Kioxia ร่วมมือกับเซิร์ฟเวอร์จาก Hewlett Packard Enterprise สำหรับจรวดอวกาศที่มุ่งสู่สถานีอวกาศนานาชาติ

Logo

HPE Spaceborne Computer-2 มาพร้อม Value SAS จาก KIOXIA, SSD แบบ SAS และ NVMe ระดับองค์กร ช่วยให้สามารถทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้โดยมีความจุในการเก็บข้อมูลกว่า 130 TB

เคปคานาเวอรัล ฟลอริดา–(BUSINESS WIRE)–2 กุมภาพันธ์ 2024

วันนี้ SSD จาก KIOXIA ได้ออกเดินทางไปกับจรวดสำหรับทำภารกิจ NG-20 ซึ่งเป็นการส่ง HPE Spaceborne Computer-2 เวอร์ชันปรับปรุงโดยอาศัยเซิร์ฟเวอร์ HPE EdgeLine และ ProLiant จาก Hewlett Packard Enterprise (HPE) ออกสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station หรือ ISS) ทั้งนี้ SSD จาก KIOXIA ช่วยให้ HPE Spaceborne Computer-2 มีพื้นที่เก็บข้อมูลแบบแฟลชที่ทนทานสำหรับดำเนินการทดลองทางวิทยาศาสตร์บนสถานีอวกาศ

KIOXIA SSDs on Space Launch Destined for the International Space Station (Graphic: Business Wire)

SSD จาก KIOXIA บนจรวดอวกาศที่มุ่งสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (รูปภาพ: Business Wire)

HPE Spaceborne Computer-2 ซึ่งใช้เทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ที่หาซื้อได้ทั่วไปนี้มาพร้อมเทคโนโลยี Edge Computing และความสามารถจาก AI ในตัวเพื่อรองรับการวิจัยในที่ห่างไกล โดยเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในการยกระดับขีดความสามารถในการประมวลผลบนอวกาศให้พัฒนาอย่างมีนัยสำคัญและลดการพึ่งพาการสื่อสารในเวลาเช่นนี้ที่การสำรวจอวกาศขยายขอบเขตออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งนี้ HPE Spaceborne Computer-2 ออกแบบมาให้รองรับการทำงานแบบการประมวลผลสมรรถนะสูง (High-performance Computing หรือ HPC) หลากหลายแบบในอวกาศ ซึ่งรวมถึงการประมวลผลรูปภาพแบบเรียลไทม์ การเรียนรู้เชิงลึก และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ จึงสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ในการประมวลผลการทดลองได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ, การฟื้นฟูจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ, การพิมพ์แบบสามมิติ, 5G, AI และอีกมากมาย

Kioxia ซึ่งเป็นผู้ให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลสำหรับ HPE Spaceborne Computer-2 ได้มอบ SSD ที่ใช้หน่วยความจำแบบแฟลช ซึ่งรวมถึง KIOXIA RM Series value SAS, PM Series enterprise SAS และ XG Series NVMeTM SSD เพื่อช่วยให้ความก้าวหน้าเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริง ทั้งนี้ นอกจาก SSD แบบ NVMe ขนาด 1,024 กิกะไบต์ (GB) จำนวนแปดตัวและ SSD แบบ value SAS ขนาด 960 GB จำนวนสี่ตัวแล้ว SSD แบบ SAS ระดับองค์กรแต่ละตัวในสี่ตัวจาก Kioxia ยังมีความจุอยู่ที่ 30.72 เทระไบต์ (TB) อีกด้วย รวมกันเป็นพื้นที่กว่า 130 TB นับเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากที่สุดที่ได้ออกเดินทางสู่สถานีอวกาศในครั้งเดียว [1]

SSD ที่ใช้หน่วยความจำแบบแฟลชนั้นเหมาะกับการใช้งานมากกว่าพื้นที่เก็บข้อมูลแบบฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์แบบเดิม เพราะสามารถรองรับข้อกำหนดด้านพลังงาน ประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือได้เมื่ออยู่นอกอวกาศเนื่องจากไม่มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่ได้และให้ประสิทธิภาพที่รวดเร็วกว่า สภาวะการทำงานของ SSD จะได้รับการตรวจสอบทุกวันตลอดระยะเวลาในการทำภารกิจจากไฟล์บันทึกรายวันที่ส่งมาจาก ISS ทั้งนี้ Kioxia จะติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลสภาวะการทำงานนี้เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้นว่าพื้นที่เก็บข้อมูลที่ใช้หน่วยความจำแบบแฟลชมีการทำงานเช่นไรเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่หนักหน่วงบนอวกาศ

Kioxia ร่วมมือกับ HPE ในการรังสรรค์โซลูชันพื้นที่เก็บข้อมูลชั้นยอดมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้ก็ช่วยให้เกิดโซลูชันและบริการต่าง ๆ มากมายของ HPE ตั้งแต่อุปกรณ์เคลื่อนที่ไปจนถึงระบบคลาวด์ ตลอดจนระดับองค์กร

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง:
รายการ SSD จาก KIOXIA สำหรับลูกค้าที่เป็นธุรกิจ
https://www.kioxia.com/en-jp/business/ssd.html

หมายเหตุ
[1] ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2024 โดยการสำรวจจาก Kioxia Corporation

*คำจำกัดความของความจุ: Kioxia Corporation กำหนดให้เมกะไบต์ (MB) คือ 1,000,000 ไบต์, กิกะไบต์ (GB) คือ 1,000,000,000 ไบต์ และเทระไบต์ (TB) คือ 1,000,000,000,000 ไบต์ แต่ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์จะรายงานความจุโดยใช้เลขยกกำลังของ 2 โดยคำจำกัดความของ 1 GB = 2^30 ไบต์ = 1,073,741,824 ไบต์และ 1 TB = 2^40 ไบต์ = 1,099,511,627,776 ไบต์ ด้วยเหตุนี้จึงแสดงความจุของพื้นที่เก็บข้อมูลที่น้อยกว่า ทั้งนี้ ความจุของพื้นที่เก็บข้อมูลที่ใช้งานได้ (ซึ่งรวมถึงตัวอย่างไฟล์สื่อต่าง ๆ) จะแตกต่างกันไปตามขนาดไฟล์, การจัดรูปแบบ, การตั้งค่า, ซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการ และ/หรือแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า หรือเนื้อหาสื่อ โดยความจุที่ใช้งานได้จริงอาจแตกต่างกันออกไป

*NVMe เป็นเครื่องหมายที่จดทะเบียนหรือไม่ได้จดทะเบียนของ NVM Express, Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่น ๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทภายนอก

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกในด้านโซลูชันหน่วยความจำ ซึ่งมุ่งมั่นทุ่มเทในการพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายหน่วยความจำแบบแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSDs) ในเดือนเมษายนปี 2017 บริษัท Toshiba Memory ที่เป็นชื่อเดิมของ Kioxia ได้แยกตัวออกมาจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจำแบบแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกใบนี้ด้วย “หน่วยความจำ” โดยมอบผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและสร้างประโยชน์จากหน่วยความจำให้กับสังคม เทคโนโลยีหน่วยความจำแบบแฟลชสามมิติอันล้ำสมัยจาก Kioxia ที่เรียกว่า BiCS FLASH™ ช่วยขับเคลื่อนอนาคตสำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่มีความหนาแน่นสูง ซึ่งรวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง, พีซี, SSD, ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

*ข้อมูลในเอกสารนี้ (ซึ่งรวมถึงราคาผลิตภัณฑ์และข้อมูลจำเพาะ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลติดต่อ) เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53889435/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

คำถามจากสื่อ:
Kioxia Corporation
แผนกวางแผนเชิงกลยุทธ์สำหรับการขาย
คุณ Koji Takahata
โทรศัพท์: +81-3-6478-2404

แหล่งที่มา: Kioxia Corporation

ข้อตกลงระหว่างจีนและ Global Cement ว่าด้วยคาร์บอนต่ำในอนาคต

Logo

เปิดตัวความร่วมมือครั้งสำคัญในการเสริมสร้างความยั่งยืนเพื่อวัสดุที่จำเป็นของโลก

BEIJING–(BUSINESS WIRE)–1 กุมภาพันธ์ 2024

องค์กรชั้นนำสองแห่งที่เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมซีเมนต์ทั่วโลกได้ลงนามในข้อตกลงครั้งสำคัญในการช่วยเร่งการลดคาร์บอนของภาคส่วนต่างๆ ทั่วโลก China Cement Association (CCA) ซึ่งมีการผลิตซีเมนต์ทั่วโลกกว่า 50% และ Global Cement and Concrete Association ซึ่งมีสมาชิกถึง 80% ของกำลังการผลิตซีเมนต์นอกประเทศจีน ได้ลงนามในคำมั่นสัญญาความร่วมมือครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์

Global Cement and Concrete Association and China Cement Association sign decarbonisation agreement in Beijing (Photo: Business Wire)

Global Cement and Concrete Association และ China Cement Association ลงนามข้อตกลงร่วมกันในการลดการปล่อยคาร์บอนที่กรุงปักกิ่ง (ภาพถ่าย: Business Wire)

คำมั่นสัญญานี้รวมถึงข้อตกลงในการทำงานร่วมกันด้านความยั่งยืน และการพัฒนาคาร์บอนต่ำสำหรับอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีต คอนกรีตเป็นวัสดุที่มีการใช้งานมากที่สุดในดลก รองจากน้ำ และซีเมนต์เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตคอนกรีต และคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก

ข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์นี้จะครอบคลุมการพัฒนาแผนงาน China Cement Carbon Neutrality Roadmap ของห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมด และจะมีการเปิดตัวในปลายปีนี้ ซึ่งจะเป็นการกำหนดแนวทางและความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมซีเมนต์ในจีนอย่างสมบูรณ์ GCCA ซึ่งมีการเปิดตัวแผนงานคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์เมื่อปี 2021 จะช่วยในการพัฒนาควบคู่ไปกับ Sinoma International Engineering Co Ltd (Sinoma) ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ European Cement Research Academy (ECRA) ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนข้อมูลทางเทคนิคทั้งหมด

Kong Xiangzhong, ประธานฝ่ายบริหารของ CCA กล่าวในระหว่างการเปิดตัวข้อตกลงในพิธีลงนามที่กรุงปักกิ่งว่า “ข้อตกลงอันสำคัญนี้ถือได้ว่าเป็นความร่วมมือแบบได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย และแสดงให้เห็นว่า เราสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึก องค์ความรู้ทางเทคนิค และมีการมุ่งเน้นที่กว้างขึ้น เพื่อภารกิจการลดการปล่อยคาร์บอนร่วมกันของเรา ผมมั่นใจว่า จะสามารถสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันและเป็นความร่วมมือกันในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการโลกที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น”

Thomas Guillo, GCCA CEO กล่าวว่า “โลกต้องการความเป็นผู้นำและความร่วมมือกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาที่สำคัญในยุคสมัยของเรา นั่นคือ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ข้อตกลงระหว่างอุตสาหกรรมในประเทศจีนและอุตสาหกรรมระดับโลกนี้เป็นสัญญาณแสดงให้โลกรู้ว่า เราพร้อมที่จะส่งเสริมวัสดุก่อสร้างสำคัญที่ลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกของเราต้องการในขณะนี้ ซีเมนต์และคอนกรีตสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ชุมชนที่เจริญรุ่งเรืองและฟื้นตัวได้ น้ำสะอาด บ้านที่ปลอดภัย และการเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานที่สะอาด ซึ่งจำเป็นสำหรับโลกที่ยั่งยืนในอนาคต”

ข้อตกลงนี้ครอบคลุมความร่วมมืออย่างเป็นทางการในช่วงสามปีข้างหน้า และเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนที่กว้างยิ่งขึ้น

Thomas Guillot กล่าวเสริมว่า “การทำงานร่วมกันกับพันธมิตรใหม่ของเราในประเทศจีน หมายถึง การมุ่งมั่นเพื่อคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ และการดำเนินการในแต่ละวันของเราถือเป็นภารกิจระดับโลกอย่างแท้จริง”

เกี่ยวกับ China Cement Association – CCA
China Cement Association ได้ก่อตั้งขึ้นที่กรุงปักกิ่งในปี 1987 ในฐานะหนึ่งในองค์กรทางสังคมที่จดทะเบียนโดย Ministry of Civil Affairs ซึ่งเป็นองค์กรอิสระทางกฎหมาย CCA เป็นองค์กรอุตสาหกรรมทางสังคมระดับชาติที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยมีการก่อตั้งขึ้นโดยความสมัครใจของกลุ่มผู้ผลิตซีเมนต์ สถาบันวิจัย วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย องค์กรทางสังคม และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมซีเมนต์ทั่วประเทศ CCA มุ่งมั่นที่จะให้บริการแก่อุตสาหกรรม ปกป้องสิทธิที่ชอบด้วยกฎหมายและผลประโยชน์ของสมาชิก ช่วยเหลือรัฐบาลโดยร่วมกันรักษาฐานตลาดการแข่งขันที่ยุติธรรม เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ และส่งเสริมการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คาร์บอนต่ำ และมีคุณภาพสูงของอุตสาหกรรมซีเมนต์ในประเทศจีน ซึ่งมีบทบาทในการนำ ประสานงาน และให้บริการ

เกี่ยวกับ Global Cement and Concrete Association – GCCA
GCCA เป็นโครงการริเริ่มในอุตสาหกรรมที่นำโดย CEO ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2018 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ ได้รับการยอมรับ และเป็นกระบอกเสียงสำหรับภาคส่วนอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีตทั่วโลก

GCCA และสมาชิก คิดเป็นสัดส่วน 80% ของกำลังการผลิตซีเมนต์ทั่วโลกนอกประเทศจีน เช่นเดียวกับจำนวนผู้ผลิตในประเทศจีนก็มีการเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน บริษัทสมาชิกมีความมุ่งมั่นในการลดและกำจัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมคอนกรีต ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนถึง 7% ทั่วโลก โดยผ่านการดำเนินแผนงาน Concrete Future 2050 Net Zero Roadmap ของ GCCA – ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหนักแห่งแรกที่มีการจัดทำแผนงานโดยละเอียดดังกล่าว

GCCA มุ่งมั่นในการสร้างอนาคตร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมที่มีความสดใส ยืดหยุ่น และยั่งยืน ทั้งสำหรับอุตสาหกรรมและเพื่อโลก

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53890723/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม หรือขอเข้าสัมภาษณ์ โปรดติดต่อ:
Simon Thomson, Head of Media, GCCA
simon.thomson@gccassociation.org
+44 7380 972282

แหล่งข้อมูล: Global Cement and Concrete Association

Kioxia เปิดตัวอุปกรณ์หน่วยความจำแฟลชแบบฝัง UFS Ver.4.0 ตัวแรกของอุตสาหกรรมสำหรับการใช้งานในยานยนต์

Logo

การปรับปรุงประสิทธิภาพวิวัฒนาการเชื้อเพลิงของการใช้งานด้านยานยนต์ ยกระดับประสบการณ์ของผู้ขับขี่

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–1 กุมภาพันธ์ 2024

Kioxia Corporation ผู้นําระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจํา ประกาศในวันนี้ถึงการสุ่มตัวอย่าง[1] ของอุปกรณ์หน่วยความจําแฟลชแบบฝัง[2]   Universal Flash Storage[3] (UFS) Ver. 4.0 ตัวแรกของอุตสาหกรรมที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในยานยนต์ อุปกรณ์ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเหล่านี้ มอบความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลแบบฝังที่รวดเร็วในขนาดบรรจุภัณฑ์ที่เล็ก  และมุ่งเป้าไปยังแอปพลิเคชันอุตสาหกรมยานยนต์สมัยใหม่ที่หลากหลาย รวมถึงเทเลเมติกส์ ระบบอินโฟเทนเมนต์ และ ADAS[4] ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น[5] ของผลิตภัณฑ์ UFS จาก Kioxia ซึ่งรวมถึงความเร็วในการอ่านตามลำดับประมาณ +100% และความเร็วในการเขียนตามลำดับประมาณ +40% ช่วยให้แอปพลิเคชันเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อของ 5G ส่งผลให้เวลาเริ่มต้นระบบเร็วขึ้น และประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

Kioxia: Automotive UFS Ver. 4.0 Embedded Flash Memory Device (Photo: Business Wire)

Kioxia: อุปกรณ์หน่วยความจำแฟลชแบบฝังในยานยนต์ UFS Ver.4.0 (รูปภาพ: Business Wire)

เป็นบริษัทแรกที่แนะนําเทคโนโลยี UFS[6] Kioxia ยังคงขับเคลื่อนเทคโนโลยีไปข้างหน้า อุปกรณ์ UFS Ver. 4.0 ใหม่ ผสานรวมหน่วยความจําแฟลช BiCS FLASH™ 3D ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของบริษัท และคอนโทรลเลอร์ในแพ็คเกจมาตรฐาน JEDEC UFS 4.0 ประกอบด้วย MIPI M-PHY 5.0 และ UniPro 2.0 และรองรับความเร็วอินเทอรร์เฟซตามทฤษฎีสูงสุด 23.2 กิกะบิตต่อวินาที (Gbp/s) ต่อเลน หรือ 46.4 Gbp/s ต่ออุปกรณ์ UFS 4.0 สามารถใช้งานร่วมกับ UFS 3.1 รุ่นเก่าได้

อุปกรณ์ Kioxia ใหม่รองรับฟีเจอร์ High Speed Link Startup Sequence (HS-LSS) ทำให้สามารถเริ่มต้นการเชื่อมโยง (ลำดับการเริ่มต้น M-PHY และ UniPro) ระหว่างอุปกรณ์และโฮสต์ได้ใน HS-G1 Rate A (1248 เมกะบิตต่อวินาที) ที่เร็วกว่า UFS ทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดเวลาในการเริ่มต้นการเชื่อมโยงได้ประมาณ 70% เมื่อเทียบกับวิธีการทั่วไป

ฟีเจอร์และฟังก์ชันการทำงานขั้นสูง ได้รับการรองรับฃในอุปกรณ์ UFS Ver. 4.0 ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการการใช้งานด้านยานยนต์ที่มีความต้องการสูง ได้แก่

  • คุณสมบัติการรีเฟรช: ปรับปรุงความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยการรีเฟรชข้อมูลที่เสื่อมคุณภาพ เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย แม้ในสภาพแวดล้อมภายในรถที่มีความต้องการใช้งานสูง
  • คุณสมบัติการวินิจฉัยเพิ่มเติม: ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลสําคัญจากอุปกรณ์ UFS ซึ่งช่วยให้สามารถดําเนินการป้องกันได้

อุปกรณ์ Kioxia ใหม่มีจำหน่ายในความจุ 128, 256 และ 512 กิกะไบต์ (GB) รองรับช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ตรงตามข้อกำหนด AEC[7]-Q100 Grade2 และนำเสนอความสามารถด้านความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการใช้งานด้านยานยนต์ที่ซับซ้อนต้องการ

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง:
UFS & e-MMC for Automotive | KIOXIA – Japan (English)

หมายเหตุ:

[1] ข้อมูลจำเพาะของตัวอย่างอาจแตกต่างจากผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์

[2] ณ วันที่ 30 มกราคม 2024 การสำรวจ Kioxia

[3] Universal Flash Storage (UFS) เป็นหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์สำหรับประเภทผลิตภัณฑ์หน่วยความจำแบบฝัง ที่สร้างขึ้นตามข้อกำหนดมาตรฐาน JEDEC UFS เนื่องจากอินเทอร์เฟซแบบอนุกรม UFS จึงรองรับการสื่อสารรับ-ส่งข้อมูลสองทางแบบสมบูรณ์ ซึ่งช่วยให้สามารถอ่านและเขียนพร้อมกันระหว่างหน่วยประมวลผลโฮสต์และอุปกรณ์ UFS

[4] ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง

[5] เปรียบเทียบกับอุปกรณ์ 512GB รุ่นก่อนหน้าของ Kioxia Corporation หมายเลข “THGJFGT2T85BAB5”

[6] การจัดส่งตัวอย่างครั้งแรกของ Kioxia Corporation ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2013 https://www.kioxia.com/en-jp/business/news/2013/20130208-1.html
[7] ข้อกำหนดคุณสมบัติอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กำหนดโดย AEC (Automotive Electronics Council)

MB/s คํานวณเป็น 1,000,000 ไบต์/วินาที ความเร็วในการอ่านและเขียนเป็นค่าที่ดีที่สุดที่ได้รับในสภาพแวดล้อมการทดสอบเฉพาะที่ Kioxia  และ Kioxia ไม่รับประกันความเร็วในการอ่านหรือเขียนในแต่ละอุปกรณ์ ความเร็วในการอ่านและเขียนอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้และขนาดไฟล์ที่อ่านหรือเขียน

นการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ Kioxia ทุกครั้ง: ความหนาแน่นของผลิตภัณฑ์จะถูกระบุ โดยอิงตามความหนาแน่นของชิปหน่วยความจำภายในผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่จำนวนความจุหน่วยความจำที่ผู้ใช้ปลายทางสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ ความจุที่ผู้บริโภคใช้งานได้จะลดลงเนื่องจากพื้นที่ข้อมูลค่าใช้จ่าย การจัดรูปแบบบล็อกที่ไม่ดี และข้อจำกัดอื่น ๆ  และอาจแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์โฮสต์และแอปพลิเคชัน สําหรับรายละเอียด โปรดดูข้อมูลจําเพาะของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง คําจํากัดความของ 1KB = 2^10 ไบต์ = 1,024 ไบต์ คําจํากัดความของ 1Gb = 2^30 บิต = 1,073,741,824 บิต คําจํากัดความของ 1GB = 2^30 ไบต์ = 1,073,741,824 ไบต์ 1Tb = 2^40 บิต = 1,099,511,627,776 บิต

ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุคคลที่สาม

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นําระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจํา ซึ่งทุ่มเทให้กับการพัฒนา การผลิต และการขายหน่วยความจําแฟลชและโซลิดสเทตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายนปี 2017 Toshiba Memory รุ่นก่อนได้แยกตัวออกจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจําแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย "หน่วยความจํา" โดยนําเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและคุณค่าตามความทรงจําเพื่อสังคม BiCS FLASH™ เทคโนโลยีหน่วยความจําแฟลช 3 มิติที่เป็นนวัตกรรมของ Kioxia กําลังกําหนดอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่มีความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี SSD ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

สอบถามข้อมูลลูกค้า:
Kioxia Group
สำนักงานขายทั่วโลก
https://business.kioxia.com/en-jp/buy/global-sales.html

*ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจําเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลการติดต่อ ถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: www.businesswire.com/news/home/53888729/en

ติดต่อ

สอบถามข้อมูลสื่อ:
Kioxia Corporation
ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การขาย
Satoshi Shindo
Tel: +81-3-6478-2404

ที่มา: Kioxia Corporation

Shurick Agapitov ผู้ก่อตั้ง Xsolla เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่: Once Upon Tomorrow ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์เกี่ยวกับ Metaverse และผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ทั่วโลก

Logo

ลอสแอนเจลิส–(BUSINESS WIRE)–30 มกราคม 2024

Shurick Agapitov นักเขียนที่มีวิสัยทัศน์และผู้ก่อตั้ง Xsolla เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ที่สุดล้ำของเขา "Once Upon Tomorrow" ในวันนี้ งานบุกเบิกนี้นําเสนอวิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนแปลง และสร้างแรงบันดาลใจของ Metaverse ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับเรื่องเล่ากระแสหลัก หนังสือของ Agapitov เป็นการเดินทางที่กระตุ้นความคิดไปสู่ความเป็นไปได้ และศักยภาพของ Metaverse โดยให้มุมมองที่ไม่เหมือนใครซึ่งแตกต่างจากมุมมองที่มักนําเสนอในการประชุมอุตสาหกรรม และโดยซีอีโอด้านเทคโนโลยี

(Graphic: Business Wire)

(กราฟิก: Business Wire)

"ใน 'Once Upon Tomorrow' ผมนําเสนอวิสัยทัศน์ของ Metaverse ว่าเป็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่ ครอบคลุม และเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่แค่พรมแดนดิจิทัล แต่เป็นอาณาจักรที่ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และการเสริมศักยภาพมาบรรจบกัน หนังสือเล่มนี้เป็นคําเชิญของผมถึงผู้สร้าง นักคิด และนักฝันทั่วโลก เพื่อร่วมกันกำหนดอนาคตที่เทคโนโลยีขยายศักยภาพของมนุษย์ และส่งเสริมโลกแห่งความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจํากัด ตามที่ผมเห็น Metaverse ไม่ได้เกี่ยวกับการควบคุมหรือการจำกัดขอบเขต แต่เกี่ยวกับการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์โดยรวม และจิตวิญญาณของผู้ประกอบการที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน" Shurick Agapitov ผู้ก่อตั้ง Xsolla และผู้เขียนหนังสือ "Once Upon Tomorrow" กล่าว

"Once Upon Tomorrow" เจาะลึกถึงศักยภาพที่ยังไม่ได้ใช้ของ Metaverse โดยเน้นย้ำถึงความสามารถในการรวมแบรนด์เกิดใหม่และแบรนด์เดิมเข้าด้วยกัน สร้างประสบการณ์ผู้บริโภคที่ยากจะลืมเลือน และเสริมสร้างวัฒนธรรมทั่วโลก Agapitov เน้นย้ำถึงบทบาทของ Metaverse ในการสร้างโอกาสที่เป็นประชาธิปไตย และการเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างเท่าเทียม วิสัยทัศน์ของเขาขยายไปไกลกว่านวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพของ Metaverse ในการเพิ่มขีดความสามารถ และให้รางวัลแก่ผู้สร้างเนื้อหาทั่วโลก หนังสือเล่มนี้ยังเน้นย้ำถึงผลกระทบที่สำคัญของ Metaverse ที่มีต่อการศึกษา โดยมอบความหวังและโอกาสให้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลก Agapitov สนับสนุน Metaverse ที่มีการกระจายอำนาจ โดยหลุดพ้นจากการครอบงำของ Silicon Valley โดยให้การควบคุม ศักยภาพในการทำกำไร และเสรีภาพอยู่ในมือของชุมชนสร้างสรรค์

"Once Upon Tomorrow" เป็นมากกว่าหนังสือเกี่ยวกับ Metaverse แต่เป็นแผนงานสู่อนาคตที่เทคโนโลยีรับใช้มนุษยชาติในทุกความหลากหลาย ส่งเสริมการรวมกลุ่มทางการเงิน สังคม และความคิดสร้างสรรค์ Agapitov มองเห็นถึงอนาคตที่ทุกอุตสาหกรรมต้องพบปะกับผู้บริโภคตั้งแต่แฟชั่นไปจนถึงการดูแลสุขภาพ และความบันเทิงจะมีการเปลี่ยนแปลง หนังสือเล่มนี้ยังสํารวจผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก Metaverse ที่มีต่อภาคธุรกิจกับธุรกิจ การศึกษา การวางผังเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล และความพยายามที่ไม่แสวงหาผลกําไร

ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของ Agapitov เกี่ยวกับวิวัฒนาการของเทคโนโลยี ตั้งแต่ยุคแรกๆ ของ Instagram และ Snapchat ไปจนถึงอนาคตของแอปพลิเคชันที่สมจริง ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของหนังสือเล่มนี้ เขากล่าวถึงบทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงผู้ให้บริการโฮสติ้งอินเทอร์เน็ต นักพัฒนาเว็บไซต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการประมวลผลแบบคลาวด์ วิศวกรโครงสร้างพื้นฐาน และความต้องการอย่างต่อเนื่องสำหรับเครือข่ายและฮาร์ดแวร์ขั้นสูง "Once Upon Tomorrow" เป็นผลงานที่มีวิสัยทัศน์ที่เชิญชวนให้ผู้อ่านคิดใหม่เกี่ยวกับ Metaverse และศักยภาพอันไร้ขีดจํากัดของมัน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและการซื้อโปรดไปที่: onceupontomorrow.com

เกี่ยวกับ Shurick Agapitov

ในฐานะผู้ก่อตั้ง Xsolla, Inc. Shurick Agapitov เป็นนวัตกรและที่ปรึกษาที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในด้านเกม Web3, Metaverse และฟินเทค บริษัทวิดีโอเกมผู้บุกเบิกของเขาผสานรวมเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อมอบเครื่องมือและบริการขั้นสูงแก่นักพัฒนา เพื่อการดำเนินการและการขายเกมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการมีอยู่ทั่วโลก รวมถึงสำนักงานในลอสแอนเจลิส เบอร์ลิน และโซล Xsolla ภายใต้การนําของ Shurick กําลังกำหนดอนาคตของเกมและ Metaverse โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีการกระจายอำนาจและครอบคลุมมากขึ้น

สําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Shurick Agapitov โปรดไปที่: themarque.com หรือ LinkedIn.com

เกี่ยวกับ Xsolla

Xsolla เป็นบริษัทค้าวิดีโอเกมระดับโลกที่มีชุดเครื่องมือและบริการที่แข็งแกร่งและทรงพลัง ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมวิดีโอเกม นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2005 Xsolla ได้ช่วยนักพัฒนาเกมและผู้เผยแพร่ทุกขนาดหลายพันรายในการระดมทุน ทําการตลาด เปิดตัว และสร้างรายได้จากเกมของพวกเขาทั่วโลกและบนหลายแพลตฟอร์ม ในฐานะผู้นําด้านนวัตกรรมการค้าเกม ภารกิจของ Xsolla คือการแก้ปัญหาความซับซ้อนโดยธรรมชาติของการจัดจําหน่าย การตลาด และการสร้างรายได้ทั่วโลก เพื่อช่วยให้พันธมิตรของเราเข้าถึงภูมิภาคได้มากขึ้น สร้างรายได้มากขึ้น และสร้างความสัมพันธ์กับนักเล่นเกมทั่วโลก Xsolla มีสำนักงานใหญ่และจัดตั้งขึ้นในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย โดยมีสำนักงานในลอนดอน เบอร์ลิน โซล ปักกิ่ง กัวลาลัมเปอร์ โตเกียว และเมืองต่างๆ ทั่วโลก Xsolla รองรับเกมหลักๆ เช่น Valve, Twitch, Roblox, Epic Games, Take-Two, KRAFTON, Nexters, NetEase, Playstudios, Playrix, miHoYo และอีกมากมาย

สําหรับข้อมูลเพิ่มเติมและเรียนรู้เพิ่มเติม โปรดไปที่: xsolla.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53889100/en

ติดต่อ

ติดต่อสื่อ
Derrick Stembridge
ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ทั่วโลกของ Xsolla
d.stembridge@xsolla.com

ที่มา: Xsolla

2024 Japan Prize: นักวิทยาศาสตร์สามคนจากสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรได้รับรางวัลนี้

Logo

พิธีมอบรางวัลจะจัดขึ้นที่โตเกียวในวันที่ 16 เดือนเมษายน

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–30 มกราคม 2024

Japan Prize Foundation ประกาศรายชื่อผู้ชนะได้รับรางวัล 2024 Japan prize ในวันที่ 23 เดือนมกราคม ปี 2024 เวลา 13:00 น. Prof. Sir Brian J. Hoskins (สหราชอาณาจักร) และ Prof. John Michael Wallace (สหรัฐอเมริกา) เป็นผู้ชนะได้รับรางวัล Japan Prize ร่วมกันในสาขา ทรัพยากร พลังงาน สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม และ Prof. Ronald M. Evans (สหรัฐอเมริกา) ได้รับรางวัล Japan Prize ในสาขา วิทยาศาสตร์การแพทย์และเภสัชศาสตร์

สำหรับ Japan Prize ประจำปีนี้ Prof. Hoskins และ Prof. Wallace ได้รับการยกย่องจากผลงานที่โดดเด่นใน การจัดตั้งพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับความเข้าใจและการคาดการณ์เหตุการณ์ด้านสภาพอากาศที่รุนแรงสุดขั้ว และ Prof. Evans ได้รับการยกย่องจาก การค้นพบตระกูลตัวรับฮอร์โมนนิวเคลียร์ และการประยุกต์ใช้ในการพัฒนายา

สำหรับ 2024 Japan Prize ทางมูลนิธิได้ขอให้นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่มีชื่อเสียงประมาณ 15,500 คนจากทั่วโลกนำเสนอชื่อนักวิจัยที่ทำงานในสาขาของปีนี้ เราได้รับการนำเสนอชื่อเข้าชิง 130 คนในสาขาทรัพยากร พลังงาน สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม และ 198 ชื่อในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และเภสัชศาสตร์ และมีการเลือกผู้ชนะได้รับรางวัลในปีนี้จากท่ามกลางผู้สมัครทั้งหมด 328 คน

พิธีมอบรางวัลจะจัดขึ้นที่โตเกียวในวันที่ 16 เดือนเมษายน

เกี่ยวกับ Japan Prize
การจัดตั้ง Japan Prize ในปี 1981 ได้รับแรงบันดาลใจจากความปรารถนาของรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อสร้างรางวัลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั่วโลก ด้วยการสนับสนุนการบริจาคจำนวนมาก Japan Prize Foundation ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีในปี 1983

Japan Prize เป็นรางวัลที่มอบให้กับนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างสร้างสรรค์และน่าทึ่ง ซึ่งช่วยในการพัฒนาสาขาของตัวเอง และมีส่วนสำคัญในการตระหนักถึงสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองสำหรับมวลมนุษยชาติ นักวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทุกแขนงมีสิทธิ์ได้รับรางวัล โดยจะมีการคัดเลือกสองสาขาในแต่ละปี โดยคำนึงถึงแนวโน้มปัจจุบันในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยหลักการแล้ว จะมีการคัดเลือกนักวิจัยหนึ่งคนจากแต่ละสาขา และได้รับใบรับรอง เหรียญรางวัล และรางวัลเงินสด พิธีมอบรางวัลแต่ละครั้งจะมีจักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน หัวหน้าหน่วยงานรัฐบาลทั้งสามสาขา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และตัวแทนจากองค์กรอื่นๆ ทางสังคมเข้าร่วม

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

The Japan Prize Public Relations Office
japanprize@ml.prap.co.jp

แหล่งข้อมูล: The Japan Prize Foundation

Boston Metal ได้รับเงินทุน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการระดมทุน Series C2 ทำให้ยอดรวมอยู่ที่ 282 ล้านเหรียญสหรัฐ

Logo

ผู้ร่วมลงทุนจะสนับสนุนการผลิตโลหะเชิงนวัตกรรม รวมถึงเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเสริมความแข็งแกร่งในการเข้าถึงตลาดเอเชีย

บอสตัน–(BUSINESS WIRE)–30 มกราคม 2024

Boston Metal บริษัทโซลูชั่นเทคโนโลยีโลหะระดับโลก ประกาศในวันนี้ถึงการลงทุน Series C2 มูลค่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐจาก Marunouchi Innovation Partners ในโตเกียว การระดมทุนครั้งใหม่ทำให้ซีรีส์นี้มีมูลค่ารวม 282 ล้านเหรียญสหรัฐ

ด้วยทุนใหม่นี้ Boston Metal ได้ขยายธุรกิจในเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีสัดส่วนมากกว่า 70% ของการผลิตเหล็กทั่วโลก นอกจากนี้การระดมทุนจะช่วยเร่งเส้นทางของบริษัทสู่การค้า และสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรม

"ความมุ่งมั่นของเราต่อนวัตกรรมและความยั่งยืนในการผลิตโลหะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และการระดมทุนนี้จะเป็นเครื่องมือในการก้าวไปสู่เป้าหมายระยะยาวของเรา" Tadeu Carneiro ซีอีโอของ Boston Metal กล่าว "แม้จะมีสภาวะตลาดที่ท้าทาย แต่การประเมินมูลค่าของ Boston Metal ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความสามารถอย่างต่อเนื่องของเราในการได้รับเงินทุนจากนักลงทุนชั้นนำ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งในวิสัยทัศน์และความสามารถของเรา"

จากแรงผลักดันในการระดมทุน Series C1 บริษัท Boston Metal กำลังเร่งดำเนินภารกิจในการจำหน่ายเทคโนโลยีเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ก้าวล้ำภายในปี 2026 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2050 ของอุตสาหกรรมเหล็ก บริษัทคาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้จากธุรกิจโลหะที่มีมูลค่าสูงได้ภายในปี 2024

"เราตระหนักถึงความสําคัญอย่างยิ่งยวดของการพัฒนาแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนในการผลิตโลหะ" Ichiro Miyoshi ซีอีโอของ Marunouchi Innovation Partners กล่าว "การลงทุนของเราใน Boston Metal ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเชื่อของเราว่า เทคโนโลยีของพวกเขาเป็นตัวแทนของนวัตกรรม โซลูชั่นระยะยาวสำหรับการผลิตเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเชิงพาณิชย์ ท่ามกลางความต้องการเหล็กทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น"

แรงผลักดันในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคส่วนต่างๆ เช่น การขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ความต้องการโซลูชั่นเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยี Molten Oxide Electrolysis (MOE) ของ Boston Metal เป็นกระบวนการโดยตรงในขั้นตอนเดียวที่สามารถผลิตเหล็กกล้าคุณภาพสูง จากแร่เหล็กเกรดปานกลางและต่ำที่มีอยู่มากมายความยืดหยุ่นนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และทำให้ MOE สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเหล็กที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมต่างๆ ในฐานะที่เป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม MOE ยังช่วยให้สามารถสกัดโลหะที่มีมูลค่าสูง จากวัสดุที่มีความเข้มข้นต่ำที่ใช้ไม่ได้ก่อนหน้านี้ เช่น ของเสียจากการขุด

การประกาศให้ทุนสนับสนุนนี้เกิดขึ้นหลังจาก Boston Metal ได้รับเลือกล่าสุดโดยกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา ให้จัดตั้งโรงงานผลิตโลหะโครเมียมในเมือง Weirton รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย เพื่อผลิตวัสดุบนบกที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมการบินและอวกาศ การแปรรูปทางเคมี และนิวเคลียร์

เกี่ยวกับ Boston Metal

Boston Metal กําลังจำหน่าย Molten Oxide Electrolysis (MOE) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีโลหะระวางบรรทุกที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิตเหล็ก และเปลี่ยนวิธีการผลิตโลหะ MOE ช่วยให้อุตสาหกรรมโลหะมีโซลูชันที่ปรับขนาดได้ แข่งขันได้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สำหรับการผลิตเหล็กและโลหะที่มีมูลค่าสูงจากวัตถุดิบและเกรดแร่เหล็กที่หลากหลาย Boston Metal ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์ และนําโดยทีมงานระดับโลก Boston Metal มีสำนักงานใหญ่ในเมืองโวเบิร์น รัฐแมสซาชูเซตส์ และมีบริษัทในเครือที่ถือหุ้นทั้งหมดในบราซิล เรียนรู้เพิ่มเติมที่ bostonmetal.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Media
Derek Brekken
Antenna Group สำหรับ Boston Metal
bostonmetal@antennagroup.com
media@bostonmetal.com

Source: Boston Metal

PowerSchool นำเสนอระบบนิเวศ AI ที่ครอบคลุมมากที่สุดสำหรับการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยการเปิดตัว PowerSchool PowerBuddy™ ซึ่งเป็นผู้ช่วย AI สำหรับทุกคนในการศึกษา

Logo

PowerSchool นำศักยภาพในการปรับแปลง AI มาสู่การศึกษาระดับอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษา (K-12) ผ่านโมเดล AI แบบบูรณาการทั่วทั้งผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มข้อมูลด้วยการเปิดตัว PowerBuddy ซึ่งเป็นผู้ช่วย AI เจนเนอเรชั่นใหม่

FOLSOM, Calif.–(BUSINESS WIRE)–23 มกราคม 2024

PowerSchool (NYSE: PWSC) ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์ชั้นนำสำหรับการศึกษา K-12 ในอเมริกาเหนือ มีการประกาศในวันนี้เกี่ยวกับวิวัฒนาการขั้นต่อไปของแพลตฟอร์ม AI ด้วยการเปิดตัว PowerSchool PowerBuddy™ ซึ่งเป็นผู้ช่วย AI สำหรับทุกคนในการศึกษา

ระบบนิเวศ AI ของ PowerSchool ก่อตั้งขึ้นตามหลักการ Responsible AI ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ดำเนินการทั้งหมด ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเส้นทางด้านการศึกษาของนักเรียนโดยเฉพาะ ด้วย PowerBuddy ที่ปรับแต่งเฉพาะ นักเรียน ผู้ปกครอง ผู้นำการศึกษา ผู้ให้คำปรึกษา และผู้ดูแลระบบแต่ละคน จะสามารถเข้าถึงคำแนะนำ ข้อมูล และทรัพยากรส่วนบุคคลได้อย่างปลอดภัยเพียงปลายนิ้วสัมผัส ช่วยให้นักเรียนสามารถได้รับการสนับสนุนทางสังคม อารมณ์ และการศึกษาที่ปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับแต่ละคนในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

ซึ่งเป็นการนำเสนอ AI ที่แตกต่างจากการนำเสนออื่นๆ ระบบนิเวศ AI ที่ครอบคลุมของ PowerSchool ได้รับการออกมาเพื่อวัตถุประสงค์ “นำเสนอระบบ AI เชื่อมโยงเข้าข้อมูล” แนวทางที่โดดเด่นนี้จะช่วยรักษามาตรฐานที่เข้มงวดด้านความเป็นส่วนตัว จริยธรรม และความปลอดภัย และเสริมสร้างวิธีการที่ทันสมัยสำหรับการนำ AI ไปใช้อย่างมีความรับผิดชอบและเป็นนวัตกรรมด้านการศึกษา

PowerBuddy เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถสนทนาตามบทบาทที่อยู่ระหว่างการทดลองใช้อยู่ในขณะนี้ และจะพร้อมใช้งานในปีการศึกษา 2024-2025 เพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าของนักเรียนทั้งในและนอกห้องเรียน

ในขั้นต้น จะมีการรวม PowerBuddy เข้ากับ Schoology Learning โดยนำเสนอความช่วยเหลือตามความต้องการของนักเรียนแบบตัวต่อตัว สำหรับงานที่ได้รับมอบหมายและปรับแต่งการเรียนรู้แบบดั้งเดิมให้เป็นประสบการณ์แบบมีส่วนร่วม ผู้สอยจะสามารถใช้ PowerBuddy เพื่อสร้างแผนการสอน สร้างแบบทดสอบและการประเมินสำหรับผลการเรียนโดยอัตโนมัติ และปรับแต่งการบ้านในแบบเฉพาะตัวของนักเรียน ช่วยประหยัดเวลาให้สามารถมุ่งเน้นด้านที่สำคัญที่สุด – นั่นคือ การปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน นอกเหนือจากนี้ ยังนำเสนอคำแนะแนวทางวิทยาลัยและอาชีพเฉพาะรายบุคคลผ่าน Naviance CCLR สำหรับทั้งผู้ให้คำปรึกษาและนักเรียน ผู้ปกครองสามารถใช้ประโยชน์ PowerBuddy ใน My PowerSchool ในการสอบถามเกี่ยวกับผลการเรียนของบุตรหลานและข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ผู้ปกครองจะได้ข้อมูลแจ้งเตือนเชิงรุกหากบุตรหลานเริ่มมีปัญหาและตามไม่ทัน มีความโปร่งใส และส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการศึกษาของบุตรหลาน นอกเหนือจากนี้ PowerBuddy จะนำเสนอทรัพยากรการเรียนรู้ด้านวิชาการและอารมณ์ทางสังคมที่ได้รับการอนุมัติเฉพาะบุคคลจาก ContentNav เพื่อช่วยในการสนับสนุนการเรียนรู้ของบุตรหลานอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ผู้ดูแลระบบยังสามารถถามคำถามเป็นภาษาธรรมชาติทั่วไปเกี่ยวกับข้อมูลภายใน Analytics & Insights และ PowerSchool SIS เพื่อช่วยให้ระบบสามารถแสดงข้อมูลที่ถูกต้องอย่างยิ่งสำหรับการตัดสินใจ จะมีการขยายการใช้งาน PowerBuddy ไปทั่วระบบนิเวศของ PowerSchool โดยจะไม่ขึ้นกับระบบและจะได้รับการผสานรวมเข้ากับเครื่องมือเทคโนโลยีด้านการศึกษาส่วนใหญ่ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ของ PowerSchool ด้วยเช่นกัน

วันนี้เป็นการเปิดตัวอีกขั้นที่น่าตื่นเต้นในการทำให้การปรับแปลงการศึกษาเฉพาะตัวเป็นจริงได้ ซึ่งเป็นกระบวนการก่อนหน้าที่อยู่ไกลเกินเอื้อม จนกระทั่งวันนี้” Shivani Stumpf ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของ PowerSchool กล่าว “นอกเหนือจากการสนับสนุนผู้ปกครอง ผู้สอน และผู้ให้การศึกษา PowerBuddy ยังช่วยสร้างเสริมความชอบในการเรียนรู้ให้นักเรียนอย่างแท้จริง โดยได้รับการสนับสนุนจากการออกแบบเฉพาะตัว เพื่อความปลอดภัย ให้การสนับสนุน สร้างแรงบันดาลใจ และปรับแต่งเฉพาะตัวโดยใช้ AI”

ความสามารถด้าน AI ที่ไม่มีใครเปรียบของ PowerSchool สำหรับระบบนิเวศการศึกษา:

  • เน้นการออกแบบ: เช่นเดียวกับ AI ทั้งหมดที่มีการใช้ในแพลตฟอร์มของ PowerSchool มีการพัฒนา PowerBuddy โดยใช้หลักการ AI ที่มีความรับผิดชอบและได้รับการปรับแต่งโดยเฉพาะสำหรับการศึกษาระดับ K-12 โดยมีความแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ ที่มีการระบุขอบเขตในการแบ่งปันข้อมูล PowerSchool มีการผสานรวม AI เข้ากับข้อมูล เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากโซลูชันอื่นๆ ซึ่งต้องมีการถ่ายโอนข้อมูลไปยังแอปพลิเคชัน AI ซึ่งเป็นการรักษาความปลอดภัยในระดับที่ไม่มีใครเทียบได้ สำหรับการปกป้องข้อมูลของนักเรียน
  • การบูรณาการอย่างง่ายดาย: ต่างจากแอปพลิเคชันแบบสแตนด์อโลนอื่นๆ มีการผสานรวม PowerSchool AI เข้ากับผลิตภัณฑ์ที่ผู้ให้การศึกษา นักเรียน และผู้ปกครองใช้ในแต่ละวัน จึงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ระบบใหม่ เนื่องจากผู้ให้การศึกษาก็มีงานล้นมืออยู่แล้ว
  • การปรับเปลี่ยนในแบบเฉพาะตัว: มีการผสานรวม AI เข้ากับผลิตภัณฑ์ PowerSchool ซึ่งมีนักเรียนและผู้ให้การศึกษานับล้านใช้งานอย่างแพร่หลายในแต่ละวัน การบูรณาการนี้จะช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า จะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนส่วนบุคคลที่ขับเคลื่อนโดยมุมมองข้อมูลของนักเรียนและผู้ให้การศึกษาแบบองค์รวม 360 องศาที่ได้จากชุดผลิตภัณฑ์แบบบูรณาการของ PowerSchool ซึ่งแตกต่างจากโซลูชัน AI แบบสแตนด์อโลนอื่นๆ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถใช้ประโยชนจากแพลตฟอร์มข้อมูล K-12 โดยตระหนักว่า ประสิทธิภาพของ AI ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่สมบูรณ์ แพลตฟอร์มดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการแยกฐานข้อมูล โดยมีความสามารถในการสร้างตามวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาโดยเฉพาะ เพื่อปรับเสริมฟังก์ชันการทำงานโดยรวมของระบบ AI
  • การใช้งานตามขนาดแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในตลาด PowerSchool มีความสามารถได้รับการพิสูจน์แล้วเพื่อสนับสนุนเขตพื้นที่ทุกขนาดด้วยความรู้เชิงลึกด้านระบบนิเวศการศึกษา รวมถึงข้อกำหนดระดับรัฐ จังหวัด และเขต โดยทั้งหมดนี้ได้รับการป้องกันความปลอดภัยชั้นนำในอุตสาหกรรมและโปรโตคอลความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
  • ไม่ขึ้นกับระบบ: เขตสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลทั้งหมดจากเครื่องมือเทคโนโลยีที่มีการใช้อยู่แล้ว เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกและการสนับสนุนเฉพาะบุคคลที่แม่นยำและครอบคลุมที่สุด

“ด้วยวิสัยทัศน์ของ PowerSchool ที่ใช้ประโยชน์จากความสามารถของ AI เพื่อแปลงข้อมูลให้เป็นเป้าหมายที่สามารถนำไปใช้งานได้ ซึ่งช่วยให้สามารถบรรลุผลสำหรับนักเรียนให้ได้ดียิ่งขึ้น เรารู้สึกมั่นใจในก้าวต่อไปของเรา” Dr. Joseph Nettikaden ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลของ Esol Education ใน UAE กล่าว

“PowerSchool กำลังดำเนินการปฏิวัติการศึกษาในระดับโลกโดยใช้ประโยชน์จาก AI ที่มีการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการศึกษาระดับ K-12 เพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้สอนและเจ้าหน้าที่ของเรา เพื่อช่วยในการเปลี่ยนแปลงชีวิตโดยการช่วยเยาวชนในการออกแบบอนาคตของพวกเขา” Fr. Jose Alarico Carvalho ผู้อำนวยการของ Father Agnel School ในอินเดีย กล่าว “ผู้ช่วย AI นี้จะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน และเพิ่มประสิทธิภาพในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน โรงเรียนของเราเป็นผู้บุกเบิกในการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด และผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับ PowerSchool ในการปรับแปลงนี้”

การสัมมนาผ่านเว็บฟรีเกี่ยวกับ PowerBuddy และ AI ในการศึกษาระดับ K-12 จะมีขึ้นในวันที่ 28 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2024 สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://www.powerschool.com/webinar/ai-chat-bots หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PowerBuddy โปรดไปที่ www.powerschool.com

เกี่ยวกับ PowerSchool

PowerSchool (NYSE: PWSC) เป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์สำหรับการศึกษาระดับ K-12 ในอเมริกาเหนือ ภารกิจของบริษัทคือ การส่งเสริมศักยภาพสำหรับผู้ให้การศึกษา ผู้ดูแลระบบ และครอบครัว เพื่อรับประกันการศึกษาแบบเฉพาะตัวสำหรับนักเรียนทุกคน PowerSchool นำเสนอผลิตภัณฑ์ระบบคลาวด์แบบครบวงจรที่เชื่อมต่อสำนักงานกลางเข้ากับห้องเรียนไปยังบ้านของนักเรียนด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัล รวมถึง Schoology Learning และ Naviance CCLR ดังนั้น เขตการศึกษาจะสามารถจัดการข้อมูลของนักเรียน การลงทะเบียน การเข้าเรียน เกรด คำแนะนำด้านการสอน การประเมินผล ทรัพยากรบุคคล ความสามารถพิเศษ การพัฒนาด้านวิชาชีพ การศึกษาพิเศษ การวิเคราะห์ข้อมูล และข้อมูลเชิงลึก การสื่อสาร และความพร้อมด้านวิทยาลัยและวิชาชีพได้อย่างปลอดภัย PowerSchool ให้การสนับสนุนนักเรียนกว่า 50 ล้านคนในกว่า 90 ประเทศ และลูกค้ามากกว่า 16,000 ราย รวมถึงเขตการศึกษาชั้นนำมากกว่า 90 แห่งาจาก 100 อันดับแรกตามการลงทะเบียนของนักเรียนในสหรัฐอเมริกา สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.powerschool.com

© PowerSchool PowerSchool และเครื่องหมายอื่นๆ ของ PowerSchool เป็นเครื่องหมายการค้าของ PowerSchool Holdings, Inc. หรือบริษัทในเครือ ชื่อและแบรนด์อื่นๆ อาจเป็นทรัพย์สินของผู้อื่น

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

WE Communications for PowerSchool
WE-PowerSchool@we-worldwide.com
(503) 443-7155

แหล่งข้อมูล: PowerSchool Holdings, Inc.

Exicom ขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเข้าร่วมมือกับ INNOPOWER Co. Ltd. เพื่อเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

Logo

  • INNOPOWER Co. Ltd เป็นผู้ดำเนินการหลักในการขยายธุรกิจของ Exicom ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย
  • การเปิดตัวเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าขนาด 30kW จำนวนหกเครื่องในการเริ่มต้นความร่วมมือกัน
  • Exicom ดำเนินกิจการในอินเดีย มาเลเซีย ตะวันออกกลาง และตอนนี้ กำลังขยายการดำเนินงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

BANGKOK–(BUSINESS WIRE)–18 มกราคม 2024

Exicom เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องชาร์จ EV ของอินเดีย เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกภาคส่วนการผลิตเครื่องชาร์จ EV ในอินเดีย และเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลก มีการประกาศในวันนี้เกี่ยวกับข้อตกลงการจัดจำหน่ายกับ INNOPOWER Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทนวัตกรรมด้านพลังงานในประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้มีผลต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดย Innopower จะเป็นผู้ดูแลการจัดจำหน่ายเครื่องชาร์จระบบ AC/DC ของ Exicom การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะช่วยเสริมฐานตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Exicom ให้เสถียรยิ่งขึ้น โดยมีการจัดตั้งเครือข่ายการขายและการจัดจำหน่ายในท้องถิ่น

Exicom Expands in Southeast Asia, Partners with INNOPOWER Co. Ltd. for Exclusive Distribution in Thailand (Graphic: Business Wire)

Exicom ขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเข้าร่วมมือกับ INNOPOWER Co. Ltd. เพื่อเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย (กราฟิก: Business Wire)

การดำเนินธุรกิจของ Exicom ในประเทศไทยถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมโซลูชันระบบชาร์จ EV ให้มีความคล่องตัวสูงยิ่งขึ้น โดยมุ่งมั่นในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสำหรับระบบเพื่อรองรับ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทยในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงการริเริ่มด้านยานยนต์ในการพัฒนาระบบ EV และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเป้าหมายดังกล่าว

การประกาศความร่วมมือระหว่าง Exicom และ INNOPOWER ในระหว่างพิธีลงนาม ถือเป็นการเริ่มต้นสำหรับพันธมิตรในครั้งนี้ด้วยการติดตั้งเครื่องชาร์จขนาด 30kW จำนวนหกเครื่อง บทบาทหน้าที่ของ INNOPOWER นอกเหนือจากการจัดจำหน่ายแล้ว ยังครอบคลุมการส่งเสริมการขาย การตลาด และการขายผลิตภัณฑ์ของ Exicom ทั่วประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในต่างประเทศ Exicom ยังมีการจัดตั้งเครือข่ายการขายและการจัดหน่ายในท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกทั่วอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Exicom กำลังขยายขอบเขตการดำเนินงานทั่วโลก โดยการกระจายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีความก้าวหน้าในภูมิภาคใหม่ๆ รวมถึงการเปลี่ยนกระบวนการภายในให้เป็นระบบดิจิทัล

Anant Nahata กรรมการผู้จัดการของ Exicom กล่าวว่า “การตระหนักถึงศักยภาพมหาศาลในการเติบโตของ EV ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และด้วยประสบการณ์ของเราในฐานะผู้ผลิตเครื่องชาร์จ EV ชั้นนำของอินเดีย ทำให้เราสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มพูนขึ้นในภูมิภาคได้ การเป็นพันธมิตรกับ INNOPOWER ซึ่งมีรากฐานเป้าหมายร่วมกันเพื่อการคมนาคมที่ยั่งยืน จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของทั้งสองบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศ เครื่องชาร์จ EV ขั้นสูงของเราจะเป็นตัวอย่างของนวัตกรรมคุณภาพระดับสูง โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มีผลที่สำคัญระดับโลก เมื่อเราขยายผลการดำเนินงานออกในวงกว้าง เป้าหมายของเราก็ยังคงความชัดเจน นั่นคือ การถือบรรทัดฐานในการกำหนดอนาคตการคมนาคมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงเฉพาะประเทศไทย แต่ยังก้าวไกลไปทั่วโลก”

INNOPOWER เป็นบริษัทร่วมทุนขององค์กรพลังงานชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย Ratch Group Public Company Limited และ Electricity Generating Public Company Limited หรือ EGCO Group ที่มีความเชี่ยวชาญในนวัตกรรมโซลูชันด้านพลังงาน ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานกว่า 50 ปี บริษัทพร้อมลงทุนในโครงการริเริ่มด้านพลังงานอย่างยั่งยืนทั่วโลก และการร่วมมือกับ Exicom เมื่อเร็วๆ นี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการดำเนินงานอย่างมีวิสัยทัศน์นี้

"เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เป็นพันธมิตรร่วมมือกับ Exicom เพราะมีความโดดเด่นในความน่าเชื่อถือและศักยภาพความสามารถ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับลูกค้าของเราในประเทศไทย ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้านการตลาดเครื่องชาร์จ EV ในประเทศ เราจึงมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับ Exicom เพื่อช่วยในการขยายเครือข่าย เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นในวงกว้าง รวมถึง เจ้าของยานพาหนะและรถยนต์ส่วนตัว ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในความมุ่งมั่นของเรา เพื่อส่งเสริมโซลูชันการคมนาคมที่สะอาด และสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของระบบนิเวศ EV ในประเทศไทย" Athip Tantivorawong ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของ INNOPOWER กล่าว

ความได้เปรียบจากการบุกเบิกในอินเดียและเรียนรู้ของ Exicom ควบคู่ไปกับการดำเนินงานแบบบูรณาการแนวดิ่ง ความสามารถในการวิจัยและพัฒนา และพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายของเครื่องชาร์จ EV ช่วยเสริมให้ Exicom ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องชาร์จ EV ในอินเดียและทั่วโลก ด้วยเครื่องชาร์จที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมและสภาวะไฟฟ้าที่รุนแรง Exicom นำเสนอเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุม นอกเหนือจากนี้ SPIN Control ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันบนมือถือของบริษัทยังช่วยให้ผู้ใช้ในที่พักอาศัยที่มีอินเทอร์เฟสที่ใช้งานง่าย พร้อมฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การทำงานของเครื่องชาร์จแบบระยะไกล ระบบการวิเคราะห์ ความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ และการกำหนดตารางเวลาในการชาร์จโดยอัตโนมัติ

ความร่วมมือกันระหว่าง Exicom และ INNOPOWER เป็นความพยายามในการพัฒนาโซลูชันระบบการชาร์จ EV  ที่ใช้งานง่าย น่าเชื่อถือ และสะดวกสบายในประเทศไทย

เกี่ยวกับ Exicom:

Exicom เป็นผู้นำระดับโลกในการจัดหาโซลูชันพลังงานที่สำคัญ และโซลูชันระบบการชาร์จ EV ในกว่า 10 ประเทศ Exicom เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกในภาคส่วนการผลิตเครื่องชาร์จ EV ในอินเดีย และปัจจุบันนี้ กำลังขยายผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญเข้าในยุโรป สหราชอาณาจักร มาเลเซีย สิงคโปร์ และตะวันออกกลาง กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Exicom ครอบคลุมตั้งแต่ขนาด 3.3kW จนถึง 360kW โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยการผลิตถึงสามหน่วย ฝ่ายการวิจัยและพัฒนาภายในสองแห่ง และเครือข่ายบริการที่สนับสนุน

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมพลังงานแห่งอนาคตได้ที่ https://www.exicom-ps.com/

เกี่ยวกับ INNOPOWER:

INNOPOWER ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 และกำลังสร้างกระแสด้านภูมิทัศน์ความยั่งยืนของประเทศไทย เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT), RATCH Group และ The Electricity Generating Public Company Limited (EGCO) โดย INNOPOWER เป็นผู้นำด้านการลดคาร์บอน นวัตกรรมพลังงาน และเทคโนโลยีโลกสีเขียว พร้อมพันธกิจในการเร่งปรับเปลี่ยนประเทศไทยเข้าสู่พลังงานสะอาด และขับเคลื่อนนวัตกรรมในภาคส่วนพลังงานและเทคโนโลยี

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมพลังงานแห่งอนาคตได้ที่ www.innopower.co.th

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/53884492/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Media Contacts
Anuj Bakshi
+91 9711306879
anuj.bakshi@adfactorspr.com

Shristy Sonal
+91 8340542348
shristy.sonal@adfactorspr.com

แหล่งข้อมูล: Exicom

Timeline เป็นเทคโนโลยีชีวภาพที่มีอายุยืนยาวของสวิส ได้รับการสนับสนุนทางการเงินที่สําคัญ จากผู้นําอุตสาหกรรมระดับโลกเชิงกลยุทธ์ รวมถึง L’Oréal และ Nestlé

Logo

โลซาน, สวิตเซอร์แลนด์–(BUSINESS WIRE)–17 มกราคม 2024

Timeline เป็นบริษัท เทคโนโลยีชีวภาพด้านสุขภาพของผู้บริโภคในระดับแนวหน้า ในการพัฒนาโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อการสูงวัยอย่างมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว ได้ประกาศในวันนี้ว่าบริษัทสามารถระดมทุนได้ 56 ล้านฟรังก์สวิส(66 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในการระดมทุน Series D ที่มีสมาชิกมากเกินไป นับเป็นก้าวสําคัญสําหรับบริษัท และรวมถึงการลงทุนเชิงกลยุทธ์จากสองผู้นําอุตสาหกรรมระดับโลก ได้แก่ L’Oréal และ Nestlé

Timeline Longevity Products (Photo: Timeline)

ผลิคภัณฑ์ที่มีอายุยืนยาวของ Timeline (ภาพ: Timeline)

การระดมทุนรอบนี้นําโดย BOLD (Business Opportunities for L'Oréal Development) ซึ่งเป็นกองทุนร่วมลงทุนด้านนวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ของ L'Oréal Groupe ซึ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทอย่าง Mitopure® เพื่อช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีและยืนยาวขึ้น Mitopure® ได้รับการสนับสนุนในการวิจัยกว่า 15 ปี และได้ผ่านการทดสอบทางคลินิกแล้วว่า สามารถกําหนดเป้าหมายเส้นทางอายุยืนของเซลล์ที่สําคัญ โดยการรีไซเคิลและฟื้นฟูโรงไฟฟ้าของเซลล์ไมโตคอนเดรีย การทํางานของไมโตคอนเดรียอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการรักษาพลังงานของเซลล์ ซึ่งสนับสนุนความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การรับรู้ ความยืดหยุ่นของภูมิคุ้มกัน พลังผิว และประโยชน์ที่สําคัญอื่น ๆ โดยนำเสนอแนวทางที่ครอบคลุมในการส่งเสริมสุขภาพที่ดี

การสนับสนุนจากผู้นําในอุตสาหกรรมเหล่านี้ และเงินทุนที่ระดมทุนได้จะถูกนํามาใช้ เพื่อสร้าง Timeline ให้เป็นแบรนด์สุขภาพผู้บริโภคที่มีอายุยืนยาวชั้นนํา โดยการขยายด้านวิทยาศาสตร์ หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ และตลาดในภาคอาหาร ความงาม และสุขภาพ

"ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางหลายมิติที่ก้าวหน้า ซึ่งเราเชื่อมาโดยตลอดว่า จําเป็นต่อความก้าวหน้าที่มีความหมายสําหรับการมีอายุยืนยาวและสุขภาพที่ดี" Patrick Aebischer ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานของ Timeline กล่าว "ผมอยากจะขอบคุณ L’Oréal  Nestlé และนักลงทุนที่มีมายาวนานของเรา สําหรับความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาการมีอายุยืนที่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ระดับสูงสุด"

"การมีอายุยืนยาวเป็นเรื่องของการมีสุขภาพที่ดีให้ยืนยาวขึ้น และ L’Oréal ได้ทํางานมาเป็นเวลาสิบปี เพื่อทําความเข้าใจและคาดการณ์ว่า สิ่งนี้อาจมีความหมายต่อความงามอย่างไร" Barbara Lavernos รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ดูแลฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี ของ L’Oréal กล่าว "การมีอายุยืนยาวเป็นคําจํากัดความใหม่ของความงาม โดยเป็นการผสมผสานระหว่างสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การถอดรหัสเครื่องหมายทางชีวภาพ ไปจนถึงการวิเคราะห์การสัมผัสภายนอก การลงทุนของเราใน Timeline เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสําหรับศักยภาพในการเปลี่ยนลักษณะสําคัญของการมีอายุยืนยาวมาสู่สุขภาพผิวและความงาม"

"เราเป็นผู้ลงทุนใน Timeline มาตั้งแต่ปี 2019 และยังคงประทับใจทีมงานเป็นอย่างมาก และยืนหยัดอยู่เบื้องหลังศักยภาพที่เทคโนโลยี Mitopure ยึดมั่นในโภชนาการเพื่อช่วยให้ผู้คนมีอายุยืนและสุขภาพดีขึ้น" Anna Mohl ซีอีโอของ Nestlé Health Science กล่าว "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ L’Oréal เข้าร่วมในฐานะนักลงทุนและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อนําเทคโนโลยีนี้ไปสู่จุดสูงสุดใหม่และขยายการใช้งาน"

เกี่ยวกับ Timeline

Timeline (บริษัทแม่ Amazentis) เป็นบริษัทผู้บุกเบิกด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพของสวิส ซึ่งมุ่งมั่นที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมการมีอายุยืนยาวด้วยส่วนผสม Mitopure® ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะที่ได้ผ่านการทดสอบทางคลินิกแล้ว Timeline นําเสนอแนวทางที่ครอบคลุมเพื่อสุขภาพของเซลล์ โดยผสมผสานคุณประโยชน์ของ Mitopure ไว้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรุ่นต่อไป และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิวเฉพาะที่ ด้วยความเชี่ยวชาญกว่าทศวรรษในการวิจัยวิทยาศาสตร์การสูงวัย Timeline มุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดด้านสุขภาพของมนุษย์ โดยมีส่วนช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีขึ้น บริษัทได้รับการสนับสนุนในการวิจัยกว่า 15 ปี โดยนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง การศึกษาทางคลินิกหลายครั้ง สิทธิบัตรมากกว่า 50 รายการ และ Nestlé Health Science เป็นนักลงทุนตั้งแต่ปี 2019 ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ www.timelinenutrition.com

ติดต่อ

โปรดติอต่อ:

Chris Rinsch ประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง Timeline

Federico Luna ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Timeline
press@timelinenutrition.com

ที่มา: Timeline

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53883838/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


NielsenIQ และ TransUnion ร่วมมือกันเพื่อสรรสร้างงานการโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายด้วยข้อมูลการซื้อปลีกของลูกค้า

Logo

CHICAGO–(BUSINESS WIRE)–17 มกราคม 2024

NielsenIQ ผู้นำด้านการวัดผลและการวิเคราะห์ข้อมูลระดับโลก มีการประกาศสัญญาข้อตกลงที่มีกับ TruAudience® ซึ่งเป็นธุรกิจโซลูชันด้านการตลาดของ TransUnion (NYSE: TRU) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลผู้บริโภคของ NielsenIQ เข้ากับพื้นที่แบบระบุตัวตนของพันธมิตรสำหรับการจำลองกลุ่มเป้าหมาย ความพยายามในการร่วมมือนี้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลของลูกค้าจาก NielsenIQ ด้านการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว (FMCG) และโซลูชันการระบุตัวตนของ TransUnion สำหรับการเชื่อมต่อข้อมูล เพื่อช่วยบริษัทด้านสื่อและ AdTech ให้สามารถสร้างแคมเปญที่มีผลตอบรับสูงสำหรับกลุ่มเป้าหมายจากการซื้อของผู้บริโภค

พันธมิตรความร่วมมือสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคที่ผ่านมาในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคแบบออฟไลน์สำหรับ FMCG ลูกค้าสามารถใช้ข้อมูลของ NielsenIQ เป็น "Seed Audience" เพื่อใช้ในการสร้างกลุ่มที่คล้ายกันตามข้อมูลประชากรและพฤติกรรมการซื้อ FMCG ไฮไลท์สำตัญของความร่วมมือในครั้งนี้ ได้แก่:

  • การกำหนดเป้าหมายอย่างแม่นยำเทียบได้กับเครือข่ายสื่อค้าปลีกการใช้ประโยชน์จากข้อมูลการซื้อช่วยให้บริษัทด้านสื่อและ AdTech สำหรับการสร้างโซลูชันสำหรับโอเพ่นเว็บ
  • ความเสถียรจากข้อมูลที่ล้าสมัย: ข้อมูลธุรกรรมยังคงไม่ได้รับผลกระทบจากข้อมูลที่ล้าสมัย และเมื่อวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลระบุตัวตนแบบออฟไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งแสดงโดยกราฟข้อมูลระบุตัวตนของ TransUnion ซึ่งมีช่องทางสำหรับการกำหนดเป้าหมาย โดยคุกกี้และ ID โฆษณาบนมือถือจะหายไป
  • สเกลและความสามารถในการเข้าถึงระดับโลก: NielsenIQ เป็นผู้ให้บริการระดับโลกเพียงรายเดียวที่ให้ข้อมูลในสเกลนี้ ด้วย Full View™ ช่วยให้บริษัทด้านสื่อและ AdTech สามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าได้อย่างไม่มีปัญหา และปรับแปลงความสามารถในการกำหนดเป้าหมายลูกค้า

"NielsenIQ สามารถเสริมศักยภาพให้บริษัทด้านสื่อและ adtech ให้สามารถบริการแก่แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว FMCG ได้ดียิ่งขึ้น ด้วยข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมและนำไปปฏิบัติได้จริง" Brett Jones รองประธานอาวุโส หัวหน้าฝ่ายความร่วมมือระดับโลกแบบแนวดิ่งของ NielsenIQ กล่าว "โดยการร่วมมือกับ TransUnion ในการเชื่อมโยงข้อมูลของเราเข้ากับแพลตฟอร์มสื่อ ช่วยให้เราอยู่ในตำแหน่งแนวหน้าในกำหนดอนาคตของการกำหนดเป้าหมายลูกค้า นำเสนอโซลูชันที่เน้นความเป็นส่วนตัว และปูทางสำหรับแคมเปญที่สร้างผลตอบรับที่ดีและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น”

ในการใช้การระบุตัวตนของ TransUnion บริษัทด้านสื่อจะสามารถแก้ไขข้อมูลของ NielsenIQ ให้เหมาะสมกับมุมมองการระบุตัวตนของตัวเอง และเริ่มต้นสร้างฐานลูกค้าเป้าหมายได้ ในตลาดที่เปลี่ยนไปเป็นเครือข่ายสื่อค้าปลีก การทำงานร่วมกันนี้จะช่วยให้บริษัทสื่อและ AdTech สามารถกำหนดเป้าหมายประสิทธิภาพที่สูงยิ่งขึ้นสำหรับโอเพ่นเว็บได้

“ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของเรากับ NielsenIQ นี้ จะช่วยให้นักการตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็วและบริษัทสื่อสามารถนำเสนอประสบการณ์เฉพาะบุคคลได้ ราวกับว่าพวกเขามีข้อมูลของลูกค้าจากเครือข่ายสื่อค้าปลีก" Julie Clark รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อและสันทนาการแนวดิ่งของ TransUnion กล่าว "เมื่อทำงานร่วมกัน เราจะสามารถสร้างภูมิทัศน์การโฆษณาที่มีแนวคิดก้าวหน้า ซึ่งให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ประสิทธิผล และความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค"

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของ NielsenIQ ในด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และการเข้าถึงขุมทรัพย์ข้อมูลของลูกค้าได้ที่ https://nielseniq.com/global/en/landing-page/media-adtech-hub/ สามารถทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับโซลูชันด้านการตลาดสำหรับ TruAudience ของ TransUnion ได้ที่ https://www.transunion.com/solution/truaudience

เกี่ยวกับ NIQ

NIQ เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านข่าวกรองของผู้บริโภค ซึ่งนำเสนอความเข้าใจที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค และเผยให้เห็นเส้นทางใหม่ในการเติบโต ในปี 2023 NIQ ได้รวมตัวกับ GfK เพื่อรวบรวมผู้นำอุตสาหกรรมทั้งสองระดับโลกที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยข้อมูลการค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ครอบคลุมที่สุด—ช่วยให้สามารถส่งมอบผลการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ล้ำสมัย—NIQ นำเสนอ Full View

NIQ เป็นบริษัทในเครือของ Advent International ที่มีการดำเนินงานในตลาดมากกว่า 100 แห่ง ครอบคลุมมากกว่า 90% ของประชากรโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ NIQ.com

เกี่ยวกับ TransUnion (NYSE:TRU)

TransUnion เป็นบริษัทด้านข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกระดับโลก โดยมีพนักงานมากกว่า 12,000 คน และดำเนินงานในกว่า 30 ประเทศ เราสร้างความไว้วางใจได้โดยสร้างความน่าเชื่อถือในตัวแทนที่อยู่ในแต่ละตลาด โดยเรามีการสร้างภาพ Tru™ ในตัวแทนแต่ละคน ซึ่งประกอบด้วย มุมมองที่สามารถนำไปปฏิบัติได้สำหรับผู้บริโภค และมีการดูแลด้วยความเอาใจใส่ จากการเข้าซื้อกิจการและการลงทุนด้านเทคโนโลยี เราจึงมีการพัฒนาโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมซึ่งมีการขยายวงกว้างครอบคลุมรากฐานฝ่ายปฏิบัติการหลักที่แข็งแกร่งของเราไปสู่ด้านต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด การฉ้อโกง ความเสี่ยง และข้อมูลขั้นสูง เป็นผลให้ผู้บริโภคและธุรกิจสามารถทำธุรกรรมด้วยความมั่นใจที่สูงขึ้น และบรรลุผลสำเร็จ เราเรียกสิ่งนี้ว่า Information for Good® — และนำไปสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม และการเสริมสร้างศักยภาพส่วนบุคคลสำหรับผู้คนนับล้านทั่วโลก http://www.transunion.com/business

ติดต่อ

Media
Gillian Mosher, NIQ – Gillian.Mosher@NielsenIQ.com
David Blumberg, TransUnion – david.blumberg@transunion.com

แหล่งข้อมูล: NIQ

The Bangkok Reporter