HARMAN เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ Sound United เพื่อขยายความเป็นผู้นำด้านเสียงระดับพรีเมียม

Logo

การผสานกลยุทธ์ของแบรนด์เครื่องเสียงที่ได้รับรางวัลของ Sound United ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ HARMAN และขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ

สแตมฟอร์ด คอนเนตทิคัต–(BUSINESS WIRE)–23 กันยายน 2025

HARMAN International (“HARMAN”) บริษัทในเครือของ Samsung Electronics Co., Ltd. ซึ่งมุ่งเน้นเทคโนโลยีเชื่อมต่อสำหรับตลาดยานยนต์ ผู้บริโภค และองค์กร ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ Sound United ซึ่งเดิมเป็นธุรกิจเครื่องเสียงสำหรับผู้บริโภคของ Masimo Corporation (NASDAQ: MASI) โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงอันโดดเด่นของ Sound United ประกอบด้วย Bowers & Wilkins, Denon, Marantz, Definitive Technology, Polk Audio, HEOS, Classé และ Boston Acoustics

This acquisition brings together Sound United’s respected roster of premium audio brands and Harman’s iconic audio portfolio.

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นการรวบรวมแบรนด์เครื่องเสียงระดับพรีเมียมที่ได้รับการยอมรับของ Sound United และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของ Harman ไว้ด้วยกัน

ความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ถือเป็นการขยายธุรกิจหลักด้านเครื่องเสียงของ HARMAN อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลักๆ มากมาย อาทิ เครื่องเสียงภายในบ้าน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องขยายเสียง อุปกรณ์ไฮไฟ และ AVR) หูฟัง และเครื่องเสียงรถยนต์ การผสมผสานพอร์ตโฟลิโออันโดดเด่นของ Sound United เข้ากับธุรกิจเครื่องเสียงที่มีชื่อเสียงระดับโลก ช่วยให้ HARMAN สามารถนำเสนอพอร์ตโฟลิโอเครื่องเสียงที่ครอบคลุมที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรม ส่งผลให้ HARMAN สามารถเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค พัฒนานวัตกรรมที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น และมอบประสบการณ์การฟังที่ยอดเยี่ยมในทุกสภาพแวดล้อม

“วิสัยทัศน์ของ HARMAN คือการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ยกระดับชีวิตของผู้คนด้วยประสบการณ์เสียงที่ยอดเยี่ยม” กล่าวโดย Dave Rogers ประธานแผนกไลฟ์สไตล์ของ HARMAN “แบรนด์ที่น่าประทับใจของ Sound United ฝังรากลึกอยู่ในความหลงใหลในเสียง นวัตกรรม และความมุ่งมั่นในคุณภาพที่สอดคล้องกับค่านิยมของ HARMAN การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยปลดล็อกโอกาสการเติบโตที่สำคัญสำหรับทุกคน อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ของ HARMAN ในการสร้างความสำเร็จอันเหนือชั้นและขยายธุรกิจสู่ระดับสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในฐานะผู้นำทางด้านเสียง”

Sound United จะดำเนินงานในฐานะหน่วยธุรกิจเชิงกลยุทธ์ (SBU) แบบสแตนด์อโลนภายใต้แผนกไลฟ์สไตล์ของ HARMAN โครงสร้างนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่ามรดก ความเชี่ยวชาญ และฐานลูกค้าประจำของแต่ละแบรนด์จะยังคงเป็นหัวใจสำคัญของเอกลักษณ์ของแบรนด์ ด้วยการสนับสนุนจากทรัพยากรและขนาดธุรกิจทั่วโลกของ HARMAN แบรนด์ต่างๆ ของ Sound United จะเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้นด้วยศักยภาพที่เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงบรรลุเป้าหมายเฉพาะและประสบความสำเร็จในตลาดได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ทั้งแบรนด์ ความเชี่ยวชาญ และผู้มีความสามารถที่เพิ่มเข้ามาใหม่จาก Sound United จะช่วยเร่งความก้าวหน้าของ HARMAN ในด้านเทคโนโลยีเสียง ขยายการมีอยู่ของตลาด และเสริมสร้างตำแหน่งของบริษัทในฐานะผู้นำระดับโลกที่ได้รับความไว้วางใจในจุดที่บรรจบกันระหว่างเสียง วัฒนธรรม และเทคโนโลยี

รับชมวิดีโอสัมภาษณ์ Dave Rogers ได้ที่นี่: https://youtu.be/2UDhf-9qYSI

รับชม B-roll ได้ที่นี่: https://youtu.be/2UuKM0Nrjtk

เกี่ยวกับ HARMAN
HARMAN (harman.com) ออกแบบและวิศวกรรมผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่เชื่อมต่อสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ ผู้บริโภค และองค์กรธุรกิจทั่วโลก ครอบคลุมระบบรถยนต์เชื่อมต่อ ผลิตภัณฑ์ภาพและเสียง โซลูชันระบบอัตโนมัติสำหรับองค์กร และบริการที่รองรับอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) ด้วยแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ AKG®, Harman Kardon®, Infinity®, JBL®, Lexicon®, Mark Levinson® และ Revel® HARMAN เป็นที่ชื่นชมของนักเล่นเครื่องเสียง นักดนตรี และสถานที่บันเทิงที่พวกเขาแสดงดนตรีทั่วโลก ปัจจุบันรถยนต์กว่า 50 ล้านคันบนท้องถนนติดตั้งระบบเสียงและระบบเชื่อมต่อในรถยนต์ของ HARMAN บริการซอฟต์แวร์ของเราขับเคลื่อนอุปกรณ์และระบบมือถือหลายพันล้านเครื่องที่เชื่อมต่อ ผสานรวม และปลอดภัยครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม ตั้งแต่ที่ทำงานและที่บ้าน ไปจนถึงรถยนต์และโทรศัพท์มือถือ HARMAN มีพนักงานประมาณ 30,000 คนทั่วอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในเดือนมีนาคม 2017 HARMAN ได้กลายมาเป็นบริษัทในเครือของ Samsung Electronics Co., Ltd.

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250923135384/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Carole Campbell
ผู้อำนวยการบริหารด้านสื่อสารองค์กรระดับโลก แผนกไลฟ์สไตล์
HARMAN
lifestyle.communications@harman.com

ที่มา: HARMAN International

TII ของอาบูดาบีและ NVIDIA เปิดตัวห้องปฏิบัติการวิจัย NVAITC ‘AI & หุ่นยนต์’ ร่วมกันแห่งแรกในตะวันออกกลาง

Logo

การวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์และหุ่นยนต์มนุษย์ล้ำสมัยด้วยการผสานรวมกับ AI รุ่นถัดไป

อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–22 กันยายน 2025

สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยี (TII) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยประยุกต์ของสภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง (ATRC) ของอาบูดาบี ได้ร่วมมือกับ NVIDIA ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านการประมวลผลแบบเร่งความเร็วและ AI ในการเปิดตัวห้องปฏิบัติการร่วมแห่งแรกของตะวันออกกลางที่มุ่งเน้นในด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ โดยความร่วมมืออันเป็นสัญลักษณ์นี้เป็นศูนย์กลางแห่งแรกของภูมิภาคสำหรับการพัฒนาโมเดล AI ในรุ่นถัดไป แพลตฟอร์มหุ่นยนต์ รวมถึงเทคโนโลยีหุ่นยนต์มนุษย์ที่จะเป็นตัวเร่งในการสร้างนวัตกรรมในทุกๆ อุตสาหกรรม

Abu Dhabi’s TII and NVIDIA Launch Middle East’s First Joint ‘AI & Robotics’ NVAITC Research Lab (Photo: AETOSWire)

TII ของอาบูดาบีและ NVIDIA เปิดตัวห้องปฏิบัติการวิจัย NVAITC 'AI & Robotics' แห่งแรกในตะวันออกกลาง (ภาพ: AETOSWire)

การประกาศเปิดตัวของห้องปฏิบัติการร่วม TII-NVAITC (ศูนย์เทคโนโลยี AI ของ NVIDIA) ด้าน AI และหุ่นยนต์ ได้จัดขึ้นในพิธีลงนาม ณ สำนักงานใหญ่ของ TII ในกรุงอาบูดาบี โดยมีผู้นำระดับสูงจากทั้งสององค์กรเข้าร่วม ข้อตกลงนี้ลงนามโดย ดร. Najwa Aaraj ซีอีโอของ TII และ Marc Domenech ผู้อำนวยการประจำภูมิภาค Enterprise – META ของ NVIDIA โดยมี ฯพณฯ Shahab Abu Shahab ผู้อำนวยการใหญ่ของ ATRC, ฯพณฯ Abdulaziz Al Dosari, ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายบริการสนับสนุนของ ATRC, John Josephakis รองประธานฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจระดับโลกสำหรับ HPC/ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ NVIDIA และ Simon See หัวหน้าศูนย์เทคโนโลยี AI ของ NVIDIA ทั่วโลก มาร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการเดินทางสู่ยุค AI และหุ่นยนต์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ความร่วมมือในครั้งนี้ทำให้อาบูดาบีกลายเป็นผู้นำด้านการประยุกต์ใช้ AI ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาวของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการพัฒนาอธิปไตยทางเทคโนโลยีและกำหนดอนาคตของระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ นอกจากนี้ยังช่วยเน้นย้ำถึงบทบาทที่กำลังเติบโตของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในฐานะผู้นำด้าน AI และหุ่นยนต์ระดับโลก ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนในเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยความร่วมมือเร่งรัดด้าน AI ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นได้รวมถึงการวางตำแหน่งประเทศให้เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุนหลักต่อระบบนิเวศหุ่นยนต์ระดับโลกในช่วงเวลาที่ความสามารถของ AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว

“ความร่วมมือกับ NVIDIA ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบหุ่นยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาด้วย AI ซึ่งสามารถคิดเหตุผล ปรับตัว และดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนได้” กล่าวโดย ดร. Najwa Aaraj, CEO ของ TII “การผสมผสานแพลตฟอร์มหุ่นยนต์ขั้นสูงของเรากับโมเดล AI และการประมวลผลอันทรงพลังนั้น ช่วยให้เราเร่งการบรรจบกันของการรับรู้ การควบคุม และภาษาได้ ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานสำหรับยุคใหม่ของเครื่องจักรอัจฉริยะ”

ห้องปฏิบัติการร่วม TII-NVAITC จะบูรณาการแพลตฟอร์มและความเชี่ยวชาญด้านการประมวลผลแบบเร่งความเร็วของ NVIDIA เข้ากับการวิจัยสหสาขาวิชาของ TII ในด้าน AI หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง โดยถือเป็นห้องปฏิบัติการ NVAITC แห่งแรกที่ก่อตั้งขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของภูมิภาคนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมกันเร่งพัฒนาระบบอัจฉริยะที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้จริง โดยจะพัฒนาสาขาปัญญาประดิษฐ์ทางกายภาพผ่านโมเดล AI, หุ่นยนต์และสแต็กหุ่นยนต์มนุษย์ที่ทันสมัย และฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบมาสำหรับระบบหุ่นยนต์แบบเรียลไทม์ โดยการวิจัยจะครอบคลุมการเรียนรู้และการควบคุมหุ่นยนต์ในระดับขนาดใหญ่ รวมถึงการพัฒนาและบูรณาการโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงโมเดล AI ในตระกูล Falcon ของ TII ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโมเดล AI รุ่นแรกและใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง

“การเปิดตัว TII-NVAITC สำหรับ AI และหุ่นยนต์ถือเป็นบทใหม่ในเครือข่าย NVAITC ทั่วโลกของเรา การทำงานร่วมกับ TII ในอาบูดาบี ช่วยให้เราสามารถขยายขอบเขตของศูนย์เหล่านี้ไปสู่ด้านหุ่นยนต์เป็นครั้งแรกในตะวันออกกลาง ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยและนักประดิษฐ์เร่งการพัฒนานวัตกรรมที่จะกำหนดอนาคตของระบบอัจฉริยะได้” กล่าวโดย Carlo Ruiz รองประธานฝ่ายโซลูชันองค์กรและการดำเนินงาน EMEA ที่ NVIDIA

ห้องปฏิบัติการใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้นของ TII ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ประยุกต์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อโลกแห่งความเป็นจริง หัวใจสำคัญของห้องปฏิบัติการนี้คือความมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมแบบเปิด รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ระดับโลก โดย TII และ NVIDIA ร่วมมือกันในด้านการวิจัย โครงการโอเพนซอร์ส และการเรียนรู้ข้ามเครือข่ายผ่านชุมชน NVAITC ทั่วโลก ห้องปฏิบัติการนี้ยังช่วยต่อยอดจากแพลตฟอร์มหุ่นยนต์แบบแยกส่วนที่มีอยู่เดิมของ TII รวมถึงส่วนประกอบต่างๆ ที่ผ่านการทดสอบภาคสนามแล้ว ซึ่งรวมถึงแขนหุ่นยนต์และสุนัขส่งของ เป็นต้น โดยจะให้ความสำคัญกับการวิจัยที่มุ่งเน้นทั้งในด้านของความเป็นเลิศทางเทคนิคและความพร้อมในการใช้งานจริง

ที่มา: AETOSWire

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:
https://www.businesswire.com/news/home/20250922672333/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Jinan Warrayat,
+971504713552, jinan.warrayat@tii.ae
tii@edelman.com

ที่มา: Technology Innovation Institute

SG Entertech เปิดตัว ‘Snack VR’ แพลตฟอร์ม VR ขนาดเล็กสุดล้ำสำหรับ Android พร้อมขยายธุรกิจสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Logo

การผสมผสานระหว่างเนื้อหาเกม VR การท่องเที่ยว และการศึกษา ช่วยเปิดโอกาสในการเป็นพันธมิตรระหว่างธุรกิจแบบ B2G และแบบ B2B

โซล ประเทศเกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2025

SG Entertech Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน VR ของเกาหลีใต้ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 ได้ประกาศเปิดตัว Snack VR อย่างเป็นทางการทั่วโลก ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม VR ขนาดเล็กสุดล้ำสำหรับตลาดต่างประเทศ

Snack VR is an innovative VR mini-platform that operates in just 5㎡ of space, presenting a new business model expandable across tourism, education, and cultural sectors (Photo: SG Entertech Co., Ltd.)

Snack VR คือแพลตฟอร์ม VR ขนาดเล็กสุดล้ำที่สามารถทำงานในพื้นที่เพียง 5 ตร.ม. โดยมีการนำเสนอรูปแบบธุรกิจใหม่ที่สามารถขยายได้ที่ครอบคลุมทั้งภาคการท่องเที่ยว การศึกษา และวัฒนธรรม (ภาพ: SG Entertech Co., Ltd.)

การเปิดตัวครั้งล่าสุดนี้ได้ก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดของอุตสาหกรรมอาร์เคด VR แบบดั้งเดิมด้วยแพลตฟอร์ม VR ที่ไม่ต้องใช้คนที่ต้องการพื้นที่เพียง 5 ตร.ม. โดยมีการนำเสนอรูปแบบธุรกิจใหม่สำหรับภาคการท่องเที่ยว การศึกษา และวัฒนธรรม

ฟีเจอร์หลักและข้อดีต่างๆ

  •  ประสิทธิภาพในด้านพื้นที่ด้วยขนาดกะทัดรัดพิเศษ : สามารถติดตั้งและใช้งานได้ภายในพื้นที่เพียง 5 ตร.ม.
  •  ลดต้นทุนในการดำเนินงาน : ประหยัดต้นทุน 70% ด้วยระบบอัตโนมัติ
  •  ระบบการชำระเงินแบบไร้คน : การดำเนินการกึ่งอัตโนมัติผ่านบัตรเครดิตหรือการชำระเงินผ่านมือถือ
  •  รองรับผู้เล่นหลายคน : ประสบการณ์ VR พร้อมกันสำหรับผู้ใช้สูงสุด 2 คน
  •  ใช้งานได้หลากหลายวัตถุประสงค์ : เหมาะสำหรับสถานที่ท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์ ห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา และร้านค้าปลีก
  •  การอัปเดตเนื้อหา : การให้บริการเนื้อหาเกมและประสบการณ์อย่างต่อเนื่องผ่านพันธมิตรต่างๆ

รายชื่อเนื้อหา VR ที่โดดเด่น

  •  การต่อสู้ด้วยปืน : เกมยิงปืนแบบ 1 ต่อ 1
  •  เคาน์เตอร์แอ็ทแท็ค : เกมยิงป้องกันแห่งอนาคต
  •  โชคชะตาที่ไร้ขอบเขต : เกม RPG แนวแฟนตาซีแอ็คชันที่เน้นกลยุทธ์
  •  กล่องจดหมายโปสการ์ด VR : ประสบการณ์ที่เน้นการท่องเที่ยวเพื่อการส่งเสริมจุดหมายปลายทาง
  •  ประสบการณ์ศิลปะ VR เกี่ยวกับการวาดภาพ : โครงการการศึกษาที่เชื่อมโยงกับศิลปินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

PyoKook Sun ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ SG Entertech กล่าวว่า “Snack VR ไม่ใช่แค่อุปกรณ์เล่นเกม VR ธรรมดาๆ แต่เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การศึกษา และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน เรามุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดความบันเทิงดิจิทัลระดับภูมิภาค ด้วยการนำเสนอโซลูชัน VR ที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูง ร่วมกับผู้เล่นในท้องถิ่นทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปัจจุบัน SG Entertech กำลังอยู่ระหว่างการปรึกษาหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกับคณะกรรมการการท่องเที่ยว สำนักงานการศึกษา ห้างสรรพสินค้า เครือโรงแรม และพิพิธภัณฑ์ในประเทศต่างๆ ในเอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่านรูปแบบการออกใบอนุญาตและเอเจนซี่ โดยบริษัทจะช่วยให้ธุรกิจและสถาบันในท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมในโครงการ VR ได้อย่างง่ายดาย

บริษัทเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนรายย่อยได้เข้าสู่อุตสาหกรรม VR ด้วยค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ต่ำ ขณะเดียวกันก็มอบโอกาสในการร่วมมือแบบ B2G แก่สถาบันภาครัฐในภาคการท่องเที่ยวและการศึกษาเพื่อคว้าโอกาสจากโครงการที่นำโดยรัฐบาล นอกจากนี้ บริษัทยังช่วยเหลือแบรนด์และผู้ค้าปลีกระดับโลกต่างๆ ในการพัฒนากลยุทธ์ด้านการตลาดเชิงประสบการณ์ผ่านการขยายธุรกิจแบบ B2B อีกด้วย

เกี่ยวกับ SG Entertech

SG Entertech มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ศูนย์สนับสนุนการเติบโตขององค์กร XR ในเขตมาโป กรุงโซล โดยมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโซลูชัน VR แบบผสานรวมสำหรับการท่องเที่ยว การศึกษา วัฒนธรรม และความบันเทิง โดยมีการคาดการณ์ว่า SG Entertech จะเป็นผู้เล่นหลักในการขับเคลื่อนการนำ VR มาใช้ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250915132571/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

SG Entertech Co., Ltd.
Josh Pyo, CEO
kodk@sgentertec.co.kr

ที่มา: SG Entertech Co., Ltd.

Parking Guidance Systems ประกาศควบรวมกิจการระดับโลกกับ INDECT และ ParkZen

Logo

ฮูสตัน–(BUSINESS WIRE)–11 กันยายน 2025

Parking Guidance Systems, LLC (PGS) ผู้นำด้านเทคโนโลยีระบบจอดรถเฉพาะทางในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศควบรวมกิจการเชิงกลยุทธ์กับ INDECT Electronics & Distribution GmbH (INDECT) และ ParkZen โดยในฐานะบริษัทผู้นำในการควบรวมกิจการ ทาง PGS กำลังขยายธุรกิจออกไปนอกสหรัฐอเมริกาเพื่อนำเสนอโซลูชันระบบจอดรถที่ครอบคลุมในระดับสากล ซึ่งธุรกิจที่ควบรวมกิจการนี้จะผสานรวมฮาร์ดแวร์ระดับโลกของ INDECT กับซอฟต์แวร์ที่มีความคล่องตัวสูงของ ParkZen รวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่พิสูจน์แล้วของ PGS ในการดำเนินงานขนาดใหญ่ ทำให้เกิดบริษัทเทคโนโลยีระบบจอดรถที่ครบวงจรที่สุดในอุตสาหกรรม

นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อ 12 ปีที่แล้ว PGS ได้สร้างชื่อเสียงในด้านบริการที่เป็นเลิศ นวัตกรรมที่ล้ำสมัย และการมุ่งเน้นถึงความพึงพอใจของลูกค้า โดย PGS ได้ติดตั้งระบบนำทางการจอดรถที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา และมีชื่อเสียงในด้านการออกแบบ การติดตั้ง และการบริการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ โดยหัวใจสำคัญในการบริการของ PGS คือโซลูชันนำทางการจอดรถของ INDECT โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเซนเซอร์เสียงและเซนเซอร์ออปติคัล เทคโนโลยีเซนเซอร์จอดรถของ INDECT ถือเป็นมาตรฐานปัจจุบันในด้านนวัตกรรมและด้านความแม่นยำของอุตสาหกรรม โดยเซนเซอร์ขนาดเล็กอัลตราโซนิกของ INDECT นั้นเป็นเซนเซอร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในการส่งมอบความแม่นยำสำหรับการตรวจจับพื้นที่เพียงพื้นที่เดียว ขณะที่เซนเซอร์กล้อง Upsolut นั้นจะผสานรวมกับการตรวจสอบพื้นที่ในหลายๆ พื้นที่ที่สามารถเชื่อถือได้ รวมถึงการจับภาพวิดีโอสตรีม และการจดจำป้ายทะเบียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการวิเคราะห์อัตราการครอบครองที่จอดรถ โดย PGS เป็นพันธมิตรช่องทางการจัดจำหน่ายรายใหญ่ที่สุดของ INDECT ในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ PGS เริ่มก่อตั้ง การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้บริษัทที่ควบรวมกันสามารถปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน เร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และสร้างความร่วมมือทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่าง PGS และ INDECT ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในสหรัฐอเมริกา

โซลูชัน PGS ยังได้รับการยกระดับจากการเข้าซื้อกิจการ ParkZen ที่เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบอัจฉริยะสำหรับที่จอดรถ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองแบตันรูช รัฐลุยเซียนา โดยแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนอันล้ำสมัยของ ParkZen นั้นใช้ประโยชน์จากการระดมทุนจากมวลชนและอัลกอริทึมที่เป็นกรรมสิทธิ์ เพื่อส่งมอบข้อมูลแบบเรียลไทม์และซอฟต์แวร์ระบบอัจฉริยะสำหรับที่จอดรถที่ช่วยให้ผู้ประกอบการที่จอดรถสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นสำหรับการดำเนินงาน และมอบความพร้อมใช้งานแบบเรียลไทม์ให้กับผู้จอดรถไม่ว่าจะมีหรือไม่มีฮาร์ดแวร์ก็ตาม แพลตฟอร์มนี้ยังปรับปรุงกระบวนการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีเครื่องมือจัดการการอนุญาตขั้นสูงสำหรับเจ้าของและผู้ถือใบอนุญาต ทำให้เกิดข้อเสนอที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ก่อนการเข้าซื้อกิจการ PGS ได้ร่วมมือกับ ParkZen ในหลายๆ โครงการในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชันนำทางสำหรับผู้ใช้และซอฟต์แวร์การจัดการลานจอดรถด้วย

การเข้าซื้อกิจการเหล่านี้ถือเป็นการบูรณาการในแนวตั้งอันทรงคุณค่าของ PGS และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของบริษัทในการนำเสนอโซลูชันที่จอดรถที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงสนามบิน โครงการพัฒนาแบบผสมผสาน มหาวิทยาลัย วิทยาเขตขององค์กร สถานพยาบาล และจุดหมายปลายทางอื่นๆ ที่มีการจราจรหนาแน่นที่ต้องอาศัยป้ายบอกทางและการค้นหาเส้นทาง

“ด้วยการควบรวมกิจการครั้งนี้ เราขอให้ผู้ประกอบการทั่วโลกพิจารณาทบทวนสิ่งที่ระบบจอดรถของพวกเขาสามารถทำได้” กล่าวโดย Derek Frantz ซีอีโอของ PGS “PGS กำลังเป็นผู้นำในการกำหนดนิยามใหม่ของที่จอดรถในฐานะแหล่งสร้างรายได้ แทนที่จะเป็นศูนย์ต้นทุน ด้วยการนำฮาร์ดแวร์ที่แม่นยำของ INDECT, ซอฟต์แวร์อัจฉริยะของ ParkZen และผลงานที่ผ่านการพิสูจน์แล้วของ PGS ในการนำเสนอโซลูชันที่จอดรถที่ซับซ้อน เราจึงสามารถนำเสนอระบบที่ผสานรวมและแข็งแกร่ง ซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการของผู้ประกอบการทั่วโลกได้ โดยช่วยให้พวกเขาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน และปลดล็อกมูลค่าทางการเงินใหม่ๆ จากสินทรัพย์ที่จอดรถของพวกเขาเอง”

ปัจจุบัน PGS มีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายในอุตสาหกรรมที่จอดรถได้มากกว่าที่เคย โดยมี INDECT และ ParkZen เป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงาน

เกี่ยวกับ Parking Guidance Systems, Inc.

Parking Guidance Systems (PGS) นำเสนอโซลูชันเทคโนโลยีโรงจอดรถขั้นสูง ที่สร้างขึ้นจากผลงานที่พิสูจน์แล้วจากการใช้งานจริงในวงกว้างที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ปี 2013 ทาง PGS ได้ร่วมมือกับสนามบิน ระบบการดูแลสุขภาพ มหาวิทยาลัย วิทยาเขตของบริษัทต่างๆ และโครงการพัฒนาแบบผสมผสาน เพื่อเปลี่ยนโฉมที่จอดรถจากศูนย์ต้นทุนให้กลายเป็นแหล่งรายได้และความพึงพอใจของลูกค้า ผลงานของบริษัทประกอบด้วยระบบนำทางที่จอดรถชั้นนำของอุตสาหกรรม ซอฟต์แวร์จดจำป้ายทะเบียนรถ https://cts.businesswire.com/ct/CT?id=smartlink&url=https%3A%2F%2Fparkingguidancesystems.com%2Fparking-solutions%2F%3Futm_campaig%2520n%3D22056732-PGS%2520M%2526A%2520Communications%26utm_source%3DBusinessWire%26u%2520tm_medium%3Dpress-release&esheet=54321018&newsitemid=54321018015&lan=en-US&anchor=software&index=6&md5=01a30e39f80328045cd9d64789b1729dการวิเคราะห์ที่จอดรถ รวมถึงป้ายบอกทาง และการค้นหาเส้นทางแบบดิจิทัล ด้วยการติดตั้งระบบมากกว่า 347 ระบบ การตรวจสอบพื้นที่จอดรถเกือบ 600,000 แห่งในสหรัฐอเมริกา รวมถึงโอกาสใหม่ๆ ที่ขยายไปทั่วโลก PGS ยังคงสร้างมาตรฐานสำหรับโซลูชันที่จอดรถที่เป็นนวัตกรรม เชื่อถือได้ และมุ่งเน้นไปที่ลูกค้า เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ parkingguidancesystems.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Felicia Perez
felicia@farpublicrelations.com
(832) 222-2101
1811 First Oaks St, Suite 100 Richmond, TX 77406

ที่มา: Parking Guidance Systems, LLC

Nikkiso ตอบรับความต้องการอุปกรณ์จัดการแอมโมเนียที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมเปิดตัวปั๊มรุ่นใหม่ในงาน Gastech 2025

Logo

มิลาน–(BUSINESS WIRE)–09 กันยายน 2025

Nikkiso Clean Energy & Industrial Gases Group (Nikkiso CE&IG) ได้ประกาศในงาน Gastech Conference วันนี้ว่า บริษัทได้เปิดตัวปั๊มแอมโมเนียแบบจุ่มใต้น้ำรุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบให้มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้มากที่สุดในอุตสาหกรรม

แอมโมเนียเป็นส่วนประกอบสำคัญในปุ๋ย และถูกนำมาใช้เป็นตัวพาไฮโดรเจนสะอาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ความต้องการในการจัดการแอมโมเนียก็เพิ่มขึ้นเช่นกันในภาคส่วนต่างๆ เช่น การผลิตไฟฟ้า โรงงานเคมี กองเรือขนส่ง รวมถึงท่าเรือส่งออก ทาง Nikkiso CE&IG จึงตอบสนองต่อความต้องการนี้ด้วยโซลูชันแรกที่ออกแบบมาเพื่อลดภาระการบำรุงรักษาทั่วไปสำหรับผู้ปฏิบัติงาน ด้วยโครงสร้างที่ปราศจากซีลต่างๆ บำรุงรักษาง่าย ปราศจากทองแดง รวมถึงระบบมอเตอร์ปั๊มแบบบูรณาการ

โดยปั๊มมีความสามารถในการส่งน้ำได้มากกว่า 2,500 ม.3 ต่อชั่วโมง และมีประวัติการบำรุงรักษาที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรม โดยชิ้นส่วนที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะทำให้ปั๊มมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะต้องมีการบำรุงรักษาใดๆ โดยมีระยะเวลาเฉลี่ยระหว่างการหยุดทำงานแต่ละครั้งสูงกว่า 16,000 ชั่วโมง

Emile Bado ประธานฝ่ายปั๊มของ Nikkiso CE&IG กล่าวว่า “ความต้องการแอมโมเนียในการใช้งานที่หลากหลายกำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากความสำคัญของแอมโมเนียในฐานะเชื้อเพลิงสะอาดทางเลือก บทบาทในภาคเกษตรกรรม และในฐานะตัวพาไฮโดรเจน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เรามีความยินดีที่จะเปิดตัวปั๊มที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดจากผู้ปฏิบัติงานต้องเผชิญ

“เรามีความภาคภูมิใจในนวัตกรรมของ Nikkiso CE&IG และความพยายามในการผลิตปั๊มนี้ก็ไม่ต่างกัน ส่งผลให้ปั๊มนี้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้านความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ การบำรุงรักษา และประสิทธิภาพ”

การเปิดตัวปั๊มนี้เกิดขึ้นจากความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของทั้ง Nikkiso CE&IG และ Nikkiso Co ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ในการให้บริการตลาดแอมโมเนียในหลากหลายรูปแบบ โดย Nikkiso CE&IG มีประสบการณ์กว่าสี่ทศวรรษในการสร้างปั๊มมอเตอร์แบบจุ่มสำหรับใช้กับแอมโมเนีย และเพิ่งได้รับการอนุมัติในหลักการสำหรับระบบจ่ายเชื้อเพลิงแอมโมเนียแบบใหม่ ควบคู่ไปกับเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนแบบอุณหภูมิแวดล้อมและแบบไฟฟ้าสำหรับแอมโมเนียที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะทางที่มีอยู่และได้รับการพิสูจน์แล้ว ฝ่ายอุตสาหกรรมของ Nikkiso Co ได้สร้างปั๊มมอเตอร์แบบกระป๋องมากกว่า 7,000 ตัวสำหรับใช้ในการจัดการแอมโมเนีย และมีแผนจะเปิดตัวปั๊มแอมโมเนียเหลวสำหรับการผลิตพลังงานความร้อนในปีหน้า

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ

Eric Sensat ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ – ปั๊มมอเตอร์แบบจุ่มใต้น้ำของ Nikkiso CE&IG จะมีการนำเสนอปั๊มแอมโมเนียแบบจุ่มใต้น้ำรุ่นใหม่นี้ที่บูทของ Nikkiso CE&IG (J14) เวลา 10.30 น. และ 13.30 น. ในวันพุธที่ 10 กันยายน 2025

เกี่ยวกับ Nikkiso Clean Energy & Industrial Gases Group

Nikkiso Clean Energy & Industrial Gases Group คือผู้ให้บริการชั้นนำด้านอุปกรณ์และโซลูชันไครโอเจนิกทั่วโลกที่ตอบสนองความต้องการของตลาดพลังงานคาร์บอนต่ำและก๊าซอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและโซลูชันที่ทำงานร่วมกัน เรามุ่งมั่นขับเคลื่อนอนาคตของตลาดพลังงาน การขนส่ง การเดินเรือ การบินและอวกาศ และก๊าซอุตสาหกรรม

กลุ่มบริษัทมีพนักงานมากกว่า 1,800 คนใน 12 ประเทศ และบริหารงานโดย Cryogenic Industries, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ถือหุ้นโดย Nikkiso Co., Ltd (TSE: 6376)

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Nikkiso CE&IG Group ได้ที่ NikkisoCEIG.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สื่อ
Ross Davidson
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารภายนอก
+44 (0)7946 930741
Ross.davidson@nikkisoceig.com
pr@nikkisoceig.com

ที่มา: Nikkiso Clean Energy & Industrial Gases Group

NIPPON KINZOKU เดินหน้าโปรโมต SFA Finish ในฐานะผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม

Logo

SFA Finish ช่วยให้เหล็กกล้าคาร์บอนและเหล็กกล้าเครื่องมืออ่อนตัวลง แม้เป็นชิ้นงานที่ยากต่อการแปรรูป

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–09 กันยายน 2025

NIPPON KINZOKU CO., LTD. (สำนักงานใหญ่: มินาโตะ-คุ โตเกียว) เตรียมผลักดันการจำหน่าย “SFA Finish” สำหรับเหล็กกล้าคาร์บอนและเหล็กกล้าเครื่องมือ ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มความง่ายในการแปรรูปด้วยการทำให้วัสดุอ่อนตัวลง ถือเป็นผลิตภัณฑ์ลำดับที่ 5 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “Eco-Product” ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

Compared to standard annealed finishes, SFA finish offers greater elongation, preventing processing cracks.

เมื่อเทียบกับการอบอ่อนจะเห็นว่า SFA Finish ให้ความยืดหยุ่นสูงกว่า และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการแตกร้าวระหว่างแปรรูป

“SFA (Super Full Annealing) Finish” เป็นผลิตภัณฑ์ลิขสิทธิ์เฉพาะของเรา ที่ช่วยให้วัสดุอ่อนตัวลงและไม่เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีด้วยการปรับสภาวะการผลิตให้เหมาะสมที่สุด การทำให้วัสดุอ่อนตัวลงทำให้การแปรรูปง่ายขึ้นและช่วยลดการคืนตัว ส่งผลให้กระบวนการมีประสิทธิภาพและเพิ่มอัตราผลผลิตมากขึ้น รวมถึงช่วยประหยัดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ “SFA finish” สำหรับเหล็กกล้าคาร์บอนและเหล็กกล้าเครื่องมือของเรา จึงได้รับการรับรองว่าเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์สิ่งแวดล้อม “Eco-Product” ตามมาตรฐานของบริษัท เรามุ่งมั่นที่จะผลิตสินค้าอย่างยั่งยืนผ่านการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ยิ่งไปกว่านั้น ผลิตภัณฑ์นี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “NIPPON KINZOKU 2030” ตามแผนธุรกิจฉบับที่ 11 ภายใต้คีย์เวิร์ดสำคัญอย่าง “Near Net Performance” (บรรลุประสิทธิภาพที่ต้องการของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ขั้นวัสดุ) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เราตั้งเป้าว่าจะขยายการจัดจำหน่ายให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์

คุณสมบัติและคุณประโยชน์ของ SFA Finish

  1. องค์ประกอบทางเคมี
    คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการปรับปรุงโดยปรับสภาพการรีดเย็นให้เหมาะสม องค์ประกอบทางเคมีจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลง
     
  2. คุณสมบัติเชิงกล
    เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการอบอ่อน SFA Finish ให้ความเหนียวที่เหนือกว่า พร้อมความอ่อนตัวที่มากกว่า (ความแข็งแรงต่ำกว่า)
     
  3. ความง่ายในการแปรรูป
    เนื่องจากมีการคืนตัวต่ำจึงทำให้ชิ้นงานค่อนข้างคงตัวหลังการแปรรูป
     
  4. โครงสร้างของโลหะ
    ขนาดของคาร์ไบด์ทรงกลมอยู่ที่ประมาณ 1.0-1.5 μm ซึ่งเทียบเท่ากับการอบอ่อนทั่วไป
     
  5. คุณสมบัติหลังอบชุบความร้อน
    โครงสร้างจุลภาคและความแข็งหลังชุบแข็งและการอบคืนตัวเทียบเท่าวัสดุพื้นฐานทั่วไป

คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.nipponkinzoku.co.jp/assets/images/2025/09/934d41c708857ee8bb4409fafb7ffb18.pdf

ภาพรวมของผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดเย็น

บริษัทของเราเริ่มผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นตั้งแต่ปี 1930 ทำให้เราเป็นผู้ผลิตที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานที่สุดในญี่ปุ่น เราภูมิใจที่ได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ตรงตามข้อกำหนดและขนาดที่หลากหลายในทุกอุตสาหกรรม

ภาพรวมของผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่น

ด้วยเครื่องจักรเฉพาะของบริษัทที่ออกแบบโดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการรีดเย็นและเทคโนโลยีชั้นนำในอุตสาหกรรม เราจึงสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้
URL: https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/corporate-profile/business/cold-rolled-stainless-steel-strip

เกี่ยวกับกลุ่มบริษัท NIPPON KINZOKU

ผลิตภัณฑ์ของเราถูกนำไปใช้ในหลายสาขา ตั้งแต่งานที่ต้องการความแม่นยำไปจนถึงอุตสาหกรรมก่อสร้าง https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/20250908712511/en

Contacts

NIPPON KINZOKU CO., LTD. แผนกกระบวนการผลิตและสนับสนุน
โทร: +81-3-5765-8113
https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/inquiry

ที่มา: NIPPON KINZOKU CO., LTD.

Autel Energy เปิดตัวแพลตฟอร์มการชาร์จรุ่นใหม่: ตั้งแต่โมดูลระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ออกแบบภายในองค์กรไปจนถึงระบบตู้ที่ปรับขนาดได้ เทอร์มินัลประสิทธิภาพสูง และเครื่องชาร์จแบบออลอินวันที่ได้รับการอัปเกรด

Logo

เบอร์ลิน-(BUSINESS WIRE)–05 กันยายน 2025

ด้วยแนวคิด “พลังไร้ขีดจำกัด – เริ่มต้นจากศูนย์” ในงานเปิดตัวระดับโลก Autel Energy Europe ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำหน้าที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นโซลูชันรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ และปรับขนาดได้ที่เพิ่มขึ้นในยุโรปและทั่วโลก แพลตฟอร์มนี้สร้างขึ้นจากโมดูลพลังงานระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ออกแบบภายในองค์กร ผสานประสิทธิภาพสูงเข้ากับความสามารถในการปรับเปลี่ยนที่เหนือชั้น มอบโซลูชันการชาร์จที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย

Andreas Lastei, Vice President of Sales and Marketing at Autel Energy Europe, presents the MaxiCharger DS600L

Andreas Lastei รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของ Autel Energy Europe นำเสนอ MaxiCharger DS600L

MaxiModule LCM60/120: โมดูลระบายความร้อนด้วยของเหลวประสิทธิภาพสูงที่พัฒนาภายในองค์กร

แกนหลักของแพลตฟอร์มคือโมดูลพลังงานระบายความร้อนด้วยของเหลว MaxiModule LCM60/120 ที่ Autel พัฒนาขึ้นเอง มีให้เลือกทั้งขนาด 60 กิโลวัตต์และ 120 กิโลวัตต์ โมดูลเหล่านี้ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อประสิทธิภาพการแปลงพลังงานสูง ความเสถียรในระยะยาว และการทำงานที่ยั่งยืนภายใต้สภาวะการทำงานที่หนักหน่วง โมดูลเหล่านี้มอบประสิทธิภาพทางความร้อนที่สม่ำเสมอแม้ในขณะที่ใช้พลังงานสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับประโยชน์จากต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของที่ต่ำลง เวลาทำงานที่สูงขึ้น และความสามารถในการปรับขนาดที่พร้อมรองรับอนาคต

MaxiCharger DS600L: ระบบตู้ที่ปรับขนาดได้พร้อมสถาปัตยกรรมแบบซ้ำซ้อน

โมดูลพลังงานใหม่นี้ถูกรวมเข้ากับระบบตู้ชาร์จ MaxiCharger DS600L ของ Autel ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จขนาดใหญ่ที่มีกำลังไฟฟ้ารวมสูงสุด 3 เมกะวัตต์ต่อคลัสเตอร์ตู้ชาร์จ

เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการทำงาน MaxiCharger DS600L จึงมีสถาปัตยกรรมสำรองสำหรับส่วนประกอบสำคัญต่างๆ เช่น โมดูลจ่ายไฟ ชุดควบคุม และเมทริกซ์สวิตชิ่ง ซึ่งออกแบบขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ที่จะลดเวลาหยุดทำงานให้เหลือศูนย์ เมื่อใช้ร่วมกับชุดอุปกรณ์ปลายทางของ Autel ระบบจะรองรับการกำหนดค่าไซต์งานที่ยืดหยุ่น รองรับ CCS และ MCS แอปพลิเคชันสำหรับยานพาหนะและคลังสินค้า และการผสานรวม BESS และ PV ได้อย่างราบรื่น ทั้งหมดนี้ควบคุมผ่านระบบ EMS ของ Autel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของพลังงานและประสิทธิภาพการทำงาน DS600L ยังสามารถจับคู่กับชุดจ่ายและชุดอุปกรณ์ปลายทางที่หลากหลายได้อย่างยืดหยุ่น ตั้งแต่เสารถยนต์โดยสารไปจนถึงตู้จ่ายรถบรรทุกสำหรับงานหนัก ทำให้สามารถออกแบบโซลูชันที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการที่หลากหลายของไซต์งาน เทอร์มินัล MaxiCharger DT1500 รองรับเอาต์พุตสูงสุด 1,500 แอมป์ และ 1.44 เมกะวัตต์ จึงมั่นใจได้ถึงความพร้อมสำหรับความต้องการการชาร์จแบบเร็วพิเศษแห่งอนาคต

อัปเกรดเครื่องชาร์จแบบออลอินวันเป็น MaxiCharger DH600

Autel ได้ยกระดับเครื่องชาร์จแบบออลอินวันด้วย MaxiCharger DH600 ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก MaxiCharger DH480 ที่ยังคงขนาดกะทัดรัดและดีไซน์ที่เพรียวบางของรุ่นเดิมไว้ พร้อมมอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด MaxiCharger DH600 มาพร้อมกับสายชาร์จระบายความร้อนด้วยของเหลว รองรับกระแสไฟสูงสุด 650 แอมป์ ให้กำลังส่งสูงต่อเนื่อง 600 กิโลวัตต์ พร้อมประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม ด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่ต่อเนื่องสูงขึ้น ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และความสามารถในการปรับตัวที่ดีขึ้นสำหรับสถานการณ์การชาร์จที่หลากหลาย MaxiCharger DH600 จึงรับประกันการทำงานที่เชื่อถือได้แม้ในสภาวะที่ยากลำบากที่สุด

บริการ MaxiCare และการผสานรวม AI

นอกเหนือจากความก้าวหน้าด้านฮาร์ดแวร์แล้ว Autel ยังเน้นย้ำถึงความสามารถในการให้บริการ MaxiCare และฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เครื่องมือเหล่านี้รองรับการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ การเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายแบบเรียลไทม์ และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถจัดการโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาหยุดทำงาน และมอบกระบวนการชาร์จที่ราบรื่นยิ่งขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ จากจุดนี้ Autel ยังสำรวจการประยุกต์ใช้ AI ในการชาร์จและการตรวจสอบในวงกว้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและวางรากฐานสำหรับนวัตกรรมในอนาคต

“ด้วยการพัฒนาโมดูลพลังงานหลักภายในองค์กรและการผสานรวมเข้ากับระบบตู้ที่ปรับขนาดได้ เทอร์มินัลประสิทธิภาพสูง และเครื่องชาร์จแบบออลอินวันรุ่นใหม่ เราจึงมอบความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือให้กับตลาดการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังพัฒนา” กล่าวโดย Andreas Lastei รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของ Autel Energy ยุโรป “ด้วยแพลตฟอร์มบริการอัจฉริยะและความสามารถของ AI ของเรา รวมถึงความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับ CCS, MCS, BESS และ PV การเปิดตัวครั้งนี้จึงเป็นรากฐานที่ครอบคลุมสำหรับการสร้างเครือข่ายการชาร์จแห่งอนาคต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของยุโรปไปสู่การขนส่งที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์”

*วันวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาค โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250905801873/en

Contacts

ฝ่ายขายและการตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก:

FiFi Huang

marketing.jp@autel.com

ที่มา: Autel Energy

การประชุม EmPOWER AI 2025 ผนึกกำลังนวัตกรรมด้านพลังงานและ AI ร่วมสร้างโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งอนาคต

Logo

ซีอีโอของ Glean จะบรรยายปาฐกถาสำคัญ พร้อมรับฟังมุมมองจาก Ameren IL, APS, OG&E, SMUD, NV Energy, Itron, Infosys, AWS และบริษัทอื่นๆ

ลอสอัลโตส, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–04 กันยายน 2025

Bidgelyจัดงานประชุมด้านข่าวกรองด้านพลังงานชั้นนำในชื่อว่า “EmPOWER AI” ในระหว่างวันที่ 16-18 กันยายน ณ เมืองนาปา รัฐแคลิฟอร์เนีย งานประชุมประจำปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมจากบริษัทระดับโลกกว่า 40 แห่ง เพื่อจุดประกายการสนทนาเชิงวิพากษ์ระหว่างผู้นำด้านสาธารณูปโภค ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล และผู้บริหารด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เกี่ยวกับบทบาทของ AI ที่กำลังปฏิวัติวงการนี้

Bidgely's EmPOWER AI, held September 16-18 in Napa, California, gathers over 40 global energy companies to explore how AI is revolutionizing the sector.

งาน EmPOWER AI ของ Bidgely จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 กันยายน ณ เมืองนาปา รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยรวบรวมบริษัทพลังงานระดับโลกกว่า 40 แห่ง เพื่อสำรวจว่า AI กำลังปฏิวัติวงการนี้อย่างไร

“งานนี้ถือเป็นเวทีสำคัญสำหรับการนำเสนอความก้าวหน้าด้าน AI ระลอกใหม่ของเรา โดยปีที่แล้ว Bidgely ได้เปิดตัวผลงานอันล้ำสมัยของเราในด้าน AI เชิงสร้างสรรค์ ส่วนในปีนี้ ผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสโซลูชัน AI ใหม่ล่าสุดอันทรงพลังของเราอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำมีความยืดหยุ่นมากกว่าที่เคยในการนำ AI มาใช้ในธุรกิจสาธารณูปโภคต่างๆ” Abhay Gupta ซีอีโอของ Bidgely กล่าว “เราแทบรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันความสำเร็จอันน่าทึ่งของลูกค้าและเปิดเผยถึงอนาคตของอุตสาหกรรมพลังงาน”

งาน EmPOWER AI ปีนี้จัดขึ้นโดย PacifiCorp ผู้ให้บริการโครงข่ายไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาตะวันตก และเป็นพันธมิตรกับ Bidgely มายาวนาน ภายในงานจะประกอบด้วยหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการแยกส่วนพลังงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI การแบ่งส่วนตลาดและการมีส่วนร่วมของลูกค้ายุคใหม่ รวมถึงการวางแผนโครงข่ายไฟฟ้าและการใช้ไฟฟ้า โดยหัวข้อเหล่านี้จะมีการพูดคุยอย่างเข้มข้นจากบริษัทสาธารณูปโภคชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญของ Bidgely วิทยากรหลักของ EmPOWER AI ในปีนี้ คือ Arvind Jain ผู้มีวิสัยทัศน์ด้าน AI ในสถานที่ทำงานและซีอีโอของ Glean ซึ่งจะมาพูดคุยถึงแนวทางที่บริษัทสาธารณูปโภคสามารถกำหนดทิศทางของ AI ในอนาคต

“EmPOWER AI มอบพื้นที่พิเศษที่ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกอุตสาหกรรมมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับนวัตกรรม และเรียนรู้จากประสบการณ์ AI ของกันและกัน” Shawn Grant ผู้อำนวยการฝ่ายโซลูชันลูกค้าของ PacifiCorp กล่าว “นี่คือการแลกเปลี่ยนแบบเปิดที่เร่งให้เราทุกคนก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น ตั้งแต่ขอบเครือข่ายไปจนถึงศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลง”

การสนทนาในระดับโลกกับ Local Insight

กิจกรรม EmPOWER AI ‘Insights Tour’ ใหม่ ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2025 จะสิ้นสุดลงที่เมืองนาปา โดยรวบรวมบทสนทนาและข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน ณ สถานที่ต่างๆ ในแคนาดาและยุโรป กิจกรรมระดับภูมิภาคทั้งสองแห่งนี้ได้รวมตัวผู้ให้บริการสาธารณูปโภคและผู้บริหารเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำลายกำแพงกั้นระหว่างลูกค้าและการวางแผนโครงข่ายไฟฟ้า โดยใช้กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โครงสร้างพื้นฐานการวัดขั้นสูง (AMI) 2.0 และ AI เชิงสร้างสรรค์ (GenAI) เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของโครงข่ายไฟฟ้าและการมีส่วนร่วมของลูกค้า

“ผมคิดว่า EmPOWER AI เป็นกิจกรรมที่โดดเด่น พวกเขาเชิญผู้คนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันและมีปัญหาคล้ายกันในอุตสาหกรรมของตนเองจากทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น” Sumit Verma รองประธานฝ่ายประสบการณ์ลูกค้าของ TAQA Distribution ในอาบูดาบี กล่าว “ปัญหาของบริษัทหนึ่งอาจเป็นทางออกของอีกบริษัทหนึ่งก็ได้”

การสร้างเครือข่ายผู้บริหารและการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา

การประชุม EmPOWER AI ของ Bidgely เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสโซลูชันล่าสุดสำหรับความท้าทายที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค การประชุมนี้ผสมผสานวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลเข้ากับการประยุกต์ใช้งานจริงที่ภาคสาธารณูปโภคกำลังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ตลอดงานจะมีการแบ่งปันมุมมองจากองค์กรต่างๆ เช่น Ameren Illinois, APS, OG&E, SMUD, NV Energy, Avista, Itron, AWS, Infosys และองค์กรชั้นนำด้านนวัตกรรมอื่นๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าด้านพลังงาน

หัวข้อของเซสชันประกอบด้วย

  •  การย้ายลูกค้าจากขอบเครือข่ายไปสู่ศูนย์กลางแห่งนวัตกรรม
  •  เปลี่ยนโครงข่ายไฟฟ้าคงที่ของคุณให้เป็นระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ AI
  •  เร่งความสำเร็จของโครงการ EV ด้วย AI
  •  โหลดที่ชาญฉลาดขึ้น ใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดขึ้น: พลิกโฉมการออกแบบ TOU และอัตราค่าบริการ
  •  จาก AMI สู่ AI: การออกแบบเพื่ออนาคตด้วยปัญญาประดิษฐ์แบบกระจาย
  •  การพัฒนาความเสมอภาคและความสามารถในการซื้อโดยใช้ข้อมูล
  •  การคาดการณ์และเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตของโครงข่ายไฟฟ้า 10 เท่า

เปิดลงทะเบียน EmPOWER AI 2025 แล้ว ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bidgely.com/empower-ai/

เกี่ยวกับ Bidgely

Bidgely คือบริษัท SaaS ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งกำลังเร่งสร้างอนาคตพลังงานสะอาด ด้วยการช่วยให้บริษัทพลังงานและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับพลังงานโดยอาศัยข้อมูล โดยแพลตฟอร์ม UtilityAI™ ของ Bidgely นั้นขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของเราที่ได้รับการจดสิทธิบัตรที่จะแปลงข้อมูลของลูกค้าในหลากหลายมิติ เช่น การใช้พลังงาน ข้อมูลประชากร และปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ให้เป็นข้อมูลเชิงลึกด้านพลังงานของผู้บริโภคที่แม่นยำและสามารถนำไปใช้ได้จริง เราใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เพื่อมอบคำแนะนำเฉพาะบุคคลให้กับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการส่วนบุคคลและไลฟ์สไตล์ คุณลักษณะการใช้งาน รูปแบบพฤติกรรม แนวโน้มการซื้อ และอื่นๆ โดย Bidgely กำลังพัฒนานวัตกรรมมิเตอร์อัจฉริยะด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสำหรับโซลาร์เซลล์ (PV) การตรวจจับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) การปรับเปลี่ยนโหลดและการจัดการการชาร์จตามพฤติกรรมของรถยนต์ไฟฟ้า การขโมยพลังงาน การคาดการณ์โหลดระยะสั้น การวิเคราะห์โครงข่ายไฟฟ้า และการออกแบบอัตราการใช้งาน (TOU) โดยระบบวิเคราะห์พลังงาน UtilityAI™ ของ Bidgely นั้นสามารถมอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการผลิตและการบริโภค เพื่อการวางแผนและกำหนดรูปแบบการใช้พลังงานสูงสุด (Peak Load) ที่ดีขึ้น พร้อมให้คำแนะนำที่ตรงจุดสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่ม Bidgely ตั้งอยู่ที่ซิลิคอนแวลลีย์ มีสิทธิบัตรด้านพลังงานมากกว่า 16 ฉบับ เงินทุนกว่า 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลมากกว่า 30 คน และนำความหลงใหลใน AI มาสู่สาธารณูปโภค โดยให้บริการลูกค้าทั้งที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ทั่วโลก ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bidgely.com หรือบล็อกของ Bidgely ที่ bidgely.com/blog

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250904069383/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Christine Bennett
Bidgely
press@bidgely.com

ที่มา: Bidgely

จาก EHR ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สู่การแชร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ InterSystems Asia Healthcare Summit 2025 ชูอินโดนีเซียในฐานะผู้นำด้านสุขภาพดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Logo

ผู้นำระดับโลกและระดับท้องถิ่นรวมตัวกันที่จาการ์ตาเพื่อนำเสนอความก้าวหน้าที่กำลังพลิกโฉมการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพและนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลทั่วทั้งภูมิภาค

จาการ์ตา, อินโดนีเซีย–(BUSINESS WIRE)–04 กันยายน 2025

InterSystems เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ที่บริหารจัดการข้อมูลสุขภาพมากกว่าหนึ่งพันล้านรายการทั่วโลก ได้จัดงาน Asia Healthcare Summit 2025 เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีผู้นำจากภาครัฐ ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ และภาคเทคโนโลยีสารสนเทศมากกว่า 200 ราย ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นมาร่วมประชุม โดยได้ยกย่องอินโดนีเซียในฐานะสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมของการดูแลสุขภาพในเอเชีย ด้วยนโยบายที่ก้าวหน้า การลงทุนจากภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น และระบบนิเวศความร่วมมือที่เชื่อมโยงความเชี่ยวชาญระดับโลกเข้ากับนวัตกรรมในท้องถิ่น อินโดนีเซียกำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสุขภาพดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจุดประกายความก้าวหน้าด้านการดูแลผู้ป่วยที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

ระบบการดูแลสุขภาพของอินโดนีเซียกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านความพร้อมทางดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยแผนงานการเปลี่ยนแปลงของกระทรวงสาธารณสุข และความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับข้อมูลที่เชื่อถือได้และทำงานร่วมกันได้ และระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI Terry Ragon, ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ InterSystems กล่าวว่า “เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านการประมวลผลในขณะที่เราเข้าสู่ยุค AI โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรม และในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ลูกค้าของเราได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังส่งมอบการดูแลระดับโลกให้กับภูมิภาคนี้ด้วยเทคโนโลยีของเราอย่างไร”

แม้จะมีแรงผลักดันที่แข็งแกร่ง แต่ภาคการดูแลสุขภาพของเอเชียยังคงเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมาย รวมถึงระบบเดิมที่กระจัดกระจาย ความรู้ด้านดิจิทัลที่ไม่สม่ำเสมอ และความกังวลของสาธารณชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล Luciano Brustia, กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ InterSystems กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงด้านการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องของอินโดนีเซียไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสำเร็จในระดับชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอีกด้วย ภาวะผู้นำที่มองการณ์ไกล ความร่วมมือในอุตสาหกรรม และความพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและปรับขนาดได้มาใช้ กำลังจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้เกิดขึ้น”

โซลูชันในโลกแห่งความเป็นจริง ผลกระทบที่พิสูจน์แล้ว

InterSystems ได้สาธิตวิธีการที่แพลตฟอร์มข้อมูล InterSystems IRIS for Health™ ของบริษัท รวบรวมข้อมูลจากหลายระบบแบบเรียลไทม์เพื่อ “สื่อสารในภาษาเดียวกัน” ที่พร้อมสำหรับ AI และการวิเคราะห์โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเดิม แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้โรงพยาบาลต่างๆ พัฒนาระบบให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดการหยุดชะงัก ระบบบันทึกข้อมูลทางการแพทย์อิเล็กทรอนิกส์ InterSystems TrakCare® ซึ่งใช้งานโดยโรงพยาบาลและห้องปฏิบัติการชั้นนำหลายแห่งในอินโดนีเซีย ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มข้อมูลนี้ โซลูชันเหล่านี้ใช้มาตรฐานข้อมูลระดับโลก เช่น HL7® FHIR® ควบคู่ไปกับการสนับสนุนโครงการริเริ่มระดับชาติ เช่น SATUSEHAT

ในอินโดนีเซีย เทคโนโลยีของ InterSystems ได้ให้การสนับสนุนผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพชั้นนำมากมาย อาทิ Prodia, EMC Healthcare, Tzu Chi Hospital, EKA Hospital, Pondok Indah Group, Asia One Healthcare และ Bali International Hospital ความร่วมมือเหล่านี้ครอบคลุมเครือข่ายห้องปฏิบัติการระดับชาติและโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกระทรวงสาธารณสุขในการดูแลผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางและเชื่อมโยงถึงกัน

หนึ่งในไฮไลท์ของงานคือ EMC Healthcare ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในเอเชียที่นำ InterSystems Intellicare™ ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่มาใช้ โดยเป็นระบบ EHR แบบบูรณาการที่ขับเคลื่อนด้วย AI และสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มข้อมูลที่เชื่อถือได้ของ InterSystems เช่นกัน “IntelliCare ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้แพทย์ของเรามีเวลามากขึ้นในการให้ความสำคัญกับผู้ป่วย ในขณะที่ข้อมูลผู้ป่วยจะไหลอย่างปลอดภัยและรวดเร็ว เพื่อการตัดสินใจที่รอบด้าน” กล่าวโดย Jusup Halimi, ซีอีโอของ EMC Healthcare

Don Woodlock, หัวหน้าฝ่ายโซลูชันการดูแลสุขภาพระดับโลกของ InterSystems ได้กล่าวถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของ InterSystems เพื่อตอบโจทย์การไหลเวียนข้อมูลอย่างราบรื่นในระบบการดูแลสุขภาพ ซึ่งรวมถึงโซลูชัน Unified Care Record ที่ได้รับรางวัล Best in KLAS ประจำปี 2025 ในยุโรป สาขา Shared Care Records/HIE โดยได้นำเสนอตัวอย่างความสามารถใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นของ AI เชิงตัวแทนที่กำลังจะเปิดตัวใน InterSystems IntelliCare ที่จะช่วยให้ผู้ให้บริการดูแลสุขภาพมีผู้ช่วยที่สามารถช่วยวางแผนและดำเนินงานต่างๆ เพื่อประหยัดเวลาและช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น

ปฏิวัติวงการการดูแลสุขภาพในอินโดนีเซีย

อีกหนึ่งไฮไลท์ของงาน ดร. Noel Yeo, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และปฏิบัติการที่ Bali International Hospital ซึ่งเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2025 ใจกลางเขตเศรษฐกิจพิเศษซานูร์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ของบาหลีสำหรับการดูแลสุขภาพ ดร. Yeo ได้พูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่โรงพยาบาลกำลังปฏิวัติการให้บริการดูแลสุขภาพในอินโดนีเซีย และบทบาทของ TrakCare ในการช่วยผลักดันขอบเขตใหม่ๆ ในการให้บริการดูแลสุขภาพ

การประชุมสุดยอดครั้งนี้มีการสาธิตผลิตภัณฑ์สดจาก InterSystems รวมถึงการให้คำปรึกษาด้วย AI และข้อมูลเชิงลึกของผู้ป่วย อวาตาร์ AI เพื่อสนับสนุนแพทย์ในการทำงานทั่วไป และการแบ่งปันข้อมูลที่ราบรื่นระหว่างภาคส่วนต่างๆ ของระบบนิเวศด้านสุขภาพและการดูแล ซึ่งช่วยเชื่อมช่องว่างระหว่างวิสัยทัศน์ด้านนโยบายและความเป็นจริงทางคลินิก โดยพันธมิตรด้านโซลูชันและบริการของ InterSystems จำนวน 10 รายได้ร่วมจัดแสดงใน Partner Pavilion รวมถึงกลุ่ม ST Engineering ซึ่งเป็นกลุ่มเทคโนโลยีระดับโลก การป้องกันประเทศ และวิศวกรรมที่เป็นพันธมิตรด้านการใช้งานและโซลูชันรายใหม่ล่าสุดของ InterSystems ในภูมิภาคอาเซียน

Tan Bin Ru, ประธานฝ่าย Enterprise Digital ของ ST Engineering กล่าวว่า “การผสานรวมระบบอัจฉริยะของเราเข้ากับแพลตฟอร์มข้อมูลด้านการดูแลสุขภาพของ InterSystems ทำให้ศูนย์บัญชาการ AGIL® Care ของเราช่วยเสริมสร้างความสามารถในการทำงานร่วมกันของโรงพยาบาล ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความยืดหยุ่นในการจัดการวิกฤตและการระบาดใหญ่”

InterSystems สรุปงานโดยแสดงความยินดีกับลูกค้าในเอเชียที่สร้างมาตรฐานใหม่ในด้านสุขภาพดิจิทัลด้วยการบรรลุการตรวจสอบขั้นที่ 6 หรือ 7 จาก HIMSS Electronic Medical Record Adoption Model (EMRAM) โดย Pondok Indah Hospital Group เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในอินโดนีเซียที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน EMRAM ขั้นที่ 6 โดยในขณะนี้ได้บรรลุมาตรฐานขั้นที่ 7 แล้วสำหรับโรงพยาบาลทั้งสามแห่งในเครือ และ EMC Grha Kedoya เพิ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน HIMSS EMRAM ขั้นที่ 6 รวมถึงสถาบันหัวใจแห่งชาติมาเลเซียที่ได้กลายเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในมาเลเซียที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน HIMSS EMRAM ขั้นที่ 6

โดยตัวแทนเห็นพ้องกันว่าการผสานรวมรข้อมูลที่ปลอดภัยและการนำระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้จะช่วยลดภาระงาน เร่งการวินิจฉัย และปรับปรุงการมีส่วนร่วมและผลลัพธ์ของผู้ป่วย โซลูชันเหล่านี้สนับสนุนวิสัยทัศน์ของรัฐบาลอินโดนีเซียโดยตรงในการสร้างระบบนิเวศสุขภาพดิจิทัลที่ปลอดภัย ครอบคลุม และให้ความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง

วิทยากรเน้นย้ำว่าเส้นทางข้างหน้าจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างความทะเยอทะยานทางเทคโนโลยีกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีจริยธรรม การกำกับดูแลที่โปร่งใส ความปลอดภัยของข้อมูลที่แข็งแกร่ง และการดูแลที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ความพร้อมของอินโดนีเซียในการเป็นผู้นำนั้นเกิดจากการผสมผสานวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ศักยภาพของภาคเอกชน และการเปิดกว้างต่อความร่วมมือระดับโลก

เกี่ยวกับ InterSystems

InterSystems เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ มอบรากฐานแบบครบวงจรสำหรับแอปพลิเคชันยุคใหม่สำหรับลูกค้าด้านการดูแลสุขภาพ การเงิน การผลิต และซัพพลายเชนในกว่า 80 ประเทศ แพลตฟอร์มข้อมูลของเราช่วยแก้ปัญหาด้านความสามารถในการทำงานร่วมกัน ความเร็ว และความสามารถในการปรับขนาดสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก เพื่อปลดล็อกพลังของข้อมูลและช่วยให้ผู้คนรับรู้ข้อมูลได้อย่างสร้างสรรค์ โดย InterSystems นั้นก่อตั้งขึ้นในปี 1978 มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศด้วยการสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน InterSystems เป็นบริษัทเอกชนและมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ มีสำนักงาน 38 แห่งใน 28 ประเทศทั่วโลก ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.intersystems.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

รายชื่อผู้ติดต่อสื่อ
Lindsay Kiley
PR@intersystems.com

ที่มา: InterSystems

Toshiba เปิดตัว SiC MOSFETs รุ่นที่ 3 ขนาด 650V ในแพ็กเกจ TOLL

Logo

– 3 อุปกรณ์ใหม่ที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพ และความหนาแน่นพลังงานของอุปกรณ์อุตสาหกรรม –

คาวาซิกิ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–28 สิงหาคม 2025

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) เปิดตัว SiC MOSFETs ขนาด 650V จำนวน 3 ตัวที่มาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุด[1] ชิป SiC MOSFET รุ่นที่ 3ในแพ็กเกจ TOLL แบบติดตั้งบนพื้นผิว อุปกรณ์รุ่นใหม่ที่เหมาะกับเครื่องจักรอุตสาหกรรม เช่น แหล่งจ่ายไฟแบบสวิตช์และตัวปรับกำลังไฟสำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การจัดส่ง MOSFETs, “ TW027U65C,” “ TW048U65C,” และ “ TW083U65C,” เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้

Toshiba: 650V 3rd generation SiC MOSFETs in TOLL package.

Toshiba: SiC MOSFETs รุ่นที่ 3 ขนาด 650V ในแพ็กเกจ TOLL

ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้คือ SiC MOSFETs รุ่นที่ 3 ของ Toshiba ในแพ็กเกจ TOLL แบบติดตั้งบนพื้นผิวสำหรับการใช้งานทั่วไป ช่วยลดขนาดของอุปกรณ์ได้มากกว่า 80% เมื่อเทียบกับแพ็กเกจแบบทะลุผ่านรู อย่าง TO-247 และ TO-247-4L(X) พร้อมเพิ่มความหนาแน่นพลังงานของอุปกรณ์อีกด้วย

นอกจากนี้ แพ็กเกจ TOLL มีค่าความต้านทานปรสิต[2]ต่ำกว่าแพ็กเกจแบบทะลุผ่านรู ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานขณะสลับสวิชต์เปิดปิด และเนื่องจากเป็นแพ็กเกจแบบ 4 [3]ขั้วจึงสามารถใช้การเชื่อมต่อแบบเคลวินเป็นขั้วต่อแหล่งสัญญาณสำหรับวงจรขับเกตได้ วิธีนี้ช่วยลดผลกระทบการเหนี่ยวนำจากสายไฟต้นทางภายในแพ็กเกจ ส่งผลให้การสลับสวิตช์มีประสิทธิภาพและความเร็วสูง อย่างในกรณีของ TW048U65C การสูญเสียพลังงานขณะเปิดและปิดลดลงประมาณ 55% และ 25% [4]ตามลำดับ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ของ Toshiba ในปัจจุบัน[5]ซึ่งส่งผลให้การสูญเสียพลังงานของอุปกรณ์ลดลง

Toshiba จะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่อไป เพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพของอุปกรณ์และเพิ่มความสามารถในการจ่ายพลังงาน

กลุ่มผลิตภัณฑ์แพ็กเกจ SiC MOSFET รุ่นที่ 3

ประเภท

แพ็กเกจ

แบบทะลุผ่านรู

 TO-247

 TO-247-4L(X)

แบบติดตั้งบนพื้นผิว

 DFN8×8

 TOLL

หมายเหตุ:
[1] ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2025
[2] ความต้านทาน ความเหนี่ยวนำ และอื่นๆ
[3] ผลิตภัณฑ์ที่ขั้วสัญญาณต้นทางเชื่อมต่อใกล้ชิป FET
[4] ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2025 วัดค่าโดย Toshiba สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากรูปที่ 1 ในข่าวประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ Toshiba.
[5] SiC MOSFET รุ่นที่ 3 ขนาด 650V กับแรงดันเทียบเท่าและความต้านทานขณะเปิดที่ใช้แพ็กเกจ TO-247 โดยไม่มีการเชื่อมต่อแบบเคลวิน

การใช้งาน

  • แหล่งจ่ายไฟแบบสวิตช์โหมดในเซิร์ฟเวอร์ ศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์สื่อสาร ฯลฯ
  • สถานีชาร์จรถไฟฟ้า
  • ตัวแปลงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
  • แหล่งจ่ายไฟสำรอง

คุณสมบัติ

  • แพ็กเกจ TOLL แบบติดตั้งบนพื้นผิว: ช่วยลดขนาดของเครื่องจักร รองรับการประกอบอัตโนมัติ และลดการสูญเสียพลังงานขณะสลับสวิชต์
  • SiC MOSFETs รุ่นที่ 3 ของ Toshiba:
     – ปรับอัตราส่วนระหว่างความต้านทานดริฟต์และความต้านทานช่องสัญญาณ ทำให้ความต้านทานขณะเปิดระหว่างขั้วเดรนและขั้วซอร์สมีความคงที่ตามอุณหภูมิ
     – ค่าความต้านทานขณะเปิดระหว่างเดรน-ซอร์ส x ประจุเกตและเดรนต่ำ
     – แรงดันตกคร่อมของไดโอดต่ำ: VDSF =-1.35V(typ.) (VGS =-5V)

 รายละเอียดสำคัญ

 (เว้นแต่ระบุเป็นอย่างอื่น, Ta =25 องศาเซลเซียส)

หมายเลขผลิตภัณฑ์

 TW027U65C

 TW048U65C

 TW083U65C

แพ็กเกจ

ชื่อ

TOLL

ขนาด (มิลลิเมตร)

ประเภท

9.9×11.68×2.3

 ค่า
สูงสุด
สัมบูรณ์

แรงดันระหว่างเดรน-ซอร์ส VDSS (โวลต์)

650

แรงดันระหว่างเกต-ซอร์ส VGSS (โวลต์)

-10 ถึง 25

กระแสเดรน (DC) ID (แอมแปร)

 Tc =25°C

57

39

28

 คุณลักษณะทางไฟฟ้า

ความต้านทานขณะเปิดระหว่างเดรน-ซอร์ส RDS(ON) (mΩ)

 VGS =18V

ประเภท

27

48

83

แรงดันเกต Vth (V)

 VDS =10V

3.0 ถึง 5.0

 ประจุเกตรวม Qg (nC)

 VGS =18V

Typ.

65

41

28

ประจุเกต-เดรน Qgd (nC)

 VGS =18V

Typ.

10

6.2

3.9

ความจุอินพุต Ciss (pF)

 VDS =400V

Typ.

2288

1362

873

แรงดันตกคร่อมของไดโอด VDSF (V)

 VGS =-5V

Typ.

-1.35

ดูตัวอย่างและความพร้อมของสินค้า

 สั่งซื้อออนไลน์

 สั่งซื้อออนไลน์

 สั่งซื้อออนไลน์

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
TW027U65C
TW048U65C
TW083U65C

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปกรณ์พลังงาน SiC ของ Toshiba ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
SiC Power Devices

ตรวจสอบความพร้อมของผลิตภัณฑ์ที่ตัวแทนจำหน่ายออนไลน์ได้ที่:
TW027U65C
สั่งซื้อออนไลน์

TW048U65C
สั่งซื้อออนไลน์

TW083U65C
สั่งซื้อออนไลน์

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้นๆ
* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ บริการด้านเนื้อหา และข้อมูลติดต่อ เป็นข้อมูล ณ วันที่ประกาศ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง ใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมมากกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ

โดยมีพนักงานกว่า 19,400 คนทั่วโลกที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงสุด และส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าในการสร้างมูลค่าและตลาดใหม่ๆ ร่วมกัน บริษัทมุ่งหวังที่จะสร้างและมีส่วนสนับสนุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับผู้คนโดยทั่วไป

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250827523831/en

Contacts

ช่องทางการติดต่อสอบถามสำหรับลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์พลังงานและสัญญาณขนาดเล็ก
โทร: +81-44-548-2216
ติดต่อสอบถาม

ช่องทางการติดต่อสอบถามสำหรับสื่อ:
C. Nagasawa
ฝ่ายสื่อสารและวิเคราะห์ตลาด
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

The Bangkok Reporter