SBC Medical Group Holdings ประกาศผลประกอบการทางการเงินไตรมาสที่สองปี 2025

Logo

เมืองเออร์ไวน์ รัฐแคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–13 สิงหาคม 2025

SBC Medical Group Holdings Incorporated (NASDAQ: SBC, “SBC Medical” หรือ “บริษัท”) เป็นเจ้าของ ผู้ดำเนินงาน และผู้ให้บริการด้านการบริหารจัดการและผลิตภัณฑ์แก่ศูนย์รักษาความงามระดับโลก ประกาศผลประกอบการทางการเงินสำหรับไตรมาสที่สองของปีงบประมาณ 2025 (งวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2025) และครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2025 (งวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2025) ในวันนี้

ไฮไลท์ไตรมาสที่สองของปี 2025

  •  รายได้รวม อยู่ที่ 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  •  รายได้จากการดำเนินงาน อยู่ที่ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 47% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  •  กำไรสุทธิที่เป็นของ SBC Medical Group อยู่ที่ 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 87% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  •  กำไรต่อหุ้น ซึ่งหมายถึงกำไรสุทธิของบริษัทหารด้วยจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยอยู่ที่ 0.02 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2025 เทียบกับ 0.20 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024
  •  EBITDA1 ซึ่งคำนวณโดยการนำค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายและผลขาดทุนจากการด้อยค่ามาบวกกับรายได้จากการดำเนินงาน โดยอยู่ที่ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 46% เมื่อเทียบกับปีก่อน อัตรากำไร EBITDA1 อยู่ที่ 35% ในไตรมาสที่สองของปี 2025 เทียบกับ 53% ในไตรมาสที่สองของปี 2024
  •  ผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งหมายถึงรายได้สุทธิที่เป็นของบริษัทหารด้วยค่าเฉลี่ยของส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 โดยอยู่ที่ 4% ซึ่งแสดงถึงการลดลง 44 จุดเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อน
  •  จำนวนสาขาแฟรนไชส์ 2 มีจำนวน 259 สาขา ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้น 36 สาขาจากวันที่ 30 มิถุนายน 2024
  •  จำนวนลูกค้า3 ในช่วงสิบสองเดือนล่าสุดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2025 อยู่ที่ 6.31 ล้านราย ซึ่งเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  •  อัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้า4 ที่เข้าใช้บริการคลินิกของแฟรนไชส์ซีอย่างน้อยสองครั้งอยู่ที่ 72%

ไฮไลท์ครึ่งปีแรกของปี 2025

  •  รายได้รวม อยู่ที่ 91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 16% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  •  รายได้จากการดำเนินงาน อยู่ที่ 39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  •  รายได้สุทธิที่เป็นของ SBC Medical Group อยู่ที่ 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 36% เทียบกับปีก่อน
  •  กำไรต่อหุ้น ซึ่งหมายถึงกำไรสุทธิของบริษัทหารด้วยจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยอยู่ที่ 0.23 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2025 เทียบกับ 0.40 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024
  •  EBITDA1 ซึ่งคำนวณโดยการนำค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายและผลขาดทุนจากการด้อยค่ามาบวกกับรายได้จากการดำเนินงาน โดยอยู่ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน อัตรากำไร EBITDA 1 อยู่ที่ 44% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เทียบกับ 50% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024

Yoshiyuki Aikawa ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SBC Medical กล่าวว่า “ตามที่คาดการณ์และส่งสัญญาณไว้ในคำแนะนำก่อนหน้าของเรา ไตรมาสที่ 2 ปี 2025 สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเป้าไปที่การวางตำแหน่งของ SBC Medical ให้มีความสามารถในการแข่งขันและความสามารถในการขยายธุรกิจในระยะยาว โดยมีรายได้รวมลดลง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหลือ 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการยุติธุรกิจจัดหาพนักงาน การขายกิจการแบบมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงการดำเนินงาน และการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม เรากำลังดำเนินแผนกลยุทธ์อย่างแม่นยำ ดังจะเห็นได้จากเครือข่ายแฟรนไชส์ 259 แห่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 และจำนวนผู้เข้ารับบริการ 6.31 ล้านคนในช่วงสิบสองเดือนที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดที่ไม่มีใครเทียบได้ในญี่ปุ่น อัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำที่สูงของเราช่วยตอกย้ำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ Shonan Beauty Clinic ของเรา โดยตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยของผู้บริโภคในญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายต่างๆ รวมถึงการเติบโตที่ชะลอตัวเนื่องจากข้อจำกัดทางการค้าและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่มีความระมัดระวัง แม้จะมีอุปสรรคเหล่านี้ เราก็ประสบความสำเร็จในการผลักดันโครงการสำคัญๆ ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อกิจการ MB Career Lounge ที่จะช่วยยกระดับบริการสนับสนุนด้านการจัดการของเรา และการควบรวม JUN CLINIC เข้ากับเครือข่ายของเรา ซึ่งมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อลูกค้าที่สูง ในอนาคต เรายังคงมั่นใจในแผนงานเชิงกลยุทธ์ของเรา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงรูปแบบแฟรนไชส์ให้เหมาะสมที่สุด คว้าโอกาสในการเติบโต เปลี่ยนไปใช้รูปแบบที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น รวมถึงมอบคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นของเรา”

 ผลประกอบการทางการเงินไตรมาสที่สองปี 2025

รายได้รวมอยู่ที่ 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่ปรับปรุงใหม่สำหรับบริการแฟรนไชส์ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 รวมถึงการยกเลิกธุรกิจบริการจัดหาพนักงาน และการขายกิจการของ SNA และ Kijimadaira ที่จะถูกชดเชยบางส่วนจากการเติบโตในด้านการจัดซื้อจัดจ้าง บริการเช่า และแหล่งรายได้อื่นๆ

กำไรสุทธิที่เป็นของ SBC Medical Group สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2025 อยู่ที่ 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 18.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024 การลดลงนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ในรายได้และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่สูงขึ้น

EBITDA1 อยู่ที่ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 46% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากรายได้ที่ลดลงหลังจากการยุติธุรกิจบริการจัดหาพนักงาน การแยกส่วนธุรกิจของ SNA และ Kijimadaira รวมถึงการแก้ไขโครงสร้างค่าธรรมเนียม

การประชุมทางโทรศัพท์

บริษัทจะจัดการประชุมทางโทรศัพท์ในวันพุธที่ 13 สิงหาคม 2025 เวลา 8.30 น. ตามเวลาตะวันออก (หรือวันพุธที่ 13 สิงหาคม 2025 เวลา 21.30 น. ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น) เพื่อหารือเกี่ยวกับผลประกอบการทางการเงินและตอบคำถามแบบสด

โปรดลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนการประชุมโดยใช้ลิงก์ด้านล่าง
https://edge.media-server.com/mmc/p/ukc9sp9j/lan/en/

ระบบจะนำคุณไปที่หน้าลงทะเบียนของ “การนำเสนอผลประกอบการทางการเงิน SBC ไตรมาสที่ 2 ปี 2025” โดยอัตโนมัติ โปรดทำตามขั้นตอนเพื่อป้อนรายละเอียดการลงทะเบียนของคุณ จากนั้นคลิก “ส่ง” เมื่อลงทะเบียนแล้ว คุณจะสามารถเข้าถึงเว็บไซต์สำหรับรับชมการประชุมทางโทรศัพท์โดยเฉพาะได้ นอกจากการรับชมการประชุมทางโทรศัพท์แล้ว เว็บไซต์นี้ยังให้เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับวิทยากร รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนในอดีตได้อีกด้วย

คุณสามารถรับชมเอกสารการนำเสนอผลประกอบการประจำปีบนเว็บไซต์ได้ก่อนการประชุมทางโทรศัพท์เริ่มต้น 10 นาที เอกสารดังกล่าวจะพร้อมให้ดาวน์โหลดด้วยเช่นกัน

การประชุมทางโทรศัพท์สามารถรดูซ้ำได้จนถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2026

นอกจากนี้ การรายงานผลประกอบการ สไลด์ประกอบ และเว็บคาสต์ที่เก็บถาวรของการประชุมทางโทรศัพท์ครั้งนี้ จะมีให้บริการที่เว็บไซต์ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัท https://ir.sbc-holdings.com/

เกี่ยวกับ SBC Medical

SBC Medical ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเออร์ไวน์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นเจ้าของและให้บริการจัดการและผลิตภัณฑ์แก่ศูนย์รักษาความงาม บริษัทมุ่งเน้นในการให้บริการจัดการที่ครอบคลุมแก่คลินิกแฟรนไชส์เป็นหลัก ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงความต้องการด้านการโฆษณาและการตลาดบนแพลตฟอร์มต่างๆ (เช่น เครือข่ายโซเชียลมีเดีย) การจัดการพนักงาน (เช่น การสรรหาและการฝึกอบรม) การจองสำหรับลูกค้าของคลินิกแฟรนไชส์ ​​ความช่วยเหลือในการเช่าที่พักและการเช่าสถานที่สำหรับพนักงานแฟรนไชส์ ​​การก่อสร้างและการออกแบบคลินิกแฟรนไชส์ ​​การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (การขายต่อ) การจัดหาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้กับคลินิกแฟรนไชส์เพื่อขายต่อให้กับลูกค้าของคลินิก ใบอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตรและยังไม่ได้จดสิทธิบัตร การใช้เครื่องหมายการค้าและตราสินค้า โซลูชันซอฟต์แวร์ไอที (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการปรึกษาทางการแพทย์ทางไกล) การจัดการโปรแกรมสะสมคะแนนสำหรับลูกค้าของคลินิกแฟรนไชส์ ​​(โปรแกรมสะสมคะแนนสำหรับลูกค้า) และเครื่องมือการชำระเงินสำหรับคลินิกแฟรนไชส์

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://sbc-holdings.com/

การใช้มาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP

บริษัทใช้มาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP เช่น EBITDA ในการประเมินผลการดำเนินงานและเพื่อวัตถุประสงค์ในการตัดสินใจทางการเงินและการดำเนินงาน บริษัทเชื่อว่ามาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP ช่วยระบุแนวโน้มพื้นฐานในธุรกิจ บริษัทเชื่อว่ามาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัท ช่วยเพิ่มความเข้าใจโดยรวมเกี่ยวกับประสิทธิภาพในอดีตและแนวโน้มในอนาคตของบริษัท และทำให้มองเห็นตัวชี้วัดหลักที่ฝ่ายบริหารของบริษัทใช้ในการตัดสินใจทางการเงินและการดำเนินงานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

มาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ภายใต้ U.S. GAAP และไม่ได้ถูกนำเสนอตาม U.S. GAAP มาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP มีข้อจำกัดในการใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ และเมื่อประเมินผลการดำเนินงาน กระแสเงินสด หรือสภาพคล่องของบริษัท นักลงทุนไม่ควรพิจารณามาตรการเหล่านี้โดยแยกส่วนหรือใช้แทนการขาดทุนสุทธิ กระแสเงินสดที่ได้จากกิจกรรมการดำเนินงาน หรืองบกำไรขาดทุนรวมและข้อมูลกระแสเงินสดอื่นๆ ที่จัดทำตาม U.S. GAAP

บริษัทบรรเทาข้อจำกัดเหล่านี้โดยการปรับมาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP ให้สอดคล้องกับมาตรการประสิทธิภาพตาม U.S. GAAP ที่สามารถเปรียบเทียบได้มากที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้ควรนำมาพิจารณาเมื่อประเมินประสิทธิภาพของบริษัท

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP โปรดดูตารางที่หัวข้อ “การปรับปรุงผลการดำเนินงานที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบตาม GAAP และผลการดำเนินงานที่ไม่ใช่ GAAP”

คำชี้แจงเชิงคาดการณ์

ข่าวเผยแพร่ฉบับนี้มีคำกล่าวที่มองไปข้างหน้า คำกล่าวที่มองไปข้างหน้าไม่ใช่ข้อเท็จจริงในอดีตหรือคำกล่าวที่แสดงถึงสภาพปัจจุบัน แต่เป็นเพียงความเชื่อของบริษัทเกี่ยวกับเหตุการณ์และผลการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วหลายกรณีมีความไม่แน่นอนโดยเนื้อแท้และอยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัท คำกล่าวที่มองไปข้างหน้าเหล่านี้สะท้อนมุมมองปัจจุบันของบริษัทเกี่ยวกับประสิทธิภาพทางการเงินของบริษัท การเติบโตของรายได้และกำไร แนวโน้มและโอกาสทางธุรกิจ แผนการจัดสรรเงินทุนและสภาพคล่อง ในบางกรณี คำกล่าวที่มองไปข้างหน้าสามารถระบุได้โดยการใช้คำ เช่น “อาจ” “ควร” “คาดหวัง” “คาดการณ์ล่วงหน้า” “พิจารณา” “ประมาณการ” “เชื่อว่า” “วางแผน” “คาดการณ์” “ทำนาย” “ศักยภาพ” หรือ “หวัง” หรือคำเชิงลบของคำเหล่านี้หรือคำที่คล้ายคลึงกัน บริษัทขอเตือนผู้อ่านอย่าพึ่งพาคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างมากเกินไป ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุดในวันที่เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เท่านั้น และอาจมีความเสี่ยง ความไม่แน่นอน สมมติฐาน หรือการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ต่างๆ ที่ยากต่อการคาดเดาหรือวัดผลได้ คำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากการคาดการณ์ปัจจุบันของฝ่ายบริหาร และไม่รับประกันผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัทไม่ดำเนินการหรือยอมรับภาระผูกพันใดๆ ที่จะเผยแพร่ข้อมูลอัปเดตหรือแก้ไขคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าต่อสาธารณะเพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงในการคาดการณ์ของบริษัทหรือการเปลี่ยนแปลงในเหตุการณ์ เงื่อนไข หรือสถานการณ์ที่คำกล่าวดังกล่าวอ้างอิง ยกเว้นในกรณีที่กฎหมายกำหนด ปัจจัยที่อาจทำให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงแตกต่างไปจากการคาดการณ์ปัจจุบันอย่างมากอาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว และบริษัทไม่สามารถคาดการณ์ปัจจัยทั้งหมดได้ ปัจจัยดังกล่าวรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก ระดับภูมิภาค หรือระดับท้องถิ่น สภาวะเศรษฐกิจ ธุรกิจ การแข่งขัน การตลาด และกฎระเบียบ และปัจจัยต่างๆ ที่ระบุไว้ภายใต้หัวข้อ “ปัจจัยเสี่ยง” และในที่อื่นๆ ในเอกสารที่บริษัทยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (the “SEC”) ซึ่งสามารถเข้าถึงได้บนเว็บไซต์ของ SEC ที่ www.sec.gov.

1 EBITDA และอัตรากำไร EBITDA เป็นมาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP โปรดดูหัวข้อ “การใช้มาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP” และตารางที่มีชื่อว่า “การปรับยอดผลการดำเนินงานที่ไม่ได้ตรวจสอบตาม GAAP และที่ไม่ใช่ GAAP”

2 ตัวเลขรวมแฟรนไชส์คลินิกแบรนด์ SBC, Rize Clinic, Gorilla Clinic, AHH Clinic และ JUN CLINIC

3 จำนวนลูกค้าซึ่งนับรวมลูกค้าคลินิกแบรนด์ SBC, Rize Clinic, Gorilla Clinic และ AHH Clinic แต่ไม่นับรวมลูกค้าของ JUN CLINIC และไม่รวมการให้คำปรึกษาฟรี ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2024 ถึง 30 มิถุนายน 2025

4 ตัวเลขรวมแฟรนไชส์คลินิกแบรนด์ SBC, Rize Clinic และ Gorilla Clinic แต่ไม่นับรวมลูกค้าของ AHH Clinic และ JUN CLINIC และไม่รวมการให้คำปรึกษาฟรี เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่กลับมาใช้บริการซ้ำอย่างน้อยสองครั้ง

SBC MEDICAL GROUP HOLDINGS INCORPORATED
งบดุลรวมที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ

 30 มิถุนายน

 2025

 31 ธันวาคม

 2024

 สินทรัพย์

 สินทรัพย์หมุนเวียน:

เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด

$

152,740,882

$

125,044,092

บัญชีลูกหนี้

2,350,368

1,413,433

บัญชีลูกหนี้– กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

48,920,843

28,846,680

สินค้าคงเหลือ

1,705,237

1,494,891

ลูกหนี้สัญญาเช่าเงินทุน หมุนเวียน – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

9,128,931

5,992,585

ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมลูกค้า หมุนเวียน

10,552,623

10,382,537

ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น

14,051,746

11,276,802

บัญชีลูกหนี้อื่น– กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

1,891,408

 รวมสินทรัพย์หมุนเวียน

 241,342,038

 184,451,020

 สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน:

ทรัพย์สินและอุปกรณ์สุทธิ

8,058,016

8,771,902

สินทรัพย์ไม่มีตัวตนสุทธิ

1,584,543

1,590,052

การลงทุนระยะยาวสุทธิ

3,593,087

3,049,972

ค่าความนิยมสุทธิ

5,011,511

4,613,784

สกุลเงินดิจิทัล (คริปโต)

535,882

ลูกหนี้สัญญาเช่าเงินทุน ไม่หมุนเวียน – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

13,197,979

8,397,582

สินทรัพย์สิทธิการใช้สัญญาเช่าดําเนินงาน

4,583,393

5,267,056

สินทรัพย์สิทธิการใช้สัญญาเช่าทางการเงิน

516,932

สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี

2,343,302

9,798,071

ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมลูกค้า ไม่หมุนเวียน

5,934,636

5,023,551

การชําระคืนเงินต้นล่วงหน้าระยะยาว

1,755,292

1,745,801

การลงทุนระยะยาวใน MCs – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

19,381,422

17,820,910

สินทรัพย์อื่น

7,461,224

15,553,453

 รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน

 73,957,219

 81,632,134

 รวมสินทรัพย์

 $

 315,299,257

 $

 266,083,154

 หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

 หนี้สินหมุนเวียน:

บัญชีเจ้าหนี้

$

16,290,206

$

13,875,179

บัญชีเจ้าหนี้ – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

3,245,989

659,044

ส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปี

69,420

96,824

ตั๋วเงินและเจ้าหนี้อื่นหมุนเวียน – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

3,272,048

26,255

รายได้รับล่วงหน้าจากลูกค้า

512,123

820,898

รายได้รับล่วงหน้าจากลูกค้า – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

10,333,007

11,739,533

ภาษีเงินได้ค้างจ่าย

14,133,163

18,705,851

หนี้สินตามสัญญาเช่าดําเนินงาน หมุนเวียน

3,623,871

4,341,522

หนี้สินตามสัญญาเช่าทางการเงิน หมุนเวียน

161,340

หนี้สินค้างจ่ายและหนี้สินหมุนเวียนอื่น

6,229,797

8,103,194

เจ้าหนี้จากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน

2,810,647

2,823,590

 รวมหนี้สินหมุนเวียน

 60,681,611

 61,191,890  

 
 
 
SBC MEDICAL GROUP HOLDINGS INCORPORATED
งบดุลรวมที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ — (ต่อ)

 30 มิถุนายน

 2025

 31 ธันวาคม

 2024

 31 มีนาคม 2025 31 ธันวาคม 2024 หนี้สินไม่หมุนเวียน:

เงินให้กู้ยืมระยะยาว

7,031,506

6,502,682

ตั๋วเงินและเจ้าหนี้อื่นไม่หมุนเวียน – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

5,334

หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี

353,517

926,023

หนี้สินตามสัญญาเช่าดําเนินงาน ไม่หมุนเวียน

1,208,516

1,241,526

หนี้สินตามสัญญาเช่าทางการเงิน ไม่หมุนเวียน

164,721

หนี้สินอื่น

1,206,815

1,193,541

 รวมหนี้สินไม่หมุนเวียน

 9,965,075

 9,869,106

 รวมหนี้สิน

 70,646,686

 71,060,996

 ส่วนของผู้ถือหุ้น:

หุ้นบุริมสิทธิ (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.0001 ดอลลาร์สหรัฐ จำนวนหุ้นที่ได้รับอนุญาต 20,000,000 หุ้น ไม่มีหุ้นที่ออกและชำระแล้ว ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 และ 31 ธันวาคม 2024)

หุ้นสามัญ (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.0001 ดอลลาร์สหรัฐ จำนวนหุ้นที่ได้รับอนุญาต 400,000,000 หุ้น หุ้นที่ออกและชำระแล้ว 103,881,251 และ 103,020,816 หุ้น, 103,098,442 และ 102,750,816 หุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 และ 31 ธันวาคม 2024 ตามลำดับ)

10,388

10,302

ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น

72,196,114

62,513,923

หุ้นทุนซื้อคืน (ราคาทุน 782,809 และ 270,000 หุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 และ 31 ธันวาคม 2024 ตามลำดับ)

(5,115,262

)

(2,700,000

)

กำไรสะสม

213,423,693

189,463,007

ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นสะสม

(35,922,942

)

(54,178,075

)

 รวมส่วนของผู้ถือหุ้นของ SBC Medical Group Holdings Incorporated

 244,591,991

 195,109,157

ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม

60,580

(86,999

)

 รวมส่วนของผู้ถือหุ้น

 244,652,571

 195,022,158

 รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

 $

 315,299,257

 $

 266,083,154

หมายเหตุประกอบเป็นส่วนหนึ่งของงบการเงินรวมที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเหล่านี้
 
 
 
SBC MEDICAL GROUP HOLDINGS INCORPORATED
งบกำไรขาดทุนรวมที่ยังไม่ได้ตรวจสอบและ
งบกำไรขาดทุนรวม

 สําหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่
30 มิถุนายน

 สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่
 30 มิถุนายน

 2025

 2024

 2025

 2024

รายได้สุทธิ – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

$

38,944,898

$

51,039,038

$

84,202,043

$

101,509,245

รายได้สุทธิ

4,413,949

2,063,042

6,485,505

6,400,877

รวมรายได้สุทธิ

 43,358,847

 53,102,080

 90,687,548

 107,910,122

ต้นทุนรายได้ (รวมต้นทุนรายได้จากกิจการที่เกี่ยวข้องกันจำนวน 4,669,602 ดอลลาร์สหรัฐและ 3,616,103 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับงวดสามเดือนที่สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2025 และ 2024, และ 8,126,530 ดอลลาร์สหรัฐและ 5,413,462 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับงวดหกเดือนที่สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2025 และ 2024 ตามลำดับ)

13,348,270

13,682,405

22,943,887

28,971,072

กําไรขั้นต้น

 30,010,577

 39,419,675

 67,743,661

 78,939,050

ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน:

ค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไปและค่าใช้จ่ายในการบริหาร (รวมค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหารจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน 415,767 ดอลลาร์สหรัฐและ 0 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2025 และ 2024, และ 415,767 ดอลลาร์สหรัฐและ 0 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2025 และ 2024 ตามลำดับ)

15,456,385

12,129,115

28,987,395

27,187,605

รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

 15,456,385

 12,129,115

 28,987,395

 27,187,605

รายได้จากการดำเนินงาน

 14,554,192

 27,290,560

 38,756,266

 51,751,445

รายได้อื่น (ค่าใช้จ่าย):

รายได้จากดอกเบี้ย

22,882

11,644

78,215

29,333

ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย

(49,651

)

(7,424

)

(55,858

)

(10,432

)

รายได้อื่น

33,771

306,291

185,099

655,972

ค่าใช้จ่ายอื่น

(1,132,465

)

(514,636

)

(2,829,724

)

(1,951,292

)

กำไรจากการไถ่ถอนกรมธรรม์ประกันชีวิต

8,746,138

การเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสกุลเงินดิจิทัล (คริปโต)

111,632

111,632

กําไรจากการจําหน่ายของบริษัทย่อย

3,813,609

รวมรายได้อื่น (ค่าใช้จ่าย)

 (1,013,831

 )

 (204,125

 )

 6,235,502

 2,537,190

กำไรก่อนภาษีเงินได้

 13,540,361

 27,086,435

 44,991,768

 54,288,635

ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้

11,100,509

8,529,110

21,059,966

16,981,094

กำไรสุทธิ

 2,439,852

 18,557,325

 23,931,802

 37,307,541

หัก: กำไร (ขาดทุน) สุทธิที่เกิดจากส่วนได้เสียที่ไม่มีอํานาจควบคุม

(18,388

)

72,917

(28,884

)

65,381

กําไรสุทธิที่เป็นของ SBC Medical Group Holdings Incorporated

 $

 2,458,240

 $

 18,484,408

 $

 23,960,686

 $

 37,242,160

กําไร (ขาดทุน) เบ็ดเสร็จอื่น:

ส่วนปรับปรุงจากการแปลงค่าสกุลเงินต่างประเทศ

$

8,623,269

$

(9,046,549

)

$

18,431,596

$

(19,240,401

)

รวมกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ

 11,063,121

 9,510,776

 42,363,398

 18,067,140

หัก: กำไร (ขาดทุน) เบ็ดเสร็จที่เกิดจากส่วนได้เสียที่ไม่มีอํานาจควบคุม

184,411

22,000

147,579

(70,000

)

กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่เป็นของ SBC Medical Group Holdings Incorporated

 $

 10,878,710

 $

 9,488,776

 $

 42,215,819

 $

 18,137,140

กําไรสุทธิต่อหุ้นที่เป็นของ SBC Medical Group Holdings Incorporated*

กำไรต่อหุ้นพื้นฐานและปรับลดแล้ว

$

0.02

$

0.20

$

0.23

$

0.40

จำนวนหุ้นเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักที่ชำระแล้ว*

จำนวนหุ้นพื้นฐานและปรับลดแล้ว

103,507,249

94,192,433

103,392,580

94,192,433

*

ปรับปรุงย้อนหลังสําหรับผลกระทบของการเพิ่มทุนแบบย้อนกลับในวันที่ 17 กันยายน 2024

หมายเหตุประกอบเป็นส่วนหนึ่งของงบการเงินรวมที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเหล่านี้
 
 
 
SBC MEDICAL GROUP HOLDINGS INCORPORATED
งบกระแสเงินสดรวมที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ

 สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่

 30 มิถุนายน

 2025

 2024

กระแสเงินสดจากกิจกรรมดําเนินงาน

กำไรสุทธิ

$

23,931,802

$

37,307,541

 การปรับปรุงเพื่อกระทบยอดกำไรสุทธิกับเงินสดสุทธิที่ได้จาก (ใช้ใน) กิจกรรมดำเนินงาน:

ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่าย

1,264,405

1,849,422

ค่าใช้จ่ายการเช่าที่ไม่ใช่เงินสด

2,185,744

1,923,890

สํารองเผื่อขาดทุนสินเชื่อ

283,752

62,804

การเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนระยะยาว

384,523

1,045,557

กําไรจากการจําหน่ายของบริษัทย่อย

(3,813,609

)

กำไรจากการไถ่ถอนกรมธรรม์ประกันชีวิต

(8,746,138

)

กำไรจากการจำหน่ายทรัพย์สินและอุปกรณ์

(10,804

)

(902

)

การเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสกุลเงินดิจิทัล (คริปโต)

(111,632

)

ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้รอตัดบัญชี

7,452,983

(3,322,728

)

การเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดําเนินงาน:

บัญชีลูกหนี้

(789,577

)

(1,423,412

)

บัญชีลูกหนี้ – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(17,039,113

)

5,843,499

สินค้าคงเหลือ

(717,972

)

561,921

ลูกหนี้สัญญาเช่าทางการเงิน – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(6,482,967

)

(1,759,556

)

ลูกหนี้สินเชื่อของลูกค้า

8,081,703

7,521,267

ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น

(1,349,225

)

(1,488,347

)

การชําระคืนเงินต้นล่วงหน้าระยะยาว

211,988

(41,412

)

สินทรัพย์อื่น

85,907

(1,007,431

)

บัญชีเจ้าหนี้

1,165,217

(8,960,556

)

บัญชีเจ้าหนี้ – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

2,455,865

ตั๋วเงินจ่ายและเจ้าหนี้อื่น – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(5,031,570

)

(5,101,368

)

รายได้รับล่วงหน้าจากลูกค้า

(369,616

)

(755,977

)

รายได้รับล่วงหน้าจากลูกค้า – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(2,363,891

)

(4,663,233

)

ภาษีเงินได้ค้างจ่าย

(6,030,526

)

5,462,133

หนี้สินตามสัญญาเช่าดําเนินงาน

(2,275,398

)

(1,998,196

)

หนี้สินค้างจ่ายและหนี้สินหมุนเวียนอื่น

(2,508,035

)

(4,444,172

)

หนี้สินค้างจ่ายและหนี้สินหมุนเวียนอื่น

(88,593

)

77,625

 เงินสดสุทธิที่ได้รับจาก (ใช้ใน) กิจกรรมดำเนินงาน

 (6,411,168

 )

 22,874,760

 กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน

การซื้อทรัพย์สินและอุปกรณ์

(560,431

)

(1,565,333

)

การซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพ

(1,700,000

)

การชําระคืนเงินต้นล่วงหน้าสําหรับทรัพย์สินและอุปกรณ์

(705,351

)

รายได้รับล่วงหน้าจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(617,804

)

การชำระเงินในนามของกิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(1,836,541

)

(5,245,990

)

การซื้อเงินลงทุนระยะยาว

(652,555

)

การซื้อสกุลเงินดิจิทัล (คริปโต)

(424,250

)

เงินกู้ยืมระยะยาวแก่ผู้อื่น

(13,134

)

(62,489

)

การชําระคืนจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน

70,000

555,000

การชําระคืนจากผู้อื่น

56,307

44,748

รายได้จากการไถ่ถอนกรมธรรม์ประกันชีวิต

17,735,717

การจําหน่ายบริษัทย่อย สุทธิจากเงินสดที่จําหน่ายไป

(815,819

)

รายได้จากการจําหน่ายทรัพย์สินและอุปกรณ์

1,728,236

1,971

 เงินสดสุทธิที่ได้รับจาก (ใช้ใน) กิจกรรมการลงทุน

 15,397,998

 (9,405,716

   )

 
 
 
SBC MEDICAL GROUP HOLDINGS INCORPORATED
งบกระแสเงินสดรวมที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ — (ต่อ)

 สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่
30 มิถุนายน

 2025

 2024

 กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน

การกู้ยืมจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน

15,000

การชําระคืนเงินกู้ยืมระยะยาว

(74,256

)

(59,217

)

การชำระคืนหนี้สินเช่าซื้อทางการเงิน

(278,097

)

การชําระคืนให้แก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(27,943

)

(50,124

)

การซื้อคืนหุ้นสามัญ

(2,415,262

)

เงินสมทบที่ถือว่าเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนราคาจากการจำหน่ายทรัพย์สินและอุปกรณ์

9,682,277

 เงินสดสุทธิที่ได้รับจาก (ใช้ใน) กิจกรรมจัดหาเงิน

 6,901,719

 (109,341

 )

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

11,808,241

(12,679,865

)

 การเปลี่ยนแปลงสุทธิในเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด

 27,696,790

 679,838

 เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ต้นงวด

 125,044,092

 103,022,932

 เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด สิ้นงวด

 $

 152,740,882

 $

 103,702,770

 การเปิดเผยข้อมูลกระแสเงินสดเพิ่มเติม

เงินสดที่จ่ายดอกเบี้ยจ่าย

$

55,858

$

10,432

เงินสดที่จ่ายภาษีเงินได้สุทธิ

$

19,637,454

$

16,191,178

 กิจกรรมจัดหาเงินและกิจกรรมลงทุนที่ไม่ใช่เงินสด

ทรัพย์สินและอุปกรณ์ที่โอนจากการชําระคืนเงินต้นล่วงหน้าระยะยาว

$

246,188

$

สินทรัพย์สิทธิการเช่าดําเนินงานที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนกับหนี้สินตามสัญญาเช่าดําเนินงาน

$

104,437

$

สินทรัพย์สิทธิการเช่าทางการเงินที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนกับหนี้สินตามสัญญาเช่าทางการเงิน

$

612,466

$

การวัดค่ามูลค่าใหม่ของหนี้สินตามสัญญาเช่าดำเนินงานและสินทรัพย์สิทธิการใช้อันเนื่องมาจากการแก้ไขสัญญาเช่า

$

1,160,680

$

1,376,034

การออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกันที่เกี่ยวข้องในการให้บริการสินเชื่อ

$

8,175,342

$

16,085,387

การออกหุ้นสามัญเป็นหุ้นจูงใจ

$

86

$

หมายเหตุประกอบเป็นส่วนสำคัญของงบการเงินรวมที่ไม่ได้รับการตรวจสอบนี้
 
 
 
 การกระทบยอดระหว่าง GAAP กับมาตรการทางการเงินที่ไม่ใช่ GAAP

 SBC MEDICAL GROUP HOLDINGS INCORPORATED
 การกระทบยอดผลลัพธ์ของ GAAP และ Non-GAAP ที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ

 สําหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่
 30 มิถุนายน

 สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่

 30 มิถุนายน

 2025

 2024

 2025

 2024

รายได้รวมสุทธิ

$

43,358,847

$

53,102,080

$

90,687,548

107,910,122

รายได้จากการดำเนินงาน

14,554,192

27,290,560

38,756,266

51,751,445

ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่าย

636,101

830,945

1,264,405

1,849,422

 EBITDA

15,190,293

28,121,505

40,020,671

53,600,867

 อัตรากำไร EBITDA

35

%

53

%

44

%

50

%

หมายเหตุประกอบเป็นส่วนหนึ่งของงบการเงินรวมที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเหล่านี้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ในเอเชีย:
SBC Medical Group Holdings Incorporated
Hikaru Fukui / หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์
อีเมล: ir@sbc-holdings.com

ในสหรัฐอเมริกา:
ICR LLC
Bill Zima / หุ้นส่วนผู้จัดการ
อีเมล: bill.zima@icrinc.com

ที่มา: SBC Medical Group Holdings Incorporated

เผชิญกับอนาคต: เครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI ของ Mary Kay พร้อมพลิกโฉมวงการความงามแล้ว

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–14 สิงหาคม 2025

Mary Kay Inc. ผู้นำระดับโลกด้านการขายตรงและนวัตกรรมการดูแลผิว ประกาศเปิดตัว เครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI” สุดล้ำ ที่เป็นเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถค้นหารองพื้นที่เหมาะกับตนเองได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ที่ปรึกษาด้านความงามอิสระของ Mary Kay สามารถแนะนำลูกค้าในการค้นหารองพื้นที่ใช่ได้โดยตรงจากโทรศัพท์ของพวกเขา

“The launch of our AI-powered Foundation Finder reflects a continued commitment to innovation in personalized beauty,” said James Whatley, Mary Kay’s Chief Information Officer. “By leveraging an exclusive AI technology in the Direct Selling channel, we’re able to provide shade recommendations in seconds, while making the consumer experience intuitive, inclusive, and enjoyable. Our Mary Kay independent beauty consultants will now have a powerful digital partner that elevates their business, enhances customer trust, and reimagines how beauty is delivered in a tech-enabled world.” (Photo Courtesy: Mary Kay Inc.)

“การเปิดตัวเครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI ของเราสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านความงามเฉพาะบุคคล” กล่าวโดย James Whatley ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศของ Mary Kay “ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะในช่องทางการขายตรง เราจึงสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับเฉดสีได้ภายในไม่กี่วินาที พร้อมมอบประสบการณ์ที่ใช้งานง่าย ครอบคลุม และน่าพึงพอใจให้กับผู้บริโภค ที่ปรึกษาด้านความงามอิสระของ Mary Kay ของเราจะมีพันธมิตรดิจิทัลที่ทรงพลัง ที่จะช่วยยกระดับธุรกิจ เพิ่มความไว้วางใจของลูกค้า และพลิกโฉมวิธีการส่งมอบความงามของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี” (เครดิตภาพ: Mary Kay Inc.)

ครั้งแรกในอุตสาหกรรมการขายตรง เครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI นี้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงในการสแกนใบหน้าของลูกค้าบนโทรศัพท์มือถือ และให้คำแนะนำเกี่ยวกับเฉดสีที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้ภายในไม่กี่วินาที สิ่งที่ทำให้เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้โดดเด่น คือ การได้รับข้อมูลจากสเกลที่พัฒนาขึ้นทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจโทนสีผิวของมนุษย์ได้อย่างครอบคลุมและละเอียดถี่ถ้วน เทคโนโลยีนี้จะจับภาพโทนสีผิวของผู้ใช้โดยใช้กล้อง จากนั้นจึงจับคู่กับเฉดสีรองพื้น Mary Kay ที่แม่นยำที่สุดด้วยการวิเคราะห์โทนสีผิวของผู้ใช้กับค่า RGB ที่สอดคล้องกันของผลิตภัณฑ์รองพื้น Mary Kay1โดย Mary Kay เป็นเจ้าของสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในเครื่องมือนี้ ทำให้เป็นเครื่องมือพลิกโฉมอุตสาหกรรมขายตรงอย่างแท้จริง2

“เครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI นี้ช่วยขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นผู้พลิกโฉมด้านความงามวงการขายตรงและสาขาอื่นๆ” กล่าวโดย ดร. Lucy Gildea ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายแบรนด์และวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay “เราเป็นผู้บุกเบิกการจับคู่เฉดสีด้วย AI ทั่วโลก ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจับคู่รองพื้นกับผลิตภัณฑ์รองพื้นที่หลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Mary Kay® Flawless Face ได้ การนำเทคโนโลยีความงามนี้มาใช้ถือเป็นโอกาสพิเศษในการยกระดับผลิตภัณฑ์ในหมวดหมู่นี้และปลูกฝังชุมชนความงามของเราในรุ่นต่อๆ ไป”

เครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับโซลูชันความงามที่สามารถปรับแต่งเฉพาะบุคคลได้ด้วยเทคโนโลยี ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีในวงกว้าง ในฐานะแบรนด์ขายตรงอันดับ 1 ของโลกด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางสีจาก Euromonitor International ติดต่อกันสามปีซ้อน3 ในปี 2023, 2024 และอีกครั้งในปี 2025 โดยการเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Mary Kay ในด้านนวัตกรรมดิจิทัล การมีส่วนร่วม และการเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการด้านความงามทั่วโลก

“การเปิดตัวเครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI ของเราสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านความงามเฉพาะบุคคล” กล่าวโดย James Whatley ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศของ Mary Kay “ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะในช่องทางการขายตรง เราจึงสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับเฉดสีได้ภายในไม่กี่วินาที พร้อมมอบประสบการณ์ที่ใช้งานง่าย ครอบคลุม และน่าพึงพอใจให้กับผู้บริโภค ที่ปรึกษาด้านความงามอิสระของ Mary Kay ของเราจะมีพันธมิตรดิจิทัลที่ทรงพลัง ที่จะช่วยยกระดับธุรกิจ เพิ่มความไว้วางใจของลูกค้า และพลิกโฉมวิธีการส่งมอบความงามของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี”

เครื่องมือนี้พร้อมให้บริการแล้วในบางตลาด และจะเปิดตัวทั่วโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ดูได้ที่นี่

ไฮไลท์ของเครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI:

  •  เทคโนโลยีความงาม: กล้องของผู้ใช้จะจับภาพวิดีโอหรือภาพที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามาแบบเรียลไทม์ โดยตรวจจับจุดสำคัญบนใบหน้าได้อย่างแม่นยำถึง 151 จุด
  •  การรวมเข้าด้วยกัน: เครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI ของ Mary Kay มีพื้นฐานมาจากสเกล 10 เฉดสีที่เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อแสดงโทนสีผิวของมนุษย์ที่หลากหลายได้อย่างแม่นยำ โดยคำนึงถึงความครอบคลุมและความแม่นยำ
  •  ประสิทธิภาพ: จากการทดสอบผู้บริโภคของเรา พบว่า 83% ของผู้บริโภคระบุว่ามีแนวโน้มที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับคำแนะนำ ส่วนการทดสอบที่ปรึกษาความงามอิสระ (IBC) ของ Mary Kay พบว่า 100% ของ IBC ของ Mary Kay ระบุว่ามีแนวโน้มที่จะใช้เครื่องมือนี้ในธุรกิจของตนเป็นอย่างมาก
  •  การเข้าถึง: เครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI จะถูกผสานเข้ากับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ โดยสามารถเข้าถึงได้จาก www.marykay.com หรือผ่านทาง iCatalog ที่ผู้บริโภคสามารถสแกนและค้นหารองพื้นที่ตรงกับความต้องการได้ทันที
  •  ความเป็นส่วนตัว: เครื่องมือค้นหารองพื้นด้วย AI นี้ไม่ได้จัดเก็บหรือประมวลผลข้อมูลไบโอเมตริกซ์

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay Ash ผู้ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของเธอในเท็กซัสเมื่อปี 1963 โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 40 ตลาด เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่โอกาสของ Mary Kay ได้ส่งเสริมให้ผู้หญิงกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay มุ่งมั่นที่จะลงทุนในด้านวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอางสี อาหารเสริม และน้ำหอมที่ล้ำสมัย Mary Kay เชื่อในการอนุรักษ์โลกของเราไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการล่วงละเมิดในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนเดินตามความฝันของตนเอง เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com พบกับเราได้บน Facebook, Instagram และ LinkedIn หรือติดตามเราบน X.

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/ 20250814569267/en

1

รหัส RGB ย่อมาจากรหัสสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ที่เป็นแบบจำลองสีที่ใช้ในการถ่ายภาพดิจิทัลและกราฟิกคอมพิวเตอร์เพื่อแสดงสี โดยแต่ละสีจะแสดงด้วยค่าสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงินผสมกัน ซึ่งทั่วไปจะมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 255

2

Mary Kay Inc. ถือสิทธิพิเศษในการใช้เครื่องมือนี้เป็นเวลา 12 เดือนแรกนับจากวันเปิดตัว

3

ที่มา: Euromonitor International Limited; Beauty and Personal Care ฉบับปี 2025, ยอดขายตามมูลค่าที่ RSP, ข้อมูลปี 2024

Contacts

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc.


C.J. Express ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ RELEX Solutions เพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว

Logo

ผู้ค้าปลีกชั้นนำของไทยจะนำความสามารถขั้นสูงของ RELEX มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เนื่องจากมีจำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–14 สิงหาคม 2568

บริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด (C.J. Express Group Co., Ltd.) เป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย ได้ขยายความร่วมมือกับ RELEX Solutions ผู้ให้บริการโซลูชันการวางแผนซัพพลายเชนและค้าปลีกแบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง การขยายความร่วมมือครั้งนี้จะนำเสนอความสามารถขั้นสูงต่างๆ เช่น การจัดซื้อสินค้าแบบมีข้อจำกัด การคาดการณ์จำนวนสินค้าในหลากหลายช่องทาง รวมถึงการวินิจฉัยซัพพลายเชนในศูนย์กระจายสินค้า (DC) ทั้งเจ็ดแห่งของ C.J. Express โดยการขยายความร่วมมือนี้ยังรวมถึงการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ โดยทีม RELEX จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีม C.J. Express เพื่อทำความเข้าใจในข้อจำกัดด้านการดำเนินงานในปัจจุบัน และทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุง KPI โดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความพร้อมในการจัดจำหน่าย สินค้าหมด จำนวนวันคงเหลือ และสินค้าเน่าเสีย ทั้งของร้านค้าและศูนย์กระจายสินค้า

นับตั้งแต่เริ่มร่วมมือกับ RELEX ในปี 2565 ทาง C.J. Express ได้ประสบความสำเร็จในการขยายการดำเนินงานจาก 900 สาขาและศูนย์กระจายสินค้าสองแห่ง ไปสู่กว่า 1,700 สาขาและศูนย์กระจายสินค้าเจ็ดแห่ง โดย C.J. Express ดำเนินธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศไทย ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท รวมถึงอาหารสด และตั้งเป้าการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 30-40% ต่อปี พร้อมกับการสำรวจรูปแบบร้านค้าใหม่ๆ

ด้วยความสำเร็จที่ได้รับการพิสูจน์แล้วนี้ C.J. Express จึงได้ขยายการใช้งานแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ RELEX เพื่อจัดการกับความซับซ้อนในการปฏิบัติงานที่เกิดจากการเติบโตอย่างรวดเร็ว ความสามารถเหล่านี้ประกอบด้วย การจัดซื้อสินค้าแบบมีข้อจำกัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจในด้านการจัดหาสินค้า การคาดการณ์ในหลากหลายช่องทางที่ปรับให้เหมาะกับรูปแบบร้านค้าที่หลากหลาย รวมถึงการวินิจฉัยห่วงซัพพลายเชนเพื่อระบุและแก้ไขปัญหาคอขวดในการดำเนินงาน

แพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ RELEX นี้จะช่วยให้ C.J. Express ปรับปรุงความพร้อมในการจัดจำหน่ายสินค้า ลดความเสียหายจากการเน่าเสีย ปรับระดับสินค้าคงคลังให้เหมาะสม และปรับปรุงการดำเนินงานของร้านค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย RELEX Diagnostics จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของซัพพลายเชนแบบอัตโนมัติ ที่จะช่วยให้ C.J. Express สามารถระบุและแก้ไขปัญหาการดำเนินงานได้ล่วงหน้าก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อลูกค้า ความสามารถเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินงานนี้จะส่งผลโดยตรงต่อความพึงพอใจของลูกค้าและผลกำไร

ด้วยการขยายตัวและวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของธุรกิจ C.J. Express ความซับซ้อนจึงเพิ่มขึ้น และการจัดการความซับซ้อนนี้ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว นอกเหนือจากความสามารถของแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้แล้ว RELEX จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับ C.J. Express เพื่อวิเคราะห์หาจุดอ่อนในกระบวนการทำงาน มองหาจุดที่สามารถพัฒนาได้ และร่วมกันปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นจนจบ โดยความร่วมมือนี้จะยิ่งเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง RELEX และ C.J. Express ให้เกิดความสำเร็จร่วมกัน โดยการเพิ่มมูลค่าสูงสุดของแพลตฟอร์ม RELEX และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการดำเนินงานของ C.J. Express โดยรวม

การทำงานร่วมกับ RELEX ทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะเราสามารถขยายจำนวนสาขาร้านเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า” กล่าวโดย คุณวีรธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ C.J. Express “แพลตฟอร์มนี้ได้พัฒนาไปพร้อมกับธุรกิจของเรา ทีโดยให้ความแม่นยำในการคาดการณ์และช่วยให้เราเห็นภาพรวมของห่วงโซ่อุปทานได้ชัดเจน ทำให้เราสามารถรักษาคุณภาพการบริการได้แม้ในช่วงที่ธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความร่วมมือนี้ทำให้เราสามารถเดินหน้าเติบโตต่อไปได้ พร้อมกับให้บริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ผมไม่ได้มอง RELEX เป็นแค่บริษัทขายซอฟต์แวร์ แต่เป็นพาร์ทเนอร์ที่ทุ่มเทเพื่อความสำเร็จร่วมกัน”

“เรารู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จที่เราได้ทำร่วมกับ C.J. Express และรู้สึกตื่นเต้นที่จะสนับสนุนกลยุทธ์การเติบโตอันทะเยอทะยานของพวกเขา” กล่าวโดย Mikko Kärkkäinen ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ RELEX Solutions โดยความร่วมมือครั้งนี้แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นของ RELEX ในการให้ผลลัพธ์ที่วัดได้จริง และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ เราพร้อมที่จะสนับสนุนซีเจ เอ็กซ์เพรสเติบโตต่อไป และสร้างมาตรฐานใหม่ของธุรกิจค้าปลีกในไทย 

เกี่ยวกับ RELEX

RELEX Solutions มอบแพลตฟอร์มการวางแผนห่วงโซ่อุปทานแบบรวมศูนย์สำหรับผู้ค้าปลีกและผู้ผลิต โดยใช้เทคโนโลยี AI ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เราได้ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการคาดการณ์อุปสงค์ การเติมสินค้า การจัดการสินค้า การกำหนดราคาและโปรโมชั่น การดำเนินงานห่วงโซ่อุปทาน และการวางแผนการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่าแบบครบวงจร แบรนด์ต่างๆ เช่น ADUSA, AutoZone, Coles, Circle K, Dollar Tree and Family Dollar, Ford South America, M&S Food, PetSmart, Rituals, The Home Depot, Systemair และ Vita Coco ต่างไว้วางใจให้ RELEX เพิ่มความพร้อมในการจัดจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ เพิ่มยอดขาย นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ปรับปรุงความยั่งยืน และขับเคลื่อนการเติบโตที่สร้างผลกำไร เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ https://www.relexsolutions.com/customers/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:

Jolene Peixoto
รองประธานฝ่ายสื่อสาร
RELEX Solutions
Jolene.Peixoto@relexsolutions.com

Amelia Goodbody
ผู้จัดการฝ่ายสื่อสาร
RELEX Solutions
Amelia.goodbody@relexsolutions.com

ที่มา: RELEX Solutions

C.J. Express ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ RELEX Solutions เพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว

Logo

ผู้ค้าปลีกชั้นนำของไทยจะนำความสามารถขั้นสูงของ RELEX มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เนื่องจากมีจำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–14 สิงหาคม 2025

บริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด (C.J. Express Group Co., Ltd.) เป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย ได้ขยายความร่วมมือกับ RELEX Solutions ผู้ให้บริการโซลูชันการวางแผนซัพพลายเชนและค้าปลีกแบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง การขยายความร่วมมือครั้งนี้จะนำเสนอความสามารถขั้นสูงต่างๆ เช่น การจัดซื้อสินค้าแบบมีข้อจำกัด การคาดการณ์ในหลากหลายช่องทาง รวมถึงการวินิจฉัยซัพพลายเชนในศูนย์กระจายสินค้า (DC) ทั้งเจ็ดแห่งของ C.J. Express โดยการขยายความร่วมมือนี้ยังรวมถึงการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ โดยทีม RELEX จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีม C.J. Express เพื่อทำความเข้าใจในข้อจำกัดด้านการดำเนินงานในปัจจุบัน และทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุง KPI โดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความพร้อมในการจัดจำหน่าย สินค้าหมด จำนวนวันคงเหลือ และสินค้าเน่าเสีย ทั้งของร้านค้าและศูนย์กระจายสินค้า

นับตั้งแต่เริ่มร่วมมือกับ RELEX ในปี 2022 ทาง C.J. Express ได้ประสบความสำเร็จในการขยายการดำเนินงานจาก 900 สาขาและศูนย์กระจายสินค้าสองแห่ง ไปสู่กว่า 1,700 สาขาและศูนย์กระจายสินค้าเจ็ดแห่ง โดย C.J. Express ดำเนินธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศไทย ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท รวมถึงอาหารสด และตั้งเป้าการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 30-40% ต่อปี พร้อมกับการสำรวจรูปแบบร้านค้าใหม่ๆ

ด้วยความสำเร็จที่ได้รับการพิสูจน์แล้วนี้ C.J. Express จึงได้ขยายการใช้งานแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ RELEX เพื่อจัดการกับความซับซ้อนในการปฏิบัติงานที่เกิดจากการเติบโตอย่างรวดเร็ว ความสามารถเหล่านี้ประกอบด้วย การจัดลำดับแบบจำกัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจในด้านการจัดหาสินค้า การคาดการณ์ในหลากหลายช่องทางที่ปรับให้เหมาะกับรูปแบบร้านค้าที่หลากหลาย รวมถึงการวินิจฉัยห่วงโซ่อุปทานเพื่อระบุและแก้ไขปัญหาคอขวดในการดำเนินงาน

แพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ RELEX นี้จะช่วยให้ C.J. Express ปรับปรุงความพร้อมในการจัดจำหน่ายสินค้า ลดความเสียหายจากการเน่าเสีย ปรับระดับสินค้าคงคลังให้เหมาะสม และปรับปรุงการดำเนินงานของร้านค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย RELEX Diagnostics จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานแบบอัตโนมัติ ที่จะช่วยให้ C.J. Express สามารถระบุและแก้ไขปัญหาการดำเนินงานได้ล่วงหน้าก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อลูกค้า ความสามารถเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินงานนี้จะส่งผลโดยตรงต่อความพึงพอใจของลูกค้าและผลกำไร

ด้วยการขยายตัวและวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของธุรกิจ C.J. Express ความซับซ้อนจึงเพิ่มขึ้น และการจัดการความซับซ้อนนี้ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว นอกเหนือจากความสามารถของแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้แล้ว RELEX จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับ C.J. Express เพื่อระบุช่องว่างในการดำเนินงาน ศักยภาพในการปรับปรุง และร่วมมือกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นจนจบ โดยความร่วมมือนี้จะยิ่งเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง RELEX และ C.J. Express ให้เกิดความสำเร็จร่วมกัน โดยการเพิ่มมูลค่าสูงสุดของแพลตฟอร์ม RELEX และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการดำเนินงานของ C.J. Express โดยรวม

“การเดินทางของเรากับ RELEX ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากเราขยายพื้นที่ร้านค้าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า” กล่าวโดย คุณวีรธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ C.J. Express “แพลตฟอร์มนี้ได้พัฒนาไปพร้อมกับธุรกิจของเรา ที่ได้มอบความแม่นยำในการคาดการณ์และการมองเห็นห่วงโซ่อุปทานที่เราต้องการเพื่อรักษาระดับการให้บริการในช่วงที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความร่วมมือนี้ทำให้เราสามารถเดินหน้าเติบโตต่อไปได้ พร้อมกับให้บริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผม สิ่งสำคัญคือไม่ใช่แค่การมอง RELEX ในฐานะผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เท่านั้น แต่ต้องทำให้ทั้งสองฝ่ายร่วมลงทุนเพื่อความสำเร็จร่วมกันของเรา”

“เรารู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จที่เราได้ทำร่วมกับ C.J. Express และรู้สึกตื่นเต้นที่จะสนับสนุนกลยุทธ์การเติบโตอันทะเยอทะยานของพวกเขา” กล่าวโดย Mikko Kärkkäinen ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ RELEX Solutions โดยความร่วมมือครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ RELEX ในการส่งมอบคุณค่าที่วัดผลได้และเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวที่ขับเคลื่อนความสำเร็จ เราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ช่วย C.J. Express และนำทางการเติบโต รวมถึงสร้างมาตรฐานใหม่ด้านความเป็นเลิศด้านการค้าปลีกในประเทศไทยต่อไป

เกี่ยวกับ RELEX

RELEX Solutions มอบแพลตฟอร์มการวางแผนห่วงโซ่อุปทานแบบรวมศูนย์สำหรับผู้ค้าปลีกและผู้ผลิต โดยใช้เทคโนโลยี AI ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เราได้ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการคาดการณ์อุปสงค์ การเติมสินค้า การจัดการสินค้า การกำหนดราคาและโปรโมชั่น การดำเนินงานห่วงโซ่อุปทาน และการวางแผนการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่าแบบครบวงจร แบรนด์ต่างๆ เช่น ADUSA, AutoZone, Coles, Circle K, Dollar Tree and Family Dollar, Ford South America, M&S Food, PetSmart, Rituals, The Home Depot, Systemair และ Vita Coco ต่างไว้วางใจให้ RELEX เพิ่มความพร้อมในการจัดจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ เพิ่มยอดขาย นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ปรับปรุงความยั่งยืน และขับเคลื่อนการเติบโตที่สร้างผลกำไร เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ https://www.relexsolutions.com/customers/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:

Jolene Peixoto
รองประธานฝ่ายสื่อสาร
RELEX Solutions
Jolene.Peixoto@relexsolutions.com

Amelia Goodbody
ผู้จัดการฝ่ายสื่อสาร
RELEX Solutions
Amelia.goodbody@relexsolutions.com

ที่มา: RELEX Solutions

SSD ระดับองค์กร ซีรีส์ KIOXIA LC9 ขนาด 245.76 TB พร้อมนวัตกรรมใหม่ด้วยหน่วยความจำแบบสแต็ก 32 ได ได้คว้ารางวัล ‘Best of Show’ ในงาน FMS: อนาคตของหน่วยความจำและการจัดเก็บข้อมูล 2025

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–06 สิงหาคม 2025

Kioxia Corporation ขอประกาศวันนี้ว่า SSD ระดับองค์กร ซีรีส์ KIOXIA LC9 ขนาด 245.76 เทราไบต์ (TB)(1) ซึ่งใช้หน่วยความจำแฟลช KIOXIA BiCS FLASH™ รุ่นที่ 8 QLC 3D แบบสแต็ก 32 ได ได้รับรางวัล FMS ‘Best of Show’ ในประเภท ‘เทคโนโลยี SSD’ รางวัลเหล่านี้ได้ยกย่องผลิตภัณฑ์ บริการ และการนำไปใช้งานของลูกค้าที่ล้ำสมัยที่ขยายขอบเขตของเทคโนโลยีหน่วยความจำและการจัดเก็บข้อมูล

KIOXIA LC9 Series 245.76 TB Enterprise SSD with Innovative 32-die Stack Memory Named ‘Best of Show’ at FMS 2025

SSD ระดับองค์กร ซีรีส์ KIOXIA LC9 ความจุ 245.76 TB พร้อมหน่วยความจำแบบสแต็ก 32 ได นวัตกรรมใหม่ ได้รับรางวัล ‘Best of Show’ ในงาน FMS 2025

SSD NVMe™ รุ่นแรกในอุตสาหกรรม(2) ความจุ 245.76 TB(1) ขนาด 2.5 นิ้ว และฟอร์มแฟกเตอร์มาตรฐานสำหรับองค์กรและศูนย์ข้อมูล (EDSFF) ขนาด E3.L ทำให้ไดรฟ์ซีรีส์ KIOXIA LC9 เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ AI เชิงสร้างสรรค์ (generative AI) และแอปพลิเคชันระดับองค์กร โดยขณะนี้ SSD ซีรีส์ KIOXIA LC9 กำลังสุ่มตัวอย่างให้กับเหล่าลูกค้าของเรา

“เมื่อลูกค้าประเมิน SSD สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถปรับขนาดได้ตลอดจนถึงความจุที่สูง พร้อมทั้งมอบประสิทธิภาพสูงและการใช้พลังงานต่ำ” Jay Kramer ประธานโครงการรางวัลและประธานบริษัท Network Storage Advisors Inc. กล่าว “เราภูมิใจที่ได้ยกย่อง KIOXIA สำหรับหน่วยความจำแฟลช BiCS FLASH™ 3D และ SSD ซีรีส์ KIOXIA LC9 โดยโซลูชันนี้เกิดขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยี CBA (CMOS directly Bonded to Array) และนวัตกรรมของสถาปัตยกรรมแบบสแต็ก 32 ไดในแพ็กเกจเดียว ที่ได้มอบความจุ พลังงาน และความหนาแน่นที่จำเป็นสำหรับ SSD ยุคใหม่ การสร้าง SSD ระดับองค์กร(2) PCIe® 5.0 ที่มีความจุสูงสุดถือเป็นความสำเร็จอันโดดเด่นและสะท้อนถึงตำแหน่งผู้นำของ Kioxia ได้อย่างชัดเจน”

ด้วยการนำเสนอสแต็ก 32 ได ความจุ 2 เทราบิต (Tb)(3) หน่วยความจำแฟลช BiCS FLASH™ QLC 3D พร้อมเทคโนโลยี CBA ที่เป็นนวัตกรรมของ SSD ทำให้ซีรีส์ KIOXIA LC9 มอบความเร็ว ขนาด และความหนาแน่นที่จำเป็นต่อการรองรับปริมาณงานที่เน้นข้อมูลเป็นหลักในอนาคต การผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมหน่วยความจำขั้นสูงและเทคโนโลยี CBA นี้ช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 8 TB(3) ในแพ็คเกจขนาดเล็ก 154 BGA ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม(2) ความสำเร็จครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการประมวลผลเวเฟอร์ความแม่นยำสูง การออกแบบวัสดุ และเทคโนโลยีการเชื่อมลวดของ KIOXIA

หมายเหตุ:

(1) คำจำกัดความของความจุ SSD:: Kioxia Corporation กำหนดให้ 1 กิโลไบต์ (KB) เท่ากับ 1,000 ไบต์, 1 เมกะไบต์ (MB) เท่ากับ 1,000,000 ไบต์, 1 กิกะไบต์ (GB) เท่ากับ 1,000,000,000 ไบต์, 1 เทราไบต์ (TB) เท่ากับ 1,000,000,000,000 ไบต์ และ 1 กิบิไบต์ (KiB) เท่ากับ 1,024 ไบต์ อย่างไรก็ตาม ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์จะรายงานความจุโดยใช้เลขยกกำลัง 2 สำหรับนิยามของ 1GB = 2^30 ไบต์ = 1,073,741,824 ไบต์ และ 1TB = 2^40 ไบต์ = 1,099,511,627,776 ไบต์ ดังนั้นจึงแสดงความจุของพื้นที่จัดเก็บน้อยลง ความจุที่ใช้งานได้ (รวมถึงตัวอย่างไฟล์มีเดียต่างๆ) จะแตกต่างกันไปตามขนาดไฟล์ การจัดรูปแบบ การตั้งค่า ซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการ เช่น ระบบปฏิบัติการ Microsoft และ/หรือแอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า หรือเนื้อหาสื่อ ความจุที่จัดรูปแบบจริงอาจแตกต่างกันไป

(2) ข้อมูล ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2025 จากการสำรวจของ Kioxia

(3) ความจุหน่วยความจำแฟลชคำนวณได้เป็น 1 เทราบิต (1 Tb) = 1,099,511,627,776 (2^40) บิต และ 1 เทราไบต์ (1 TB) = 1,099,511,627,776 (2^40) ไบต์

* 2.5 นิ้วบ่งบอกถึงขนาดของ SSD ไม่ใช่ขนาดทางกายภาพ
* NVMe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนของ NVM Express, Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ
* PCIe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ PCI-SIG
* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุคคลที่สาม

เกี่ยวกับ Kioxia
Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำที่มุ่งมั่นในการพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายหน่วยความจำแฟลชและโซลิดสเตทไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 บริษัท Toshiba Memory ซึ่งเป็นบริษัทก่อนหน้าได้แยกตัวออกมาจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจำ” ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและคุณค่าตามหน่วยความจำสำหรับสังคมต่างๆ โดยเทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3D ที่เป็นนวัตกรรมของ Kioxia อย่าง BiCS FLASH™ นั้นกำลังสร้างอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชั่นที่มีความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี ระบบยานยนต์ ศูนย์ข้อมูล และระบบ Generative AI

การสอบถามจากลูกค้า:
Kioxia Group
สำนักงานขายทั่วโลก
https://www.kioxia.com/en-jp/business/buy/global-sales.html

*ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ มีความถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250805179979/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

การสอบถามสำหรับสื่อ:
Kioxia Corporation
ฝ่ายบริหารการส่งเสริมการขาย
Satoshi Shindo
โทร.: +81-3-6478-2404

ที่มา: Kioxia Corporation

ขยายขีดความสามารถ AI อย่างไร้ขีดจำกัด: KIOXIA นำเสนอโซลูชัน Flash Storage สุดล้ำที่งาน FMS 2025

Logo

บริษัทมุ่งเน้นไปที่ SSD ความจุ 245.76 TB รุ่นแรกในอุตสาหกรรม รวมถึงนวัตกรรมอื่นๆ ที่จะนิยามการจัดเก็บข้อมูลใหม่สำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนด้วย AI

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–05 สิงหาคม 2025

กลุ่ม Kioxiaผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ จะขึ้นเวทีอีกครั้งในงาน FMS: อนาคตของหน่วยความจำและการจัดเก็บข้อมูล เพื่อเน้นย้ำว่านวัตกรรมหน่วยความจำแฟลชและ SSD ของบริษัทกำลังขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพและปรับขนาดได้สำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไร โดยมุ่งเน้นไปที่การใช้งานจริงและการเพิ่มประสิทธิภาพ โดย Kioxia จะแสดงให้เห็นว่าโซลูชันล่าสุดของบริษัทสามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของ AI ในสภาพแวดล้อมศูนย์ข้อมูลและองค์กรได้อย่างไร

Scale AI Without Limits: KIOXIA Showcases Breakthrough Flash Storage Solutions at FMS 2025

ขยายขีดความสามารถ AI อย่างไร้ขีดจำกัด: KIOXIA นำเสนอโซลูชัน Flash Storage สุดล้ำที่งาน FMS 2025

 Kioxia จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด รวมถึงซีรีส์ KIOXIA LC9 ความจุสูง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แรกของอุตสาหกรรม1 245.76 เทราไบต์ (TB)2 NVMe™ SSD โดยมีไฮไลท์เพิ่มเติม ประกอบด้วย SSD ซีรีส์ KIOXIA CM9 และซีรีส์ KIOXIA CD9P ที่สร้างด้วยหน่วยความจำแฟลช 3D BiCS FLASHTM รุ่นที่ 8 ของบริษัทที่ส่งมอบประสิทธิภาพ การประหยัดพลังงาน และความหลากหลายต่างๆ นอกจากนี้ Kioxia ยังจะจัดแสดงผลิตภัณฑ์ความจุ 1 เทราบิต (Tb)3 3 บิต/เซลล์ (TLC) ที่ใช้เทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3D BiCS FLASHTM รุ่นที่ 9 และรุ่นที่ 10 โดยที่หน่วยความจำแฟลช BiCS FLASHTM รุ่นที่ 9 และ รุ่นที่ 10 ได้ผสานรวมมาตรฐานอินเทอร์เฟซ Toggle DD6.0 และใช้ประโยชน์จากโปรโตคอล SCA (Separate Command Address) และวิธีการป้อนที่อยู่คำสั่งแบบใหม่ของอินเทอร์เฟซ และเทคโนโลยี PI-LTT (Power Isolated Low-Tapped Termination) ซึ่งช่วยปรับปรุงความเร็วในการรับและส่งข้อมูลและลดการใช้พลังงาน

ในงาน FMS 2025 Kioxia จะนำเสนอประเด็นสำคัญและเซสชันทางเทคนิคที่ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้:

  1.  การนำเสนอหลักในงาน FMS 2025:
     “เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วยเทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลชและโซลูชันการจัดเก็บข้อมูล
     วันอังคารที่ 5 สิงหาคม เวลา 11:00 . ตามเวลาแปซิฟิก (PDT)
     สถานที่: ห้องบอลรูม Mission City, ศูนย์การประชุม Santa Clara, ชั้น 1
     วิทยากร: Katsuki Matsudera ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดด้านเทคนิคหน่วยความจำของ Kioxia Corporation และ Neville Ichhaporia รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายธุรกิจ SSD ของ KIOXIA America, Inc.
     
  2.  เสวนาระดับผู้บริหาร AI Premier:
    การปรับขนาดหน่วยความจำและพื้นที่เก็บข้อมูลสำหรับการอนุมาน AI
     วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม เวลา 11:00 . ตามเวลาแปซิฟิก (PDT)
     สถานที่: ห้องบอลรูม Mission City, ศูนย์การประชุม Santa Clara, ชั้น 1
     วิทยากร: Rory Bolt นักวิจัยอาวุโสและสถาปนิกหลักของหน่วยธุรกิจ SSD ของ KIOXIA America Inc.
     
  3.  บูทสาธิต KIOXIA
     การสาธิตผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีจะจัดขึ้นที่บูท KIOXIA หมายเลข 307 อันโดดเด่น 2 ชั้น ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่จัดแสดง 10 แห่งในพื้นที่จัดแสดง ซึ่งประกอบด้วย:
  •  กรณีการใช้งานที่ต้องขยายเพิ่มขึ้นแพ็กเกจความจุสูง/หน่วยความจำแฟลชความหน่วงต่ำ: สแต็ก 32 ไดในแพ็คเกจ BGA ขนาดเล็กของหน่วยความจำแฟลช BiCS FLASHTM รุ่นที่ 8 QLC 3D /XL-FLASH พร้อมอินเทอร์เฟซ CXL™
  •  หน่วยความจำแฟลช 3D KIOXIA BiCS FLASHTM รุ่นที่ 9: เวเฟอร์ 1 Tb3 และแพ็กเกจ BGA ขนาดเล็กพร้อมชิป 512Gb
  •  หน่วยความจำแฟลช 3D KIOXIA BiCS FLASHTM รุ่นที่ 10 : เวเฟอร์ 1 Tb3 และการจัดแสดงโมเดล
  •  KIOXIA UFS – ผู้บริโภคและยานยนต์: โซลูชันประสิทธิภาพสูงสำหรับตลาดที่กำลังพัฒนา
  •  SSD ความจุสูง 245.76 TB2 ใน Dell PowerEdge 7715: การนำเสนอ SSD NVMe ระดับองค์กร ซีรีส์ KIOXIA LC9
  •  การสาธิตเกี่ยวกับประสิทธิภาพและพลังของอุปกรณ์: การนำเสนอ SSD NVMe สำหรับศูนย์ข้อมูล ซีรีส์ KIOXIA CD9P
  •  การฝึกอบรม ML Perf Storage: การนำเสนอ SSD NVMe ระดับองค์กร ซีรีส์ KIOXIA CM9
  •  การจำลอง SSD โดยตรงบน GPU: การตรวจสอบอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลโดยตรงบน GPU ที่ 143 ล้าน IOPS
  •  ซอฟต์แวร์ KIOXIA AiSAQ การสร้างสมดุลระหว่างขีดความสามารถและประสิทธิภาพการทำงานอย่างยืดหยุ่น
  •  การถ่ายข้อมูล RAID และการล้างข้อมูล: การนำเสนอ SSD NVMe ระดับองค์กร ซีรีส์ KIOXIA CM7

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง:
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ FMS 2025
https://futurememorystorage.com/

หมายเหตุ:

1: ข้อมูล ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2568 อ้างอิงจากผลสำรวจของ Kioxia Corporation

2: นิยามของความจุ SSD: Kioxia Corporation กำหนด 1 กิโลไบต์ (KB) เท่ากับ 1,000 ไบต์, 1 เมกะไบต์ (MB) เท่ากับ 1,000,000 ไบต์, 1 กิกะไบต์ (GB) เท่ากับ 1,000,000,000 ไบต์, 1 เทราไบต์ (TB) เท่ากับ 1,000,000,000,000 ไบต์ และ 1 กิบิไบต์ (KiB) เท่ากับ 1,024 ไบต์ อย่างไรก็ตาม ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์จะรายงานความจุโดยใช้เลขยกกำลัง 2 สำหรับนิยามของ 1GB = 2^30 ไบต์ = 1,073,741,824 ไบต์ และ 1TB = 2^40 ไบต์ = 1,099,511,627,776 ไบต์ ดังนั้นจึงแสดงความจุของพื้นที่จัดเก็บน้อยลง ความจุที่ใช้งานได้ (รวมถึงตัวอย่างไฟล์มีเดียต่างๆ) จะแตกต่างกันไปตามขนาดไฟล์ การจัดรูปแบบ การตั้งค่า ซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการ เช่น ระบบปฏิบัติการ Microsoft และ/หรือแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า หรือเนื้อหาสื่อ ความจุที่จัดรูปแบบจริงอาจแตกต่างกันไป

3: ความจุของหน่วยความจำแฟลชคำนวณจาก 1 เทราบิต (1 Tb) = 1,099,511,627,776 (2^40) บิต และ 1 เทราไบต์ (1 TB) = 1,099,511,627,776 (2^40) ไบต์

Universal Flash Storage (UFS) เป็นหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์หน่วยความจำแบบฝังตัวที่สร้างขึ้นตามมาตรฐาน JEDEC UFS

NVMe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนของ NVM Express, Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ

CXL เป็นเครื่องหมายการค้าของ Compute Express Link Consortium, Inc.

Dell, PowerEdge และเครื่องหมายการค้าอื่นๆ เป็นเครื่องหมายการค้าของ Dell Inc. หรือบริษัทในเครือ

ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุคคลที่สาม

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ ที่ทุ่มเทให้กับการพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายหน่วยความจำแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 Toshiba Memory ซึ่งเป็นชื่อเดิมของบริษัทได้แยกตัวออกมาจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจำ” โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและคุณค่าจากหน่วยความจำสำหรับสังคม เทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3D ที่เป็นนวัตกรรมของ Kioxia ที่เรียกว่า BiCS FLASH™ กำลังกำหนดอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี SSD ระบบยานยนต์ ศูนย์ข้อมูล และระบบ AI เชิงสร้างสรรค์

*ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ ซึ่งมีความถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250804179531/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

การสอบถามสำหรับสื่อ:
Kioxia Corporation
ฝ่ายบริหารการส่งเสริมการขาย
Satoshi Shindo
โทร.: +81-3-6478-2404

ที่มา: Kioxia Corporation

Toshiba เปิดตัวเซนเซอร์รับภาพเชิงเส้นแบบ CCD ชนิดลดเลนส์พร้อมสัญญาณรบกวนแบบสุ่มที่ต่ำที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพของภาพในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันขนาด A3

Logo

คาวาซากิ ญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–05 สิงหาคม 2025

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) ได้เปิดตัวเซนเซอร์รับภาพเชิงเส้นชนิดลดเลนส์[1] แบบ CCD[2] รุ่น “ TCD2728DG ” สำหรับเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันขนาด A3 ที่เริ่มจัดส่งแล้วในวันนี้ โดยเซนเซอร์นี้มีองค์ประกอบรับภาพ (พิกเซล) 7,500 ชิ้น[3] และรองรับเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันขนาด A3 นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการลดสัญญาณรบกวนแบบสุ่ม (NDσ)[4] ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมากกว่า TCD2726DG รุ่นปัจจุบันของโตชิบา

Toshiba: “TCD2728DG” เซนเซอร์ภาพรับเชิงเส้นแบบ CCD ชนิดลดเลนส์สำหรับเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันขนาด A3

สำนักงานธุรกิจต่างๆ กำลังเผชิญกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการถ่ายเอกสารและการสแกนเอกสารจำนวนมากด้วยความเร็วสูงและมีความละเอียดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันขนาด A3 ซึ่งการปรับปรุงคุณภาพของภาพกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญ และจำเป็นที่จะต้องลด NDσ ในสัญญาณเพื่อเพิ่มคุณภาพของภาพ

TCD2728DG มีอัตราขยายสัญญาณเอาต์พุตต่ำกว่า[5] TCD2726DG ผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของ Toshiba และช่วยลด NDσ ลงได้ประมาณ 40%[6] การปรับปรุงนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพของภาพในเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน โดยเซนเซอร์รับภาพแบบ CCD เชิงเส้นรุ่นใหม่มีอัตราข้อมูล 100 เมกะเฮิรตซ์ (50 เมกะเฮิรตซ์ × 2 ช่องสัญญาณ) ที่ช่วยให้สามารถประมวลผลภาพปริมาณมากด้วยความเร็วสูงได้ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับกล้องสแกนแบบเส้นที่ใช้ในระบบตรวจสอบที่ต้องการการตัดสินใจแบบเรียลไทม์

Toshiba จะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่อไปเพื่อรองรับการสแกนด้วยเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันและแอปพลิเคชันการตรวจจับของอุปกรณ์ตรวจสอบ และเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับเทคโนโลยีการถ่ายภาพและการตรวจจับความเร็วสูงและความละเอียดสูง

หมายเหตุ:

[1]

วิธีการลดขนาดภาพด้วยเลนส์ออปติคอลและฉายภาพลงบนเซนเซอร์ภาพแบบ CCD หรือ CMOS

[2]

อุปกรณ์ถ่ายเทประจุ (CCD)

[3]

จำนวนพิกเซลที่จำเป็นในการสแกนด้านสั้น (297 มม.) ของขนาด A3 ด้วยความละเอียด 600 dpi

(dpi (จุดต่อนิ้ว): จำนวนส่วนต่อนิ้ว)

ขนาด A3 แปลงเป็นนิ้ว: 297 มม. / 25.4 มม. ≒ 11.7 นิ้ว

11.7 × 600 = 7,020 พิกเซล –> เผื่อระยะขอบไว้ 7,500 พิกเซล

[4]

สัญญาณรบกวนที่ไม่สม่ำเสมอจะส่งผลต่อคุณภาพของภาพ

[5]

วงจรสำหรับปรับกำลังขยายของสัญญาณเอาต์พุต การขยายและสัญญาณรบกวนเป็นสัดส่วนกัน

[6]

เปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ TCD2726DG ของ Toshiba

 การใช้งาน

  • เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันขนาด A3 (ความละเอียด 600 dpi)
  • กล้องสแกนแบบไลน์ขนาด 7500 พิกเซลสำหรับระบบตรวจสอบต่างๆ (อุปกรณ์ตรวจสอบสารกึ่งตัวนำ อุปกรณ์คัดแยกอาหาร ฯลฯ)

 คุณสมบัติ

  •  ลดสัญญาณรบกวนแบบสุ่มได้ประมาณ 40%[6]
  • เซนเซอร์รับภาพเชิงเส้นแบบ CCD ความเร็วสูง: อัตราข้อมูล = 100MHz (ความถี่สัญญาณนาฬิกาหลัก 50MHz × 2 ช่องสัญญาณ) (สูงสุด)
  •  วงจรสร้างสัญญาณเวลาในตัว[7] และไดรเวอร์ CCD ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการพัฒนาระบบ

[7]

วงจรสำหรับสร้างสัญญาณที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนเซนเซอร์ภาพเชิงเส้น

 ข้อมูลจำเพาะหลัก

(Ta=25°C)

หมายเลขชิ้นส่วน

 TCD2728DG

แรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ (ช่วงการทำงาน) (V)

 VAVDD, VDVDD, VCKDVDD : 3.1 ถึง 3.5
 VVDD10 : 9.5 ถึง 10.5

สัญญาณรบกวนแบบสุ่ม NDσ (mV)

1.9

ขนาดพิกเซล (μm)

4.7 × 4.7

จำนวนองค์ประกอบการตรวจจับภาพ

7500 องค์ประกอบ × 3 ไลน์

อัตราข้อมูล

สูงสุด

100MHz (50MHz × 2 ช่องสัญญาณ)

แพ็กเกจ

WDIP32

อื่นๆ / คุณสมบัติเพิ่มเติม

วงจรกำเนิดเวลา, ไดรเวอร์ CCD

ติดตามลิงก์ด้านล่างเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่
TCD2728DG

ติดตามลิงก์ด้านล่างเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเซนเซอร์รับภาพเชิงเส้นของ Toshiba
เซนเซอร์รับภาพเชิงเส้น

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้นๆ
* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลติดต่อ เป็นข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง ใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมมากกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ

โดยมีพนักงานกว่า 19,400 คนทั่วโลกที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงสุด และส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าในการสร้างมูลค่าและตลาดใหม่ๆ ร่วมกัน บริษัทมุ่งหวังที่จะสร้างและมีส่วนสนับสนุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับผู้คนโดยทั่วไป

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html  

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20250804774893/en

Contacts

การสอบถามจากลูกค้า
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์แอนะล็อก
โทร.: +81-44-548-2219
ติดต่อเรา

การสอบถามจากสื่อ
C. Nagasawa
ฝ่ายสื่อสารและข่าวกรองการตลาด
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

ความเหนื่อยล้าจากโฆษณาส่งผลกระทบรุนแรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ผู้บริโภค 2 ใน 3 ไม่สนใจโฆษณาซ้ำๆ

Logo

งานวิจัยใหม่กระตุ้นให้แบรนด์ต่างๆ ใช้กลยุทธ์ Omnichannel เพื่อรับมือกับความเหนื่อยล้าที่เพิ่มขึ้นในภูมิทัศน์สื่อที่กระจัดกระจาย

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–30 กรกฎาคม 2025

งานวิจัยใหม่โดย The Trade Desk (Nasdaq: TTD) ผู้นำด้านเทคโนโลยีการโฆษณาระดับโลก เปิดเผยว่า 66 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่สนใจโฆษณาซ้ำที่แสดงบนช่องทางเดียว ผลการศึกษาเรื่อง โอกาสที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องของ Omnichannel” ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ผู้โฆษณาจะต้องเลิกใช้กลยุทธ์แบบหลายช่องทางที่ทำงานแยกส่วนจากกัน และหันมาใช้วิธีการแบบ Omnichannel ที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งสอดคล้องกับวิธีที่ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับสื่อในปัจจุบัน

งานวิจัยนี้ศึกษาความแตกต่างระหว่างแคมเปญแบบ Omnichannel และแคมเปญแบบหลายช่องทาง รวมถึงผลกระทบต่อประสบการณ์และการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค แม้ว่าทั้งสองแนวทางจะใช้หลายช่องทาง แต่ความแตกต่างอยู่ที่การดำเนินการ แคมเปญแบบหลายช่องทางมักทำงานแบบแยกส่วนและมีกลยุทธ์ที่แยกจากกันบนแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน ในทางตรงกันข้าม แคมเปญแบบ Omnichannel จะรวมช่องทางดิจิทัลตั้งแต่สามช่องทางขึ้นไป (เช่น มือถือ ดิสเพลย์ เนทีฟ วิดีโอ เสียง DOOH หรือ CTV/OTT) เข้าด้วยกันเป็นประสบการณ์ที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพการเรียงลำดับข้อความและความถี่ตามวิธีที่ผู้ใช้บริโภคสื่อ

กระจัดกระจายของสื่อเป็นตัวกระตุ้นความเหนื่อยล้า

ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้บริโภคใช้เวลาเฉลี่ยมากกว่าแปดชั่วโมงต่อวันกับสื่อห้าประเภท ได้แก่ CTV/OTT, มิวสิคสตรีมมิ่ง, เกม, ข่าว และเว็บไซต์ การกระจัดกระจายของสื่อที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้นักการตลาดต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นในการนำเสนอโฆษณาที่ตรงใจและน่าสนใจโดยไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถูกยัดเยียด

ขณะเดียวกัน ความเหนื่อยล้าจากโฆษณาได้แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค ในบรรดาหกตลาดที่สำรวจ อินโดนีเซีย (69 เปอร์เซ็นต์) และฟิลิปปินส์ (67 เปอร์เซ็นต์) มีรายงานระดับความเหนื่อยล้าจากโฆษณาสูงสุด ตามมาด้วยไทย (65 เปอร์เซ็นต์) และสิงคโปร์ (63 เปอร์เซ็นต์) ปัญหานี้เด่นชัดเป็นพิเศษในกลุ่มคนรุ่น Gen Z ซึ่งมีแนวโน้มที่จะรู้สึกหงุดหงิดมากถึง 57 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเห็นแบรนด์เดียวกันซ้ำๆ ในช่องทางเดียว ในฐานะคนรุ่นใหม่ดิจิทัล พวกเขาคาดหวังให้โฆษณามีความราบรื่น ตรงตามความต้องการเฉพาะบุคคล และไม่ซ้ำซากในทุกช่องทาง

“เมื่อการบริโภคสื่อมีการกระจายตัวมากขึ้น ความเหนื่อยล้าจากการโฆษณาจึงกลายเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับนักการตลาด” กล่าวโดย Simon Morgan รองประธานอาวุโสของ The Trade Desk “งานวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าแนวทาง Omnichannel มีประสิทธิภาพมากกว่าในการจัดการความถี่ในการสื่อสารข้ามช่องทาง ผู้เผยแพร่ และแพลตฟอร์มต่างๆ ควบคู่ไปกับการนำเสนอข้อความที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เมื่อแคมเปญให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายเป็นอันดับแรกและสอดคล้องกับวิธีที่ผู้คนบริโภคสื่อจริง ก็จะช่วยลดความเหนื่อยล้าและผลักดันผลลัพธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น”

หน้าต่างแห่งโอกาสสำหรับ Omnichannel

แม้ความเหนื่อยล้าจากโฆษณาจะเพิ่มขึ้น แต่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเปิดรับโฆษณาที่ตรงประเด็นและดำเนินการได้ดี มากกว่าครึ่ง (55 เปอร์เซ็นต์) กล่าวว่าโฆษณามีอิทธิพลต่อการซื้อครั้งต่อไป และตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นอีกในประเทศไทย (66 เปอร์เซ็นต์) และอินโดนีเซีย (60 เปอร์เซ็นต์) อันที่จริง ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มที่จะได้รับแรงบันดาลใจจากโฆษณาเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่าชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 1.6 เท่า เมื่อเทียบกับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั่วโลก นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนสำหรับนักการตลาดในการใช้กลยุทธ์ Omnichannel ที่ส่งมอบข้อความที่ตรงเวลาและตรงกับขั้นตอนการซื้อของผู้บริโภค

งานวิจัยล่าสุดเผยให้เห็นว่าแนวทาง Omnichannel มีประสิทธิภาพเหนือกว่ากลยุทธ์สื่อที่ไม่เชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดความเหนื่อยล้าจากโฆษณาได้ 2.2 เท่า และเพิ่มผลกระทบเชิงโน้มน้าวใจได้ 1.5 เท่า1 นอกจากนี้ ผู้ลงโฆษณาที่ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มของ The Trade Desk สำหรับแคมเปญแบบ Omnichannel พบว่ามีความตั้งใจซื้อเพิ่มขึ้น 1.7 เท่า เมื่อเชื่อมต่อสามช่องทางเข้าด้วยกันอย่างเป็นองค์รวม2 ผลกระทบของการจัดแนวเชิงกลยุทธ์ระหว่างช่องทางต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตแบบเปิดได้รับการพิสูจน์เพิ่มเติมโดยการค้นพบที่แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนจากการลงทุน 77 เปอร์เซ็นต์เมื่อมีการบูรณาการช่องทางทั้งห้าช่องทาง3

รายงานฉบับใหม่ของ Trade Desk ระบุว่าแบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างกลยุทธ์ Omnichannel ที่มีประสิทธิผลได้อย่างไร โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดหลายตลาดเกี่ยวกับสถานที่และวิธีการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายในวิธีที่มีประสิทธิผลมากที่สุด:

ประเทศไทยเป็นผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการจดจำแบรนด์

ประเทศไทยโดดเด่นด้านการจดจำแบรนด์ได้อย่างโดดเด่นในช่องทางดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิดีโอออนไลน์ เกม และเว็บไซต์ ที่สำคัญคือ CTV/OTT กำลังก้าวขึ้นมาเป็นรากฐานสำคัญของมูลค่าแบรนด์ในระยะยาว ผู้บริโภคชาวไทยที่รับชมโฆษณา CTV/OTT มีแนวโน้มที่จะจดจำแบรนด์ได้มากกว่าถึง 23 เปอร์เซ็นต์ และมีแนวโน้มที่จะเชื่อถือโฆษณาเหล่านั้นมากกว่าโฆษณาในช่องทางอื่นๆ ถึง 16 เปอร์เซ็นต์ ด้วยความสามารถในการสร้างทั้งการจดจำและความน่าเชื่อถือ CTV/OTT จึงกลายเป็นเสาหลักสำคัญของกลยุทธ์ Omnichannel ที่มีประสิทธิภาพในประเทศไทย

ช่องพรีเมียมมีประสิทธิภาพโฆษณาบนโซเชียลมีเดียแซงหน้าในฟิลิปปินส์

แม้ว่าโซเชียลมีเดียจะยังคงครองตลาดในฟิลิปปินส์ แต่ประสิทธิภาพในฐานะช่องทางโฆษณากลับถูกบั่นทอนลงเนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ต่ำ ในทางตรงกันข้าม สภาพแวดล้อมอินเทอร์เน็ตแบบเปิดระดับพรีเมียม เช่น CTV/OTT การสตรีมเพลง และวิดีโอออนไลน์ มีความน่าเชื่อถือของโฆษณาสูงกว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียถึง 1.2 เท่า ทำให้มีประสิทธิภาพในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับแบรนด์มากกว่า เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับแบรนด์ นักการตลาดจำเป็นต้องก้าวข้ามกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดียเป็นอันดับแรก และนำแผนการตลาดแบบ Omnichannel ที่ครอบคลุมและใช้ประโยชน์จากช่องทางที่มีความน่าเชื่อถือสูงเหล่านี้มาใช้

ความน่าเชื่อถือคือปัจจัยสำคัญในสิงคโปร์

ผู้บริโภคชาวสิงคโปร์เป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยเชื่อโฆษณามากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่พวกเขาก็พยายามแสวงหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากสื่อที่น่าเชื่อถือ ความน่าเชื่อถือของโฆษณาสูงสุดใน CTV/OTT วิดีโอออนไลน์ และมิวสิคสตรีมมิ่ง ขณะที่โซเชียลมีเดียและเกมยังคงตามหลัง กลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียลโดดเด่นในฐานะกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยแสดงให้เห็นถึงระดับการจดจำข้อความและการรับรู้ผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นเมื่อแบรนด์มีส่วนร่วมกับพวกเขาผ่านช่องทางที่เชื่อถือได้หลายช่องทาง ในตลาดที่ความสนใจกระจัดกระจายเช่นนี้ แบรนด์ต่างๆ จำเป็นต้องนำเสนอเรื่องราวที่เชื่อมโยงและครอบคลุมทุกช่องทางในสภาพแวดล้อมที่มีความน่าเชื่อถือสูง เพื่อดึงดูดความสนใจและความภักดีของผู้บริโภค

อินโดนีเซียครองอันดับหนึ่งในภูมิภาคด้านการจดจำโฆษณา แต่ยังคงมีช่องว่างด้านความน่าเชื่อถือ

อินโดนีเซียเป็นผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านการจดจำโฆษณา ด้วยอัตราการจดจำโฆษณาสูงถึง 81 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 66 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม แม้อินโดนีเซียจะมีอัตราการจดจำโฆษณาสูง แต่กลับมีความน่าเชื่อถือต่อแบรนด์อยู่ในระดับต่ำตามหลังสิงคโปร์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการมองเห็นไม่ได้หมายถึงความน่าเชื่อถือเสมอไป สิ่งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นของกลยุทธ์ Omnichannel ที่เน้นรูปแบบที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพสูง เช่น วิดีโอออนไลน์และ CTV/OTT เพื่อเพิ่มทั้งการจดจำโฆษณาและความน่าเชื่อถือ และทำให้มั่นใจว่าข้อความบนสื่อทั้งแบบดิสเพลย์และโซเชียลมีเดียมีความสอดคล้องและน่าเชื่อถือ

สามารถดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่

ระเบียบวิธีวิจัย

การวิจัยดำเนินการโดย The Trade Desk ในเดือนมีนาคม 2025 ร่วมกับ PA Consulting โดยทำการสำรวจเชิงปริมาณกับผู้บริโภค 2,000 คน จากประเทศไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อทำความเข้าใจความต้องการและทางเลือกของช่องทางสื่อในช่วงเวลาและความคิดที่แตกต่างกัน

ข้อสงวนสิทธิ์: เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น ผลลัพธ์ทั้งหมดสะท้อนถึงงานวิจัยที่เป็นกรรมสิทธิ์ซึ่งจัดทำโดย The Trade Desk และ PA Consulting ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น และไม่ได้เป็นการรับรองหรือรับประกันผลการดำเนินงานในอนาคต

เกี่ยวกับ The Trade Desk

The Trade Desk™ เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ส่งเสริมผู้ซื้อโฆษณา โดยผู้ซื้อโฆษณาสามารถสร้าง จัดการ และปรับแต่งแคมเปญโฆษณาดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มบนคลาวด์แบบบริการตนเองได้ การรวมเข้ากับพันธมิตรด้านข้อมูล สินค้าคงคลัง และผู้เผยแพร่รายใหญ่ทำให้มีความสามารถในการเข้าถึงและช่วยในการตัดสินใจได้สูงสุด นอกจากนี้ API ขององค์กรยังช่วยให้สามารถพัฒนาแบบกำหนดเองบนแพลตฟอร์มได้อีกด้วย โดย The Trade Desk มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเวนทูรา รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีสำนักงานทั่วอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม โปรดไปที่ thetradedesk.com หรือติดตามเราได้ที่ Facebook, Twitter, LinkedIn และ YouTube.

_______________

1 Trade Desk Intelligence และ PA Consulting, “โอกาสที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องของ Omnichannel”, สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา, ตุลาคม 2024

2 เกณฑ์มาตรฐาน DISQO สำหรับแคมเปญ The Trade Desk มีนาคม, 2021 – ธันวาคม 2024 | 1 ช่องทาง n=94, 2 ช่องทาง n=60, 3 ช่องทาง n=54

3 Analytic Partners, รายงาน ROI Genome Marketing Intelligence, 2023

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Shaw Wun Lim
Shawwun.lim@thetradedesk.com
+65 9797 0965

ที่มา: The Trade Desk

Kioxia สุ่มตัวอย่างอุปกรณ์หน่วยความจำแฟลชแบบฝัง UFS Ver. 4.1 สำหรับการใช้งานในยานยนต์

Logo

ขับเคลื่อนนวัตกรรมยานยนต์ยุคใหม่ด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และความน่าเชื่อถือระดับยานยนต์

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–31 กรกฎาคม 2025

Kioxia Corporation ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ ประกาศในวันนี้ว่าบริษัทได้เริ่มทำการสุ่มตัวอย่าง(1) Universal Flash Storage(2) (UFS) Ver. 4.1 รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในยานยนต์ อุปกรณ์ใหม่เหล่านี้ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมมาเพื่อตอบสนองความต้องการอันเข้มงวดของระบบในรถยนต์ยุคใหม่ มอบประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และการปรับปรุงการวินิจฉัยที่สำคัญ ขับเคลื่อนด้วยหน่วยความจำแฟลช BiCS FLASH™ 3D รุ่นที่ 8 ของ Kioxia และเทคโนโลยีตัวควบคุมที่ออกแบบภายในองค์กร

UFS Ver. 4.1 Embedded Flash Memory Devices for Automotive Applications

UFS Ver. 4.1 อุปกรณ์หน่วยความจำแฟลชแบบฝังตัวสำหรับการใช้งานในยานยนต์

อุปกรณ์ UFS 4.1 ใหม่นี้มีให้เลือกหลายขนาดความจุ ได้แก่ 128 กิกะไบต์ (GB), 256GB, 512GB และ 1 เทราไบต์ (TB) ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของระบบสาระบันเทิง, ADAS (ระบบช่วยขับขี่ขั้นสูง), เทเลเมติกส์, ตัวควบคุมโดเมน และคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ อุปกรณ์เหล่านี้ผ่านมาตรฐาน AEC-Q100/104 (3) มาตรฐานเกรด 2 รองรับอุณหภูมิเคสได้สูงสุด 115°C

ยกระดับประสิทธิภาพจาก UFS รุ่น 3.1 ของ Kioxia(4) อุปกรณ์ UFS 4.1 (512GB) ใหม่จะส่งมอบ:

  • ประสิทธิภาพการอ่านข้อมูลแบบต่อเนื่องประมาณ 2.1 เท่า
  • ประสิทธิภาพการเขียนข้อมูลแบบต่อเนื่องประมาณ 2.5 เท่า
  • ประสิทธิภาพการอ่านข้อมูลแบบสุ่มประมาณ 2.1 เท่า
  • ประสิทธิภาพการเขียนข้อมูลแบบสุ่มประมาณ 3.7 เท่า

การปรับปรุงเหล่านี้จะช่วยมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้นในสภาพแวดล้อมยานยนต์ที่เน้นข้อมูลจำนวนมาก

คุณสมบัติหลักประกอบด้วย:

  • สอดคล้องกับข้อกำหนด UFS 4.1 ซึ่งรวมถึงส่วนขยายที่เกี่ยวข้องกับ WriteBooster เช่น WriteBooster Buffer Resizing และ Pinned Partial Flush Mode ซึ่งให้ความยืดหยุ่นที่ดีขึ้นเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด UFS 4.1 โดยสามารถใช้งานร่วมกับ UFS 4.0 และ UFS 3.1 ได้
  • ความสามารถในการวินิจฉัยที่ได้รับการปรับปรุง รวมถึงตัวระบุสถานะอุปกรณ์เฉพาะของผู้จำหน่ายที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ที่จะช่วยลดความยุ่งยากในการตรวจสอบสถานะอุปกรณ์และการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์
  • ใช้หน่วยความจำแฟลช BiCS FLASH™ 3D รุ่นที่ 8

อุปกรณ์ UFS 4.1 จาก Kioxia ได้ผสานรวมหน่วยความจำแฟลช BiCS FLASH™ 3D ที่เป็นนวัตกรรมของบริษัทและตัวควบคุมไว้ในแพ็กเกจมาตรฐาน JEDEC อุปกรณ์ UFS ใหม่เหล่านี้สร้างขึ้นด้วยหน่วยความจำแฟลช BiCS FLASH™ 3D รุ่นที่ 8 ของ Kioxia รุ่นนี้นำเสนอเทคโนโลยี CBA (CMOS เชื่อมต่อกับอาร์เรย์โดยตรง) ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางสถาปัตยกรรมที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการออกแบบหน่วยความจำแฟลช ด้วยการเชื่อมต่อวงจร CMOS เข้ากับอาร์เรย์หน่วยความจำโดยตรง เทคโนโลยี CBA ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ประสิทธิภาพ และความหนาแน่นอย่างมาก

หมายเหตุ

(1)

การจัดส่งตัวอย่างอุปกรณ์ขนาด 1TB เริ่มต้นในเดือนมิถุนายน และอุปกรณ์ขนาด 128GB และ 256GB เริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม รายละเอียดของตัวอย่างอาจแตกต่างจากผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์

(2)

Universal Flash Storage (UFS) เป็นหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์หน่วยความจำฝังตัวประเภทหนึ่งที่สร้างขึ้นตามมาตรฐาน JEDEC UFS เนื่องจากมีอินเทอร์เฟซแบบอนุกรม UFS จึงรองรับการทำงานแบบดูเพล็กซ์เต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยให้สามารถอ่านและเขียนข้อมูลพร้อมกันระหว่างโพรเซสเซอร์โฮสต์และอุปกรณ์ UFS ได้

(3)

ข้อกำหนดคุณสมบัติส่วนประกอบไฟฟ้าที่กำหนดโดย AEC (สภาอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์)

(4)

อุปกรณ์ UFS 3.1 512GB “THGJFGT2T85BAB5”

*ทุกครั้งที่กล่าวถึงผลิตภัณฑ์ Kioxia ความหนาแน่นของผลิตภัณฑ์จะระบุตามความหนาแน่นของชิปหน่วยความจำภายในผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่ปริมาณความจุหน่วยความจำที่มีให้สำหรับจัดเก็บข้อมูลโดยผู้ใช้ปลายทาง ความจุที่ผู้บริโภคใช้ได้จะลดลงเนื่องจากพื้นที่ข้อมูลโอเวอร์เฮด การจัดรูปแบบ บล็อกเสีย และข้อจำกัดอื่นๆ และอาจแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์โฮสต์และแอปพลิเคชัน สำหรับรายละเอียด โปรดดูข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง คำจำกัดความของ 1 KB = 2^10 ไบต์ = 1,024 ไบต์ คำจำกัดความของ 1 Gb = 2^30 บิต = 1,073,741,824 บิต คำจำกัดความของ 1 GB = 2^30 ไบต์ = 1,073,741,824 ไบต์ 1 Tb = 2^40 บิต = 1,099,511,627,776 บิต 1 TB = 2^40 ไบต์ = 1,099,511,627,776 ไบต์
*MB/s คำนวณเป็น 1,000,000 ไบต์/วินาที
*ความเร็วในการอ่านและเขียนเป็นค่าที่ดีที่สุดที่ได้จากการทดสอบในสภาพแวดล้อมเฉพาะที่ Kioxia Corporation และ Kioxia Corporation ไม่รับประกันความเร็วในการอ่านและเขียนในอุปกรณ์แต่ละเครื่อง ความเร็วในการอ่านและเขียนอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้และขนาดไฟล์ที่อ่านหรือเขียน

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุคคลที่สาม

เกี่ยวกับ Kioxia
Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ ที่ทุ่มเทให้กับการพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายหน่วยความจำแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 Toshiba Memory ซึ่งเป็นชื่อเดิมของบริษัทได้แยกตัวออกมาจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจำ” โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและคุณค่าจากหน่วยความจำสำหรับสังคม เทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3D ที่เป็นนวัตกรรมของ Kioxia ที่เรียกว่า BiCS FLASH™ กำลังกำหนดอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี SSD ระบบยานยนต์ ศูนย์ข้อมูล และระบบ AI เชิงสร้างสรรค์

การสอบถามจากลูกค้า
Kioxia Corporation
สำนักงานขายทั่วโลก
https://www.kioxia.com/en-jp/business/buy/global-sales.html

*ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ มีความถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/20250730761307/en

Contacts

การสอบถามจากสื่อ
Kioxia Corporation
ฝ่ายบริหารงานส่งเสริมการขาย
Satoshi Shindo
โทร.: +81-3-6478-2404

ที่มา: Kioxia Corporation

Boomi นำระบบบูรณาการข้อมูลอธิปไตยสู่ประเทศออสเตรเลีย

Logo

การติดตั้งระบบใหม่ในซิดนีย์ช่วยให้การเคลื่อนย้ายข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และเป็นไปตามข้อกำหนด สำหรับองค์กรที่จัดการด้าน AI การวิเคราะห์ข้อมูล และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ

ซิดนีย์–(BUSINESS WIRE)–31 กรกฎาคม 2025

Boomi™ ผู้นำด้านระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้ประกาศในวันนี้ถึงความพร้อมใช้งานของ Boomi Data Integration ภายในศูนย์ข้อมูลในออสเตรเลีย ซึ่งช่วยให้องค์กรในประเทศสามารถเคลื่อนย้ายข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ปลอดภัยยิ่งขึ้น และเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายระดับชาติ

การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากBoomi เข้าซื้อกิจการ Rivery ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการบูรณาการข้อมูลยุคใหม่ นี่แสดงให้เห็นถึงการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ Boomi ในโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น และความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาข้อมูลที่ท้าทายที่สุดของออสเตรเลีย

ด้วยการเปิดใช้งาน Boomi Data Integration ที่ตั้งอยู่ในซิดนีย์ องค์กรในออสเตรเลียสามารถติดตั้งระบบจับการเปลี่ยนแปลงข้อมูลแบบบันทึก (Change Data Capture – CDC) และระบบ Extract, Load, and Transform (ELT) แบบเกือบเรียลไทม์ได้ทั้งหมดภายในประเทศ นั่นหมายความว่าข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนจะยังคงอยู่ภายในเขตแดนของประเทศ ลดความหน่วงเวลาในการส่งข้อมูล และสอดคล้องอย่างชัดเจนกับกฎหมายความเป็นเจ้าของข้อมูลภายในประเทศ

“เป็นการเสริมที่แข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มข้อมูลของ Boomi ร่วมกับ DataHub โดย Boomi Data Integration มอบความสามารถด้านบิ๊กดาต้าให้กับองค์กรในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ทั้งหมดนี้อยู่ภายในประสบการณ์ใช้งานแบบโนโค้ด/โลว์โค้ด ที่ผู้ใช้ Boomi คุ้นเคยและไว้วางใจ” Nikolai Blackie ผู้ร่วมก่อตั้งกล่าวAdaptiv บริษัทที่ปรึกษาด้านข้อมูลและการบูรณาการในภูมิภาคออสตราเลเชีย และเป็นพันธมิตรของ Boomi

การเปิดตัวครั้งนี้สนับสนุนข้อกำหนดด้านกฎระเบียบภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล .. 2531 (Privacy Act 1988) หลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของออสเตรเลีย (Australian Privacy Principles – APPs) และกรอบแนวทางเฉพาะสำหรับแต่ละภาคส่วน รวมถึง APRA CPS 234 และพระราชบัญญัติข้อมูลสุขภาพของฉัน (My Health Records Act) ลูกค้าของ Boomi ครอบคลุมอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ได้แก่ บริการทางการเงิน รัฐบาล การศึกษา และการดูแลสุขภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้จะได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงความเป็นไปตามข้อกำหนด ความมั่นใจ และความคล่องตัวของข้อมูลที่ดีขึ้น

พัฒนาการล่าสุดนี้เสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์แพลตฟอร์มรวมของ Boomi ซึ่งมีเป้าหมายในการนำการบูรณาการ การจัดการ API การจัดการข้อมูล และความพร้อมใช้งาน AI มารวมไว้ภายใต้ชั้นเดียวของปัญญาประดิษฐ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI นอกจากนี้ยังช่วยลดการพึ่งพาโซลูชันแยกส่วนแบบจุดๆ ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำให้เทคโนโลยีของตนเรียบง่ายขึ้นและเร่งการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและในระดับที่ขยายได้

“เอเจนต์ AI โมเดลทำนาย และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ต่างต้องการสิ่งหนึ่งคือ ข้อมูลที่เชื่อถือได้ ถูกส่งมอบอย่างรวดเร็วและปลอดภัย” David Irecki ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นของ Boomi กล่าว “แต่ในออสเตรเลีย การปฏิบัติตามกฎระเบียบสำคัญไม่แพ้ความรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนอย่างการเงิน รัฐบาล และการดูแลสุขภาพ”

“ด้วยการติดตั้ง Boomi Data Integration ในพื้นที่ เรากำลังขจัดอุปสรรคด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับอธิปไตยข้อมูลสำหรับ AI พร้อมมอบความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลเกือบเรียลไทม์ที่คู่ค้าและผู้ใช้ปลายทางต้องการเพื่อสร้างนวัตกรรม”

ทรัพยากรเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Boomi

Boomi ผู้นำด้านระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยให้องค์กรทั่วโลกเชื่อมต่อทุกอย่าง อัตโนมัติกระบวนการ และเร่งผลลัพธ์ แพลตฟอร์ม Boomi Enterprise รวมถึง Boomi Agentstudio รวมการบูรณาการและระบบอัตโนมัติ พร้อมการจัดการข้อมูล API และเอเจนต์ AI ในโซลูชันเดียวที่ครบวงจร Boomi ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากกว่า 25,000 ราย และได้รับการสนับสนุนโดยเครือข่ายพันธมิตรกว่า 800 แห่ง กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิบัติการ ช่วยให้องค์กรทุกขนาดบรรลุความคล่องตัว ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมในระดับกว้าง  ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่boomi.com.

© 2025 Boomi, LP. Boomi, โลโก้ตัว 'B' และ Boomiverse เป็นเครื่องหมายการค้าของ Boomi, LP หรือบริษัทย่อยหรือบริษัทในเครือ สงวนลิขสิทธิ์ ชื่อหรือเครื่องหมายอื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ติดต่อสื่อ
Jasmine Ee
หัวหน้าฝ่ายดูแลอินฟลูเอนเซอร์ เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ)
pr@boomi.com

ที่มา: Boomi

The Bangkok Reporter