Saviynt นำ Roger Hsu ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลระบุตัวตนมาเสริมทัพขยายธุรกิจในเอเชีย

Logo

การแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Saviynt ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลประจำตัวท่ามกลางภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วเอเชีย

ลอสแอนเจลิส–(BUSINESS WIRE)–24 เมษายน 2025

Saviynt ผู้ให้บริการชั้นนำในโซลูชันแพลตฟอร์มการกำกับดูแลและโซลูชันคลาวด์สำหรับการระบุตัวตน ได้แต่งตั้ง Roger Hsu ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานประจำภูมิภาคเอเชีย การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการลงทุนที่มากขึ้นของบริษัทและการเติบโตที่รวดเร็วในภูมิภาค

Hsu เข้าร่วม Saviynt หลังจากประสบความสำเร็จจากการทำงานที่ SailPoint โดยนำความ เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และการจัดการข้อมูลประจำตัวมานานกว่าสองทศวรรษมาด้วย เขาจะเป็นผู้นำกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดของ Saviynt ทั่วเอเชีย โดยเน้นที่การช่วยให้องค์กรต่างๆ รักษาความปลอดภัยของข้อมูลประจำตัวดิจิทัลในภูมิทัศน์ภัยคุกคามที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ความเร่งด่วนสำหรับการกำกับดูแลข้อมูลประจำตัวสมัยใหม่ที่ไม่เคยมาก่อน โดยตามรายงาน IBM Cost of a Data Breach ประจำปี 2024เอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นภูมิภาคที่ตกเป็นเป้าหมายสูงสุดจากทั่วโลก โดยข้อมูลประจำตัวที่ถูกบุกรุกและระบบระบุตัวตนที่กำหนดค่าไม่ถูกต้องเป็นสาเหตุหลักของการละเมิด

“ข้อมูลระบุตัวตนไม่ใช่แค่ปัญหาความปลอดภัยอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจ” กล่าวโดย Dan Mountstephen รองประธานอาวุโสของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นที่ Saviynt “ภูมิทัศน์ภัยคุกคามในเอเชียได้พัฒนาไปอย่างมาก โดยองค์กรต่างๆ ต้องเผชิญกับการโจมตีที่ซับซ้อนซึ่งใช้ประโยชน์จากข้อมูลระบุตัวตนเป็นพารามิเตอร์ใหม่ ความเชี่ยวชาญเชิงลึกของ Roger ในภูมิภาคนี้และแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้องค์กรต่างๆ ปรับปรุงโปรแกรมระบุตัวตนให้ทันสมัยและก้าวล้ำหน้าความเสี่ยงเหล่านี้”

Saviynt เติบโตอย่างต่อเนื่องในเอเชีย โดยทำงานร่วมกับบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 และองค์กรในภูมิภาคต่างๆ ในด้านบริการทางการเงิน การดูแลสุขภาพ การผลิต และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ บริษัทกำลังลงทุนเชิงกลยุทธ์ด้านบุคลากรในท้องถิ่น ความร่วมมือ และโซลูชันเฉพาะภูมิภาคเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นสำหรับการกำกับดูแลตัวตนอัจฉริยะ

“ความมุ่งมั่นของ Saviynt ต่อนวัตกรรมและแพลตฟอร์มการรักษาความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวแบบรวมคลาวด์นั้นไม่มีใครเทียบได้” กล่าวโดย Hsu “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เข้าร่วมทีมและช่วยให้องค์กรต่างๆ ทั่วเอเชียสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลประจำตัวให้พร้อมรับอนาคตเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ปลอดภัย”

การแต่งตั้ง Hsu แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ Saviynt ที่มีต่อเอเชียในฐานะตลาดการเติบโตเชิงกลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ของบริษัทในการกำหนดความปลอดภัยข้อมูลประจำตัวใหม่สำหรับองค์กรยุคใหม่

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการระบุตัวตนบนคลาวด์ของ Saviynt โปรดไปที่เว็บไซต์

เกี่ยวกับ Saviynt

Saviynt ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถรักษาความปลอดภัยในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ปกป้องทรัพย์สินที่สำคัญ และปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ ด้วยวิสัยทัศน์ด้านความปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดสำหรับองค์กรทั้งหมดในอนาคต Saviynt จึงได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลประจำตัว โดยมีโซลูชันล้ำสมัยที่ช่วยปกป้องแบรนด์ชั้นนำของโลก บริษัทในกลุ่ม Fortune 500 และองค์กรของรัฐ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.saviynt.com.

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สำหรับ Saviynt ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอินเดีย
Roshi Vijaywargiya
roshi.vijaywargiya@saviynt.com

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Jacklyn Kellick
jacklyn.kellick@saviynt.com

ที่มา: Saviynt

Thoughtworks Technology Radar ชี้ GenAI มาเปลี่ยนเกม พร้อมเจาะปัจจัยสำคัญที่กำหนดอนาคตการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุคใหม่

Logo

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–02 เมษายน 2025

Thoughtworks บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ผสานกลยุทธ์ การออกแบบ และวิศวกรรมเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ได้เผยแพร่รายงาน Technology Radar ฉบับล่าสุด ซึ่งจัดทำเป็นประจำทุก 6 เดือน โดยอ้างอิงจากประสบการณ์ตรงในการช่วยลูกค้าแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อนผ่านการใช้เทคโนโลยี

รายงาน Technology Radar นำเสนอภาพรวมของโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยในฉบับนี้ได้เจาะลึกถึงผลกระทบที่เกิดจาก Generative AI พร้อมกันนั้นยังครอบคลุมเนื้อหาหลากหลายเกี่ยวกับเทคโนโลยี เครื่องมือ และวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ ได้แก่ การนำ AI ไปใช้งานจริงในทางปฏิบัติ แนวโน้มใหม่ของการสังเกตการณ์ระบบ (Observability) และความสำคัญของการจัดการข้อมูล (Data Management) ในระบบยุคใหม่

Rachel Laycock ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Thoughtworks กล่าวว่า “Thoughtworks Technology Radar เป็นคู่มือที่ช่วยให้เราเข้าใจเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมมาโดยตลอด รายงานฉบับนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการนำ Generative AI มาใช้อย่างสมดุล ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยที่จะกล่าวถึงแนวคิดพื้นฐานในการพัฒนาซอฟต์แวร์ เช่น การคิดแบบผลิตภัณฑ์ข้อมูล และการพัฒนาระบบสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างระบบที่มีทั้งประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น”

Technology Radar ฉบับที่ 32 ยังคงรวบรวมเทคโนโลยีกว่า 100 รายการ หรือที่เรียกว่า “blips” ซึ่งครอบคลุมเครื่องมือ เทคนิค แพลตฟอร์ม ภาษา และเฟรมเวิร์กที่หลากหลาย พร้อมทั้งนำเสนอ 4 ธีมหลักที่สะท้อนแนวโน้มสำคัญที่เกิดขึ้นในระหว่างการจัดทำรายงานฉบับนี้ ได้แก่:

  • จงควบคุม AI Agent ผู้ช่วยเขียนโค้ด (Supervised Agents in Coding Assistants):

AI ผู้ช่วยเขียนโค้ดในปัจจุบันมีความสามารถสูงขึ้นอย่างมาก สามารถสร้างโค้ดใหม่ แก้ไขข้อผิดพลาด หรือปรับปรุงโค้ดเดิมได้โดยตรงใน IDE ซึ่งช่วยให้กระบวนการพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม นักพัฒนายังคงต้องมีบทบาทในการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของ AI อย่างใกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาโค้ดที่สร้างโดย AI โดยไม่ผ่านการกลั่นกรองจากมนุษย์
 

  • วิวัฒนาการของระบบสังเกตการณ์ (Evolving Observability):

ความซับซ้อนของสถาปัตยกรรมแบบกระจายศูนย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้เร่งให้แนวคิดด้านการสังเกตการณ์ (Observability) พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการใช้โมเดลภาษา (LLM) เพื่อช่วยติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบ AI และการนำมาตรฐาน OpenTelemetry มาใช้อย่างกว้างขวางเพื่อสร้างความเป็นมาตรฐานในกระบวนการนี้ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ที่แสดงว่าอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับ Observability มากยิ่งขึ้นในฐานะองค์ประกอบสำคัญของระบบที่เชื่อถือได้

  • ตัว R ในคำว่า RAG (R in RAG):

หัวใจสำคัญของเทคนิค Retrieval Augmented Generation (RAG) คือกระบวนการ “ดึงข้อมูล” (Retrieval) เพื่อช่วยให้ LLM สร้างคำตอบที่ตรงประเด็นและมีประโยชน์มากขึ้น ปัจจุบันมีเทคนิคใหม่ๆ อย่าง Corrective RAG, Fusion-RAG และ Self-RAG ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดึงข้อมูลและปรับปรุงคุณภาพผลลัพธ์จากโมเดล เทรนด์นี้สะท้อนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของเครื่องมือที่ช่วยยกระดับความแม่นยำของ Generative AI

  • การจัดการข้อมูลยุคใหม่ (Taming the Data Frontier):

แนวโน้มการจัดการข้อมูลกำลังเปลี่ยนจากการเน้นปริมาณไปสู่การจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น ความท้าทายอยู่ที่การทำให้ข้อมูลพร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในการเก็บ รวบรวม และนำไปใช้ต่อในระบบ AI หรือการวิเคราะห์ ธีมนี้ยังเน้นแนวคิด “การคิดแบบผลิตภัณฑ์ข้อมูล” (Data Product Thinking) ที่นำแนวทางการบริหารผลิตภัณฑ์มาใช้กับข้อมูล เพื่อเพิ่มคุณค่าและประโยชน์ในการใช้งานข้อมูลให้สูงที่สุด

ผู้สนใจสามารถเข้าชมรายงาน Technology Radar ฉบับเต็มได้ทั้งในรูปแบบอินเทอร์แอกทีฟ หรือดาวน์โหลดเป็นไฟล์ PDF ได้ที่ www.thoughtworks.com/radar

แหล่งอ้างอิง:
 – Read more about the macro trends in the tech industry in this edition.
 – The machines are rising — but developers still hold the keys
 – We need to talk about vibe coding

โปรดติดตามข่าวสารล่าสุดจาก Thoughtworks ได้ที่เว็บไซต์ของบริษัท และติดตาม Thoughtworks ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียบน X, LinkedIn และ YouTube

– ### –

เกี่ยวกับ Thoughtworks

Thoughtworks คือบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งผสานความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ วิศวกรรม และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ปัจจุบัน เรามี Thoughtworker มากกว่า 10,000 คน ใน 48 สาขา ครอบคลุม 19 ประเทศทั่วโลก ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา เราได้ร่วมสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่นกับลูกค้า โดยใช้เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
Kathrin Jansing หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ภาคพื้นยุโรป
อีเมล: kathrin.jansing@thoughtworks.com

ที่มา: Thoughtworks

SSD แบบพกพาของ Kioxia คว้ารางวัล Red Dot Design Award สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์ประจำปี 2025

Logo

ที่ได้รับการยอมรับถึงการออกแบบที่ล้ำสมัย ฟังก์ชันการทำงานที่เน้นผู้ใช้ และโครงสร้างที่ทนทาน

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–24 เมษายน 2025

Kioxia Corporation ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ ประกาศในวันนี้ว่าซีรีส์ SSD แบบพกพา EXCERIA PLUS G2 ของบริษัทได้รับรางวัล Red Dot Design Award ในประเภท “การออกแบบผลิตภัณฑ์ ประจำปี 2025” โดยรางวัล Red Dot Design Award นี้ถือเป็นรางวัลด้านการออกแบบที่ทรงเกียรติที่สุดรางวัลหนึ่งของโลก ซึ่งมอบให้แก่ผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์ยอดเยี่ยมที่สุดทุกปี ผู้ชนะจะได้รับเกียรติในพิธีมอบรางวัล Red Dot Design Award ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 8 กรกฎาคมที่เมืองเอสเซน ประเทศเยอรมนี

Red Dot Design Award Winner: Kioxia’s EXCERIA PLUS G2 Portable SSD Series

ผู้ชนะรางวัล Red Dot Design Award: ซีรีส์ SSD แบบพกพา EXCERIA PLUS G2 ของ Kioxia

คณะกรรมการของ Red Dot ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ได้เลือกซีรีส์ SSD แบบพกพา EXCERIA PLUS G2 เนื่องจากมีดีไซน์ที่เพรียวบาง ฟังก์ชันที่เน้นผู้ใช้ และโครงสร้างที่ทนทาน รางวัลดังกล่าวมอบให้แก่ตัวเครื่องอะลูมิเนียมที่เรียบและโค้งมน ไม่มีสกรูที่มองเห็นได้เพื่อให้สัมผัสที่ไร้รอยต่อ รวมถึงมีโซลูชันระบายความร้อนและทนต่อแรงกระแทกผ่านการออกแบบ

โดยซีรีส์ SSD แบบพกพา EXCERIA PLUS G2 ยังเคยได้รับรางวัล GOOD DESIGN AWARD 2024 ในญี่ปุ่นมาก่อนอีกด้วย

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง:
ข้อมูลผลิตภัณฑ์ซีรีส์ SSD แบบพกพา EXCERIA PLUS G2
(เว็บไซต์ Kioxia Singapore Pte.Ltd.)
https://apac.kioxia.com/en-apac/personal/ssd/exceria-plus-g2-portable.html

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการทั้งหมดอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุคคลที่สาม

เกี่ยวกับ Kioxia
Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกในด้านโซลูชันหน่วยความจำ ซึ่งทุ่มเทให้กับการพัฒนา การผลิต และการขายหน่วยความจำแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 บริษัท Toshiba Memory ซึ่งเป็นชื่อเดิมของบริษัทได้แยกตัวออกมาจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจำ” ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและการสร้างคุณค่าสำหรับสังคมผ่านหน่วยความจำ โดย BiCS FLASH™ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3 มิติที่เป็นนวัตกรรมของ Kioxia กำลังกำหนดอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่มีความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี ระบบยานยนต์ ศูนย์ข้อมูล และระบบ AI เชิงสร้างสรรค์

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250422321137/en

Contacts

การติดต่อสอบถามสำหรับสื่อ:
Kioxia Corporation
แผนกการจัดการโปรโมชั่น
Koji Takahata
โทร.: +81-3-6478-2404

ที่มา: Kioxia Corporation

3Degrees แต่งตั้ง Philippe Vedrenne เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2025

Logo

ซานฟรานซิสโก–(BUSINESS WIRE)–22 เมษายน 2025

3Degrees ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพอากาศระดับโลกชั้นนำและได้รับการรับรองจาก B Corporation มีความยินดีที่จะประกาศแต่งตั้ง Philippe Vedrenne ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2025 โดย Vedrenne จะเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวแทน Steve McDougal ซึ่งเป็น CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง 3Degrees คนปัจจุบัน โดย McDougal ลาออกจากตำแหน่งผู้นำของบริษัท และได้แจ้งต่อคณะกรรมการบริหารเมื่อปีที่แล้วว่าเขาจะเกษียณอายุจากตำแหน่ง CEO และจะยังคงมีส่วนร่วมในฐานะสมาชิกของคณะกรรมการต่อไป

3Degrees Appoints Philippe Vedrenne as Chief Executive Officer, Effective May 1, 2025

3Degrees แต่งตั้ง Philippe Vedrenne เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2025

Vedrenne มีประสบการณ์ในตลาดพลังงานระดับโลกมากกว่าสองทศวรรษจากการดำเนินงานในหลายทวีป โดยล่าสุดที่ Engie เขาดูแลกิจกรรมการค้าและการค้าปลีกในอเมริกาเหนือและใต้สำหรับไฟฟ้าและก๊าซ ในตำแหน่งนี้ เขาเป็นผู้นำความพยายามในการนำโซลูชันพลังงานหมุนเวียนในระดับสาธารณูปโภคมาสู่ตลาดองค์กรด้วยการผสมผสานสินทรัพย์ประเภทลม พลังงานแสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่

Vedrenne เริ่มต้นอาชีพในยุโรปที่ Gaz de France ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการสร้าง Gasely ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจการค้าที่พัฒนามาเป็น Engie Global Markets และต่อมาเขาก็ได้ดำรงตำแหน่ง CEO ในขณะที่ดำเนินกิจกรรมกลางน้ำก๊าซธรรมชาติของ Engie ในยุโรป เขาได้เจรจาสัญญาจัดหาระยะยาวของบริษัทใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับตลาด มีส่วนสนับสนุนในการประกันความปลอดภัยของอุปทานในยุโรป และช่วยสร้างกระแสไหลย้อนกลับของก๊าซธรรมชาติไปยังยูเครนภายหลังการลุกฮือที่จัตุรัสไมดานและสงครามรัสเซีย-ยูเครนในปี 2014 ก่อนจะย้ายไปสหรัฐอเมริกาในปี 2021 Vedrenne ได้เป็นผู้นำโครงการสำคัญสองโครงการสำหรับ Engie ได้แก่ การพัฒนากิจกรรมข้อตกลงการซื้อพลังงานหมุนเวียน (PPA) ในยุโรป และโครงการคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ที่กำหนดความทะเยอทะยานในการลดคาร์บอนของ Engie และแนวทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2045

Dan Kalafatas ผู้ก่อตั้งร่วมและประธานคณะกรรมการบริหารของ 3Degrees กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ Philippe Vedrenne เข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO คนต่อไปของ 3Degrees การคัดเลือกผู้นำระดับโลกของเราเน้นไปที่การคัดเลือกผู้นำคนใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญในการขับเคลื่อนบทต่อไปของการเติบโตของ 3Degrees ซึ่ง Philippe เป็นผู้มีประสบการณ์ความเป็นผู้นำระดับโลกที่หาได้ยาก มีประวัติความสำเร็จ มุ่งเน้นที่ผู้นำด้านบริการ และมีความมุ่งมั่นที่จะนำโซลูชันการลดคาร์บอนที่สร้างสรรค์มาสู่โลก คณะกรรมการบริหารของ 3Degrees ยังต้องการแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อ Steve McDougal ในช่วงดำรงตำแหน่ง CEO Steve ได้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของบริษัทจากบริษัทพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กที่เน้นในอเมริกาเหนือไปสู่ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพอากาศระดับโลกชั้นนำที่ให้คำปรึกษาแก่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดบางแห่งในโลก”

“ผมตื่นเต้นมากที่จะรับบทบาท CEO และช่วยเร่งการเติบโตของ 3Degrees และผลกระทบต่อสภาพอากาศของลูกค้าของเรา” Vedrenne กล่าว “ทีมงานทั้งหมดมีความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ มีความเชี่ยวชาญด้านตลาดและการทำงานอย่างลึกซึ้ง ผมตั้งตารอที่จะช่วยผลักดันการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของบริษัทในตลาดปัจจุบันและตลาดใหม่ และใช้การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ระหว่างการมีส่วนร่วมในตลาดและการมุ่งเน้นที่ลูกค้าเป็นศูนย์กลางเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ๆ ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมองค์กรที่เป็นแบบอย่างที่ดีเช่นนี้ ซึ่งช่วยให้ผมสามารถทำงานที่ท้าทายสำหรับเราทุกคนได้”

McDougal กล่าวเสริมว่า “การร่วมก่อตั้ง 3Degrees กับ Dan Kalafatas ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทเป็นเวลาสิบปีนั้นถือเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม ผมรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งในสิ่งที่ทีมงาน 3Degrees สร้างร่วมกันมาเกือบสองทศวรรษ ผมตั้งตารอที่จะสนับสนุนอนาคตที่สดใสของ 3Degrees ในบทบาทของผมในฐานะคณะกรรมการบริหาร และรู้สึกมั่นใจว่า Philippe จะเป็นผู้ดูแลบริษัทได้อย่างยอดเยี่ยมในขณะที่บริษัทขยายผลกระทบไปทั่วโลกสำหรับลูกค้า พันธมิตร ซัพพลายเออร์ พนักงาน และสภาพอากาศ”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/20250422978066/en

Contacts

Rachel Fagan
512.791.2083

ที่มา: 3Degrees

รีเล็กซ์ โซลูชันส์ ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้นำใน Gartner® Magic Quadrant ประจำปี 2025 ™ สำหรับการวางแผนห่วงโซ่อุปทาน

Logo

รีเล็กซ์  ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำเป็นครั้งแรกในรายงานของนักวิเคราะห์อิสระนี้ เนื่องมาจากความสามารถในการดำเนินการและความครบถ้วนของวิสัยทัศน์

แอตแลนตาและเฮลซิงกิ–(BUSINESS WIRE)–16 เมษายน 2025

รีเล็กซ์ โซลูชันส์เป็นผู้ให้บริการโซลูชันการวางแผนห่วงโซ่อุปทานและค้าปลีกแบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ได้ประกาศในวันนี้ว่าได้รับการยอมรับในการเป็นผู้นำใน Gartner® Magic Quadrant ประจำปี 2025 สำหรับการวางแผนห่วงโซ่อุปทาน1 โดยพิจารณาจากความสมบูรณ์ของวิสัยทัศน์และความสามารถในการดำเนินการ การยอมรับนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ รีเล็กซ์ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้นำด้านการวางแผนห่วงโซ่อุปทาน เพียงสามปีหลังจากที่ถูกรวมอยู่ในรายงานนี้เป็นครั้งแรกในปี 2022 โดย รีเล็กซ์ เชื่อว่าการยอมรับนี้ได้ช่วยเน้นย้ำให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง และความสามารถในการปรับขนาดเพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ของแพลตฟอร์มของเรา ที่ผสานรวมอุปสงค์และอุปทานในห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดเพื่อขับเคลื่อนการตัดสินใจที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นในทุกๆ ฟังก์ชัน

Mikko Kärkkäinen ซีอีโอกลุ่มและผู้ก่อตั้งร่วมของ รีเล็กซ์ โซลูชันส์ กล่าวว่า “เรารู้สึกว่าการได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำในรายงานฉบับนี้เป็นการช่วยตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละของเราในการส่งมอบมูลค่าที่วัดได้ รวมถึงนวัตกรรมที่เปลี่ยนโฉมการวางแผนห่วงโซ่อุปทานผ่านแพลตฟอร์มที่เป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริงสำหรับผู้ค้าปลีก ผู้ค้าส่ง ผู้ผลิต และบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ เราได้ลงทุนอย่างมากในด้านนวัตกรรม โดยจัดสรรรายได้ 25% ของเราให้กับการวิจัยและพัฒนา เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มของเราสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตที่ซับซ้อน เราได้ส่งมอบตามคำมั่นสัญญาของเราด้วยการนำเสนอแพลตฟอร์มที่ผสานรวมการวางแผนความต้องการสินค้าในระดับค้าปลีกที่ขับเคลื่อนด้วย AI  การเพิ่มประสิทธิภาพของการวางแผนอุปสงค์และอุปทาน และการกำหนดตารางการผลิตไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ที่จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดของห่วงโซ่อุปทานได้”

แพลตฟอร์ม รีเล็กซ์ มีรากฐานมาจาก AI ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้น โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานได้อย่างแม่นยำ สามารถปรับแผนซัพพลายเชนให้สอดคล้องกับการพยากรณ์ความต้องการสินค้า การเติมสินค้า การจัดสรร และการจัดตารางการผลิตได้อย่างไร้รอยต่อภายในโมเดลข้อมูลเดียว สถาปัตยกรรมที่สามารถปรับแต่งได้สูงนี้รองรับการวางแผนแบบอัตโนมัติ (touchless planning) เพื่อช่วยลดขั้นตอนการทำงานซ้ำ ๆ และเพิ่มขีดความสามารถให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คุณสมบัติหลักประกอบด้วย::

  • การวางแผนความต้องการที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยใช้การคาดการณ์จาก ML รวมถึงการตรวจจับความต้องการเพื่อคาดการณ์และตอบสนองต่อความผันผวนของตลาด
  • การวางแผนการผลิต การจัดซื้อ และการจัดจำหน่ายแบบบูรณาการเพื่อให้อุปทานสอดคล้องกับความต้องการแบบเรียลไทม์
  • การกำหนดตารางการผลิตขั้นสูงที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมการผลิตที่ซับซ้อน
  • ความร่วมมือระหว่างองค์กร ซึ่งใช้ประโยชน์จากความสำเร็จของ RELEX ในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถทำงานร่วมกับผู้ค้าปลีกได้อย่างราบรื่น
  • การวินิจฉัยขั้นสูงเพื่อระบุสาเหตุหลักของความไม่มีประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานที่จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาเชิงรุกและสามารถปรับปรุงได้อย่างต่อเนื่อง
  • ความสามารถในการเติมเต็มและการจัดสรรสินค้าที่ช่วยให้ระดับสินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่เหมาะสมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ช่วยลดของเสีย และเพิ่มความพร้อมในการขาย
  • แพลตฟอร์มรวมที่เชื่อมต่อความสามารถเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกันในที่เดียวเพื่อส่งมอบการวางแผนธุรกิจแบบบูรณาการ

นอกจากนี้ รีเล็กซ์ ยังขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมในด้าน genAI และ agentic AI ควบคู่ไปกับเทคนิค AI เฉพาะทางที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับความสามารถของแพลตฟอร์มในการขับเคลื่อนความคล่องตัว ลดของเสีย และปรับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการดำเนินการด้านปฏิบัติการ ด้วยคะแนนความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า (net promoter score) ที่เป็นผู้นำตลาด ลูกค้าของเรา ได้ให้คะแนน รีเล็กซ์ อย่างสม่ำเสมอว่าเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้และมีคุณค่าสำหรับการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน

สามารถเข้าถึงรายงาน Gartner Magic Quadrant สำหรับการวางแผนห่วงโซ่อุปทานได้ที่นี่

  1. Gartner, “Magic Quadrant for Supply Chain Planning Solutions”; Pia Orup Lund, Joe Graham, Caleb Thomson, Shane Brett, Eva Dawkins, 14 April 2025.  
  2. Gartner ไม่ได้รับรองผู้จำหน่าย ผลิตภัณฑ์ หรือบริการใดๆ ที่ปรากฏในรายงาน และจะไม่แนะนำให้ผู้ใช้เทคโนโลยีเลือกเฉพาะผู้จำหน่ายที่มีคะแนนสูงสุดหรือการรับรองอื่นใดเท่านั้น เอกสารเผยแพร่ผลการวิจัยของ Gartner ประกอบด้วยความคิดเห็นขององค์กรวิจัยของ Gartner และไม่ควรตีความว่าเป็นข้อเท็จจริง โดย Gartner ขอปฏิเสธการรับประกันใดๆ ไม่ว่าโดยชัดแจ้งหรือโดยนัยเกี่ยวกับผลการวิจัยนี้ รวมถึงการรับประกันความสามารถในการขายหรือความเหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ
  3. GARTNER เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและเครื่องหมายบริการของ Gartner และ Magic Quadrant เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Gartner, Inc. และ/หรือบริษัทในเครือในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ และใช้ที่นี่โดยได้รับอนุญาต สงวนลิขสิทธิ์

เกี่ยวกับ รีเล็กซ์

รีเล็กซ์ โซลูชันส์  นำเสนอแพลตฟอร์มรวมสำหรับการวางแผนการค้าปลีก การผลิต และห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเปิดใช้งานด้วยเทคโนโลยี AI ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เราได้ช่วยให้ผู้ค้าปลีก ผู้ผลิต และบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการคาดการณ์อุปสงค์ การเติมสินค้า การขาย การกำหนดราคาและโปรโมชั่น การดำเนินการห่วงโซ่อุปทาน และการวางแผนการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่าแบบครบวงจร โดยบริษัทต่างๆ เช่น ADUSA, AutoZone, Coles, Circle K, Dollar Tree และ Family Dollar, M&S Food, PetSmart, Rituals, The Home Depot และ Systemair ต่างไว้วางใจให้  รีเล็กซ์ช่วยเพิ่มความพร้อมของสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย มอบข้อมูลเชิงลึกที่สามารถดำเนินการได้ ปรับปรุงความยั่งยืน รวมถึงช่วยขับเคลื่อนการเติบโตที่สร้างผลกำไร

เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่: https://www.relexsolutions.com/customers/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Jolene Peixoto
รองประธานฝ่ายสื่อสาร
RELEX Solutions
Jolene.Peixoto@relexsolutions.com

Savannah Yawn
ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารอาวุโส
RELEX Solutions
Savannah.yawn@relexsolutions.com

ที่มา: RELEX Solutions

พิธีมอบรางวัลญี่ปุ่นประจำปี 2025 จัดขึ้นโดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่นเสด็จฯ เข้าร่วม

Logo

Russell Dean Dupuis, Ph.D. ในสาขาวิทยาศาสตร์วัสดุและการผลิต
Carlos M. Duarte, Ph.D. ในสาขาการผลิตทางชีวภาพ นิเวศวิทยา และสิ่งแวดล้อม

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–17 เมษายน 2025

มูลนิธิเจแปน ไพรซ์ (Japan Prize) (ประธาน: Ryozo Nagai) จัดพิธีมอบรางวัลเมื่อวันพุธที่ 16 เมษายน ที่โรงละครแห่งชาติแห่งใหม่ กรุงโตเกียว ในเขตชิบูย่า เพื่อมอบรางวัล Japan Prize ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ที่สร้างสรรค์ผลงานโดดเด่นในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับโลก และมีส่วนสนับสนุนอย่างสำคัญในการสร้างสันติภาพและความมั่งคั่งให้กับมวลมนุษยชาติ

Russell Dean Dupuis, Ph.D. (สหรัฐอเมริกา) ผู้ชนะรางวัลในสาขาวัสดุศาสตร์และการผลิต และ Carlos M. Duarte, Ph.D. (สเปน) ผู้ชนะรางวัลในสาขาการผลิตทางชีววิทยา นิเวศวิทยา และสิ่งแวดล้อม ได้เข้าร่วมพิธีมอบรางวัล โดยแต่ละสาขาได้รับรางวัล 1 ล้านเยน พร้อมใบรับรองและเหรียญรางวัล

ในแต่ละปี ผู้ชนะรางวัล Japan Prize จะถูกแนะนำจากนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่มีชื่อเสียงประมาณ 15,500 คนจากทั่วโลก และตัดสินโดยการตรวจสอบอันเข้มงวดที่ใช้เวลาประมาณหนึ่งปี สำหรับในปี 2025 นี้ มูลนิธิได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 149 รายการสำหรับสาขาวัสดุศาสตร์และการผลิต และ 72 รายการสำหรับสาขาการผลิตทางชีวภาพ นิเวศวิทยา และสิ่งแวดล้อม โดยผู้ชนะในปีนี้ได้รับการคัดเลือกจากผู้สมัครทั้งหมด 221 ราย

พิธีดังกล่าวมีแขกเข้าร่วมประมาณ 1,000 คน เริ่มจากสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี หัวหน้าฝ่ายบริหารทั้งสามฝ่ายและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ของสังคม โดยสมเด็จพระจักรพรรดิทรงมีพระราชดำรัส ตามด้วยคำกล่าวของผู้ชนะทั้งสองท่าน และคำกล่าวแสดงความยินดีของ Fukushiro Nukaga ประธานสภาผู้แทนราษฎร

สามารถชมพิธีมอบรางวัลประจำปีนี้ได้จากลิงก์ด้านล่าง
เวอร์ชันภาษาญี่ปุ่น: https://youtube.com/live/zTknLtGyoBQ
เวอร์ชันภาษาอังกฤษ: https://youtube.com/live/EnexU3HBJjY

  • รูปโปรไฟล์ของผู้ได้รับรางวัลในประเทศญี่ปุ่นและรูปภาพจากวันพิธีมอบรางวัลจะถูกอัปโหลดไปที่ลิงก์นี้
     https://www.japanprize.jp/press_photo.html
    *เมื่อทำการเผยแพร่ภาพถ่ายเหล่านี้ โปรดใส่เครดิตว่า “Courtesy of Japan Prize”

เกี่ยวกับ Japan Prize

รางวัล Japan Prize เริ่มต้นขึ้นในปี 1981 โดยเกิดจากความปรารถนาของรัฐบาลญี่ปุ่นที่จะสร้างรางวัลที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั่วโลก ด้วยการสนับสนุนจากการบริจาคจำนวนมาก ทำให้ Japan Prize Foundation ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีในปี 1983 โดยรางวัล Japan Prize นั้นจะมอบให้กับนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างสร้างสรรค์และโดดเด่นที่ได้ช่วยพัฒนาสาขาของตนและมีส่วนสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญในการบรรลุสันติภาพ รวมถึงความเจริญรุ่งเรืองสำหรับมนุษยชาติทั้งหมด นักวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทุกสาขามีสิทธิ์ได้รับรางวัลนี้ โดยสาขาต่างๆ จะได้รับการคัดเลือกปีละ 2 สาขา โดยพิจารณาจากแนวโน้มปัจจุบันของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยหลักแล้ว บุคคลหนึ่งคนในแต่ละสาขาจะได้รับรางวัลนี้และจะได้รับใบรับรอง เหรียญรางวัล รวมถึงเงินรางวัล ในพิธีมอบรางวัลแต่ละครั้ง สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี หัวหน้าฝ่ายบริหารทั้งสามฝ่ายและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนจากภาคส่วนอื่นๆ ของสังคมจะเข้าร่วมด้วย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

สำหรับการสอบถามเกี่ยวกับการเปิดตัวนี้: สำนักงานประชาสัมพันธ์เจแปน ไพรซ์ (Japan Prize)
อีเมล: japanprize@ml.prap.co.jp

ที่มา: The Japan Prize Foundation

NIPPON KINZOKU ร่วมสร้างคุณค่าใหม่ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีระบบรีดผลิตภัณฑ์สแตนเลสสตีลหุ้มฉนวน FI (Fine Insulation) Finish

Logo

 -ตอบสนองความต้องการการย่อส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์-

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–16 เมษายน 2025

NIPPON KINZOKU CO., LTD. (TOKYO: 5491) (สำนักงานใหญ่: Minato-ku, Tokyo) ประกาศเกี่ยวกับการพัฒนา “FI (Fine Insulation) finish” สแตนเลสสตีลที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนป้องกันพื้นผิวสูง

We have developed our own “FI finish”, a stainless steel surface pre-coated with an inorganic coating (about 1μm in thickness) that offers electrical insulation resistance.

เรามีการพัฒนา “FI finish” ของเราขึ้นเอง โดยเป็นพื้นผิวสแตนเลสสตีลที่เคลือบด้วยสารเคลือบอนินทรีย์ (หนาประมาณ 1μm) ซึ่งช่วยให้ทนทานต่อฉนวนไฟฟ้า

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การย่อส่วนและการออกแบบโปรไฟล์ต่ำกลายเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากขึ้นในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟนและคอนโซลเกม จนถึงขณะนี้ มีมาตรการต่างๆ ที่ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงไฟฟ้าลัดวงจรโดยการติดตั้งเทปฉนวนหรือคอมโพสิตเรซินในจุดที่สัมผัสกับชิ้นส่วนที่เป็นสื่อไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม วิธีแก้ปัญหาดังกล่าวทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและเป็นอุปสรรคต่อการย่อส่วนและการออกแบบโปรไฟล์ต่ำ

เนื่องด้วยปัญหาเหล่านี้ เราจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ “FI Finish” ของเราเอง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ “FI Finish” ไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการหลังการประมวลผลเพื่อปรับสภาพพื้นผิว จึงทำให้ประหยัดพื้นที่และยังช่วยลดขั้นตอนการทำงาน เพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนให้กับลูกค้าอีกด้วย เรามุ่งหวังที่จะขยายยอดขายในอนาคต โดยเน้นที่การใช้งานในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่สำรอง

“FI finish” ยังเป็น “Eco-Product” ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานของเราเองในฐานะผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่จำเป็นต้องมีการเคลือบฉนวนที่ไซต์งานของลูกค้า เป้าหมายของเราคือบรรลุเป้าหมายการปล่อย CO₂ สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 และเราจะสนับสนุนให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านการขยายการขาย “Eco-Product”

คุณลักษณะของ FI finish

  1.  เป็นการเคลือบที่มีความต้านทานฉนวนพื้นผิวสูง (50MΩ หรือมากกว่า*)
     *วัดความต้านทานในทิศทางความหนาด้วยมัลติมิเตอร์แบบดิจิตอล
  2. สารเคลือบมีคุณสมบัติทนความร้อนสูง คงประสิทธิภาพการทำงานได้เสถียรแม้จะอยู่ที่อุณหภูมิสูง (สูงถึง 850°C)
  3. สารเคลือบอนินทรีย์แบบแข็งนี้มีคุณสมบัติทนทานต่อรอยขีดข่วนได้ดีเยี่ยมและเหมาะสำหรับชิ้นส่วนที่เลื่อนได้
  4. ความหนาของสารเคลือบอยู่ระหว่าง 0.5 ถึง 1μm
  5. สามารถใช้โลหะอื่นๆ นอกจากสแตนเลสได้

ข้อมูลจำเพาะ

1) ระดับเกรดของเหล็กกล้า: SUS304, SUS301, SUS430 เป็นต้น
2) ความหนา: 0.05 ถึง 0.15 มม.
3) ความกว้าง: สูงสุด 500 มม.
*สำหรับข้อมูลจำเพาะนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น โปรดติดต่อเรา

ภาพรวมผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็ก
อุปกรณ์ที่ออกแบบเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเรา ซึ่งสร้างขึ้นจากความรู้ความชำนาญด้านระบบรีดเย็นที่ครอบคลุม และเทคโนโลยีเฉพาะที่เป็นกรรมสิทธิ์ชั้นนำในอุตสาหกรรมที่พัฒนาผ่านทางโรงงานเหล่านี้ และความเชี่ยวชาญอันล้ำลึกของเรา พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าของเรา
URL: https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/corporate-profile/business/cold-rolled-stainless-steel-strip

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250415148656/en

Contacts

Production Process & Support Dept.
NIPPON KINZOKU CO., LTD.
อีเมล: sisaku-sc@nipponkinzoku.co.jp
https://www.nipponkinzoku.co.jp/en/inquiry

ที่มา: NIPPON KINZOKU CO., LTD.

การประชุมสภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียวของ APO ประจำปี 2025

Logo

โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–16 เมษายน 2025

การประชุมครั้งแรกของสภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียวประจำปี (GPA) ขององค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) ประสบความสำเร็จ โดยจัดขึ้นในช่วงวันที่ 14-15 เมษายน 2025 ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น

APO Secretary-General Dr. Indra delivering the closing remarks at the GPA Council Annual Meeting Special Presentation Session at the Blue Ocean Dome, EXPO 2025 Osaka.

Dr. Indra เลขาธิการ APO กล่าวปิดการประชุมประจำปีของสภา GPA ในเซสชันการนำเสนอพิเศษที่ Blue Ocean Dome ในงาน EXPO 2025 ที่โอซาก้า

สภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียวซึ่งมีศาสตราจารย์กิตติคุณจากมหาวิทยาลัยโตเกียว Ryoichi Yamamoto เป็นประธาน ประกอบด้วยสมาชิกจากฟิจิ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย และให้คำแนะนำแก่เลขาธิการ APO Dr. Indra Pradana Singawinata เกี่ยวกับการพัฒนาระบบนิเวศ GP 2.0 ที่เน้นการแก้ปัญหา เน้นการดำเนินการ และเน้นในภูมิภาคเอเชีย

เลขาธิการ Dr. Indra รายงานความคืบหน้าที่เลขาธิการได้ทำในการสร้างแนวคิดของระบบนิเวศ GP 2.0 รวมถึงองค์ประกอบทั้ง 3 ใน 7 องค์ประกอบ ได้แก่ ระบบการให้คะแนน GP, คู่มือ GP และการทำแผนที่ GP นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวต้นแบบของระบบการให้คะแนน GP และการทำแผนที่ GP รวมถึงการสาธิตให้สภา GPA ได้พิจารณาทบทวนครั้งแรก โดยสมาชิกสภาและตัวแทนได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงลึกและเสนอแนะการปรับเปลี่ยนเพื่อปรับปรุงการออกแบบโดยรวมของระบบนิเวศ GP 2.0 และองค์ประกอบต่างๆ

ความสำคัญของความพยายามของสภา GPA ในการผนวกหลักการของ GP ตามที่ศาสตราจารย์ Yamamoto ได้กำหนดไว้ในปี 1994 เข้ากับระบบนิเวศ GP 2.0 ได้รับการเน้นย้ำในเซสชันการนำเสนอพิเศษที่จัดขึ้นที่ Blue Ocean Dome (BOD) ในงาน EXPO 2025 ที่โอซาก้า เมื่อค่ำวันที่ 14 เมษายน โดยสมาชิกสภาได้เน้นย้ำถึงความพยายามในอดีตและปัจจุบันของชาติในการดำเนินการริเริ่มความยั่งยืนตามจิตวิญญาณของ GP ในฟิจิ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และไทย ขณะเดียวกันก็มองไปที่ระบบนิเวศ GP 2.0 โดยในเซสชันดังกล่าวประกอบด้วยคำกล่าวต้อนรับจากประธาน ZERI Japan Yusuke Saraya ซึ่งเป็นเจ้าภาพในเซสชัน BOD และมีคำกล่าวเปิดงานโดยประธานสภา GPA ศาสตราจารย์ Yamamoto รวมถึงข้อความวิดีโอโดย H.E. Agni Deo Singh รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการจ้างงาน ผลิตภาพ และความสัมพันธ์ในสถานที่ทำงานของฟิจิ และการนำเสนอสดโดยสมาชิกสภาและตัวแทนของพวกเขา

ในคำปราศรัยของเขา รองรัฐมนตรีกระทรวงวางแผนการพัฒนาแห่งชาติของอินโดนีเซีย (BAPPENAS) Febrian A. Ruddyard ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสีเขียวและ GP เพื่อให้บรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยไม่เพิ่มแรงกดดันมหาศาลที่สิ่งแวดล้อมกำลังเผชิญอยู่หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมมาหลายทศวรรษ เซสชันการนำเสนอพิเศษสิ้นสุดลงด้วยคำกล่าวปิดของ Dr. Indra เลขาธิการ APO ตามด้วยวิดีโอที่เน้นถึงความสำเร็จอันโดดเด่นของ Biofarma ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาจากอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตัวอย่างปัจจุบันของ GP ในการดำเนินการ โดยแสดงให้เห็นว่าการประยุกต์ใช้เทคนิค GP ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มผลผลิตเท่านั้น แต่ยังช่วยชีวิตผู้คนได้อีกด้วย

เมื่อสภา GPA กลับมาประชุมอีกครั้งในเช้าวันที่ 15 เมษายน มีวิทยากรรับเชิญ 2 ท่านได้นำเสนอเพื่อช่วยขยายการพิจารณาเกี่ยวกับทิศทางเชิงกลยุทธ์ของ GP 2.0 โดยข้อเสนอแนะชุดสุดท้ายเกี่ยวกับการพัฒนาระบบนิเวศ GP 2.0 ได้รับการตกลงกันเพื่อชี้นำความพยายามของสำนักงานเลขาธิการ APO ในปีหน้า คำแนะนำเหล่านี้จะมีการรายงานในการประชุมสมัยที่ 67 ของสภาบริหาร APO ที่จะจัดขึ้นในจาการ์ตาในเดือนพฤษภาคม 2025 อีกด้วย

เกี่ยวกับ APO

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคที่อุทิศตนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพผลผลิตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือซึ่งกันและกัน องค์การไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง ไม่แสวงหากำไร และไม่เลือกปฏิบัติ ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้ง 8 ราย ปัจจุบัน APO ประกอบด้วยเศรษฐกิจสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา สาธารณรัฐจีน ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สปป.ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไทย ตุรกี และเวียดนาม

APO กำลังกำหนดทิศทางอนาคตของภูมิภาคโดยส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิกผ่านบริการให้คำแนะนำด้านนโยบายระดับชาติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกลุ่มนักคิด ริเริ่มสร้างศักยภาพสถาบัน และการแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มผลผลิต

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250415110326/en

Contacts

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
หน่วยข้อมูลดิจิทัล APO:
pr@apo-tokyo.org
เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org

ที่มา: The Asian Productivity Organization

ปัญญาประดิษฐ์คว้าชัยชนะในการแข่งขันโดรนไร้คนขับที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกที่อาบูดาบี

Logo

  •  โดรน AI เอาชนะนักบินที่เป็นมนุษย์ในการแข่งขันโดรนไร้คนขับที่มีความท้าทายและซับซ้อนที่สุดซึ่งจัดขึ้นโดย A2RL x DCL Autonomous Drone Championship ถือเป็นการก้าวล้ำครั้งสำคัญในนวัตกรรมการบินอัตโนมัติ
  •  ผู้ชมกว่า 2,500 คนรับชมการแข่งขันโดรนไร้คนขับที่เก่งกาจที่สุดเพื่อชิงเงินรางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐในรูปแบบการแข่งขันสุดล้ำสมัย 4 รูปแบบ
  •  MavLab (TU Delft) ครองแชมป์ชัยชนะ 3 รายการในการแข่งขัน AI Grand Challenge, AI Drag Race และ AI Vs Human ขณะที่ TII Racing (สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยี อาบูดาบี) คว้าชัยชนะในการแข่งขัน AI Multi-Autonomous Drone Race

ABU DHABI, United Arab Emirates–(BUSINESS WIRE)–16 เมษายน 2025

Abu Dhabi Autonomous Racing League (A2RL) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Advanced Technology Research Council (ATRC) ร่วมมือกับ Drone Champions League (DCL) จัดงานแข่งขัน A2RL x DCL Autonomous Drone Championship ครั้งแรกในตะวันออกกลางที่ ADNEC Marina Hall เมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญด้านการบินอัตโนมัติและหุ่นยนต์ทางอากาศ โดรน AI ของทีม MavLab สามารถแซงหน้านักบินมนุษย์ชั้นนำของโลกและคว้าชัยชนะในการแข่งขัน AI vs Human Challenge ได้สำเร็จ การแข่งขันแบบตัวต่อตัวครั้งนี้ถือเป็นการแข่งขันที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีผู้เข้าชิงรางวัลชนะเลิศจาก DCL Falcon Cup ซึ่งบางท่านเป็นนักบินโดรนชั้นนำของโลก

Artificial Intelligence Triumphs in World’s Most Sophisticated Autonomous Drone Race in Abu Dhabi (Photo: AETOSWire)

ปัญญาประดิษฐ์คว้าชัยชนะในการแข่งขันโดรนอัตโนมัติที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกที่อาบูดาบี (ภาพถ่าย: AETOSWire)

ตลอดระยะเวลา 2 วันที่เต็มไปด้วยความเข้มข้น ทีมจากนานาประเทศ 14 ทีมผ่านเข้ารอบสุดท้าย โดย 4 ทีมแรกจะได้เข้าไปแข่งขันในรูปแบบการแข่งขันที่ท้าทายหลากหลายรูปแบบ ทีมจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย เกาหลีใต้ สาธารณรัฐเช็ก เม็กซิโก ตุรกี จีน สเปน แคนาดา และสหรัฐอเมริกา เป็นตัวแทนฝ่ายห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และผู้ริเริ่มนวัตกรรมสตาร์ทอัพ

แต่ละทีมจะแข่งขันด้วยโดรนมาตรฐานที่ติดตั้งโมดูลคอมพิวเตอร์ NVIDIA Jetson Orin NX ขนาดกะทัดรัดแต่ทรงพลัง กล้องที่หันไปข้างหน้า และหน่วยวัดแรงเฉื่อย (IMU) สำหรับการรับรู้และควบคุมบนโดรน โดรนเหล่านี้อาศัยการประมวลผลแบบเรียลไทม์และการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนโดย AI เพียงอย่างเดียว เพื่อทำความเร็วเกิน 150 กม./ชม. ในสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่ซับซ้อนโดยไม่ต้องอาศัยอินพุทจากมนุษย์

การออกแบบสนามแข่งได้ขยายขอบเขตระบบไร้คนขับ โดยมีระยะห่างระหว่างเกต แสงสว่างที่ไม่สม่ำเสมอ และเครื่องหมายที่มองเห็นได้น้อยที่สุด การใช้กล้องชัตเตอร์แบบโรลลิ่งทำให้การแข่งขันมีความยากมากขึ้น โดยทดสอบความสามารถของแต่ละทีมในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเสถียรภายใต้เงื่อนไขที่ท้าทาย นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีการจัดการแข่งขันโดรนไร้คนขับในระดับและความซับซ้อนเช่นนี้บนสนามแข่งที่มีภาพไม่ชัดเจน ซึ่งเน้นย้ำถึงความทะเยอทะยานและความท้าทายทางเทคนิคของการแข่งขันครั้งนี้

ไฮไลท์การแข่งขันชิงรางวัล

  •  ผู้ชนะการแข่งขัน AI Grand Challenge : MavLab (TU Delft) ทำลายสถิติเวลาที่เร็วที่สุดในสนามแข่ง 170 เมตร โดยวิ่ง 2 รอบ (22 เกต) ในเวลาเพียง 17 วินาที
  •  ผู้ชนะการประลอง AI vs Human : โดรนไร้คนขับของ MavLab แซงหน้านักบินมนุษย์ชั้นนำในการเผชิญหน้าระหว่าง AI กับมนุษย์อันเป็นที่จดจำ
  •  ผู้ชนะการแข่งขันมัลติโดรนไร้คนขับ : TII Racing คว้าชัยชนะในการแข่งขันรูปแบบมัลติโดรน ในการทดสอบความเร็วสูงของการประสานงาน AI และการหลีกเลี่ยงการชน
  •  ผู้ชนะการแข่งขันแดร็กไร้คนขับ : MavLab (TU Delft) คว้าชัยชนะในการแข่งขันแดร็กที่ใช้ระบบ AI ครั้งแรกของโลก โดยแสดงให้เห็นถึงความเร็วในแนวตรงและการควบคุมภายใต้การเร่งความเร็วสูง โดยแข่งกับทีมชั้นนำของแชมเปี้ยนชิพ

“ที่ ATRC เราเชื่อว่านวัตกรรมต้องได้รับการพิสูจน์ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงแค่คำสัญญา” H.E. Faisal Al Bannai ที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้านการวิจัยเชิงกลยุทธ์และกิจการเทคโนโลยีขั้นสูง และเลขาธิการ ATRC กล่าว “A2RL ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังเป็นสนามทดสอบระดับโลกสำหรับระบบอัตโนมัติประสิทธิภาพสูง และสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการพัฒนา AI หุ่นยนต์ และระบบการเคลื่อนที่เจนถัดไปอย่างมีความรับผิดชอบ”

“อนาคตของการบินไม่ได้อยู่ในห้องทดลอง แต่อยู่ในสนามแข่ง” Stephane Timpano ซีอีโอของ ASPIRE ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าภาพจัดการแข่งขัน Abu Dhabi Autonomous Racing League กล่าว “สิ่งที่เราเห็นเมื่อสุดสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นว่า เราเข้าใกล้การปรับขนาดระบบไร้คนขับในชีวิตประจำวันมากขึ้น” Markus Stampfer, ประธานกรรมการบริหาร DCL กล่าวเพิ่มเติม: “เรานำเงื่อนไขการแข่งขันระดับสูงมาสู่การบินไร้คนขับ และ AI เข้ามารับความท้าทายนี้ นับเป็นก้าวสำคัญทั้งในด้านกีฬาและเทคโนโลยี”

ความภาคภูมิใจหลังคว้าแชมป์ 3 รายการรวดChristophe De Wagter หัวหน้าทีม MavLab กล่าว “การชนะการแข่งขัน AI Grand Challenge และการแข่งขัน AI vs Human ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับทีมของเรา ซึ่งถือเป็นการพิสูจน์ผลการวิจัยและการทดลองหลายปีเกี่ยวกับการบินไร้คนขับ อัลกอริทึมของเรามีประสิทธิภาพเหนือกว่าในสภาพแวดล้อมที่มีแรงกดดันสูงเช่นนี้และคว้าเงินรางวัลกลับบ้านไปมากที่สุด ถือเป็นรางวัลที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง”

โครงการ A2RL X DCL Drone STEM ซึ่งออกแบบร่วมกับ UNICEF และอยู่ภายใต้การดูแลของ ATRC ได้ฝึกอบรมนักเรียนชาวเอมิเรตส์ไปแล้วกว่า 100 คนในปีนี้ นักเรียนกว่า 60% ได้รับการรับรองจาก Trusted Operator Program อันทรงเกียรติ และ 24 คนได้คะแนนเต็ม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทักษะการบินขั้นสูงที่ได้รับการพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ

ในวันนี้ การแข่งขันโดรนรอบชิงชนะเลิศได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกๆ คนต่างจับตาไปที่การแข่งขันรถยนต์ไร้คนขับ A2RL ซีซั่นที่ 2 ที่จะจัดขึ้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 ที่สนามแข่ง Yas Marina Circuit ในอาบูดาบี

*แหล่งข้อมูล: AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

https://www.businesswire.com/news/home/20250416147445/en

Contacts

Thushara Mohanan
thushara.mohanan@tii.ae

ที่มา: Technology Innovation Institute


SMART Modular ขยายข้อเสนอ CXL ด้วยการเพิ่ม E3.S 2T 128GB CMM ลงในรายการที่ได้รับการทดสอบของ CXL Consortium

Logo

ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ได้รับการยอมรับได้ช่วยยืนยันบทบาทของ SMART ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต

นวร์ก, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–15 เมษายน 2025

SMART Modular Technologies Inc. (“SMART”) แบรนด์ของ Penguin Solutions (Nasdaq: PENG) และผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำแบบบูรณาการ ไดรฟ์โซลิดสเตต และผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลแบบไฮบริด ประกาศในวันนี้ว่า E3.S 2T 128GB CMM (Compute Express Link ® Memory Module) ของบริษัทได้รับการเพิ่มเข้าในรายการที่ได้รับการทดสอบของ CXL Consortium อย่างเป็นทางการแล้ว ความสำเร็จนี้ถือเป็นการเติมเต็มรายชื่อการ์ดเสริมหน่วยความจำ CXL (AIC) ขนาด 4 DIMM และ 8 DIMM ที่มีอยู่ของ SMART ซึ่งช่วยยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทในการส่งมอบโซลูชันหน่วยความจำที่สามารถใช้งานร่วมกันได้และมีคุณภาพสูง

SMART Modular’s CMM module, utilizing the CXL standard, has now been accepted to the CXL Consortium’s System Integrators’ List in addition to SMART’s 4-DIMM and 8-DIMM memory add-in cards.

โมดูล CMM ของ SMART Modular ซึ่งใช้มาตรฐาน CXL ได้รับการยอมรับให้เข้าอยู่ในรายการที่ผ่านการทดสอบของ CXL Consortium แล้ว นอกเหนือจากการ์ดเสริมหน่วยความจำแบบ 4 DIMM และ 8 DIMM ของ SMART

CMM E3.S 2T 128GB ใช้มาตรฐาน CXL® 2.0 โดยให้อินเทอร์เฟซ PCIe Gen5 x8 และรองรับ DDR5 DRAM สูงสุด 128GB โดยโมดูลนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูลด้วยการเปิดใช้งานการขยายหน่วยความจำแบบแคชที่สอดคล้องกัน ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), แมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) รวมถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ใช้ข้อมูลอย่างเข้มข้น

“เรายินดีที่ได้ขยายการมีอยู่ของเราในรายการที่ได้รับการทดสอบของ CXL Consortium ด้วยการเพิ่มโมดูลหน่วยความจำ E3.S CXL ของเราเข้าไปด้วย” Andy Mills รองประธานฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ขั้นสูงของ SMART Modular Technologies กล่าว “เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ CXL ที่หลากหลายซึ่งตรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรมที่เข้มงวดที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าและพันธมิตรของเราจะสามารถใช้งานร่วมกันได้สูงสุด”

โปรแกรมการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ CXL ช่วยรับรองว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นไปตามมาตรฐานที่เข้มงวดด้านการทำงานและการทำงานร่วมกัน ซึ่งตอกย้ำบทบาทของ SMART Modular Technologies ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรม สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชัน CXL ของ SMART โปรดไปที่ส่วนผลิตภัณฑ์ CXL ของ SMARTบนเว็บไซต์

Penguin Solutions, ตัวอักษร “S”, “SMART” และ “SMART Modular Technologies” เป็นเครื่องหมายการค้าที่เป็นเจ้าของโดยกลุ่มบริษัทที่เป็นเจ้าของโดย Penguin Solutions, Inc. “Compute Express Link” และ “CXL” เป็นเครื่องหมายการค้าที่เป็นเจ้าของโดย Compute Express Link Consortium, Inc. เครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับ SMART Modular Technologies, Inc.
A Penguin Solutions Company

SMART Modular Technologies ช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงได้ ผ่านการออกแบบ พัฒนา และบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงของโซลูชันหน่วยความจำแบบบูรณาการ ผลิตภัณฑ์ของเรามีตั้งแต่เทคโนโลยีหน่วยความจำล้ำสมัยในปัจจุบันไปจนถึงผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูล DRAM และ Flash แบบมาตรฐานและแบบเก่า เป็นเวลากว่าสามทศวรรษแล้วที่เรามอบโซลูชันหน่วยความจำและที่จัดเก็บข้อมูลแบบมาตรฐาน ทนทาน และกำหนดเอง ซึ่งตอบสนองความต้องการของแอปพลิเคชันที่หลากหลายในตลาดที่มีการเติบโตสูง www.smartm.com

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250415774873/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ผู้ติดต่อฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์
Arthur Sainio
SMART Modular Technologies
ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ DRAM
39870 Eureka Dr., Newark, CA 94560
+1 (510) 364-3647
arthur.sainio@smartm.com
 
ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
John Crook
SMART Modular Technologies
การสื่อสารด้านการตลาด
+1 (510) 474 8326
john.crook@smartm.com
 
Maureen O’Leary
Penguin Solutions
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสาร
+1 (602) 330-6846
pr@penguinsolutions.com

ที่มา: Penguin Solutions, Inc.

The Bangkok Reporter