เช่าในระดับสูง One Vanderbilt จะมีแอปพลิเคชั่นแบบสแตนด์อโลนอันเดียวที่มีการควบคุมการเข้าถึงสำหรับผู้เช่า การจัดการผู้เยี่ยมชม และการเรียกลิฟต์ ช่วยให้ผู้เช่าและแขกสามารถเคลื่อนตัวและได้รับประสบการณ์ที่ลื่นไหลเริ่มตั้งแต่จากประตูหมุนไปจนถึงลิฟต์ อาคารจะนำเสนอการควบคุมทางวิศวกรรมเช่นการกรอง MERV-16 และการเพิ่มอากาศจากภายนอกเข้าไปข้างใน นอกจากนี้ SL Green ได้ใช้ Silent Sentinel ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการถ่ายภาพความร้อนที่มีความสามารถในการอ่านคนเป็นจำนวน 100 คนต่อนาทีเพื่อป้องกันการรอคิวนาน

สร้างโดยคนนิวยอร์กเพื่อคนนิวยอร์ก

One Vanderbilt ถูกสร้างขึ้นเสร็จก่อนกำหนดและใช้งบประมาณน้อยกว่าที่คาดโดยทีมสหภาพแรงงานเต็มรูปแบบ ภายใต้การนำของผู้จัดการฝ่ายก่อสร้างจาก AECOM Tishman ซึ่งรวมคนงานมากกว่า 3,000 คนในช่วงเกือบสี่ปี ในช่วงที่มีกิจกรรมสูงสุดจะมีคนงานมากกว่า 1,400 คนอยู่ในสถานที่ทุกวันเพื่อทำให้โครงการเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้โครงการได้ว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงเกือบห้าสิบราย ตึกอันเป็นเอกลักษณ์แห่งนี้ประกอบไปด้วยเหล็กที่ผลิตและประดิษฐ์จากสหรัฐมากกว่าสองหมื่นหกพันตันและคอนกรีตเจ็ดหมื่นสี่พันลูกบาศก์หลา

ความมุ่งมั่นต่อสหภาพแรงงานที่ One Vanderbilt จะดำเนินต่อไปผ่านการดำเนินงานของอาคาร เมื่อมีการดำเนินงานเต็มอัตรา One Vanderbilt จะประกอบด้วยพนักงานสหภาพเกือบ 150 คนจาก  32BJ SEIU, Local 94 และ NUSOG เป็นตัวแทนอยู่ในกลุ่ม

“เนื่องจากความร่วมมือระหว่าง SL Green และ 32BJ ที่ One Vanderbilt ชนชั้นแรงงานชาวนิวยอร์กจะได้รับประโยชน์จากงานใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพสูงในเวลาที่พวกเขาต้องการงานมาก ๆ” Kyle Bragg ประธานของ 32BJ SEIU กล่าว “ ท่ามกลางการแพร่ระบาด โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่การพัฒนาใหม่ ๆ สามารถเปิดโอกาสในการสร้างพนักงานบริการ และเสริมสร้างครอบครัวและชุมชนได้”

One Vanderbilt เป็นหนึ่งใบเป็นสัญลักษณ์ของคุณค่าที่เป็นลักษณะพิเศษของ Gerald Hines และนี่ถือเป็นการสานต่อชื่อเสียงของเขาในการจับคู่หุ้นส่วนที่ดีที่สุดในด้านต่าง ๆ และโครงการที่โดดเด่น การออกแบบที่โดดเด่นถือเป็นการให้เกียรติแก่ประเพณีการสร้างตึกระฟ้าที่มีการพัฒนาอยู่เสมอในเมืองนิวยอร์ก” Tommy Craig กรรมการผู้จัดการอาวุโสของ Hines กล่าว “ การดำเนินการที่ไร้ที่ติ ถึงแม้จะมีความท้าทายมากมายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพและการทำงานอย่างหนักของทีมงานโครงการทั้งหมดและความแข็งแกร่งของความร่วมมือระหว่าง SL Green และ Hines”

“ เราอยากขอบคุณ SL Green สำหรับวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำของพวกเขาและสำหรับการให้เราเข้าร่วมในโครงการที่ยอดเยี่ยมนี้” Jay Badame ประธาน AECOM Tishman กล่าว “ อาคารหลังนี้เป็นมากกว่าสัญลักษณ์ของการฟื้นคืนชีพของมิดทาวน์อีสต์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอดทนของนิวยอร์กและเป็นการสรรเสริญการค้า ของหลายพันคนที่เป็นผู้สร้างและนำความสำเร็จมาสู่ในเมืองนี้ เราเคยสร้างไอคอนในนิวยอร์กมาก่อน เราทำให้เกิดขึ้นที่นี่ได้แล้ว และเรารู้ว่าเราจะทำมันได้อีกครั้ง "

สิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่มีใครเทียบได้ ได้แก่ ร้านอาหารโดย Daniel Boulud และ Observation Deck

ในไตรมาสแรกของปี 2564 Daniel Boulud เชฟชื่อดังระดับโลกจะเปิดร้านอาหารที่ One Vanderbilt ชื่อ 'Le Pavillon'  โดย Le Pavillon จะมีพื้นที่ 11,000 ตารางฟุตโดยมีเพดานสูง 60 ฟุตตั้งอยู่ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของชั้นสอง หันหน้าไปทางแกรนด์เซ็นทรัลพร้อมทิวทัศน์อันโดดเด่นของตึกไครสเลอร์

“ผมรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าที่ได้มีโอกาสทำ Le Pavillon ที่ One Vanderbilt  เรากำลังทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อสร้างโอเอซิสแห่งการรับประทานอาหารในใจกลางมิดทาวน์ที่ทุกคนสามารถเพลิดเพลินได้ เมนูของเราจะเน้นไปที่อาหารทะเลและผักที่มีอิทธิพลในท้องถิ่นและตามฤดูกาล โดย Le Pavillon ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ พร้อม ๆ ไปกับการเฉลิมฉลองเสน่ห์ทั้งหมดของมหานครนิวยอร์ก” เชฟ Daniel Boulud กล่าว

ผู้เช่าอาคารทั้งหมดจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงแพ็คเกจสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่มีใครเทียบได้ในอาคารสำนักงานในนิวยอร์กซิตี้ ซึ่งรวมถึงชั้นสิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษและเฉพาะสำหรับผู้เช่าขนาด 30,000 ตารางฟุตพร้อมพื้นที่ประชุมขนาดใหญ่ คลับเลานจ์ บริการอาหารที่ได้รับการคัดสรรพิเศษ และระเบียงกลางแจ้งสุดพิเศษที่หันหน้าไปทางแกรนด์เซ็นทรัล พื้นสำนักงานมีความสูงจากพื้นจรดเพดานตั้งแต่ 14.5 ฟุตถึง 24 ฟุต ห้องที่ไร้เสามุมมอง 360 องศาที่สวยงามผ่านหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุด นอกจากนี้ One Vanderbilt จะมีหอดูดาวซึ่งจะเป็นดาดฟ้ากลางแจ้งที่สูงเป็นอันดับสองในนิวยอร์กซิตี้

Twenty Years in the Making

การเดินทางของ One Vanderbilt เริ่มขึ้นในปี 2544 เมื่อ SL Green ซื้อกิจการ ที่ 317 เมดิสันอเวนิว ซึ่งเป็นอาคารแรกในสี่หลังที่เคยตั้งอยู่บนพื้นที่นี้ อสังหาริมทรัพย์อีกสองแห่ง ซึ่งได้แก่ 331 Madison Avenue และ 48 East 43rd Street  ได้ถูกซื้อมาในปี 2550 และอสังหาริมทรัพย์สุดท้าย ซึ่งได้แก่ 51 East 42nd Street ได้มาในปี 2554 แผนการเริ่มต้นสำหรับ One Vanderbilt ได้รับการประกาศในปี 2556 โดยเป็นส่วนหนึ่งของ แผนการเริ่มต้นของเมืองในการกำหนดเขต East Midtown ใหม่โดยมีแผนปรับปรุงในปี 2014 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Vanderbilt Corridor Rezoning ซึ่งมีมูลค่า 220 ล้านดอลลาร์ในการปรับปรุงอาณาจักรสาธารณะภายในและรอบ ๆ สถานี Grand Central Terminal One Vanderbilt  ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากสภาของเมืองในเดือนพฤษภาคม 2558 และการรื้อถอนเริ่มขึ้นในปลายปีนั้น การวางศิลาฤกษ์อย่างเป็นทางการสำหรับ One Vanderbilt เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2559  และในปี 2560 บริษัทร่วมทุนได้ถูกตั้งขึ้นกับ Hines และ National Pension Service of Korea

“นี่เป็นความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดที่เราเคยเผชิญโดยมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบการเมือง กฎหมาย และวิศวกรรมมากมายนับไม่ถ้วนในทุกย่างก้าว มีหลายช่วงเวลาที่มันยากลำบาก แต่เนื่องจากความเชื่อของเราในเมืองนี้ เราจึงสู้ต่ออย่างไม่ลดละ” Andrew Mathias ประธาน SL Green Realty Corp. กล่าว

Food1st

Food1st เป็นมูลนิธิที่ไม่แสวงหากำไรซึ่งเริ่มต้นในเดือนเมษายนโดย SL Green ร่วมกับเชฟ Daniel Boulud เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนอาหารที่กำลังดำเนินอยู่ในนิวยอร์กซิตี้ที่ขยายวงกว้างขึ้นในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ภารกิจของ Food1st คือการช่วยเลี้ยงดูชาวนิวยอร์กและพนักงานบริการฉุกเฉินที่สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างจำกัด โดยการร่วมมือกับผู้ให้บริการอาหารในลักษณะที่ช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมบริการอาหารของเมืองนิวยอร์กในช่วงเวลาที่คนงานต้องการอาหารมากที่สุด โดย Food1st ระดมทุนได้มากกว่า 3 ล้านดอลลาร์และให้บริการอาหารฟรีเกือบ 350,000 มื้อนับถึงปัจจุบัน

เพื่อเป็นเกียรติแก่การตัดริบบิ้น พันธมิตรของ One Vanderbilt ได้บริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้กับมูลนิธิ Food1st สำหรับการจัดเตรียมและจัดส่งอาหารฟรี 15,000 มื้อ ซึ่งจะแจกจ่ายให้กับผู้ที่ต้องการในวันที่ 14 กันยายน โดย 2,000 ทื้ออาหารจะถูกส่งไปยังชุมชน South Bronx ซึ่งรวมถึงอาหาร 1,000 มื้อให้กับพนักงานระดับแนวหน้าที่โรงพยาบาลลินคอล์น

“ สำหรับชุมชนของผมในเซาท์บรองซ์การเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพและดีต่อสุขภาพเป็นปัญหาที่ยาวนาน ซึ่งโควิดทำให้มันแย่ลงมาก” สมาชิกสภา Rafael Salamanca Jr กล่าว“ เราขอขอบคุณพันธมิตร One Vanderbilt และทุกคนที่ Food1st สำหรับความมุ่งมั่นที่จะช่วยชาวนิวยอร์กทุกคนและเพื่อเตือนว่าเราแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยกัน”

หากต้องการดูฟุตเทจรูปภาพและวิดีโอของกิจกรรมในวันนั้นที่ One Vanderbilt กดที่นี่

เกี่ยวกับ SL Green

SL Green Realty Corp. ซึ่งเป็น บริษัท S&P 500 และเจ้าของสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดในแมนฮัตตันเป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรหรือ REIT ( real estate investment trust) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การได้มา การจัดการและเพิ่มมูลค่าสูงสุดของอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในแมนฮัตตัน โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 SL Green มีผลประโยชน์ในอาคาร 96 แห่งรวม 41 ล้านตารางฟุต ซึ่งรวมถึงผลประโยชน์ในการเป็นเจ้าของในอาคารแมนฮัตตัน 28.7 ล้านตารางฟุตและ 11.2 ล้านตารางฟุตของหลักทรัพย์ค้ำประกันและการลงทุนในตราสารหนี้บุริมสิทธิ์

เกี่ยวกับ Hines

Hines เป็น บริษัท การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกของเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2500 โดยมีสำนักงานอยู่ใน 225 เมืองใน 25 ประเทศ Hines มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 144,100 ล้านดอลลาร์ซึ่งรวมถึง 75 ,500 ล้านดอลลาร์ที่ Hines ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการลงทุน ซึ่งรวมถึงสินทรัพย์ที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์และ 68,600 ล้านดอลลาร์ที่ Hines ให้บริการระดับอสังหาริมทรัพย์แบบบริษัทบุคคลที่สาม บริษัทมีโครงการการพัฒนา 165 แห่งที่กำลังดำเนินการอยู่ทั่วโลก ในอดีต Hines ได้พัฒนาปรับปรุงหรือได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ 1,426 แห่งซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 472 ล้านตารางฟุต พอร์ตโฟลิโอทรัพย์สินและการจัดการสินทรัพย์ของ บริษัท ในปัจจุบันประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ 576 แห่งคิดเป็นพื้นที่กว่า 246 ล้านตารางฟุต ด้วยประสบการณ์อันยาวนานในการลงทุนในช่วงความเสี่ยงและอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทและความมุ่งมั่นในการบุกเบิกด้านความยั่งยืน Hines จึงเป็นหนึ่งในองค์กรอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก เยี่ยมชม www.hines.com สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

แถลงการณ์คาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้รวมถึงข้อความบางอย่างที่อาจถือได้ว่าเป็น“ ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า” ตามความหมายของกฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538 และมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครอบคลุมโดยข้อกำหนดการคุ้มครองความปลอดภัยดังกล่าว ข้อความทั้งหมดนอกเหนือจากข้อความที่แสดงถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ซึ่งรวมอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ซึ่งกล่าวถึงกิจกรรมเหตุการณ์หรือการพัฒนาที่เราคาดหวัง เชื่อ หรือคาดการณ์ว่าจะหรืออาจเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเพียงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้รับประกันถึงผลการดำเนินงานในอนาคตและเราขอเตือนว่าอย่าพึ่งพิงข้อความดังกล่าวมากเกินไป โดยทั่วไปข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าสามารถระบุได้ด้วยการใช้คำว่า“ อาจ”“ จะ”“ ควร”“ คาดหวัง”“ คาดการณ์”“ ประมาณ”“ เชื่อ”“ ตั้งใจ”“ ประมาณการณ์”“ ต่อไป” หรือคำนิเสธของคำเหล่านี้หรือคำอื่น ๆ ที่คล้ายกัน

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่มีอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้อาจมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนหลายประการซึ่งหลายอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมของเราซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ประสิทธิภาพหรือความสำเร็จที่แท้จริงของเราแตกต่างอย่างมากจากผลลัพธ์ในอนาคต ประสิทธิภาพ หรือความสำเร็จที่แสดงออกหรือ คาดการณ์โดยนัยจากข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่จัดทำโดยเรา ปัจจัยและความเสี่ยงต่อธุรกิจของเราที่อาจทำให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงแตกต่างไปจากที่มีอยู่ในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าได้อธิบายไว้ในเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19)

SLG – GEN

ที่มา: SL Green Realty Corp.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200914005672/en/

ติดต่อ:

Matt DiLiberto

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน

212.594.2700

นูทานิคซ์เปิดตัว Kubernetes Platform-as-a-Service เพื่อการใช้งานกับมัลติคลาวด์

Logo

Karbon Platform Services มอบการบริหารจัดการที่ช่วยให้การใช้งานแอปพลิเคชั่นแบบ Container-Based บนคลาวด์ทุกประเภทเป็นไปอย่างรวดเร็ว 

กรุงเทพฯ 14 กันยายน 2563 – ณ งาน .NEXT ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 8-11 กันยายน 2563 –
นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านเอ็นเตอร์ไพรซ์คลาวด์คอมพิวติ้งประกาศเปิดตัว Karbon Platform Services ซึ่งเป็นการให้บริการรูปแบบ Platform-as-a-Service (PaaS) เป็นแพลตฟอร์มมัลติคลาวด์ที่ทำงานกับ Kubernetes มาพร้อมระบบจัดการด้านความปลอดภัยอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้การพัฒนาและการใช้งานไมโครเซอร์วิสแอปพลิเคชั่นทำงานได้เร็วขึ้นไม่ว่าจะอยู่บนคลาวด์ประเภทใดก็ตาม ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้รับประสบการณ์จากบริการแบบครบวงจร (managed services)
ที่พร้อมใช้งาน ไม่ว่าจะใช้งานที่ on-premises บนพับลิคคลาวด์ และที่อุปกรณ์ปลายทาง (edge)
เพื่อสร้างและรันคลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ รวมถึงสามารถแยกแอปพลิเคชั่นออกจากกันอย่างเป็นอิสระจากโครงสร้างพื้นฐานหลัก  นอกจากนี้ยังช่วยให้ทีมงานด้านไอที มีระบบบริหารจัดการไลฟ์ไซเคิลของแอปพลิเคชั่นและกรอบการทำงานด้านความปลอดภัยที่ใช้งานง่ายและสอดคล้องกัน การเปิดตัวครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของนูทานิคซ์ที่มีต่อเป้าหมายในการขยายบริการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้องค์กรทุกแห่งสามารถใช้งานคลาวด์เนทีฟได้เร็วขึ้น

imgองค์กรต่าง ๆ ที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องได้รับประโยชน์จากการเริ่มดำเนินการด้านดิจิทัล มักต้องใช้ความพยายามเพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ขององค์กรปลดปล่อยศักยภาพสูงสุดออกมา และใช้กระบวนการ DevOps ที่คล่องตัว ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่องค์กรจำเป็นต้องทำให้เป็นจริง  Kubernetes ที่ทำงานควบคู่กับเทคโนโลยีคลาวด์เนทีฟต่าง ๆ มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วมาอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความยากในการนำไปใช้งานเพราะขาดทรัพยากรทางเทคนิคที่จำเป็นต้องขยายเพิ่มตามความยากนั้น ๆ นอกจากนี้ องค์กรต่าง ๆ ต้องได้รับประโยชน์จากการใช้งาน Kubernetes ทั้งที่อยู่ที่ on-premises และบนพับลิค คลาวด์ โดยยังคงความสามารถในการบริหารจัดการดาต้า แอปพลิเคชั่น ประสิทธิภาพและความไม่ยุ่งยากในการใช้ทรัพยากรด้านไอทีของตนไว้ได้

นายราจีฟ มิรานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “ทรัพยากรไอทีเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนองค์กรดิจิทัล แต่เมื่อบริษัทต้องการขยาย ต้องใช้ไฮบริดคลาวด์ และต้องจัดการกับแอปพลิเคชั่นที่มีจำนวนมากขึ้น การรองรับความต้องการต่าง ๆ ทางวิศวกรรมอาจกลายเป็นความท้าทายด้านไอทีได้ เราตั้งเป้าให้ Karbon Platform Services ช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนาและจัดระเบียบการทำงานของแอปพลิเคชั่นให้สอดคล้องกัน ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทีมไอทีและทีมพัฒนาเป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อการสนับสนุนกลยุทธ์ DevOps ของลูกค้าของเรา”

คลาวด์เนทีฟ PaaS ใหม่นี้จะช่วยให้วิศวกรซอฟต์แวร์พัฒนาและจัดระเบียบการทำงานให้กับแอปพลิเคชั่นอย่างราบรื่นสอดคล้องกัน โดยไม่จำเป็นต้องจัดการกับโครงสร้างพื้นฐานหลัก  Karbon Platform Services สร้างอยู่บนระบบการจัดการไลฟ์ไซเคิลหลักของ Kubernetes ที่เริ่มเปิดตัวกับ Karbon ในลักษณะผสานเป็นส่วนหนึ่งของซอฟต์แวร์ HCI ของนูทานิคซ์  Karbon Platform Services เป็นระบบอัตโนมัติ มีระบบบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและ multi-tenancy ที่โครงสร้างซอฟต์แวร์ชุดหนึ่งสามารถบริการผู้ใช้ได้หลายราย เพื่อใช้ในการรันไมโครเซอร์วิสแอปพลิเคชั่นได้หลากหลายบนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์หลายประเภท

นายเดเมียน พาสกวิเนลลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของ Hardis Group กล่าวว่า “เรา
กำลังมองหาแพลตฟอร์ม PaaS หนึ่งเดียวที่สามารถโฮสต์ Reflex และ Vision Insights ของเราได้ทั้งที่ edge และบนไพรเวทคลาวด์ของเรา เพื่อใช้ประโยชน์จาก distributed architecture ของสภาพแวดล้อม ทั้งสอง และสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์และการฝึกอบรมการใช้เครื่องจักรบนพับลิคคลาวด์  Karbon Platform Services มีบริการมากมายและมีทุกสิ่งที่เราต้องการจากโซลูชั่น PaaS ทั้งยังบริหารจัดการง่ายและสะดวกบนคลาวด์ทุกประเภท ซึ่งเป็นคุณสมบัติของนูทานิคซ์ที่เป็นที่รู้จักกันดี  การใช้ Karbon Platform Services ทำให้การพัฒนา Vision Insight และทีม DevOps ของเราสามารถเริ่มทำงานจากศูนย์จนสำเร็จเป็นตัวต้นแบบได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งในสี่จากที่เคยใช้มา  ลูกค้าที่ใช้งานซอฟต์แวร์นี้บน Karbon Platform Services ได้แก่ Schneider Electric ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับโลกด้านการจัดการพลังงาน และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น

ประโยชน์หลักของ Karbon Platform Services

  • Managed Services ที่ครบครัน: PaaS ที่นำเสนอนี้ช่วยให้การพัฒนาและการใช้งานแอปพลิเคชั่นเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชั่นแบบ stateful containerized
    ที่เรียบง่ายไปจนถึง web-scale applications ที่ซับซ้อน โดยใช้ประโยชน์จากบริการแบบ
    open abstraction ที่หลากหลายและเรียบง่าย นอกจากนี้ Karbon Platform Services
    ยังประกอบด้วย managed Kubernetes (K8s-aaS), Containers-as-a-Service (CaaS), serverless Functions, AI, message bus, ingress, service mesh, ความสามารถในการสังเกตเพื่อประเมินสถานการณ์ (observability) และบริการด้านการรักษาความปลอดภัย
  • การทำงานลักษณะ SaaS บนมัลติคลาวด์: ทีมปฏิบัติการจะได้รับประโยชน์จากการทำงานที่เรียบง่ายและ uniform application ข้อมูล และการบริหารจัดการไลฟ์ไซเคิลด้านความปลอดภัย โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะทำงานอยู่บนคลาวด์ประเภทใด โดยใช้ประโยชน์จากการบริหารจัดการไลฟ์ไซเคิลโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น SaaS  ส่วนนักพัฒนาแอปพลิเคชั่นจะได้ประโยชน์จากบริการแพลตฟอร์มที่พรั่งพร้อมเพื่อใช้ในการเขียนแอปพลิเคชั่นและใช้งานได้ทันทีบนคลาวด์ผ่านระบบบริหารจัดการไลฟ์ไซเคิลของแอปพลิเคชั่นที่เป็น SaaS
  • ไฮบริด PaaS ที่ขยายได้: Karbon Platform Services มีความสามารถในการเคลื่อนย้ายข้อมูลข้ามระบบคลาวด์ และการจัดการไฮบริดแอปพลิเคชั่น ผ่านช่องทางที่โปร่งใสในการส่งข้อมูลแบบ WAN-optimized และ data interface ที่ปรับขยายได้ ซึ่งคุณลักษณะนี้จะช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการนำบริการของตนเองมาทำงานบนแพลตฟอร์ม และใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศ Kubernetes ที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
  • เพิ่มการรักษาความปลอดภัย – Karbon Platform Services ช่วยให้ทีมไอทีสามารถใช้ประโยชน์จาก API และการรักษาความปลอดภัยที่มีความเหนียวแน่น พร้อมความสามารถที่เป็นหนึ่งเดียวในการสังเกต และตรวจสอบข้อมูลและแอปพลิเคชั่นโดยรวมบนคลาวด์  นอกจากนี้ยังรวมถึงบริการที่ครอบคลุมการรักษาความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ พร้อม multi-tenancy และ role-based access control (RBAC) ที่ติดตั้งไว้ในตัวอีกด้วย

นายบ๊อบ ลาลิเบอตี้ Practice Director และนักวิเคราะห์อาวุโสของ ESG Research กล่าวว่า “ความซับซ้อนในการจัดการ Kubernetes และโครงสร้างพื้นฐานมัลติคลาวด์ ไม่เพียงทำให้ทีมปฏิบัติการไอที
มีงานล้นมือเท่านั้น แต่ยังทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่นสมัยใหม่มีทรัพยากรและเครื่องมือใช้อย่างจำกัด  Karbon Platform Services ช่วยแยกความซับซ้อนด้านโครงสร้างออก และให้การจัดการ Kubernetes คอนเทนเนอร์ และโฮสต์บริการต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับนักพัฒนาในสภาพแวดล้อมแบบ PaaS ที่ง่ายและพร้อมใช้งาน  และจากการสำรวจ[1]ที่เราทำเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่า ลูกค้า 70% ชอบการรวมพับลิคคลาวด์กับไพรเวทดาต้าเซ็นเตอร์ไว้ด้วยกันสำหรับการใช้ containerized applications มากกว่า  ซึ่ง Karbon Platform Services ตอบสนองความต้องการนั้นได้จากความยืดหยุ่นด้วยความสามารถในการควบคุมได้ทั้งหมดและบริหารจัดการมัลติคลาวด์ได้อย่างเรียบง่าย

Karbon Platform Services ของนูทานิคซ์พร้อมให้บริการกับลูกค้าแล้ว กรุณาเยี่ยมชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

นอกจาก Karbon Platform Services แล้ว นูทานิคซ์ยังได้ประกาศเปิดตัว Xi Calm ที่เป็นโฮสต์โซลูชั่นในการจัดการและจัดระเบียบแอปพลิเคชั่น เพื่อสนับสนุนการทำงานของทีม DevOps ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา

 


[1] Source: ESG Master Survey Results, Trends in Modern Application Environments, December 2019

The Bangkok Reporter