ศรีลังกาเปิดตัวแผนแม่บทผลิตภาพแห่งชาติเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในทศวรรษหน้า

Logo

โคลัมโบ ศรีลังกา–(BUSINESS WIRE)–21 พฤศจิกายน 2025

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2025 รัฐบาลศรีลังกาได้เปิดตัวแผนแม่บทผลิตภาพแห่งชาติอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นแผนงาน 5 ปีที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนประเทศจากการฟื้นตัวจากวิกฤตไปสู่การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยผลิตภาพและมุ่งเน้นการส่งออก

The National Productivity Master Plan for Sri Lanka was formally presented to the Prime Minister of Sri Lanka, Hon. Harini Amarasuriya (center), during a courtesy visit.

แผนแม่บทการผลิตแห่งชาติของศรีลังกาได้รับการนำเสนออย่างเป็นทางการต่อนายกรัฐมนตรีศรีลังกา Harini Amarasuriya (กลาง) ในระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการ

แผนแม่บทนี้ครอบคลุมปี 2024–29 ได้รับการพัฒนาโดยสำนักเลขาธิการผลิตภาพแห่งชาติและกระทรวงอุตสาหกรรมและการพัฒนาผู้ประกอบการของศรีลังกา โดยได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคจากองค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) ซึ่งได้มอบหมายให้ศูนย์เพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสถาบันพัฒนาเกาหลีเป็นผู้นำในการวิเคราะห์และร่างร่วมกับ APO

ดร. Indra Pradana Singawinata เลขาธิการ APO เน้นย้ำว่าแผนดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อเชื่อมโยงการเปลี่ยนผ่านของศรีลังกาจากการสร้างเสถียรภาพในระยะสั้นไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาว: “การสร้างเสถียรภาพได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงยังไม่เกิดขึ้น โดยแผนแม่บทผลิตภาพแห่งชาตินี้จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างการสร้างเสถียรภาพในระยะสั้นกับความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนในระยะยาว”

แผนแม่บทนี้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปที่ตรงเป้าหมาย โดยให้ความสำคัญกับนวัตกรรม การพัฒนาทุนมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ​​สถาบันสาธารณะที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และกลยุทธ์เฉพาะภาคส่วนสำหรับอุตสาหกรรมการค้าที่สำคัญ การลงทุนในภาคส่วนที่มีการแข่งขันและการค้าขายได้ และการปรับทักษะให้สอดคล้องกับโอกาส โดยศรีลังกาจะสามารถเพิ่มผลผลิตควบคู่ไปกับการขยายงบประมาณ เสริมสร้างสถานะภายนอกประเทศ เร่งการฟื้นตัวจากภาวะชะงักงัน และเปลี่ยนการจ้างงานในต่างประเทศจากความจำเป็นให้กลายเป็นทางเลือก

J. M. Thilaka Jayasundara เลขาธิการกระทรวงอุตสาหกรรมและการพัฒนาผู้ประกอบการ กล่าวถึงการเปิดตัวครั้งนี้ว่าเป็น “ช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างยิ่ง” สำหรับขบวนการด้านผลิตภาพที่มีมายาวนานของศรีลังกา และเน้นย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของศรีลังกาที่จะปลูกฝังผลิตภาพในทุกภาคส่วนของสังคม เธอเน้นย้ำถึงเป้าหมายในปี 2030 ที่จะเพิ่มสัดส่วน GDP ของภาคอุตสาหกรรมเป็น 28% สร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นจากการผลิต และเพิ่มรายได้จากภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกรวมเป็น 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 4.5 ​​หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ

Chathuranga Abeysinghe รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการพัฒนาผู้ประกอบการ เรียกแผนแม่บทนี้ว่า “จุดเปลี่ยนของประเทศ” และยินดีกับการเสนอจัดตั้งคณะกรรมการผลิตภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จในการดำเนินการและการติดตาม

หลังพิธีเปิดตัว ดร. Indra เลขาธิการ APO พร้อมด้วยคณะผู้แทนจาก APO และสถาบันพัฒนาเกาหลี และเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการด้านผลิตภาพแห่งชาติ ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี Harini Amarasuriya เพื่อมอบแผนแม่บทอย่างเป็นทางการและหารือแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการ การเข้าเยี่ยมคารวะครั้งนี้ได้ช่วยตอกย้ำว่าเรื่องผลิตภาพเป็นเรื่องที่การเมืองระดับสูงให้ความสนใจ และแผนแม่บทนี้จะถูกพิจารณาเป็นวาระสำคัญสำหรับการปฏิรูปประเทศ

เกี่ยวกับแผนแม่บทผลิตภาพแห่งชาติ 2024–29

แผนแม่บทนี้กำหนดกลยุทธ์ร่วมรัฐบาลในการเพิ่มผลผลิตและความสามารถในการแข่งขันโดยให้ความสำคัญกับนวัตกรรม ทักษะ โครงสร้างพื้นฐาน และสถาบันสาธารณะที่ชาญฉลาดมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สนับสนุนภาคส่วนสำคัญของเกษตรกรรม ประมง การท่องเที่ยว สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซอฟต์แวร์ และ ICT

เกี่ยวกับ APO

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคที่อุทิศตนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพผลผลิตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือซึ่งกันและกัน องค์การไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง ไม่แสวงหากำไร และไม่เลือกปฏิบัติ ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้ง 8 ราย ปัจจุบัน APO ประกอบด้วยเศรษฐกิจสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา สาธารณรัฐจีน ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สปป.ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไทย ตุรกี และเวียดนาม

APO กำลังกำหนดทิศทางอนาคตของภูมิภาคโดยส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิกผ่านบริการให้คำแนะนำด้านนโยบายระดับชาติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกลุ่มนักคิด ริเริ่มสร้างศักยภาพสถาบัน และการแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มผลผลิต

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251120954778/en

Contacts

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อหน่วยข้อมูลดิจิทัล APO: pr@apo-tokyo.org
เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org

ที่มา: Asian Productivity Organization

AWS และ HUMAIN ขยายความร่วมมือด้วยโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ NVIDIA และข้อตกลงชิป AI ของ AWS เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ระดับโลก

Logo

  •  การขยายความร่วมมือนี้ครอบคลุมการปรับใช้เครื่องเร่งความเร็ว AI มากถึง 150,000 เครื่อง รวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI NVIDIA GB300s ล่าสุดและ ชิป Trainium ของ AWS
  •  Amazon Bedrock จะให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงโมเดลฐานรากที่ดีที่สุดในระดับเดียวกันซึ่งได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานชิป AI ประสิทธิภาพสูงที่หลากหลาย
  •  AWS กลายเป็นพันธมิตรด้าน AI ที่ HUMAIN เลือกใช้ โดย AWS และ HUMAIN ร่วมมือกันเพื่อนำการประมวลผล AI และบริการต่างๆ ไปสู่ลูกค้าทั่วโลก

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–20 พฤศจิกายน 2025

Amazon Web Services, Inc. (AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com, Inc. (NASDAQ: AMZN) และ HUMAIN ที่เป็นบริษัทกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (PIF) ที่ให้บริการโซลูชัน AI แบบฟูลสแตกระดับโลก ประกาศในวันนี้ที่งาน U.S.-Saudi Investment Forum เกี่ยวกับแผนการจัดหา ใช้งาน และบริหารจัดการตัวเร่งความเร็ว AI สูงสุด 150,000 ตัวในศูนย์ข้อมูลที่เรียกว่า “AI Zone” ในริยาด ภายใต้ความร่วมมือที่ขยายขอบเขตนี้ AWS จะกลายเป็นพันธมิตร AI ที่ HUMAIN เลือกใช้ทั่วโลก และทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันเพื่อนำการประมวลผล AI และบริการจากซาอุดีอาระเบียมาสู่ลูกค้าทั่วโลก

Tanuja Randery, Managing Director, Europe, Middle East & Africa, AWS and Tareq Amin, CEO of HUMAIN

Tanuja Randery กรรมการผู้จัดการประจำยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาของ AWS และ Tareq Amin ซีอีโอของ HUMAIN

AI Zone แห่งแรกในซาอุดีอาระเบียจะรองรับเวิร์กโหลดการฝึกอบรมและการอนุมาน AI ที่ทันสมัย ​​ด้วยการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI NVIDIA GB300 ล่าสุด และชิป Trainium AI ของ AWS โครงสร้างพื้นฐานนี้จะรองรับเวิร์กโหลด AI ที่ใช้การประมวลผลสูงหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการฝึกฝนแบบจำลองและการอนุมานสำหรับแอปพลิเคชัน AI ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนาจากแนวคิดสู่การผลิตได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน NVIDIA และซอฟต์แวร์ AI ที่ผสานรวมกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการของ AWS ได้อย่างราบรื่น

โครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลเร่งความเร็วชั้นนำของอุตสาหกรรมนี้มาพร้อมกับความปลอดภัย การปรับขนาด และความน่าเชื่อถือที่จำเป็นในการรันเวิร์กโหลด AI ด้วยความมั่นใจ ซึ่งจะทำให้ AI Zone แห่งแรกของซาอุดีอาระเบียกลายเป็นหนึ่งในโซนที่ทันสมัยและมีนวัตกรรมมากที่สุดในโลก

AI Zone จะสนับสนุนองค์กรระดับโลกและนักนวัตกรรมเทคโนโลยี และจะตอบสนองความต้องการด้าน AI ของซาอุดีอาระเบียและความต้องการการประมวลผลทั่วโลกที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว บริการ AI เชิงสร้างสรรค์เฉพาะทางของ AWS ซึ่งรวมถึง Amazon Bedrock, Amazon AgentCore และ Amazon SageMaker จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงโมเดลพื้นฐานชั้นนำได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์มเดียว Amazon Bedrock ช่วยลดการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงโมเดลพื้นฐานได้โดยไม่จำเป็นต้องเลือกหรือจัดการโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลพื้นฐาน

เพื่อยกระดับขีดความสามารถของ AI Zone ที่วางแผนไว้ HUMAIN จะเข้าร่วม AWS Solution Provider Program ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการของ AWS ผ่านแพลตฟอร์มแบบครบวงจร เพื่อเร่งการนำ AI มาใช้ทั่วทั้งภูมิภาคและในระดับสากล ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นการสานต่อความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างทั้งสองบริษัท และแผนร่วมที่ประกาศเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 เพื่อลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน AI บริการ AWS รวมถึงการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรด้าน AI ในซาอุดีอาระเบีย

“นี่ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในความมุ่งมั่นของเราในการร่วมมือกับ HUMAIN” Tanuja Randery กรรมการผู้จัดการประจำยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาของ AWS กล่าว “การผสานความเชี่ยวชาญและการลงทุนในท้องถิ่นของ HUMAIN เข้ากับโซลูชัน AI ของ AWS ซึ่งรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง ความร่วมมือด้านฮาร์ดแวร์กับ NVIDIA แพลตฟอร์ม AI เชิงปฏิรูปอย่าง Amazon Bedrock และโซลูชัน AI สำหรับผู้ใช้ทางธุรกิจ เช่น Amazon Quick Suite ทำให้เราสามารถสร้างศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลกที่จะให้บริการลูกค้าทั่วซาอุดีอาระเบียและทั่วโลก ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชัน AWS HUMAIN จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถปลดล็อกศักยภาพของ AI เชิงสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงเอเจนต์สำหรับธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐ เรากำลังเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความต้องการในท้องถิ่นและศักยภาพระดับโลก ความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละของเราในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและบุคลากรที่มีความสามารถ ซึ่งจะกำหนดอนาคตของ AI ทั้งในราชอาณาจักรและต่างประเทศ”

“AI Zone ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่เป้าหมายหลายกิกะวัตต์ของ HUMAIN และ AWS นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โครงสร้างพื้นฐานนี้ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อตอบสนองทั้งความสำคัญระดับชาติและความต้องการการประมวลผล AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก” Tareq Amin ซีอีโอของ HUMAIN กล่าว “สิ่งที่ทำให้ความร่วมมือนี้แตกต่างอย่างแท้จริงคือขอบเขตของความมุ่งมั่นของเราและนวัตกรรมในการทำงานร่วมกัน ด้วยรูปแบบเชิงพาณิชย์ที่ล้ำสมัยและความมุ่งมั่นร่วมกันในการขยายตลาดทั่วโลก เรากำลังสร้างระบบนิเวศที่จะกำหนดอนาคตของแนวคิด AI ที่จะถูกสร้างขึ้น นำไปใช้ และปรับขนาดสำหรับทั้งโลก”

ส่งเสริมนวัตกรรม เร่งสร้างบุคลากรท้องถิ่น

ความร่วมมือระหว่าง AWS และ HUMAIN นี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งการนำ AI มาใช้และส่งเสริมเป้าหมายของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในการเป็นผู้นำด้าน AI ระดับโลก

นอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐานแล้ว AWS และ HUMAIN จะร่วมมือกันเพื่อเร่งการนำ AI มาใช้ในภาคส่วนสาธารณะและเอกชน พัฒนาโมเดลภาษาอาหรับขนาดใหญ่ขั้นสูง รวมถึง “ALLAM” ซึ่งเป็นโมเดลภาษาอาหรับขนาดใหญ่ตัวแรกของ HUMAIN และสร้างตลาดตัวแทน AI ที่เป็นหนึ่งเดียวสำหรับบริการภาครัฐ

เพื่อสร้างบุคลากรที่ยั่งยืนและพร้อมรับอนาคต AWS จะฝึกอบรมพลเมืองซาอุดีอาระเบีย 100,000 คนในด้านการประมวลผลบนคลาวด์และ AI เชิงสร้างสรรค์ ผ่าน Amazon Academy ร่วมกับ PIF และสนับสนุนโครงการพัฒนาทักษะเฉพาะทางเพื่อฝึกอบรมสตรี 10,000 คน ความพยายามเหล่านี้จะช่วยเตรียมความพร้อมของบุคลากรสำหรับเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนช่วยสร้างมูลค่า GDP ของประเทศถึง 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030

เกี่ยวกับ Amazon Web Services

ตั้งแต่ปี 2006 Amazon Web Services ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ที่ครอบคลุมและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดในโลก AWS ได้ขยายบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับปริมาณงานแทบทุกประเภท และปัจจุบันมีบริการที่ครบครันกว่า 240 บริการสำหรับการประมวลผล การจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล ระบบเครือข่าย การวิเคราะห์ การเรียนรู้ของเครื่องและปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) อุปกรณ์เคลื่อนที่ ระบบรักษาความปลอดภัย ไฮบริด สื่อ และการพัฒนา การปรับใช้ และการจัดการแอปพลิเคชัน จาก 120 Availability Zone ใน 38 ภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ พร้อมประกาศแผนการขยาย Availability Zone เพิ่มอีก 10 โซน และ AWS Region อีก 3 แห่งในชิลี ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และ AWS European Sovereign Cloud ลูกค้าหลายล้านคน ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่เติบโตเร็วที่สุด องค์กรขนาดใหญ่ และหน่วยงานภาครัฐชั้นนำ ต่างไว้วางใจให้ AWS ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มความคล่องตัว และลดต้นทุน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AWS ได้ที่ aws.amazon.com

เกี่ยวกับ HUMAIN

HUMAIN ซึ่งเป็นบริษัท PIF เป็นบริษัทปัญญาประดิษฐ์ระดับโลกที่มอบความสามารถ AI แบบฟูลสแต็กใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ ศูนย์ข้อมูลรุ่นถัดไป โครงสร้างพื้นฐานประสิทธิภาพสูงและแพลตฟอร์มคลาวด์ โมเดล AI ขั้นสูง รวมถึง LLM ภาษาอาหรับที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกที่สร้างขึ้นในโลกอาหรับ และโซลูชัน AI เชิงปฏิรูปซึ่งผสมผสานข้อมูลเชิงลึกของภาคส่วนเข้ากับการดำเนินการในโลกแห่งความเป็นจริง

โมเดลแบบครบวงจรของ HUMAIN ให้บริการทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน ปลดล็อกมูลค่ามหาศาลในทุกอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และเสริมสร้างขีดความสามารถผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ AI เฉพาะภาคส่วนที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และพันธกิจหลักในการขับเคลื่อนความเป็นผู้นำด้านทรัพย์สินทางปัญญาและความสามารถด้านบุคลากรทั่วโลก HUMAIN จึงได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลกและสร้างความโดดเด่นระดับประเทศ

www.humain.com

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวเผยแพร่ฉบับนี้ประกอบด้วยข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าซึ่งอ้างอิงจากการคาดการณ์และสมมติฐานในปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากเนื่องจากความไม่แน่นอน HUMAIN ไม่มีภาระผูกพันในการปรับปรุงข้อความเหล่านี้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/20251119637708/en

Contacts

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อมวลชน
Hana Nemec, HUMAIN
pr@humain.com
+966 53 847 7638

ที่มา: Amazon.com, Inc.

ครั้งแรกของโลก: การแข่งขันรถยนต์ไร้คนขับได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดในอาบูดาบี ในขณะที่ A2RL ซีซั่น 2 แสดงให้เห็นถึงการทำลายสถิติความเร็ว การแซงที่กล้าหาญ และการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ด้วย AI

Logo

  • TUM คว้าแชมป์ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ 6 คันแรกของโลกของ A2RL
  • ทีมจากนานาชาติ 11 ทีม ร่วมแข่งขันชิงเงินรางวัลรวม 2.25 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • มนุษย์ปะทะ AI: อดีตดาวเด่นของ F1 อย่าง Daniil Kvyat ยังคงนำหน้ารถแข่งไร้คนขับอยู่เล็กน้อย โดยในตอนนี้ผู้ขับขี่ที่เป็นมนุษย์ยังคงมีข้อได้เปรียบอยู่เล็กน้อย
  • ชมการแข่งขันได้ที่นี่: https://youtu.be/d9LLZ5mb5cA?si=RgJnvjWhdasZdXZS

อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–17 พฤศจิกายน 2025

Abu Dhabi Autonomous Racing League หรือ A2RL ได้ส่งมอบช่วงเวลาสำคัญแห่งเทคโนโลยีอัตโนมัติ เมื่อรถแข่งไร้คนขับทั้งหกคันได้ท้าทายขีดจำกัดด้านประสิทธิภาพของ AI ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศครั้งแรกของโลก ณ สนามแข่ง Yas Marina Circuit ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสถิติความเร็ว การแซงที่กล้าหาญ และการตัดสินใจของ AI ที่รวดเร็วในเสี้ยววินาที โดย TUM ของเยอรมนี ยังคงตอกย้ำถึงความโดดเด่นด้วยการป้องกันตำแหน่งแชมป์เอาไว้ได้ ตามมาด้วย TII Racing (UAE) ในอันดับที่สอง และ PoliMOVE (อิตาลี) ในอันดับที่สามการแข่งขันระหว่างทีมจากนานาชาติ 11 ทีมเพื่อชิงเงินรางวัลรวม 2.25 ล้านเหรียญสหรัฐ และการดวลกันระหว่างมนุษย์กับ AI ซึ่งมีอดีตสตาร์ F1 อย่าง Daniil Kvyat เป็นดาวเด่นของงาน งานนี้แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันและเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังนั้นได้พัฒนาก้าวหน้าไปมากเพียงใดนับตั้งแต่ฤดูกาลที่ 1

World First: Autonomous Racing Leaps Forward in Abu Dhabi as A2RL Season 2 Showcases Record Speed, Bold Overtakes and Real-Time AI Decision-Making (Photo: AETOSWire)

ครั้งแรกของโลก: การแข่งขันรถยนต์ไร้คนขับได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดในอาบูดาบี ในขณะที่ A2RL ซีซั่น 2 แสดงให้เห็นถึงการทำลายสถิติความเร็ว การแซงที่กล้าหาญ และการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ด้วย AI (ภาพ: AETOSWire)

นับตั้งแต่การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทีม TUM เจ้าของตำแหน่งโพลโพซิชันต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากทีม Unimore (อิตาลี) ที่ได้โชว์ความเร็วทำลายสถิติของตนเอง ไล่ตามมาและแซงขึ้นนำในโค้งที่ 6 ก่อนจบรอบที่สอง โดยตลอดสิบรอบต่อมา ทั้งคู่ยังคงต่อสู้กันด้วยความเร็วกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้เวลาห่างกันไม่ถึงหนึ่งวินาทีตลอดการแข่งขัน เมื่อถึงครึ่งทางของการแข่งขัน 20 รอบ ทั้งคู่ไล่ตามมาติดๆ ในเวลาไม่ถึงครึ่งวินาที จนไปเจอกับทีมในกลุ่มท้ายๆ ในขณะที่ Unimore กำลังจะแซง Constructor (เยอรมนี) อันดับที่ 6 แต่กลับชนเข้าไปที่ท้ายรถกลางโค้ง ส่งผลให้รถทั้งสองคันออกนอกเส้นทาง และเสียตำแหน่งนำให้กับ TUM ซึ่งคว้าชัยชนะไปครอง ส่วน Unimore คว้ารางวัลความเร็วรอบที่เร็วที่สุดในการแข่งขัน

ถ้วยรางวัลและเหรียญรางวัลถูกมอบให้กับผู้ชนะการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของ A2RL โดยชีค Zayed bin Mohamed bin Zayed Al Nahyan, ชีค Mohammed bin Sultan bin Khalifa Al Nahyan รองประธานสโมสรกีฬาทางทะเลนานาชาติอาบูดาบี และประธานสหพันธ์กีฬาทางทะเลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ ฯพณฯ Faisal Al Bannai ที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และเลขาธิการสภาวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูง

ฯพณฯ Faisal Al Bannai ได้แสดงความคิดเห็นถึง A2RL ว่า: “A2RL แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อความทะเยอทะยานอันแรงกล้ามาบรรจบกับวินัยทางวิทยาศาสตร์ งานนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่เป็นสนามทดสอบที่เร่งอนาคตของระบบอัตโนมัติ พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนในเทคโนโลยีที่จะแผ่ขยายไปทั่วเมือง ทางอากาศ และอุตสาหกรรมของเราในเร็วๆ นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นบนเส้นทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของบุคลากรที่มีความสามารถระดับโลก การวิจัยที่เข้มข้น และความเชื่อมั่นของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ว่าความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นเร็วขึ้นเมื่อคุณเชิญชวนให้โลกร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมไปกับคุณ”

ศาสตราจารย์ Markus Lienkamp หัวหน้าทีม TUM กล่าวว่า: “เราคาดหวังไว้ตั้งแต่ต้นว่าจะมีการแข่งขันที่ดุเดือดกับ Unimore พวกเขาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในทุกการทดสอบ โดยเฉพาะเมื่อใช้ยางเย็น เราคาดว่าพวกเขาจะแซงเราในรอบที่สอง และเราจะเข้าใกล้พวกเขามากขึ้นเมื่อยางเริ่มอุ่นขึ้น แน่นอนว่าเราหวังว่าจะได้เห็นการแข่งขันกับ Unimore จนจบการแข่งขัน โดยสิ่งที่เราแสดงให้เห็นในค่ำคืนนี้คือการพัฒนาอย่างรวดเร็วและความสามารถระดับมืออาชีพของทีมในการแข่งขันชิงแชมป์นี้ทำให้เราสามารถแข่งขันกันอย่างสูสีต่อหน้าผู้ชมในคืนนี้ได้”

Marko Bertogna หัวหน้าทีม Unimore Racing กล่าวว่า: “ผมมีความสุขมากๆ กับสมรรถนะที่เราแสดงให้เห็น ความเร็วของเรา การแซง ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงระดับมืออาชีพที่เราทำได้ แม้แต่นักแข่งที่เป็นมนุษย์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชนที่เราประสบได้ นี่คือธรรมชาติของการแข่งรถสมรรถนะสูง ผมมีความสุขมากกับผลลัพธ์ทางเทคโนโลยี แต่แน่นอนว่าไม่ค่อยพอใจกับผลลัพธ์สุดท้ายเท่าไหร่”

ในฤดูกาลที่สอง A2RL และทีมที่เข้าร่วมได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างมากในจุดตัดระหว่างมอเตอร์สปอร์ต โมบิลิตี้ และปัญญาประดิษฐ์ โดย A2RL ซึ่งมักถูกเรียกว่า “วิทยาศาสตร์ในโดเมนสาธารณะ” กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีการแข่งรถไร้คนขับสมรรถนะสูงด้วยการสร้างแรงกดดันในการแข่งขันที่รุนแรง

การแข่งขันรอบคัดเลือกแบบเข้มข้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไม่เพียงแต่ไล่ตามหลังมนุษย์ด้วยเวลาต่อรอบที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ยังแซงหน้าพวกเขาด้วย โดยขยับจากที่ตามหลังไม่กี่นาที เหลือเพียงเสี้ยววินาที ในรอบชิงชนะเลิศ ได้มีการสร้างสถิติการแข่งขันรถยนต์ไร้คนขับที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีหกทีมเข้าร่วมการแข่งขัน ประกอบด้วย TUM, Unimore, Kinetiz (UAE), TII Racing, PoliMOVE และ Constructor (ตามลำดับตำแหน่งโพลสตาร์ท)

มนุษย์ปะทะเครื่องจักร: Daniil Kvyat เผชิญหน้ากับนักขับ AI ของ Champion

Daniil Kvyat อดีตนักแข่งฟอร์มูล่าวัน ตกตะลึงกับความก้าวหน้าของทีมต่างๆ นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาต้องเผชิญหน้ากับนักแข่ง AI ในการแข่งขัน A2RL ปี 2024 ที่ประเทศญี่ปุ่น ครั้งนี้ เขาได้ลงแข่งขันกับ HAILEY รถยนต์ไร้คนขับของแชมป์เก่า TUM ซึ่งเริ่มต้นด้วยการออกตัวแบบรวดเดียวด้วยระยะห่าง 10 วินาที โดย Kvyat ได้รับเวลาเพียง 10 รอบในการไล่ล่าคู่แข่ง AI ของเขา ซึ่ง Kvyat สามารถทำสถิติต่อรอบที่ดีที่สุดของเขาที่ 57.57 วินาที ขณะที่ HAILEY ได้ทำสถิติเวลาต่อรอบที่ดีที่สุดคือ 59.15 วินาที โดยเหลือความต่างเพียงแค่ 1.58 วินาทีระหว่างพวกเขา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากช่องว่าง 10 วินาทีเมื่อ 18 เดือนที่แล้ว และเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า AI กำลังตามทันอย่างรวดเร็ว โดยการแสดงปิดท้ายจบลงด้วยการที่ทั้งคู่วิ่งข้ามเส้นชัยมาอย่างกระชั้นชิด ซึ่งสร้างความสุขให้กับแฟนๆ บนอัฒจันทร์เป็นอย่างมาก

Daniil Kvyat แสดงความคิดเห็นว่า: “เมื่อย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ตอนที่การพัฒนา A2RL เริ่มต้นขึ้นครั้งแรก ช่วงเวลาระหว่างมนุษย์กับรถ AI อาจจะสั้นเพียงไม่กี่นาที แต่ในโชว์เคสแรกของเราเมื่อปีที่แล้ว เหลือเพียง 10 วินาที และตอนนี้เราได้เห็นประสิทธิภาพที่เร็วกว่าเพียงเสี้ยววินาที ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้ช่างน่าทึ่ง ในฐานะผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีและเป็นนักแข่ง นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนานี้มาตั้งแต่เริ่มต้น การได้ลงสนามพร้อมกับนักแข่ง AI นั้นแตกต่างจากที่อื่น และเป็นเรื่องสนุกที่ได้นำการแข่งขันที่น่าตื่นเต้นมาสู่แฟนๆ ในค่ำคืนนี้”

Stephane Timpano ซีอีโอของ ASPIRE ซึ่งเป็นหน่วยงาน ATRC ที่ขับเคลื่อน A2RL ให้ความเห็นว่า: “ขอแสดงความยินดีกับ TUM สำหรับชัยชนะอันน่าทึ่ง รอบชิงชนะเลิศครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทำไม A2RL ถึงมีอยู่จริง นั่นคือการก้าวข้ามขีดจำกัดของเทคโนโลยีอัตโนมัติผ่านการแข่งขันจริง ในเวลาเพียง 18 เดือน ทีมต่างๆ ได้พัฒนาจากการหยุดนิ่งไปสู่การทำเวลาต่อรอบที่เหนือมนุษย์ และเอาชนะการแซงที่ซับซ้อนได้ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าที่ต้องใช้เวลาหลายปี ด้วยการผสมผสาน SIM Sprint เสมือนจริงเข้ากับการทดสอบในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างเข้มข้น พวกเขาได้ปลดล็อกศักยภาพที่จะมีอิทธิพลมากกว่าแค่การแข่งขัน ต้องขอขอบคุณทั้ง 11 ทีมที่แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมที่แท้จริงภายใต้แรงกดดันนั้นเป็นอย่างไร”

นอกจากนี้ A2RL ยังจัดการแข่งขัน STEM ควบคู่ไปกับการแข่งขันหลัก โดยมีนักเรียนกว่า 140 คนจากทั้งเจ็ดรัฐของเอมิเรตส์ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ได้เข้าร่วมโปรแกรมการศึกษาร่วมการแข่งรถอัตโนมัติ DeepRacer ขนาด 1/18 ซึ่งเป็นเงาสะท้อนถึงการแข่งขัน A2RL โปรแกรมนี้มุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญด้านระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ โดยในปีนี้ ผู้ชนะของ University League คือ ‘UAE University’ ขณะที่ ‘SABIS – Ras Al Khaimah’ คว้ารางวัลชนะเลิศระดับมัธยมศึกษา

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของ A2RL ประจำปีนี้ถือเป็นการปิดท้ายของงาน Abu Dhabi Autonomous Week (ADAW – สัปดาห์ไร้คนขับของ Abu Dhabi) ครั้งแรก งานประชุมหกวันที่ได้รวบรวมนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมไว้ด้วยกันในหลากหลายการประชุมสุดยอด นิทรรศการ และกิจกรรมสำคัญๆ มากมาย โดย ADAW ประกอบด้วยการประชุมสุดยอด Abu Dhabi Autonomous Summit, นิทรรศการ DRIFTx และ RoboCup ของเอเชียแปซิฟิก

A2RL ซีซั่น 2 มีผู้เข้าร่วมชมมากกว่า 8,000 คน ความจุ ณ อัฒจันทร์ฝั่งเหนือ ได้รับการสนับสนุนจาก SteerAI ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำด้านโครงสร้างพื้นฐานและ AD Ports Group, พันธมิตรอย่างเป็นทางการอย่าง AWS และ Abu Dhabi Mobility, ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ได้แก่ WIO Bank PHSC, Exxon Mobil และ Castore, พันธมิตรทางเทคนิค PACETEQ, Live in Five, Meccanica 42 และ Vislink รวมถึงพันธมิตรด้านงานอีเวนต์ ได้แก่ Abu Dhabi Gaming, Miral – Yas Island และ UAE Cybersecurity Council

ชมการแข่งขันได้ที่นี่: https://youtu.be/d9LLZ5mb5cA?si=RgJnvjWhdasZdXZS

ที่มา: AETOSwire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251117644875/en

Contacts

Naomi Panter
naomi@navigate.partners

Alexandra Patel
alexandra.patel@edelman.com

ที่มา: Abu Dhabi Autonomous Racing League




GamesBeat เปิดตัวรายงานฉบับใหม่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก: “การสร้างโอกาสให้กับวิดีโอเกมในเอเชีย” ที่นำเสนอโดย Xsolla

Logo

รายงาน GamesBeat ฉบับล่าสุดสำรวจว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังกำหนดอนาคตการเล่นเกมระดับโลกใหม่อย่างไร

ลอสแองเจลิส–(BUSINESS WIRE)–19 พฤศจิกายน 2025

Xsolla บริษัทการค้าวิดีโอเกมชั้นนำระดับโลก ประกาศเปิดตัวรายงานล่าสุดของ GamesBeat ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างโอกาสให้กับวิดีโอเกมในเอเชีย ที่นำเสนอโดย Xsolla โดยซีรีส์รายงาน GamesBeat ที่สองนี้จะเป็นการวิเคราะห์เชิงลึกในการสำรวจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมถึงบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปลักษณ์ของอุตสาหกรรมเกมระดับโลก

(Graphic: Xsolla)

(กราฟิก: Xsolla)

รายงานนี้จัดทำโดยทีมบรรณาธิการของ GamesBeat และเขียนโดย Dean Takahashi, Rachel Kaser และกลุ่มพันธมิตรของ GamesBeat พร้อมด้วยความช่วยเหลือจากทีม Xsolla APAC โดยรายงานนี้จะสำรวจระบบนิเวศที่แตกต่างกันของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาด 3 แห่งที่มีจุดแข็งร่วมกันในการกำหนดมาตรฐานใหม่ในด้านนวัตกรรม การสร้างรายได้ และอิทธิพลทางวัฒนธรรมสำหรับความบันเทิงแบบอินเตอร์แอคทีฟ

ในปัจจุบัน เอเชียถือเป็นภูมิภาคเกมที่ใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายมากที่สุดในโลก โดยมีผู้เล่นเกมมากกว่า 286 ล้านคน ใน 6 ตลาดหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงแห่งเดียว โดยภาคส่วนเกมบนมือถือนั้นมีมูลค่าสูงถึง 14.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2025 และมีอัตราการเติบโตแซงหน้าตลาดตะวันตกเกือบสองต่อหนึ่งเท่า

ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญของรายงานมีดังนี้:

  •  ตลาดเกมของญี่ปุ่นมีมูลค่าสูงถึง 26.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 และคาดว่าจะทะลุ 60.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2033 โดยได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของเกม RPG บนมือถือและเกมไขปริศนาต่างๆ รวมถึง Enduring IP เช่นPokémon และ Final Fantasy
  • เกาหลีใต้ยังคงเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอีสปอร์ต โดยสร้างรายได้กว่า 69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 237 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2030 เนื่องจากการแข่งขันที่มุ่งเน้นไปที่อุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นอันดับแรกนั้นมีการขยายตัวมากขึ้น
  • ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นศูนย์กลางการแข่งขันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ระดับโลก โดยรายได้จากการแข่งขันอีสปอร์ตนั้นคาดว่าจะสูงมากกว่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2025 และเกมอย่าง Mobile Legends: Bang Bang ก็ได้ทำลายสถิติด้วยยอดผู้ชมพร้อมกันกว่า 5 ล้านคนในการแข่งขันชิงแชมป์โลกในปี 2024

“ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่น่าตื่นเต้นที่สุดในวงการเกมในปัจจุบัน” Berkley Egenes ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและการเติบโตของ Xsolla กล่าว ความร่วมมือกับ GamesBeat ในรายงานฉบับนี้ช่วยตอกย้ำถึงพันธกิจร่วมกันของเราในการช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้เผยแพร่เกมเข้าใจความแตกต่างในแต่ละภูมิภาค กลยุทธ์การสร้างรายได้ แนวโน้มทางวัฒนธรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อความสำเร็จ โดยข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่ากำลังมีนวัตกรรมเกิดขึ้นในตอนนี้ ส่งผลให้โอกาสต่างๆ ในระดับโลกกำลังจะเกิดขึ้นตามมาในอนาคตอันใกล้นี้

Dean Takahashi บรรณาธิการบริหารของรายงาน GamesBeat กล่าวเสริมว่า:
เอเชียไม่ได้แค่มีอิทธิพลต่อโลกเกมเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำอีกด้วย ตั้งแต่ความลุ่มลึกในเชิงเรื่องราวของญี่ปุ่น ความเชี่ยวชาญด้านอีสปอร์ตของเกาหลี ไปจนถึงการปฏิวัติวงการอุปกรณ์เคลื่อนที่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคนี้กำลังเขียนบทใหม่แห่งความบันเทิงแบบอินเตอร์แอคทีฟ โดยเป้าหมายของเราในรายงานฉบับนี้ที่ได้ร่วมมือกับ Xsolla คือการนำเสนอข้อมูลและบริบทที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมเติบโตอย่างชาญฉลาดและเชื่อมโยงกันทั่วโลกมากขึ้น

ซีรีส์รายงาน GamesBeat จะแสดงให้เห็นว่าตลาดในระดับภูมิภาคมีอิทธิพลต่อแนวโน้มโลกอย่างไร ผ่านข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ โดยซีรีส์ที่สองนี้ได้ต่อยอดความสำเร็จของสถานะของอุตสาหกรรม: รายงานดูไบ (สิงหาคม 2025) และดำเนินภารกิจต่อไปในการขยายความเข้าใจทั่วโลกเกี่ยวกับวิวัฒนาการของระบบนิเวศเกมทั่วโลก

ดาวน์โหลดรายงาน: การสร้างโอกาสให้กับวิดีโอเกมในเอเชีย

สำรวจข้อมูลตลาดระดับภูมิภาค ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกีฬาอีสปอร์ต และโอกาสใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนการเติบโตทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานล่าสุดของ GamesBeat การสร้างโอกาสให้กับวิดีโอเกมในเอเชียที่นำเสนอโดย Xsolla ที่นี่: xsolla.pro/gb-asia-report

เกี่ยวกับ Xsolla

Xsolla เป็นบริษัทพาณิชย์ระดับโลกที่มีเครื่องมือและบริการอันแข็งแกร่งเพื่อช่วยนักพัฒนาแก้ไขปัญหาสำคัญต่างๆ ของอุตสาหกรรมวิดีโอเกม ตั้งแต่เกมอินดี้ไปจนถึงเกมระดับ AAA บริษัทต่างๆ ร่วมมือกับ Xsolla เพื่อช่วยระดมทุน จัดจำหน่าย ทำการตลาด และสร้างรายได้ให้กับเกมของพวกเขา ด้วยความเชื่อมั่นในอนาคตของวิดีโอเกม Xsolla มุ่งมั่นในพันธกิจที่จะเชื่อมโยงโอกาสต่างๆ เข้าด้วยกัน และจัดหาทรัพยากรใหม่ๆ ให้กับเหล่าครีเอเตอร์อย่างต่อเนื่อง โดย Xsolla มีสำนักงานใหญ่และจดทะเบียนในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย โดยดำเนินงานในฐานะผู้ค้าเกม และได้ช่วยเหลือนักพัฒนาเกมมากกว่า 1,500 คน ให้เข้าถึงผู้เล่นได้มากขึ้นและขยายธุรกิจไปทั่วโลก ด้วยเส้นทางสู่ผลกำไรและหนทางสู่ชัยชนะที่มากขึ้น นักพัฒนาเกมจึงมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเพลิดเพลินไปกับเกม

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม xsolla.com

เกี่ยวกับ GamesBeat

GamesBeat คือแพลตฟอร์มสื่ออิสระชั้นนำที่มุ่งเน้นการนำเสนอข่าวสารและเครือข่ายที่ส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์ทางธุรกิจทั่วโลก โดย Dean Takahashi ก่อตั้ง GamesBeat ขึ้นในปี 2008 นับตั้งแต่นั้นมา GamesBeat ได้กลายเป็นศูนย์กลางการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมที่ไว้วางใจได้ ซึ่ง GamesBeat มีชุมชนระดับโลกที่ภักดีและสามารถเข้าถึงผู้บริหารระดับสูง ผู้มีอำนาจตัดสินใจ นักพัฒนา ผู้จัดพิมพ์ นักลงทุน ผู้ให้บริการเทคโนโลยี และผู้ที่ชื่นชอบต่างๆ ได้ โดย GB MAX นั้นช่วยให้ GamesBeat ก้าวสู่พันธกิจในการมอบข้อมูลเชิงลึกและเครือข่ายเชิงกลยุทธ์ที่จำเป็นต่อความสำเร็จในเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ โดย GamesBeat คือศูนย์รวมข่าวสาร เนื้อหา และกิจกรรมสดต่างๆ ที่สามารถสร้างผลกระทบในระดับสูง ซึ่งสามารถช่วยขับเคลื่อนการสนทนาในอุตสาหกรรม เสริมสร้างเครือข่าย และสร้างโอกาสในการทำงานร่วมกันได้

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม gamesbeat.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251118210337/en

Contacts

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Derrick Stembridge
รองประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ระดับโลก Xsolla
d.stembridge@xsolla.com

ที่มา: Xsolla


งานแข่งขันรถยนต์ไร้คนขับที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เหล่าแฟนๆ ของ A2RL เต็มความจุสนามแข่ง Yas Marina Circuit

Logo

  • วันที่ 15 พฤศจิกายน ณ สนามแข่ง Yas Marina Circuit อันโด่งดังของอาบูดาบี ต่อหน้าฝูงชนเต็มความจุ
  • ทีมระดับโลกสิบเอ็ดทีม ร่วมแข่งขันชิงรางวัล 2.25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  • ครั้งแรกของโลก: รถยนต์ไร้คนขับ 6 คันแข่งกัน
  • การประลองกันระหว่างมนุษย์กับ AI ระหว่าง Daniil Kvyat อดีตนักแข่ง F1 กับ TUM
  • การแข่งขันจะออกอากาศทั่วโลกในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายนนี้ เวลา 15.00 น. GST ทาง Abu ​​Dhabi Media Network, StarzPlay, Motorsport TV และช่อง YouTube อย่างเป็นทางการของ A2RL

อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–14 พฤศจิกายน 2025

การแข่งขันรถยนต์ไร้คนขับที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะจัดขึ้นที่อาบูดาบีในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ โดยมี 11 ทีมจากทั่วโลกร่วมประชันฝีมือเพื่อชิงเงินรางวัลรวม 2.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การแข่งขัน A2RL ฤดูกาลที่ 2 นี้ใช้เวลาเตรียมการนานถึง 18 เดือน โดยหกทีมที่เร็วที่สุดจะผ่านกระบวนการคัดเลือกอันเข้มข้นไปสู่รอบชิงชนะเลิศ ตั๋วเข้าชมการแข่งขันที่สนามแข่ง Yas Marina Circuit ได้เต็มความจุของอัฒจันทร์หลักอีกครั้ง โดยผู้ที่ชื่นชอบมอเตอร์สปอร์ตและเทคโนโลยีต่างตื่นเต้นที่จะได้ร่วมชมการแข่งขันด้วย AI ที่ไม่เหมือนใครนี้

EAV-25 autonomous racecars from finalist teams line up on the grid at Yas Marina Circuit. (Photo: AETOSWire)

รถแข่งไร้คนขับ EAV-25 จากทีมที่เข้ารอบสุดท้ายเรียงแถวบนกริดที่สนามแข่ง Yas Marina Circuit (ภาพ: AETOSWire)

รอบชิงชนะเลิศ: ที่นั่งแถวหน้าเพื่อชมประวัติศาสตร์ของ AI

การแข่งขัน A2RL Grand Final จะเป็นครั้งแรกที่รถแข่งไร้คนขับ 6 คันจะมาร่วมประชันกันบนสนามแข่ง โดยทีมทั้ง 6 ทีม ประกอบด้วย TUM, Unimore, Kinetiz, TII Racing, PoliMOVE และ Constructor ล้วนได้ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยตัวแทนจากเยอรมนี อิตาลี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะลงแข่งขันในสนามแข่ง 20 รอบ ชิงแชมป์ A2RL ฤดูกาลที 2 ส่วนแชมป์เก่าอย่าง TUM คว้าตำแหน่งโพลโพซิชันหลังจากการแข่งขันสปรินท์ ‘Multi-Car Qualification’ อันดุเดือดกับคู่แข่งอย่าง Unimore ที่นับเป็นการปูทางสู่การเผชิญหน้าครั้งประวัติศาสตร์

สำหรับอีกห้าทีมที่เหลือ A2RL จะจัดการแข่งขัน Silver Race เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ทดสอบอัลกอริทึมจนถึงขีดสุดและรักษาตำแหน่งโดยรวมในตารางคะแนน โดยทีมใน Silver Race ประกอบด้วย RAPSON, Code 19, Fly Eagle, FR4IAV และ TGM Grand Prix

มนุษย์ปะทะกับ AI: การปิดช่องว่างด้านประสิทธิภาพ

การเตรียมตัวก่อนเปิดฤดูกาลสำหรับการแข่งขันได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมา เนื่องจากช่องว่างระหว่างประสิทธิภาพของมนุษย์และ AI กำลังแคบลง ในรอบคัดเลือก ทีม Unimore จากอิตาลีเป็นทีมแรกที่ทำลายสถิติเวลาต่อรอบที่นักแข่งมนุษย์ทำไว้ระหว่างการทดสอบ

การสาธิตความแม่นยำของเครื่องจักรเทียบกับสัญชาตญาณของมนุษย์ และวิวัฒนาการอันรวดเร็วของประสิทธิภาพของ AI จะถูกนำมาจัดแสดงในวันแข่งขัน โดยแชมป์เก่าอย่าง TUM จะได้รับสิทธิพิเศษในการแข่งขันกับอดีตนักแข่ง F1 อย่าง Daniil Kvyat ในการแข่งขันระหว่างมนุษย์กับ AI ครั้งที่สองของ A2RL โดยคาดว่าจะเป็นการแข่งขันที่สูสีในครั้งนี้ หลังจากได้มีการทำลายสถิติความเร็วของทีมในรอบคัดเลือก

รถซุปเปอร์คาร์ แฟนโซน และอื่นๆ อีกมากมาย

เพื่อเป็นการเริ่มต้นกิจกรรมหลักของค่ำคืนนี้ กลุ่ม 63 จะลงสนามเพื่อแสดง Supercar Parade Laps อันน่าตื่นตาตื่นใจ แล้วปูทางไปสู่การแข่งขันรถยนต์ไร้คนขับ ต่อด้วยรางวัลสำหรับการแข่งขัน A2RL STEM Competition ซึ่งมีนักศึกษา 140 คนจากทั้ง 7 ประเทศเข้าร่วมแข่งขันสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ AWS DeepRacer ขนาด 1/18 ที่เหมือนกับการแข่งขัน A2RL จริง

Fan Zone ระดับโลกประจำปีนี้จะมอบประสบการณ์ที่สมจริงสำหรับทุกเพศทุกวัย ภายในงานจะประกอบไปด้วยการจัดแสดงหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ เกมอินเทอร์แอคทีฟ กิจกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่สามารถลงมือปฏิบัติจริง ความบันเทิงสด และเครื่องเล่นสำหรับครอบครัวที่จะมอบความตื่นเต้นเร้าใจของนวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับให้มากกว่าแค่บนสนามแข่ง

การแข่งขันจะถ่ายทอดสดไปทั่วโลกในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายนนี้ เวลา 15.00 น. GST ทาง Abu ​​Dhabi Media Network, StarzPlay, Motorsport TV และช่อง YouTube อย่างเป็นทางการของ A2RLโดยเป็นอีกครั้งที่แฟนๆ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ทันทีด้วย แพลตฟอร์ม VR สดของA2RL ที่จะทำให้สามารถสัมผัสประสบการณ์ในสนามแข่ง ข้อมูลรถสด และการแข่งขันความเร็วสูงที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวได้แบบเรียลไทม์

A2RL ได้รับการสนับสนุนจาก SteerAI ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ du, พันธมิตรอย่างเป็นทางการอย่าง AWS และ Abu Dhabi Mobility, ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการอย่าง Wio และ Castore, พันธมิตรด้านเทคนิคอย่าง PACETEQ, Live in Five, Meccanica 42 และ Vislink รวมถึงพันธมิตรด้านงานกิจกรรมอย่าง Abu ​​Dhabi Gaming, Miral และ UAE Cybersecurity Council

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและการอัปเดตสด โปรดไปที่ www.A2RL.io

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ

ตารางกิจกรรมมีแล้วที่นี่

*แหล่งที่มา: AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251113967122/en

Contacts

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Thushara Mohanan
Comms@a2rl.io


ICOM Dubai 2025 ปิดฉากด้วยความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์

Logo

Rotterdam เตรียมเป็นเจ้าภาพจัด ICOM 2028 โดย Nasir Al Darmaki ได้รับเลือกเป็นรองประธาน ICOM

ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ –(BUSINESS WIRE)–17 พฤศจิกายน 2025

ภายใต้การอุปถัมภ์ของชีค Mohammed bin Rashid Al Maktoum รองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเจ้าผู้ครองนครดูไบ การจัดมหกรรม ICOM Dubai 2025 ครั้งที่ 25 ถือเป็นการปิดฉากครั้งประวัติศาสตร์ โดยนับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานในตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียใต้ การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “อนาคตของพิพิธภัณฑ์ในชุมชนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 4,500 คน จากผู้เชี่ยวชาญด้านพิพิธภัณฑ์ ผู้นำทางวัฒนธรรม และผู้มีอำนาจตัดสินใจจากทั่วโลก ซึ่งได้ช่วยตอกย้ำถึงบทบาทของดูไบในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมระดับโลก

ICOM Dubai 2025 Concludes with Historic Success (Photo: AETOSWire)

ICOM Dubai 2025 ปิดฉากด้วยความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ (ภาพ: AETOSWire)

โดยในวันสุดท้ายมีการเสวนาสำคัญต่างๆ มากมาย รวมถึงหัวข้อ “การทูตวัฒนธรรมจากมุมมองของชาวเอมิเรตส์: สะพานแห่งการเชื่อมโยงและการสนทนา” นำโดย Sheikha Latifa bint Mohammed bin Rashid Al Maktoum, ประธานวัฒนธรรมดูไบ ในระหว่างการเสวนา Sheikha Latifa ได้เน้นย้ำถึงความสามัคคีทางวัฒนธรรมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมี ฯพณฯ Noura Al Kaabi รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง เข้าร่วมด้วย โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทูตเชิงวัฒนธรรมในฐานะการปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิด

การประชุมครั้งนี้ยังรวมถึงช่วง “พลังแห่งเรื่องเล่า มรดก และเยาวชน” ซึ่งมี ฯพณฯ Reem bint Ibrahim Al Hashimy รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นผู้บรรยายเกี่ยวกับบทบาทของพิพิธภัณฑ์ในฐานะแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการสนทนาและความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ในระหว่างการกล่าวปาฐกถาพิเศษ ฯพณฯ Zaki Anwar Nusseibeh ที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมของประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้กล่าวถึงความท้าทายที่พิพิธภัณฑ์ต้องเผชิญในการรักษาแก่นแท้ของความคิดสร้างสรรค์ควบคู่ไปกับการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง โดยเน้นย้ำว่าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ แต่ยังเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอีกด้วย

พิธีปิดงานยังถือเป็นการประกาศแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ของ ICOM โดย Antonio Rodriguez ได้รับเลือกเป็นประธานคนใหม่ของ ICOM และ Nasir Al Darmaki ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธาน การประชุมครั้งนี้ยังเป็นพิธีส่งมอบธง ICOM อย่างเป็นทางการให้แก่เมือง Rotterdam ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดงาน ICOM 2028

ICOM Dubai 2025 ยังได้เฉลิมฉลองรางวัล ICOM Sustainability Award ครั้งแรก ซึ่งมอบให้แก่ Kaye Hall จาก Barbados Museum & Historical Society และ Jamie Brown จาก University of St. Andrews สำหรับโครงการ “Shared Island Stories Between Scotland and the Caribbean (เรื่องราวของเกาะร่วมกันระหว่างสกอตแลนด์และแคริบเบียน)”

นอกจากนี้ ยังมีการจัดเซสชันต่างๆ มากกว่า 100 เซสชัน อาทิ การอภิปรายกลุ่ม การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ และคลาสเรียนพิเศษต่างๆ ตลอดทั้งงาน

 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ dubai2025.icom.museum

 *ที่มา: AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/20251116006657/en

Contacts

Joumana El Tarabulsi
joumana@ciceroandbernay.me

ที่มา: ICOM Dubai 2025

ร่วมเฉลิมฉลองจุดหมายปลายทางที่เป็นเลิศ: TOURISE เผยรายชื่อสถานที่ที่เข้ารอบสุดท้ายสำหรับรางวัล TOURISE Awards 2025

Logo

ริยาด, ซาอุดีอาระเบีย–(BUSINESS WIRE)–30 ตุลาคม 2025

ความคาดหวังกำลังก่อตัวขึ้น วันนี้ TOURISE ได้ประกาศรายชื่อสถานที่ที่เข้ารอบสุดท้ายของรางวัล TOURISE Awards 2025 ที่ทุกคนรอคอย เพื่อยกย่องจุดหมายปลายทางชั้นนำระดับโลกที่กำลังพลิกโฉมนิยามของการค้นหา จุดหมายปลายทางสิบสองแห่งได้รับการเสนอชื่อให้เข้ารอบสุดท้ายสำหรับรางวัล TOURISE Awards ประจำปีนี้ ซึ่งถือเป็นการปูทางไปสู่อนาคตของการท่องเที่ยว โดยจุดหมายปลายทางเหล่านี้เป็นตัวแทนของสถานที่ต่างๆ จากทั่วโลกที่ไม่เพียงแต่จะพลิกโฉมในด้านความเป็นเลิศด้านจุดหมายปลายทางเท่านั้น แต่ยังจะกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ทั้งหมดเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเดินทางยุคใหม่

มีการคัดเลือกจากรายชื่อสถานที่มากมายที่ส่งเข้ามาโดยนักเดินทางผู้หลงใหล ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และองค์กรต่างๆ ทั่วโลก สถานที่ที่เข้ารอบสุดท้ายในปีนี้จะร่วมเฉลิมฉลองจุดหมายปลายทางต่างๆ ที่ส่งมอบวัฒนธรรมที่กระตุ้นจิตวิญญาณ ประสบการณ์ที่ก้าวข้ามขีดจำกัด และเหนือสิ่งอื่นใดคือความทรงจำอันทรงคุณค่าและยั่งยืน

ฯพณฯ Ahmed Al-Khateeb รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและประธานคณะกรรมการ TOURISE กล่าวว่า “สถานที่ที่เข้ารอบสุดท้ายของรางวัล TOURISE Awards สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมอันโดดเด่นและการต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งเป็นนิยามของประสบการณ์การเดินทางยุคใหม่อย่างแท้จริง เมืองและภูมิภาคอันโดดเด่นเหล่านี้ไม่เพียงแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังจุดประกายจินตนาการ สร้างสะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรม และสร้างแรงบันดาลใจให้เราทุกคนมองโลกด้วยมุมมองใหม่ ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เรามีความภูมิใจที่จะเฉลิมฉลองจุดหมายปลายทางที่สร้างมาตรฐานความเป็นเลิศใหม่ สถานที่ที่เข้ารอบสุดท้ายแต่ละแห่งได้ฝากรอยประทับอันตราตรึงไว้ในใจนักเดินทางทุกคน ที่ได้ย้ำเตือนเราว่าการสำรวจที่มีความหมายมีพลังที่จะรวมเป็นหนึ่งและสร้างแรงบันดาลใจได้ แม้การเดินทางจะสิ้นสุดลงไปแล้ว”

สปอตไลท์: สถานที่ที่เข้ารอบสุดท้ายของปีนี้

สถานที่ที่เข้ารอบสุดท้ายรางวัล TOURISE Awards 2025 ประกอบด้วย:

จุดหมายปลายทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมที่ดีที่สุด: เกียวโต, ปารีส, นิวยอร์ก

จุดหมายปลายทางด้านการผจญภัยที่ดีที่สุด: หมู่เกาะกาลาปากอส, อุทยานแห่งชาติบวินดีอิมเพเนเทรเบิล, อันคาช

จุดหมายปลายทางด้านอาหารและการทำอาหารที่ดีที่สุด:โตเกียว, ลอนดอน, ฮ่องกง

จุดหมายปลายทางด้านการช็อปปิ้งที่ดีที่สุด:สิงคโปร์, ปารีส, ลอนดอน

จุดหมายปลายทางด้านความบันเทิงที่ดีที่สุด:โซล, โตเกียว, เม็กซิโกซิตี้

สถานที่ที่ชนะในแต่ละประเภทจะมีโอกาสได้รับการเสนอชื่อให้เป็นจุดหมายปลายทางโดยรวมที่ดีที่สุด ซึ่งจะได้รับการคัดเลือกโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ TOURISE Awards

คณะกรรมการอิสระจะเป็นผู้รับผิดชอบในการคัดกรองสถานที่ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลด้วยความเชี่ยวชาญจนเหลือเพียงสถานที่ที่เข้ารอบสุดท้ายที่โดดเด่นในปัจจุบัน โดยคณะกรรมการถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลจากหลากหลายอุตสาหกรรม ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เหล่านี้เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดจากหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งด้านการเดินทางและการท่องเที่ยว แฟชั่น ศิลปะการทำอาหาร ค้าปลีก วัฒนธรรม การผจญภัย และความบันเทิง ที่ได้นำความเชี่ยวชาญและความมุ่งมั่นอันหาที่เปรียบมิได้มาสู่รางวัล TOURISE Awards โดยคณะกรรมการประกอบด้วย:

Filip Boyen, อดีตซีอีโอ นิตยสาร Forbes Travel Guide

Michael Ellis, อดีตผู้อำนวยการฝ่ายคู่มือมิชลินระดับโลก

Fiona Jeffery, อดีตประธาน World Travel Market อดีตประธานรางวัล Tourism for Tomorrow Awards

Renaud de Lesquen, อดีตซีอีโอ Givenchy อดีตประธาน Dior AM

Lars Nittve, อดีตผู้อำนวยการก่อตั้ง Tate Modern

Albert Read, อดีตกรรมการผู้จัดการ Condé Nast

Caroline Rush, อดีตซีอีโอ สภาแฟชั่นอังกฤษ

Omar Samra, ทูตสันถวไมตรีแห่งสหประชาชาติ นักปีนเขา และนักสำรวจขั้วโลก

Bernold Schroeder, อดีตซีอีโอ Kempinski; Pan Pacific

การนับถอยหลังครั้งสุดท้าย

สถานที่ที่ชนะรางวัล TOURISE Awards ครั้งแรกจะได้รับการประกาศในงานกาลาในคืนเปิดงาน TOURISE Summit ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ณ กรุงริยาด โดยรางวัล TOURISE Awards จะเป็นส่วนขยายของแพลตฟอร์ม TOURISE ภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย ซึ่งขับเคลื่อนโดยสำนักงานการท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่วโลก

TOURISE คือแพลตฟอร์มชั้นนำของโลกสำหรับการกำหนดอนาคตของการท่องเที่ยวทั่วโลก การประชุมครั้งนี้ประกอบด้วยผู้นำ ผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานกำกับดูแล นักลงทุน และผู้กำหนดอนาคตจากหลากหลายอุตสาหกรรม โดย TOURISE จะรับมือกับความท้าทายและไขว่คว้าโอกาสในการเปลี่ยนแปลง พร้อมกำหนดวาระสำหรับภาคการท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ เป็นธรรม และมุ่งเน้นอนาคต

เจาะลึก: พบกับสถานที่ที่เข้ารอบสุดท้ายของคุณ

จุดหมายปลายทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมที่ดีที่สุด

  • เกียวโต: ญี่ปุ่นเหนือกาลเวลา – สวนอันเงียบสงบ วัดที่เป็นสัญลักษณ์ และงานหัตถกรรมที่มีชีวิตทั้งหมดสานกันเป็นเนื้อผ้าทางวัฒนธรรมร่วมสมัยที่มีชีวิตชีวา
  • ปารีส: สัญลักษณ์ตลอดกาล – พิพิธภัณฑ์อันยิ่งใหญ่ ศิลปะร่วมสมัยที่กำลังเบ่งบาน และฉากศิลปะการแสดงที่ทำให้จิตวิญญาณแห่งความคิดสร้างสรรค์ของเมืองยังคงมีชีวิตอยู่
  • นิวยอร์ก: วัฒนธรรมที่รุ่งเรืองที่สุด – พิพิธภัณฑ์ระดับโลก ศิลปะข้างถนนที่น่าตื่นตาตื่นใจ และพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่บรอดเวย์ไปจนถึงจังหวะดนตรีตามท้องถนน

จุดหมายปลายทางด้านการผจญภัยที่ดีที่สุด

  • หมู่เกาะกาลาปากอส: ต้นกำเนิดแห่งความมหัศจรรย์ – ความงามของภูเขาไฟ ความหลากหลายทางทะเล และการพบปะสัตว์ป่าที่ให้ความรู้สึกเหมือนการเดินทางข้ามกาลเวลา
  • อุทยานแห่งชาติบวินดีอิมเพเนเทรเบิล: กลับคืนสู่ธรรมชาติ – ป่าโบราณ การพบเห็นกอริลลาที่หายาก และสัมผัสถึงพลังของธรรมชาติในทุกย่างก้าว
  • อันคาช: ความดิบที่เป็นจริง – ยอดเขาที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ทะเลสาบน้ำแข็ง และเส้นทางที่เต็มไปด้วยประเพณี ที่ซึ่งการผจญภัยพบกับความอบอุ่นของชุมชนท้องถิ่น

จุดหมายปลายทางด้านอาหารและการทำอาหารที่ดีที่สุด

  • โตเกียว: ซูชิระดับมิชลินสตาร์ไปจนถึงราเมนรสเลิศ ประเพณีเก่าแก่หลายศตวรรษผสานกับความหลงใหลในคุณภาพ ทำให้ทุกคำที่ทานกลายเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม
  • ลอนดอน: ศูนย์กลางแห่งอาหารนานาชาติ – ห้องครัวสไตล์อังกฤษสมัยใหม่ รสชาติจากทั่วทุกมุมโลก และอาหารตั้งแต่อาหารชั้นสูงไปจนถึงอาหารคลาสสิกริมทาง
  • ฮ่องกง: งานเลี้ยงแนวตั้ง – ร้านอาหารชั้นเลิศที่ตั้งตระหง่านเหนือแผงขายได่ผิงและร้านก๋วยเตี๋ยว ผสมผสานมรดกและรสชาติจากทั่วโลกไว้ในทัศนียภาพเมืองที่งดงามตระการตา

จุดหมายปลายทางด้านการช็อปปิ้งที่ดีที่สุด

  • สิงคโปร์: การค้าปลีกที่มุ่งเน้นอนาคต – ย่านที่เต็มไปด้วยการออกแบบ ห้างสรรพสินค้าหรูหรา และตลาดทางวัฒนธรรมในเมืองที่เชื่อมโยงทั้งตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน
  • ปารีส: Haute Couture (โอตกูตูร์ – ศิลปะการตัดเย็บชั้นสูง) และอื่นๆ – เมซงในตำนาน ร้านคอนเซ็ปต์ และตลาดนัดของเก่าที่ผสมผสานความสง่างามเหนือกาลเวลาเข้ากับสไตล์ที่ล้ำสมัย
  • ลอนดอน: มรดกพบกับความทันสมัย ​​- เรือธงสุดหรู ศูนย์กลางแห่งความคิดสร้างสรรค์ และตลาดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเมืองที่กำหนดสไตล์ระดับโลก

จุดหมายปลายทางด้านความบันเทิงที่ดีที่สุด

  • โซล: นวัตกรรมพบกับวัฒนธรรม – เวที K-pop ความบันเทิงล้ำสมัย และสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่กำหนดเทรนด์ระดับโลก
  • โตเกียว: พลังงานที่ไม่มีใครเทียบได้ – การแสดงระดับโลก แหล่งท่องเที่ยวที่น่าดื่มด่ำ และประสบการณ์ท้องถิ่นที่แท้จริงในเมืองที่สร้างมาเพื่อความตื่นเต้น
  • เม็กซิโกซิตี้: ความมีชีวิตชีวาอันบริสุทธิ์ – เทศกาล ดนตรี และการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ระหว่างประเพณีและความสนุกสนานสมัยใหม่ที่ทำให้ทุกค่ำคืนนั้นน่าจดจำ

เกี่ยวกับ TOURISE Awards

รางวัล TOURISE Awards เป็นรางวัลระดับโลกที่ยกย่องจุดหมายปลายทางอันเป็นเลิศ โดยยกย่องสถานที่ต่างๆ ที่มอบประสบการณ์การเดินทางที่มีความหมาย น่าจดจำ และสอดคล้องกับความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเดินทางในปัจจุบัน รางวัลนี้ตัดสินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายภาคส่วน โดยมอบรางวัลให้กับจุดหมายปลายทางใน 5 สาขา ได้แก่ ศิลปะและวัฒนธรรม การผจญภัย อาหารและการทำอาหาร ช้อปปิ้ง และความบันเทิง ปิดท้ายด้วยรางวัลจุดหมายปลายทางยอดเยี่ยม (Best Overall Destination Award) รางวัลนี้ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม ความยั่งยืน การอนุรักษ์วัฒนธรรม และผลกระทบต่อนักท่องเที่ยว นับเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ระดับโลกสำหรับสิ่งที่ทำให้จุดหมายปลายทางนั้นพิเศษอย่างแท้จริง

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรางวัล TOURISE ได้ที่ www.TOURISE.com/awards

เกี่ยวกับ TOURISE

TOURISE เป็นแพลตฟอร์มชั้นนำของโลกที่สร้างขอบเขตใหม่ให้กับการท่องเที่ยวทั่วโลก

การประชุม TOURISE Summit ครั้งแรก ที่ขับเคลื่อนโดยกระทรวงการท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 พฤศจิกายน 2025 ที่ริยาด โดย TOURISE จะรวบรวมผู้มีวิสัยทัศน์จากภาครัฐ ภาคธุรกิจ การลงทุน การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี เพื่อนำเสนอโครงการริเริ่มที่มีผลกระทบสูงและข้อตกลงต่างๆ ที่จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมและสร้างภาคการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เป็นธรรม และมุ่งเน้นอนาคต

TOURISE มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในเชิงกายภาพและครอบคลุมทุกช่องทางดิจิทัล โดยจะรับประกันการมีส่วนร่วมในวงกว้างจากทั่วโลก ควบคู่ไปกับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุดสำหรับผู้ที่มีวิสัยทัศน์ในการกำหนดอนาคตของการท่องเที่ยวโลก หลังจากการประชุมสุดยอด TOURISE จะขยายขอบเขตเป็นแพลตฟอร์มตลอดทั้งปีที่ซึ่งแนวคิดที่โดดเด่นจะกลายเป็นทางออกในโลกแห่งความเป็นจริง

นี่คือจุดกำเนิดของการท่องเที่ยวในอีก 50 ปีข้างหน้า เมื่อร่วมมือกัน เราจะไม่มีวันหยุดยั้ง

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TOURISE ได้ที่ www.TOURISE.com และสมัครรับจดหมายข่าว

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251029909575/en

Contacts

หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ: media@TOURISE.com

ที่มา: TOURISE

อุตสาหกรรมซีเมนต์โลกรายงานการลดความเข้มข้นของ CO2 ลง 25% และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

Logo

  • รายงานใหม่แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการลดคาร์บอนของอุตสาหกรรมซีเมนต์โลกและนโยบายของรัฐบาลที่จำเป็นเพื่อเร่งความคืบหน้าในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
  • มีการนำเสนอโครงการที่โดดเด่นกว่า 60 โครงการจากทั่วโลก โดยเน้นที่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยี การใช้การดักจับคาร์บอน การเพิ่มการใช้แหล่งพลังงานทางเลือก และการใช้วัสดุใหม่ๆ

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–17 พฤศจิกายน 2025

งานลดคาร์บอนที่ดำเนินการอย่างกว้างขวางโดยอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีตโลกเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้รับการระบุไว้ในรายงานระดับโลกฉบับใหม่ ซึ่งเปิดตัวในงาน COP30 ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล รายงานดังกล่าวให้รายละเอียดข้อมูลอุตสาหกรรมล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าภาคส่วนนี้กำลังมีความก้าวหน้า และยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการขอข้อมูลจากรัฐบาลทั่วโลกเพื่อช่วยเร่งดำเนินการ

GCCA Cement and Concrete Industry Net Zero Action and Progress Report

รายงานความคืบหน้าและการดำเนินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีตของ GCCA

รายงานพบว่าอุตสาหกรรมได้ลดความเข้มข้นของ CO₂ ของผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ลง 25% ทั่วโลกนับตั้งแต่ปี 1990 และยังได้กำหนดคำแนะนำนโยบายชุดหนึ่งที่สามารถนำไปสู่การลดปริมาณ CO₂ ได้เร็วขึ้นอีกด้วย

Dominik von Achten ประธาน GCCA และประธานคณะกรรมการบริหารของ Heidelberg Materials กล่าวว่า: อุตสาหกรรมของเรากำลังร่วมมือและสร้างนวัตกรรมในทุกแง่มุมของการผลิตของเรา โดยค้นหาวิธีการทำงานใหม่ๆ และปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงอยู่

อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรลุการเปลี่ยนแปลงในระดับอุตสาหกรรมที่โลกของเราต้องการ เราไม่สามารถทำโดยตัวเราเองได้ อุตสาหกรรมของเราต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาล ผู้กำหนดนโยบาย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และพันธมิตรของเราในสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นในขณะนี้

รายงานฉบับนี้เรียกร้องให้มีการดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพอย่างเร่งด่วน ซึ่งส่งเสริมการใช้ขยะเทศบาลและขยะอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ มาเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับเตาเผาซีเมนต์ รวมถึงการนำขยะจากการรื้อถอนอาคารมาเป็นวัตถุดิบรีไซเคิล นโยบายสำคัญอื่นๆ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายอาคารเพื่อส่งเสริมการนำผลิตภัณฑ์ซีเมนต์และคอนกรีตผสมไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น และการจัดตั้งกลไกการกำหนดราคาคาร์บอนระดับชาติที่ขับเคลื่อนโดยตลาด เพื่อจูงใจให้เกิดการลดคาร์บอนและการลงทุนในนวัตกรรมสะอาด

Thomas Guillot ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GCCA กล่าวว่า: กิจกรรมอันหลากหลายที่เราเห็นในกลุ่มสมาชิกของเรานั้นช่วยสร้างแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง ด้วยตัวอย่างโครงการและการทำงานที่ยอดเยี่ยมในทุกขั้นตอนของการลดคาร์บอน ซึ่งมีนโยบายที่เอื้ออำนวยอยู่แล้ว

ซีเมนต์และคอนกรีตเป็นวัสดุสำคัญของโลก แต่เรารู้ว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นต่อการลดคาร์บอนเช่นกัน แม้เราจะมีความก้าวหน้า แต่เราก็รู้ว่าการดำเนินนโยบายที่แน่วแน่ทั่วโลกเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้เราเร่งการลดคาร์บอนได้

สี่ปีหลังจากการเปิดตัวแผนงานลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รายงานความคืบหน้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีต ประจำปี 2025/26 ของ GCCA เน้นย้ำถึงบทบาทผู้นำของบริษัทต่างๆ ทั่วโลกในการลดคาร์บอน

รายงานดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงโครงการลดคาร์บอนที่โดดเด่นกว่า 60 โครงการจากบริษัทสมาชิก GCCA และสมาคมพันธมิตร ซึ่งรวมถึง:

การลด CO₂ ผ่านการใช้วัสดุเหลือใช้ (“เชื้อเพลิงทางเลือก”) เพื่อทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล การใช้วัตถุดิบที่ผ่านการกำจัดคาร์บอเนต มาตรการด้านประสิทธิภาพพลังงาน และนวัตกรรม เช่น การใช้ไฮโดรเจนและการใช้ไฟฟ้าในเตาเผา

  • ตัวอย่าง ได้แก่ โรงงาน Golden Bay ของ Fletcher และโรงงาน Nandyal และ Shiva ของ JSW Votorantim Cimentos เป็นผู้บุกเบิกการใช้ขยะชีวมวลในตุรกี ที่โรงงาน Yozgat เชื้อเพลิงทางเลือกในเตาเผาหลักส่วนใหญ่มาจากลำต้นข้าวโพด ที่โรงงาน Hasanoğlan ชีวมวลถูกนำมาใช้ในสายการผลิตเครื่องเผา
  • Limak Cement ได้นำของเสียจากการรื้อถอนอาคารมาใช้ในการผลิตเชิงพาณิชย์ ส่วน Molins ได้นำปูนซีเมนต์ดินเผาเผาเข้าสู่ตลาดสเปน และ CIMPOR ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TCC Holdings กำลังขับเคลื่อนการผลิตดินเผาในแอฟริกา และโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของ CRH ในเมืองโรโฮชนิก ประเทศสโลวาเกีย ได้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตคลิงเกอร์ด้วยการทดแทนวัตถุดิบ 20% ด้วยวัสดุทางเลือกอื่น

การเร่งการดักจับและกักเก็บ (CCUS) ซึ่งคิดเป็น 36% ของการลด CO2 ที่อุตสาหกรรมวางแผนไว้ ตามแผนงาน GCCA

  •  ตัวอย่าง ได้แก่ การเปิดตัวโรงงานผลิตซีเมนต์ดักจับคาร์บอนขนาดอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลกที่เมืองเบรวิก ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งดำเนินการโดย Heidelberg Materials ในเดือนมิถุนายน 2025 ตัวอย่างอื่นๆ ได้แก่ Breedon, Cementir Holding, CNBM, GCC, Holcim, JCA, JSW, TITAN และ UltraTech โครงการที่ประกาศต่อสาธารณะจะถูกรวบรวมและเผยแพร่ให้เข้าถึงได้บนเครื่องมือติดตามเทคโนโลยีซีเมนต์สีเขียว GCCA/LeadIT

การใช้พลังงานทางเลือกที่เพิ่มขึ้น

  • ตัวอย่าง ได้แก่ ความก้าวหน้าด้านพลังงานแสงอาทิตย์ที่โรงงานเซเม็กซ์ในโครเอเชีย และโครงการพลังงานหมุนเวียนของอัลตร้าเทคในรัฐคุชราต

คอนกรีตและวงจรคาร์บอนต่ำ และการออกแบบและการก่อสร้าง

  • Holcim และ Seqens ได้สร้างอาคารที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม Recygénie จำนวน 220 ยูนิตในปารีส โดยใช้คอนกรีตที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นอาคารแห่งแรกของโลกที่ใช้คอนกรีตรีไซเคิล 100% โดยระบบ CARBOCATCH ของ Taiheiyo Cement กำลังผลิตคอนกรีตคาร์บอนต่ำโดยใช้วัสดุเหลือใช้ที่ดูดซับ CO₂

Mélanie Joly รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของแคนาดาสำหรับภูมิภาคควิเบก รัฐบาลแคนาดา กล่าวว่า: คอนกรีตคือหัวใจสำคัญของเป้าหมายทางเศรษฐกิจและความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังเติบโตของโลก ตั้งแต่ที่อยู่อาศัย ถนน พลังงาน และศูนย์กลางการค้า ในขณะที่ความต้องการกำลังเพิ่มขึ้น การลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

แคนาดารู้สึกภูมิใจกับผลงานและความสำเร็จของโครงการ Cement and Concrete Breakthrough และ COP30 ถือเป็นโอกาสในการส่งมอบความคืบหน้าที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามลำดับความสำคัญชุดแรกของเรา

อ่านรายงานฉบับเต็ม: https://gccassociation.org/cement-and-concrete-industry-net-zero-action-and-progress-report/

เกี่ยวกับข้อมูลการปล่อยมลพิษของอุตสาหกรรม

ทุกปี GCCA จะเผยแพร่ข้อมูล GNR (“GCCA in NumbeRs”) ล่าสุดของอุตสาหกรรม GNR เป็นฐานข้อมูลระดับโลกที่รวบรวม (ผ่าน PwC ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่น่าเชื่อถือ) และเผยแพร่ชุดข้อมูลความยั่งยืนที่สำคัญของอุตสาหกรรมอย่างโปร่งใส ข้อมูลจะถูกเก็บรวบรวมตาม Cement CO₂ and Energy Protocol และข้อมูลที่มีอยู่จะย้อนกลับไปถึงปี 1990 เพื่อใช้เป็นจุดอ้างอิง ดังนั้นเราจึงสามารถประเมินความคืบหน้าที่กำลังดำเนินอยู่ได้

GNR เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามและรายงานความคืบหน้าที่สำคัญด้านความยั่งยืน

ข้อมูลล่าสุด

ในปี 2025 เราได้รวบรวมข้อมูลสำหรับปี 2023 เพื่อให้เป็นไปตามระยะเวลาล่าช้าตามที่หน่วยงานการแข่งขันและการตลาด (CMA) กำหนดไว้คือ 2 ปี

  • ข้อมูล GNR* ของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปี 2023 แสดงให้เห็นว่าสามารถลด CO2 ลงได้ 25% ต่อซีเมนต์หนึ่งตันตั้งแต่ปี 1990
  • สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกเพิ่มขึ้น 12 เท่าจากปี 1990
  • ประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีขึ้น 18%
  • อัตราส่วนคลิงเกอร์ต่อซีเมนต์แสดงให้เห็นถึงการปรับปรุง 10.68% ตั้งแต่ปี 1990

 * หมายเหตุ ตัวเลขมีการปัดเศษ โปรดดูได้ที่เว็บไซต์ GCCAสำหรับข้อมูลตัวเลขและการเปรียบเทียบที่ถูกต้อง รวมถึงฐานข้อมูล GNR ฉบับเต็ม

เกี่ยวกับ GCCA

GCCA และสมาชิกมีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ส่วนใหญ่ของโลกนอกประเทศจีน รวมถึงผู้ผลิตในจีนที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ บริษัทสมาชิกต่างมุ่งมั่นที่จะลดและขจัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในคอนกรีต ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 7% ของปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก ผ่านการดำเนินการตามแผนงาน Concrete Future 2050 Net Zero ของ GCCA ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหนักแห่งแรกที่ได้กำหนดแผนงานโดยละเอียดดังกล่าว โดย GCCA มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันสร้างอนาคตคอนกรีตที่สดใส ยืดหยุ่น และยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมและสำหรับโลก

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251117920702/en 

Contacts

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ:

สำหรับภาพถ่ายกรณีศึกษาการลดคาร์บอน โปรดติดต่อ: GCCACommunication@gccassociation.org

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ: paul.adeleke@gccassociation.org

ที่มา: GCCA

Grand Nikko Bangkok Sathorn พร้อมให้ทุกท่านสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนสุดหรู ที่โอบล้อมด้วยความสงบและการบริการด้วยจิตวิญาณของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง เปิดรับจองสำหรับการเข้าพักในปี พ.ศ. 2569 แล้วตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป

Logo

กรุงเทพฯ–(ฺBUSINESS WIRE)–17 พฤศจิกายน 2568

แกรนด์ นิกโก้ กรุงเทพฯ สาทร โรงแรมหรูภายใต้แบรนด์ Grand Nikko แห่งแรกในประเทศไทย พร้อมแล้วสำหรับสุดยอดการบริการแบบ “โอโมเตนาชิ” (Omotenashi) เสน่ห์การบริการแบบญี่ปุ่นที่ใส่ใจทุกรายละเอียด  สัมผัสโอเอซิสแห่งใหม่ใจกลางย่านเศรษฐกิจอย่างถนนสาทร ที่รายล้อมไปด้วยสถานทูต อาคารสำนักงาน แหล่งบันเทิงชั้นนำ รวมไปถึงจุดท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย รองรับได้ทั้งนักท่องเที่ยว นักธุรกิจและการเข้าพักแบบครอบครัว

Rendition of Premier Corner Rooms

ภาพถ่ายห้องพรีเมียร์คอร์เนอร์

ห้องพักและห้องสวีทที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการพักผ่อน

พบกับความหรูหรา หลากสไตล์ ในการตกแต่งห้องพักและห้องสวีท ที่มีให้บริการจำนวน 405 ห้อง รวมถึงห้องพักแบบ  Long-Stay Residence จำนวน 36 ห้อง ออกแบบมาเพื่อผสานความงามร่วมสมัยกับสุนทรียะแบบญี่ปุ่น ซึ่งเป็นความงามที่เหนือกาลเวลาได้อย่างลงตัว ทุกห้องพักตกแต่งอย่างพิถีพิถัน พร้อมห้องน้ำดีไซน์ทันสมัย และสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียม อาทิเช่น เครื่องสุขภัณฑ์จากแบรนด์ TOTO  สมาร์ททีวี และเครื่องชงกาแฟ Nespresso ตระการตาไปด้วยแสงไฟระยิบระยับยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร วิวในฝันที่จะสร้างประสบการณ์การพักผ่อนที่ผ่อนคลายในแบบที่เป็นคุณอย่างแท้จริง

ประสบการณ์การรับประทานอาหารระดับเวิลด์คลาส

โรงแรมมีห้องอาหารเปิดให้บริการทั้งหมด 5 แห่ง แต่ละแห่งมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นห้องอาหาร Benkay ที่นำเสนออาหารญี่ปุ่นชั้นเลิศในสไตล์ฟิวชั่นสุดสร้างสรรค์ ห้องอาหาร ICHO โดดเด่นด้วยศิลปะการปรุงอาหารญี่ปุ่นแบบเทปันยากิ หรือ SANUK ห้องอาหารนานาชาติที่ให้บริการแบบ All-Day Dining อิ่มอร่อยไปด้วยหลากหลายเมนูชั้นเลิศ พร้อมเพลิดเพลินไปกับขนมหวานรสชาติกลมกล่อมเสริฟพร้อมกาแฟและเครื่องดื่มหลากสไตล์ ที่ LA-MUN หรือจะดื่มค็อกเทล ชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมดื่มด่ำไปกับแสงไฟของมหานครยามค่ำคืนแบบพาโนรามาที่ TENKU 33 บาร์ลอยฟ้าบนชั้น 33 ของโรงแรมก็สามารถทำได้เช่นกัน

สัมผัสประสบการณ์สุดหรู ด้วยตัวคุณเองที่โรงแรมแกรนด์ นิกโก้ กรุงเทพฯ สาทร กับข้อเสนอสุดพิเศษ ในแพ็คเกจเปิดตัวโรงแรม “Commemorative Opening Package” ที่มาพร้อม

ข้อเสนอมากมายดังนี้

ระยะเวลาการจอง:

17 พฤศจิกายน 2568 – 1 มีนาคม 2569

ช่วงเวลาเข้าพัก:

1 มีนาคม – 30 มิถุนายน 2569

ประเภทห้องพัก:

Superior / Deluxe / Premier Corner

ราคาเริ่มต้น:

6,500++ บาท/ห้อง/คืน

(ราคานี้ยังไม่รวมค่าบริการ 10% และภาษี 7%)

สิทธิประโยชน์พิเศษ:

  • บริการอาหารเช้าทุกวันที่ห้องอาหาร All-Day Dining
  • เครดิตเงินคืนสูงสุด 1,500 บาทสุทธิ/ห้อง/คืน สำหรับใช้ในห้องอาหารใดก็ได้ (เฉพาะค่าอาหาร)
  • เช็คเอาท์ได้ถึงเวลา 16.00 น. (ขึ้นอยู่กับความพร้อมของห้องพักในวันนั้น)
  • ส่วนลดเพิ่ม 10% สำหรับสมาชิก One Harmony

สำรองห้องพักได้ที่:

สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อการพักผ่อนแบบมีสไตล์

ท่ามกลางย่านเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ โรงแรมแกรนด์ นิกโก้ กรุงเทพฯ สาทร ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว ที่มาพร้อมบรรยากาศอันสงบ ร่มรื่น เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมให้กับผู้เข้าพักทุกท่าน สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ได้รับการออกแบบอย่างละเมียดละไม ใส่ใจในความต้องการที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ฟิตเนส รวมถึงสปาจากแบรนด์ divana® ที่ยึดปรัชญา “ที่ซึ่งสุนทรียศาสตร์ตะวันออกและคุณภาพเหนือระดับมาบรรจบกัน” เพื่อร่วมรังสรรค์การดูแลแบบองค์รวมจากธรรมชาติที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภูมิปัญญาตะวันออก เพื่อคืนความสมดุลอย่างลึกซึ่งให้แก่ผู้ใช้บริการ

การประชุมและงานอีเวนต์ครบวงจร

ด้วยพื้นที่จัดงานที่หลากหลาย กว้างขวาง รวมถึงห้องบอลรูมขนาดใหญ่และห้องอเนกประสงค์ ที่ติดตั้งด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ส่งผลให้โรงแรมแกรนด์ นิกโก้ กรุงเทพฯ สาทร กลายเป็นสถานที่รองรับงานสำคัญต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ครบครัน ทั้งงานประชุมองค์กร งานสถานทูต งานแต่งงาน และงานสังสรรค์ทางสังคมต่างๆ

สิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิก One Harmony

แกรนด์ นิกโก้ กรุงเทพฯ สาทร ในฐานะหนึ่งในโรงแรมในเครือ Okura Nikko Hotels มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก One Harmony  โดยสามารถสะสมคะแนนพร้อมรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมได้ทั่วโลก สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

โรงแรมแกรนด์ นิกโก้ กรุงเทพฯ สาทร

ที่ตั้ง:

117 ถนนสาทรใต้ ทุ่งมหาเมฆ กรุงเทพฯ 10120

ห้องพัก:

405 ห้อง รวมถึงห้องพักระยะยาว 36 ห้อง

ห้องอาหาร:

ห้องอาหารญี่ปุ่นแบบ Fine Dining, ห้องอาหารญี่ปุ่นแบบเทปันยากิ, ห้องอาหาร All-Day Dining, Rooftop บาร์ และ ร้านกาแฟและขนมอบ

จัดเลี้ยง:

ห้องสาทร แกรนด์ บอลรูม ขนาด 422 ตร.ม. เพดานสูง 7.5 เมตร พร้อมหลากหลายห้องประชุม

สิ่งอำนวยความสะดวก:

นิกโก้ คลับ เลานจ์, ฟิตเนส, สปา สระว่ายน้ำกลางแจ้ง และคลับสำหรับเด็ก

การเดินทาง:

เดินเพียง 10 นาทีจาก BTS ช่องนนทรี

เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 40 นาที

เนื้อหาข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อความสะดวกในการอ้างอิง โดยฉบับภาษาต้นทางเป็นฉบับทางการ และเป็นฉบับที่มีผลทางกฎหมาย

ชมภาพเพิ่มเติมในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251116318286/en


Duangnapa Saelieo
ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด
Grand Nikko Bangkok Sathorn
โทร: +66 (0) 2 078 8733
อีเมล: duangnapa.sa@bangkok.grandnikko.com

ธนาคารกรุงเทพ, M-150 และไทยประกันชีวิต คว้ารางวัลเกียรติยศจากงาน World Branding Awards ประจำปี 2025-2026 ณ โอซาก้า

Logo

โอซาก้า ญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–17 พฤศจิกายน 2025

งานประกาศรางวัล World Branding Awards ครั้งที่ 20 จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของแบรนด์ชั้นนำทั้งในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก ในงานประกาศรางวัลประจำปี 2025–2026 มีแบรนด์มากกว่า 1,092 แบรนด์ จาก 66 ประเทศ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล “แบรนด์แห่งปี” จากการคัดเลือกอันทรงเกียรตินี้ มีแบรนด์ที่ได้รับรางวัลไม่ถึง 100 แบรนด์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานความเป็นเลิศสูงสุดในสามระดับรางวัล

พิธีมอบรางวัล World Branding Awards จัดขึ้นนอกกรุงลอนดอนเป็นครั้งแรก ส่งผลให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมืองโอซาก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยมีแขกผู้มีเกียรติจากทั่วโลกกว่า 80 ท่านเข้าร่วมงานเฉลิมฉลอง โดยมี Allie Sakakibara เป็นเจ้าภาพ พร้อมด้วยปาฐกถาพิเศษจาก Miho Noguchi ที่จะมาถ่ายทอดประสบการณ์อันน่าประทับใจของแบรนด์

บริษัทที่ได้รับรางวัลระดับโลกด้านการสร้างแบรนด์ในหลากหลายอุตสาหกรรม ประกอบด้วย Bosch (เยอรมนี), IKEA (สวีเดน), Lurpak (เดนมาร์ก), Marriott International (สหราชอาณาจักร), Nike (สหรัฐอเมริกา) และ Yakult (ญี่ปุ่น)

ผู้ชนะจากประเทศไทย ได้แก่ Aurora, ธนาคารกรุงเทพ, Café Amazon, M-150, PTT Station, Royal Umbrella, Sansiri, ไทยประกันชีวิต, TrueOnline, VISTRA และ Vitaday ส่วนผู้ชนะในระดับประเทศสำหรับประเทศอื่นๆ ได้แก่ Airland (ฮ่องกง), FERN-D (ฟิลิปปินส์), Edeka (เยอรมนี), KOI Thé (สิงคโปร์), Kopi Kenangan (อินโดนีเซีย), Tenaga Nasional Berhad (มาเลเซีย), Scarlett (อินโดนีเซีย) และ Spritzer (มาเลเซีย) และอื่นๆ อีกมากมาย

โดยมีเพียง 20 แบรนด์เท่านั้นที่ได้รับรางวัล Regional Tier Award ซึ่งได้รับการยอมรับถึงอิทธิพลใน 4 ประเทศขึ้นไปในตลาดระดับภูมิภาค 3 แห่งขึ้นไป ได้แก่ Amarula (แอฟริกาใต้), M-150 (ประเทศไทย), MR DIY (มาเลเซีย), Nippon Rent-A-Car (ญี่ปุ่น), Tsui Wah (ฮ่องกง), Vitaday (ประเทศไทย) และ Watsons (มาเลเซีย)

“รางวัล World Branding Awards ไม่ได้เป็นเพียงการเฉลิมฉลองความสำเร็จเท่านั้น แต่เรายังเน้นย้ำถึงความพยายามอย่างไม่ลดละ วิสัยทัศน์ และพลังแห่งความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังรางวัลนี้ โดยทุกแบรนด์ได้รับการยกย่องอย่างสูงในระดับโลก ไม่เพียงแต่ในด้านยอดขายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งที่แบรนด์ยึดมั่นอีกด้วย” กล่าวโดย คุณ Richard Rowles ประธาน World Branding Forum

ในปีนี้ มีผู้บริโภคมากกว่า 91,000 รายทั่วโลกเข้าร่วมกระบวนการเสนอชื่อ โดยเฉลี่ยแล้วจะมีแบรนด์ที่ชนะเพียง 5 แบรนด์ในแต่ละประเทศเท่านั้น ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าการได้รับรางวัล World Branding Award ถือเป็นความสำเร็จอันน่าทึ่ง

ดูข้อมูลเพิ่มเติมและรายชื่อผู้ชนะทั้งหมดได้ที่ awards.brandingforum.org

เกี่ยวกับรางวัล World Branding Awards

รางวัล World Branding Awards เป็นรางวัลระดับแนวหน้าของ World Branding Forum ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่จดทะเบียนแล้ว โดยรางวัลนี้จะยกย่องถึงความสำเร็จของแบรนด์ในระดับโลก

โซเชียลมีเดีย

Facebook: https://www.facebook.com/worldbrandingforum/
Twitter: https://twitter.com/WorldBranding
Instagram: https://www.instagram.com/worldbranding/
LinkedIn: https://linkedin.com/company/world-branding-forum

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ติดต่อกองบรรณาธิการ
อีเมล: editorial@brandingforum.org

ที่มา: World Branding Awards

The Bangkok Reporter