Takeda ขายธุรกิจยา OTC และสินทรัพย์ย่อยในลาตินอเมริกาแก่ Hypera Pharma มูลค่า 825 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Logo

− บริษัทจะให้ความสำคัญการเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาแก่ผู้ป่วยในลาตินอเมริกา

− การตกลงนี้จะช่วยเร่งการขายสินทรัพย์เพื่อชำระหนี้ให้สำเร็จเร็วขึ้น

โอซากา, ญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–02 มีนาคม 2563

วันนี้ Takeda Pharmaceutical Company Limited (TSE:4502/NYSE:TAK) (“Takeda”) ประกาศว่าบริษัทได้เข้าสู่ข้อตกลงขายสินทรัพย์ย่อยของบริษัทในลาตินอเมริกาแก่บริษัท Hypera S.A. (“Hypera Pharma”) ซึ่งเป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศบราซิล พ่วงด้วยตำแหน่งผู้นำแบรนด์ด้านเภสัชกรรม สุขภาพผู้บริโภค และยาสามัญ ด้วยมูลค่า 825 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยยาทั้งแบบที่ต้องใช้และไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ที่ขายในประเทศบราซิล เม็กซิโก อาร์เจนตินา โคลอมเบีย เอกวาดอร์ ปานามา และเปรู โดยเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยธุรกิจการตลาดที่เกิดใหม่และกำลังเติบโตของบริษัท Takeda

Ricardo Marek ประธานหน่วยธุรกิจการตลาดที่เกิดใหม่และกำลังเติบโตของ Takeda กล่าวว่า “Takeda ยังคงยึดมั่นดำเนินธุรกิจในตลาดเกิดใหม่และลาตินอเมริกา การขายธุรกิจออกไปจะช่วยให้เราให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศเหล่านี้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมยาที่ทันสมัยทั้งทางวิทยาทางเดินอาหาร โรคหายาก การรักษาโรคที่เกิดจากพลาสมา เนื้องอกและประสาทวิทยา การดำเนินธุรกิจเช่นนี้จะช่วยมอบความต้องการของผู้ป่วยที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่แปลกและซับซ้อน ในขณะเดียวกัน ทางเรามั่นใจว่า Hypera Pharma มีความเหมาะสมในการช่วยผู้คนให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ต้องการ”

ครั้งนี้เป็นการขายธุรกิจครั้งที่ห้าของ Takeda ในรอบ 12 เดือน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายบริษัทที่ต้องการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักคิดเป็นมูลค่าราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย Takeda ตั้งใจนำรายได้จากการขายกิจการเหล่านี้ไปลดหนี้สินของบริษัท และเร่งกระบวนการขายสินทรัพย์เพื่อชำระหนี้ให้สำเร็จเร็วขึ้นตามเป้าในอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ 2 เท่าต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วภายในเดือนมีนาคม 2565 – มีนาคม 2567

ก่อนหน้านี้ Takeda ได้ประกาศขาย TachoSil® แก่ Ethicon ในราคา 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 ขาย Xiidra® แก่ Novartis ในราคา 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ขายสินทรัพย์ย่อยในประเทศที่กำลังขยายตลาดใกล้กับฝั่งตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาแก่ Acino ในราคามากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเมื่อเดือนตุลาคม 2562 และผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินทรัพย์ย่อยในรัสเซีย จอร์เจีย และหลายประเทศในกลุ่มเครือรัฐเอกราชแก่ STADA ในราคา 660 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562

ผลิตภัณฑ์ซึ่งไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หลักในธุรกรรมครั้งล่าสุดสร้างรายได้ให้บริษัทราว 215 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2561 ซึ่งสนับสนุนโดยยอดขายจากผลิตภัณฑ์หลักอย่างเช่น Neosaldina®, Nesina® และ Dramin®

ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความไว้วางใจเหล่านี้ยังคงบทบาทสำคัญในการตอบสนองความต้องการของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มธุรกิจหลักที่ Takeda เลือก ได้แก่ ทางเดินอาหาร โรคหายาก การบำบัดโดยพลาสมา มะเร็ง และประสาทวิทยา ซึ่งเป็นแกนหลักในกลยุทธ์การทำธรุกิจทั่วโลกในระยะยาวของบริษัท การขายธุรกิจช่วยให้บริษัทสามารถให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักได้มากขึ้นด้วยการทำให้พอร์ตโฟลิโอสินค้ามีความซับซ้อนน้อยลง

“การประกาศครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงก้าวล่าสุดในกลยุทธ์ของ Takeda ที่ต้องการปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอของเราให้เหมาะสมมากขึ้นพร้อมกับชำระหนี้ให้หมดเร็วขึ้นในขณะเดียวกัน เราจะยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักและการพัฒนายาใหม่ ๆ เพื่อยกระดับสถานะของเราให้เป็นผู้นำด้านชีวเภสัชภัณฑ์ระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัยและการพัฒนา รวมถึงส่งมอบมูลค่าที่มากกว่าให้กับทั้งผู้ป่วยและผู้ถือหุ้นของ Takeda” Costa Saroukos ผู้อำนวยการสูงสุดด้านการเงินของ Takeda กล่าว

รายละเอียดการทำธุรกรรม

Takeda บรรลุข้อตกลงเพื่อขายสิทธิ์ ชื่อ และผลประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอของสินทรัพย์ยาทั้งประเภทที่ต้องใช้และไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ 18 รายการ ที่จำหน่ายในบราซิล เม็กซิโก อาร์เจนตินา โคลอมเบีย เอกวาดอร์ ปานามาและเปรู แก่ Hypera Pharma เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 825 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลง Takeda คาดการณ์ว่าพนักงานราว 300 คนที่สนับสนุนการทำงานในสินทรัพย์ที่ถูกขายไปจะได้รับโอกาสในการโอนย้ายไปยัง Hypera Pharma เมื่อสิ้นสุดการทำธุรกรรมนี้

นอกจากนี้ Takeda และ Hypera Pharma ยังบรรลุข้อตกลงในการผลิตและการจัดหา ซึ่งกำหนดให้ Takeda ยังคงเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เหล่านี้และเป็นผู้จัดหาให้กับ Hypera Pharma ต่อไป

การทำธรุกรรมนี้คาดว่าจะสิ้นสุดในครึ่งหลังของปี 2563 และอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขของการปิดการทำธุรกรรมตามธรรมเนียม ก่อนถึงช่วงเวลานั้น Takeda จะยังคงเป็นเจ้าของของผลิตภัณฑ์เหล่านี้และเป็นมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้

การทำธุรกรรมครั้งนี้ Takeda ได้รับคำแนะนำจาก BofA Securities (ที่ปรึกษาด้านการเงิน) และ White & Case (ที่ปรีกษาด้านกฎหมาย)

เกี่ยวกับ Takeda Pharmaceutical Company Limited

Takeda Pharmaceutical Company Limited (TSE:4502/NYSE:TAK) เป็นบริษัทยาระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมุ่งเน้นคุณค่าและขับเคลื่อนด้วยการวิจัยและพัฒนา โดยให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ มุ่งมั่นที่จะนำสุขภาพที่ดีและอนาคตที่สดใสมาให้กับผู้ป่วยโดยผ่านการแปลงผลงานด้านวิทยาศาสตร์ไปสู่นวัตกรรมยาที่เปลี่ยนชีวิตผู้ป่วยได้ เรามุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยเป็นอย่างมากโดยมุ่งเน้นแขนงการรักษาหลัก ๆ ทั้งสี่ด้าน ได้แก่ มะเร็งวิทยา ทางเดินอาหาร โรคหายาก และประสาทวิทยา อีกทั้งเรายังได้มีการลงทุนในการวิจัยในเรื่องของการบำบัดโดยพลาสม่าและวัคซีนอีกด้วย เราให้ความสำคัญกับการพัฒนายาที่มีนวัตกรรมสูงซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้คนด้วยการนำเสนอตัวเลือกการรักษาใหม่ที่มีความก้าวหน้า และใช้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาร่วมกันของเรารวมถึงความสามารถในการสร้างการบริการที่หลากหลายและแข็งแกร่ง พนักงานของเรามุ่งมั่นที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยนั้นดีขึ้น และมีความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านการดูแลสุขภาพในกว่า 80 ประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.takeda.com

ประกาศสำคัญ

ในประกาศนี้ “ข่าวประชาสัมพันธ์” หมายถึง เอกสารชิ้นนี้ การนำเสนอด้วยวาจา ช่วงถามและตอบ และการเจรจาที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือวาจาใด ๆ ที่กล่าวถึงหรือเผยแพร่โดย Takeda Pharmaceutical Company Limited (“Takeda”) ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ (รวมถึงการบรรยายสรุปด้วยวาจาและการถามและตอบคำถามใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง) ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อ และไม่ได้ประกอบด้วย เป็นตัวแทน หรือส่วนหนึ่งของข้อเสนอ คำเชิญ หรือการชี้ชวนให้ซื้อหรือเข้าถือสิทธิ์ สมัคร แลกเปลี่ยน ขาย หรือขายทิ้งหลักทรัพย์ หรือการเชิญให้ลงคะแนนหรืออนุมัติใด ๆ ในเขตอำนาจตามกฎหมายใด ๆ ไม่มีการเสนอขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ต่อประชาชนทั่วไปโดยผ่านข่าวประชาสัมพันธ์นี้ หลักทรัพย์นี้ไม่สามารถเสนอขายในสหรัฐอเมริกาได้หากมิได้มีการจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์แห่งสหรัฐฯ ค.ศ. 1933 (U.S. Securities Act of 1933) และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือได้รับการยกเว้นจากนั้น ข่าวประชาสัมพันธ์นี้แจกจ่าย (พร้อมกับข้อมูลเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่อาจมอบให้แก่ผู้รับ) บนเงื่อนไขที่ว่าผู้รับจะใช้เพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น (และไม่ใช่เพื่อการประเมินการลงทุน การเข้าซื้อ การเทขาย หรือการทำธุรกรรมอื่น ๆ ) การไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดเหล่านี้อาจเป็นการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ที่บังคับใช้

บริษัทที่ Takeda เป็นเจ้าของการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นนิติบุคคลแยกต่างหาก ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ บางครั้งมีการใช้คำว่า “Takeda” เพื่อความสะดวกในการอ้างอิงถึง “Takeda” และบริษัทในเครือโดยทั่วไป เช่นเดียวกัน คำว่า“ เรา” “พวกเรา” และ“ ของเรา” ถูกใช้เพื่ออ้างถึงบริษัทในเครือโดยทั่วไป หรือผู้ที่ทำงานให้บริษัทเหล่านั้น ข้อความเหล่านี้ยังถูกใช้ในกรณีที่ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวถึงบริษัทหรือบริษัทอื่น ๆ โดยเฉพาะเจาะจง

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้และเนื้อหาใด ๆ ที่แจกจ่ายพร้อมกับข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคต ความเชื่อหรือความเห็นที่เกี่ยวกับธุรกิจในอนาคต สถานะและผลประกอบการในอนาคตของ Takeda รวมถึงการประเมิน การคาดการณ์ เป้า และแผนต่าง ๆ ของ Takeda ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตจะประกอบด้วยคำที่ไม่จำกัดเฉพาะ “เป้า” “แผน” “เชื่อว่า” “หวังว่า” “เดินหน้า” “คาดว่า” “ตั้งเป้า” “ตั้งใจ” “รับรองว่า” “จะ” “อาจจะ” “ควร” “คาดการณ์” “ประเมิน” “ขึ้นอยู่กับ” หรือคำอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือคำในความหมายเชิงลบของคำเหล่านี้ ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตในเอกสารนี้อ้างอิงจากการประเมินและสมมิตฐานของ Takeda ในวันที่เอกสารนี้เผยแพร่เท่านั้น และไม่ได้การันตีถึงการดำเนินการของ Takeda หรือฝ่ายบริหารของบริษัทในอนาคต และมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับทั้งความเสี่ยงที่ทราบและไม่ทราบ ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ สภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ธุรกิจของ Takeda ทั่วโลก รวมถึงสภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ความกดดันด้านการแข่งขันและการพัฒนาต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงตามกฎหมายและข้อกำหนด ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตัดสินใจของหน่วยงานกำกับดูแลและช่วงเวลาของหน่วยงานนั้น ๆ ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน ข้ออ้างหรือข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดแล้วหรือผลิตภัณฑ์ที่เตรียมออกสู่ตลาด ช่วงเวลาและผลกระทบหลังความพยายามในการควบรวมธุรกิจกับบริษัทที่ซื้อกิจการมา และความสามารถในการขายสินทรัพย์ที่ไม่ได้เป็นสินทรัพย์หลักของ Takeda และช่วงเวลาที่มีการขาย ซึ่งอาจส่งผลให้การดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง การดำเนินการ ความสำเร็จ หรือสถานะทางการเงินของ Takeda แตกต่างไปจากที่กล่าวไว้ทั้งทางตรงและทางอ้อมในข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยเหล่านี้และปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง การดำเนินงาน ความสำเร็จหรือสถานะทางการเงินของ Takeda โปรดดูที่หัวข้อ “Item 3. Key Information—D. Risk Factors” ในรายงานประจำปีฉบับล่าสุดของ Takeda ในฟอร์ม 20-F และรายงานอื่น ๆ ของ Takeda ที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ซึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของ Takeda ที่: https://www.takeda.com/investors/reports/sec-filings/ หรือที่ www.sec.gov ผลการดำเนินงาน การดำเนินงาน ความสำเร็จ และสถานะทางการเงินในอนาคตของ Takeda อาจแตกต่างไปจากที่กล่าวถึงทั้งทางตรงและทางอ้อมในข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตนี้ บุคคลที่ได้รับข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่ควรเชื่อข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตใด ๆ มากเกินไป Takeda ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ในการปรับปรุงหรือแก้ไข ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ หรือข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ในอนาคตอื่น ๆ ที่อาจทำขึ้น นอกจากว่าจะกำหนดไว้โดยกฎหมายหรือกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้แสดงถึงผลการดำเนินงานในอนาคต และผลการดำเนินงานของ Takeda ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่อาจเป็นตัวบ่งชี้ถึง และไม่ใช่การประเมิน การคาดการณ์ หรือการคาดคะเนถึงผลการดำเนินงานของ Takeda ในอนาคต

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200302005426/en/

ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ ติดต่อ:
Takashi Okubo 
+81-(0)3-3278-2306
takeda.ir.contact@takeda.com

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อ:
Sandy Rodriguez
หัวหน้าฝ่าย Integration & Divestiture Communications
sandy.rodriguez@takeda.com 

Vince Docherty
หัวหน้าฝ่าย Communications, GEM Business Unit
vince.docherty@takeda.com.

Kazumi Kobayashi (ญี่ปุ่น)
+81 (0)3-3278-2095
kazumi.kobayashi@takeda.com 

Takeda เสร็จสิ้นการขายสินทรัพย์ยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์และสินทรัพย์ย่อยให้แก่ Acino

Logo

โอซาก้า ญี่ปุ่น–(บิสิเนสไวร์)–02 มี.ค. 2563

Takeda Pharmaceutical Company Limited (TSE:4502/NYSE:TAK) (“Takeda”) ประกาศเสร็จสิ้นการขายสินทรัพย์ยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์และยาที่ต้องมีใบสั่งแพทย์ในเขตใกล้ตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาที่อยู่ภายใต้หน่วยธุรกิจการเติบโตและตลาดเกิดใหม่ (GEM BU) ให้กับ Acino ในมูลค่ารวมเกินกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้ประกาศข้อตกลงนี้เมื่อครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2562

การทำธุรกรรมนี้รวมถึงเวชภัณฑ์ที่ต้องมีใบสั่งแพทย์และผลิตภัณฑ์จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ประมาณ 30 รายการ โดยทางTakeda จะยังคงผลิตยาเหล่านี้ในส่วนอื่นๆ ของโลก  พนักงานเกือบ 270 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขายและการตลาดที่สนับสนุนยาเหล่านี้จะย้ายไปทำงานให้กับ Acino  นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้ทำข้อตกลงการผลิตและจัดหานับหลายปีซึ่ง Takeda จะดำเนินการผลิตยาในนามของ Acino ต่อไป

ในช่วงเวลานี้ Takeda ได้ประกาศธุรกรรมหลายรายการเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงและมุ่งเน้นไปที่ห้าธุรกิจที่สำคัญ  นอกเหนือจากการขายสินทรัพย์ให้กับ Acino แล้ว Takeda ได้เสร็จสิ้นการขาย Xiidra® ให้กับ Novartis ในราคาสูงถึง 5.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนกรกฎาคม ขาย TachoSil® ให้กับ Ethicon ในราคา 400 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนพฤษภาคม และขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักในภูมิภาครัสเซียและเครือรัฐเอกราชในเดือนพฤศจิกายน

Takeda ตั้งใจที่จะใช้เงินที่ได้จากการขายเหล่านี้เพื่อลดหนี้และลดความเสี่ยงลงไปยังเป้าหมายหนี้สุทธิ 2x ของ EBITDA ภายในเดือนมีนาคม 2565 ถึงมีนาคม 2567 Takeda ยังคงมุ่งมั่นที่จะลดความเสี่ยงด้วยการมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและลดจำนวนผลิตผลิตภัณฑ์

เกี่ยวกับ Takeda Pharmaceutical Company Limited

Takeda Pharmaceutical Company Limited (TSE:4502/NYSE:TAK) เป็นผู้นำด้านชีวเวชภัณฑ์ญี่ปุ่นระดับโลกที่มุ่งเน้นมูลค่าสูงและการวิจัยและพัฒนายาล้ำสมัยที่มีเป้าหมายในการสร้างสุขภาพและอนาคตที่ดีให้แก่ผู้ป่วยโดยการเปลี่ยนวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นนวัตกรรมเวชภัณฑ์  Takeda เน้นการวิจัยและพัฒนาในสี่ด้าน: มะเร็ง โรคที่หายาก ประสาท และระบบทางเดินอาหาร (GI)  นอกจากนี้เรายังทำการลงทุนในการรักษาด้วยพลาสม่าและวัคซีน  เราเน้นการพัฒนายานวัตกรรมสูงที่พัฒนาชีวิตของผู้คนโดยการนำพาตัวเลือกการรักษาใหม่ๆ และใช้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างช่องทางการผลิตที่แข็งแกร่งและหลากหลาย  พนักงานของเรามุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและทำงานร่วมกับพันธมิตรของเราในประมาณ 80 ประเทศ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดไปที่ https://www.takeda.com

ประกาศสำคัญ

สำหรับประกาศนี้ “ข่าวประชาสัมพันธ์” หมายถึงเอกสารนี้ งานนำเสนอด้วยวาจา ช่วงคำถามและคำตอบใดๆ และวัสดุใดๆ ที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือปากเปล่าที่เผยแพร่โดย Takeda Pharmaceutical Company Limited (“Takeda”) ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ (รวมถึงการบรรยายสรุปด้วยวาจาและคำถามและคำตอบใดๆ ที่เกี่ยวข้อง) ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อและไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอ คำเชิญ หรือการเชิญชวนให้ซื้อ สมัครสมาชิก แลกเปลี่ยน ขาย หรือจำหน่ายหลักทรัพย์หรือการชักชวนให้ลงคะแนนเสียงหรือการอนุมัติใดๆ ในเขตอำนาจศาลใดๆ ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ ไม่มีการเสนอขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ต่อประชาชนและจะไม่มีการเสนอขายหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกายกเว้นตามการลงทะเบียนภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา U.S. Securities Act ปี 1933 ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ (และข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ) มีวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น (และไม่ใช่เพื่อการประเมินการลงทุน การได้มา การจำหน่าย หรือการทำธุรกรรมอื่นๆ ) การไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดเหล่านี้อาจเป็นการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ที่บังคับใช้

บริษัทที่ Takeda ได้ลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นนิติบุคคลแยกต่างหาก  ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้อาจกล่าวถึง “Takeda” เพื่อความสะดวกในการอ้างอิงถึง Takeda และ บริษัทในเครือโดยทั่วไป เช่นเดียวกันคำว่า “เรา” และ “ของเรา” ที่ใช้อ้างถึงบริษัทย่อยโดยทั่วไปหรือผู้ที่ทำงานให้  จะมีการใช้คำเหล่านี้ในกรณีที่ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อบริษัท

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้และวัสดุใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้อาจมีข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ความเชื่อหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับธุรกิจในอนาคต ตำแหน่งในอนาคต และผลการดำเนินงานของ Takeda รวมถึงประมาณการ คาดการณ์ เป้าหมาย และแผนสำหรับ Takeda  ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้ามีคำเช่น "มีเป้าหมาย", "วางแผน" "เชื่อ" "หวัง" "ดำเนินการต่อไป" "คาดหวัง" "วางเป้า" "มุ่งหวัง" "มั่นใจ" "จะ" “อาจ" "ควร " "น่าจะ" "สามารถ" "คาดการณ์ " "ประมาณการ" "ล่วงหน้า” รวมถึงคำพูดเชิงตรงข้าม  ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าในเอกสารนี้เป็นไปตามประมาณการและสมมติฐานของ Takeda เท่านั้น ณ วันที่ที่ระบุไว้ในที่นี้  ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าวไม่ใช่การรับประกันใดๆ โดย Takeda หรือการดำเนินงานในอนาคตและมีความเสี่ยงที่ทราบได้และไม่อาจทราบได้ ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่นๆ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ: สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่แวดล้อมธุรกิจทั่วโลกของ Takeda ในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา แรงกดดันและการพัฒนาเชิงแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงกฎหมายและข้อบังคับ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตัดสินใจของหน่วยงานกำกับดูแลและช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน การเรียกร้องหรือข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่วางตลาด เวลาและผลกระทบหลังการควบรวมกิจการหลังการ และความสามารถในการขายสินทรัพย์ที่ไม่สำคัญต่อการดำเนินงานของ Takeda และระยะเวลาของการถอนการลงทุนใดๆ ซึ่งอาจทำให้ผลการดำเนินงาน ความสำเร็จ หรือฐานะการเงินที่แท้จริงของ Takeda แตกต่างอย่างมากจากผลการดำเนินงาน ความสำเร็จ หรือฐานะทางการเงินที่ได้กล่าววไว้ในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยเหล่านี้และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์การปฏิบัติงาน ความสำเร็จ หรือฐานะการเงินของ Takeda โปรดอ่าน “Item 3. Key Information—D. Risk Factors”  ในรายงานประจำปีล่าสุดของ Takeda ในแบบฟอร์ม 20-F และรายงานอื่นๆ ของ Takeda ที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา โดยอ่านได้ในเว็บไซต์ของ Takeda ที่: https://www.takeda.com/investors/reports/sec-filings/ หรือที่ www.sec.gov ผลลัพธ์ในอนาคต ประสิทธิภาพ ความสำเร็จ หรือฐานะการเงินของ Takeda อาจแตกต่างอย่างมากจากที่แสดงในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า  ผู้ที่ได้รับข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่ควรเชื่อมั่นในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเพียงลำพัง Takeda ไม่มีข้อผูกมัดในการปรับเปลี่ยนแถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ ที่มีอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้หรือแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าอื่นๆ  ยกเว้นตามที่กฎหมายหรือกฎของตลาดหลักทรัพย์กำหนด ประสิทธิผลที่ผ่านมาไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ผลลัพธ์ในอนาคตและผลลัพธ์ของ Takeda ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้อาจไม่บ่งบอกถึงและไม่ใช่การคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคตของ Takeda

อ่านฉบับที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200302005442/en/

สำหรับนักลงทุนสัมพันธ์
Takashi Okubo
takeda.ir.contact@takeda.com  
+81-(0)3-3278-2306

สอบถามข้อมูลสำหรับสื่อ
Sandy Rodriguez
Head, Integration & Divestiture Communications (หัวหน้าฝ่ายสื่อสาร การรวม และการขายกิจการ) sandy.rodriguez@takeda.com

Vince Docherty
Head, Communications, GEM Business Unit  (หัวหน้าฝ่ายสื่อสารธุรกิจ GEM)
vince.docherty@takeda.com

Kazumi Kobayashi (ญี่ปุ่น)
+81 (0)3-3278-2095
kazumi.kobayashi@takeda.com

การรักษาโรคมะเร็งแบบใหม่ถูกพัฒนาขึ้นที่ NTHU

Logo

HSINCHU, ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)– 27 กุมภาพันธ์ 2563

ทีมวิจัยนำโดยดร. Yunching Chen และ Tsai-Te Lu จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติ Tsing Hua หรือ National Tsing Hua University ได้พัฒนาวิธีการรักษาโรคมะเร็งขึ้นมาใหม่ซึ่งเส้นเลือดภายในเนื้องอกมะเร็งนั้นจะถูกปรับค่าให้เป็นปกติโดยการฉีดนาโนโมเดลที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับไนตริกออกไซด์ (NanoNO) ซึ่งอำนวยความสะดวกในการส่งมอบยารักษาโรคมะเร็งและอิมมูโนไซต์เข้าไปในเนื้องอก งานวิจัยที่ก้าวล้ำของพวกเขาได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature Nanotechnology.อันทรงเกียรติ

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคุณสมบัติด้านมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200226005036/en/

Dr. Yunching Chen (left) and Tsai-Te Lu of NTHU have recently developed a new treatment for cancer. (Photo: National Tsing Hua University)

ดร. Yunching Chen (ซ้าย) และ Tsai-Te Lu แห่ง NTHU เพิ่งพัฒนาวิธีการรักษาโรคมะเร็งใหม่ (ภาพ: มหาวิทยาลัยแห่งชาติซิงหัว)

Chen เปรียบครงสร้างของร่างกายมนุษย์เหมือนเป็นเมือง และเปรียบเซลล์มะเร็งให้เป็นแก๊งของนักเลงที่อยู่ในเมือง การปล่อยสาร angiogenesis ชักนำให้หลอดเลือดโดยรอบหาสารอาหารที่ขยายตัวเองเพื่อป้องกันเนื้อร้าย hypoxic ของเซลล์มะเร็ง ในปัจจุบันรูปแบบของการรักษาโรคมะเร็ง เช่น เคมีบำบัดและการใช้กลุ่มยาเป้าหมายส่วนใหญ่จะใช้วิธีการฆ่าเซลล์มะเร็งหรือเส้นเลือดที่มีเนื้องอก แต่ก็ก่อให้เกิดความผิดปกติในการทำงานและโครงสร้างของหลอดเลือด นอกจากนี้เมื่อเซลล์มะเร็งใด ๆ รอดชีวิตมากได้ พวกมันจะดื้อรั้นเพิ่มขึ้น เฉกเช่นเดียวกับ นักเลงที่ยิ่งฮึกเหิม จึงเพิ่มโอกาสของการกำเริบหรือการแพร่กระจาย

สิ่งที่ทำให้การรักษาที่เป็นนวัตกรรมนี้น่าสนใจเป็นพิเศษคือการใช้เส้นเลือดเนื้องอกซึ่งได้รับการมองว่าเป็นสิ่งที่ส่งเสริมเซลล์มะเร็งโดยตรง Chen อธิบายว่าหลังจากที่เส้นเลือดมะเร็งถูกปรับค่าให้ปกติ พวกมันสามารถช่วยเสริมการทำงานของยาต้านมะเร็งและเซลล์ภูมิคุ้มกัน

เป็นช่วงที่กำลังพิจารณาวิธีที่จะรับมือกับเส้นเลือดที่น่ากลัวนี่เอง ที่ Chen ไปพบกับ Lu โดย Lu กล่าวว่าไนตริกออกไซด์สามารถส่งเสริมการขยายตัวของหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ดังนั้นจึงใช้ในการรักษากรณีต่าง ๆ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายและความดันโลหิตสูงในปอด อย่างไรก็ตามเนื่องจากอายุการใช้งานที่สั้นของไนตริกออกไซด์ ส่วนใหญ่จึงถูกใช้ในการรักษาอาการเฉียบพลัน และใช้ไม่ได้ผลสำหรับโรคเรื้อรังอย่างเช่นมะเร็ง

ทีมพัฒนาระบบ nanodelivery ที่ใช้โพลีเมอร์ซึ่งประกอบด้วยกรดแลคติคและกรดไกลโคลิกเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับสารประกอบทางเคมี biomimetic dinitrosyl iron complex (DNIC) ซึ่งปล่อยไนตริกออกไซด์ ดังนั้นจึงขยายเวลาที่โมเลกุลของไนตริกออกไซด์ถูกปลดปล่อยอย่างมีประสิทธิภาพจากระดับนาทีไปสู่ระดับวัน ช่วยให้มันสามารถสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อเนื้องอกและฟื้นฟูเส้นเลือดที่ผิดปกติให้เป็นปกติ เมื่อมาถึงจุดนี้ยาต้านมะเร็งและเซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถเจาะเข้าไปในเนื้องอกทำลายเซลล์มะเร็งในคราวเดียว

Immunotherapy ได้กลายเป็นหัวข้อสำคัญในการวิจัยการรักษามะเร็งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Chen กล่าวว่าทีมของเธอได้ใช้ท่อนาโนไนตริกออกไซด์ร่วมกับภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดเนื้องอกตับในหนูได้สำเร็จ

Lu กล่าวว่า biomimetic DNIC ซึ่งเป็น carrier ตัวใหม่สำหรับไนตริกออกไซด์ สามารถสังเคราะห์ได้ง่ายในสามขั้นตอน และการทำสูตรก็สามารถทำให้เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยการเพิ่มขั้นตอนเพียงหนึ่งขั้นตอน ทำให้เหมาะสำหรับการผลิตเป็นจำนวนมาก ทางทีมได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรในไต้หวันและสหรัฐอเมริกาเพื่อพัฒนา nanocarrier ไนตริกออกไซด์ และพวกเขากำลังตรวจสอบความเป็นไปได้สำหรับความร่วมมือกับโรงพยาบาลในประเทศและบริษัทยาต่างประเทศ

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200226005036/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh

National Tsing Hua University

(886)3-5162006

hoyu@mx.nthu.edu.tw

Aptorum Group เริ่มทำการผลิตเม็ดยา Dioscorea Opposita ที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพและลงนามข้อตกลงจัดจำหน่ายในฮ่องกง

Logo

นิวยอร์ก–(บิสิเนสไวร์)–24 ก.พ. 2563

Aptorum Group Limited (“Aptorum Group”) บริษัท เวชภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาวิธีการรักษาแบบใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ทั่วโลกประกาศการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและอาการที่เกี่ยวข้อง  อาหารเสริมทำขึ้นจากส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพสกัดจากผงฮ่วยซัวจีนที่มี “DOI” ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ใช้ฮอร์โมนของ Aptorum Group เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มและความกังวลเกี่ยวกับโภชนาการของผู้บริโภค  คาดว่าผู้หญิงกว่า 1.2 พันล้านทั่วโลกจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนหรืออยู่วัยหลังหมดประจำเดือนภายในปี 2030ตลาดอาหารเสริมสุขภาพผู้หญิงทั่วโลกสำหรับอาการหมดประจำเดือนคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 ด้วยอัตรา CAGR ที่ 16.4% (2016-2025)ในระยะแรก อาหารเสริมนี้จะวางจำหน่ายในฮ่องกง โดยทางบริษัทกำลังขออนุญาติด้านกฎระเบียบในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเขตอำนาจศาลที่สำคัญอื่นๆ

Aptorum Group ได้ทำสัญญาการจัดจำหน่ายในระดับภูมิภาคผ่านบริษัทในเครือ Nativus Life Sciences Limited ของตนกับ Multipak Limited บริษัทแบรนด์สินค้าในครัวเรือนฮ่องกงที่รวมถึงถุงชา Luk Yu® และสินค้าด้านสุขภาพอื่นๆ

โดยผ่าน Multipak นั้น Aptorum Group จะสามารถเพิ่มการเข้าถึงของผลิตภัณฑ์ไปยังฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ในระดับภูมิภาค  การผลิตเม็ดยา dioscorea opposita ที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพของ Aptorum Group นั้นได้เริ่มต้นขึ้นในแคนาดาและจะวางตลาดภายใต้ชื่อแบรนด์ NativusWellTM ในเร็วๆ นี้

เม็ดยา NativusWellTM ของ Nativus นั้นเป็นอาหารเสริมธรรมชาติที่ไม่ใช่ฮอร์โมนที่มี DOI ผงฮ่วยซัวที่มี DOI นี้ใช้วิธีการที่ไม่ใช้ฮอร์โมนเพื่อเพิ่มสุขภาพทั่วไปของผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน  การศึกษาทางวิทยาศาสตร์จากรายอื่นๆ ระบุว่า DOI ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติส่วนผสมออกฤทธิ์ทางชีวภาพฮ่วยซัวนั้นก่อให้เกิดการสังเคราะห์ estradiol กระตุ้น estradiol และ progesterone และเพิ่มความหนาแน่นเพิ่มขึ้นของกระดูกซึ่งอาจตอบโต้การลุกลามของโรคกระดูกพรุน3 ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยในวัยหมดประจำเดือน4

สำหรับการนำเสนอทั่วไป: http://ir.aptorumgroup.com/static-files/bcf77574-7bd6-4b9d-8110-d53837238f16

สำหรับการนำเสนอทางเทคนิค: http://ir.aptorumgroup.com/static-files/66346f79-7a03-474a-89be-0eaafaa00d9d

เกี่ยวกับ Aptorum Group Limited

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM) เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ที่อุทิศตนเพื่อการพัฒนา และนำเทคโนโลยีการรักษาและวินิจฉัยมาใช้ในเชิงพาณิชย์เพื่อจัดการกับความต้องการด้านการแพทย์  Aptorum Group กำลังดำเนินโครงการด้านการรักษาและวินิจฉัยโรคที่พบได้น้อย โรคติดต่อ โรคทางเมตาบอลิซึม และและโรคอื่นๆ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Aptorum Group กรุณาไปที่ www.aptorumgroup.com

หมายเหตุเกี่ยวกับการคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Aptorum Group Limited และความคาดหวังในอนาคต แผน และโอกาสในอนาคตซึ่งเป็น “แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า” ภายใต้ความหมายของกฎหมาย Private Securities Litigation Reform Act ปี 1995 ข้อความที่มีอยู่ในเอกสารฉบับนี้ซึ่งไม่ใช่แถลงการณ์ของข้อเท็จจริงในอดีตอาจถือเป็นข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ในบางกรณีคุณสามารถระบุข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าโดยใช้คำเช่น“ อาจ” “ควร” “คาดว่า” “มีแผนจะ” “คาดการณ์” “อาจจะทำได้” “ตั้งใจว่า” “มีเป้าหมายว่า” “มีโครงการว่า" "พิจารณาจะ" "เชื่อว่า" "ประเมินว่า" "พยากรณ์" "มีศักยภาพจะ" หรือ "จะดำเนินการต่อ"  หรือคำตรงข้ามของคำเหล่านี้หรือสำนวนอื่นๆ ที่คล้ายกัน  Aptorum Group ได้ใช้แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้โดยส่วนใหญ่มาจากความคาดหวังและการคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์และแนวโน้มในอนาคตซึ่งบริษัท เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน  ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้กล่าวมาเมื่อวันของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้และอยู่ภายใต้ความเสี่ยงความไม่แน่นอนและข้อสันนิษฐาน รวมถึง แต่ไม่จำกัด เพียง ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ประกาศไว้และการเปลี่ยนแปลงองค์กร การให้บริการอย่างต่อเนื่อง  ความสามารถในการขยายการจัดประเภทผลิตภัณฑ์โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมสำหรับกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มเติม กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทที่คาดการณ์ไว้ แนวโน้มและความท้าทายที่คาดการณ์ไว้ในธุรกิจของบริษัท และความคาดหวังเกี่ยวกับเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและความเสี่ยงอย่างเต็มที่อธิบายไว้ในแบบฟอร์ม 20-F ของ Aptorum Group และเอกสารอื่นๆ ที่ Aptorum Group อาจทำกับ SEC ในอนาคต  Aptorum Group ไม่มีข้อผูกมัดในการปรับปรุงแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าที่มีอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้อันเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่นๆ


1 World Health Technical Report Series. Research on the Menopause in the 1990's. Geneva, Switzerland: World Health Organization; 1996

2 https://www.grandviewresearch.com/press-release/global-isoflavones-market

3 https://www.ke.hku.hk/story/innovation/the-magic-of-chinese-yam-for-treatment-of-menopausal-syndrome; ดูเพิ่มเติมที่รายงานทางวิทยาศาสตร์, 5-10179

4 https://www.everydayhealth.com/menopause/osteoporosis-and-menopause.aspx

อ่านฉบับที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200224005232/en/

สำหรับนักลงทุน:
โทร: +852 2117 6611
อีเมล: investor.relations@aptorumgroup.com

สำหรับสื่อ:
โทร: +852 2117 6611
อีเมล: info@aptorumgroup.com

Aptorum Group ประกาศข้อมูลในทิศทางบวกเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ALS-4 โมเลกุลขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นยาและไม่ก่อปัจจัยที่ทําให้เกิดโรคของเชื้อ (Non-bactericidal) สำหรับรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส และเตรียมยื่น IND ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ตามที่ตั้งเป้าไว้

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–10 กุมภาพันธ์ 2563

Aptorum Group Limited (NASDAQ: APM) (“Aptorum Group”) บริษัทผลิตชีวเภสัชภัณฑ์ที่เน้นการพัฒนายารักษาโรคชนิดใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ประกาศพบข้อมูลที่เป็นบวกเพิ่มเติมจากการศึกษาปัจจุบันเกี่ยวกับสารที่อาจนำมาพัฒนาเป็นยา (IND) ของ ALS-4 โมเลกุลขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการเป็นยาสำหรับรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียสแตฟีโลคอกคัส ออเรียส (หรือ “S. aureus”) รวมถึงแบคทีเรียสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสที่ดื้อยาเมธิซิลิน (หรือ MRSA หนึ่งในแบคทีเรียที่ถูกเรียกว่า “ซูเปอร์บั๊ก”) ด้วยวิธีที่ไม่ทำให้เกิดปัจจัยที่ทำให้เกิดเชื้อโรค( anti-virulence) และไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (non-bactericidal) เมื่อการศึกษานี้เสร็จสิ้น Aptorum Group ตั้งเป้าที่จะยื่น IND ของ ALS-4 ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 และเริ่มต้นการทดลองระยะที่ 1 ในอเมริกาเหนือ

ALS-4 เป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ dehydrosqualene desaturase ของแบคทีเรียสแตฟีโลคอกคัส ออเรียส (รวมทั้ง MRSA) และเป็นเอนไซม์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในกระบวนการสังเคราะห์สารชีวโมเลกุลของ staphyloxanthin “รงควัตถุสีเหลืองทอง” ที่มักพบในแบคทีเรีย เชื่อกันว่า Staphyloxanthin เป็นสาเหตุหลักของกลไกป้องกันตัวเองของแบคทีเรียต่อการโจมตีจากอนุมูลอิสระ (ROS) จากโกไซติกเซลล์และเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล1

ด้วยการยับยั้งการผลิต staphyloxanthin เราเชื่อว่า ALS-4 ทำให้การต่อต้านของเชื้อ S. aureus ต่อการป้องกันในระบบภูมิคุ้มกันของโฮสต์ลดลงอย่างมาก (ดูข้อมูลการทดลองในสิ่งมีชีวิตและโครงร่างการทดลองด้านล่าง) กลไกที่แปลกใหม่นี้มีความแตกต่างอย่างมากจากวิธีฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่พบในยาปฏิชีวนะที่วางขายในตลาดปัจจุบัน ที่ใช้ในการรักษา S. aureus ซึ่งกำลังประสบปัญหาการดื้อยาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง2 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การติดเชื้อ MRSA ในมนุษย์ มักมีอัตราป่วยและเสียชีวิตในระดับสูง และอาจทำให้เกิดการแพร่กระจายหรือการติดเชื้อที่มีความซับซ้อน เช่น  การติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจหรือการติดเชื้อในกระแสเลือด พร้อมมีอาการกำเริบของโรคและกลับเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้งหลังจากที่พบว่าแบคทีเรีย S. aureus เข้าสู่เลือดกลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยและมีค่าใช้จ่ายแพงในการรักษา3

จากการทดลองของเรากับหนูทดลองที่รอดชีวิตจากแบคทีเรีย MRSA (USA300-LAC) ในปริมาณที่อาจส่งผลต่อชีวิต (109 CFU) ถูกนำเข้าผ่านทางเส้นเลือดทางหาง ขณะที่ ALS-4 ถูกนำเข้าผ่านทางช่องปากในปริมาณ 10มก./กก. ต่อสัตว์หนึ่งตัว 30 นาทีหลังการติดเชื้อ สองครั้งต่อวันหลังจากนั้น (N=9) กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการรักษาได้รับ sterile vehicle solution (N=9) มีการเฝ้าดูการรอดชีวิตเป็นเวลา 7 วัน พบว่าสัตว์ 0 จาก 9 ตัว (0%) ในกลุ่มมีชีวิตรอดหลังจากวันที่ 4 ในทางตรงข้าม สัตว์ 5 ตัวจากทั้งหมด 9 ตัว (56%) ที่ได้รับการรักษาโดย ALS-4 มีชีวิตรอดหลังจากวันที่ 7 ซึ่งมีนัยสำคัญเชิงสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีการควบคุม (p=0.013)

นอกจากนี้ เรายังได้ทำการศึกษากับหนูทดลองที่ติดเชื้อแบคทีเรีย โดยใช้ยาในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต สัตว์ทดลองได้รับ MRSA (USA300-LAC) ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต (107 CFU) ผ่านทางเส้นเลือดที่หาง เพื่อกระตุ้นให้เกิดสถานการณ์จำลองทางคลินิกที่สมจริงมากขึ้น การรักษาจึงใช้เวลา 14 วันหลังจากได้สัตว์ทดลองมา ซึ่งมีการให้ ALS-4 ผ่านทางช่องปากวันละสองครั้งในปริมาณ 10มก./กก. ต่อสัตว์ (N=8) กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการรักษาได้รับ sterile vehicle solution (N=8) หลังจาก 7 วันที่ได้รับการรักษาโดย ALS-4 มีการเก็บไตเพื่อนำไปตรวจหาค่า titer ของแบคทีเรีย เป็นที่น่าสังเกตว่า ALS-4 ลดปริมาณแบคทีเรียในอวัยวะได้ถึง 99.5% จาก 63,096±18 CFU/กรัม ในกลุ่มควบคุม ถึง 316±49 CFU/กรัม ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย ALS-4 ซึ่งพิจารณาว่ามีนัยสำคัญเชิงสถิติ (p=0.01)

ALS-4 สามารถยับยั้งการผลิต staphyloxanthin ได้สำเร็จใน S. aureus ทั้งหมด 11 สายพันธุ์ ซึ่งเป็น Methicillin-sensitive S. aureus (MSSA) 5 สายพันธุ์ ได้แก่: SH1000, HG003, USA300-JE2, Newman และ ATCC29213 ซึ่งมีค่า IC50 อยู่ที่ 70.5±6nM, 54.4±4nM, 37.7±4nM, 23.7±1nM และ 30.02±5nM ตามลำดับ เป็น Methicillin-resistant S. aureus (MRSA) 5 สายพันธุ์ ได้แก่: USA300, USA300-3, USA300-LAC, ST239III และ COL ซึ่งมีค่า IC50 อยู่ที่ 30.8±5nM, 42.8±6nM, 43.6±5nM, 16.3±8nM และ 0.9±1nM ตามลำดับ และเป็น vancomycin-intermediate S. aureus (VISA) 1 สายพันธุ์ ได้แก่ Mu3 ซึ่งมีค่า IC50 อยู่ที่ 2.6±1nM

จากการทดลองของเรา เราเชื่อว่า ALS-4 สามารถเพิ่มภูมิไวรับ (susceptibility) ของ S. aureus รวมถึง MRSA ต่อความเสียหายที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันด้วยการยับยั้งการผลิต staphyloxanthin ในการทดสอบการยับยั้งไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ หลังจากที่มีการเติม 1.5% H2O2 แล้ว ALS-4 แสดงให้เห็นว่าสามารถลดค่า CFU ของแบคทีเรียได้มากขึ้นที่ 93.5% จาก 61,600±6437 CFU/มล. ในกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษา เป็น 4,000±230 CFU/มล. ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย ALS-4 ซึ่งพิจารณาว่ามีนัยสำคัญเชิงสถิติ (p=0.003)

จากการศึกษาเพื่อสืบหาความสามารถของ ALS-4 ในการทำให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะในเชื้อ S. aureus หลังจากที่ได้รับเป็นเวลานาน USA300-LAC ถูกเพาะเลี้ยงขึ้นในห้องทดลองที่มีสภาพแตกต่างกัน 3 ห้องเป็นเวลา 10 วัน สำหรับกลุ่มที่ได้รับการรักษา มีการเพิ่ม ALS-4 ไป 1 ไมโครเมตร สำหรับกลุ่มควบคุมที่ให้ผลเชิงบวก มีการให้คลินดามัยซินในปริมาณ 0.12 ไมโครกรัม/มล. และอิริโทรมัยซินในปริมาณ 16 ไมโครกรัม/มล. ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 4 หลังจากนั้นได้มีการถอนคลินดามัยซินออกไป สำหรับกลุ่มควบคุมที่ให้ผลเชิงลบ ได้มีการเพิ่มไดเมทิลซัลโฟไซด์ (DMSO) เข้าไป ในวันที่ 11 มีการเก็บแบคทีเรียและนำไปเพาะเป็นเวลา 16 ชั่วโมง เพื่อหาค่า MIC ของคลินดามัยซินการได้รับ ALS-4 หรือ DMSO เป็นเวลานานไม่ส่งผลต่อค่า MIC ของคลินดามัยซิน (0.12 ไมโครกรัม/มล.) ขณะที่การได้รับคลินดามัยซินบวกกับอิริโทรมัยซินเป็นเวลานานกระตุ้นให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะเร็วขึ้น โดยค่า MIC เพิ่มขึ้นจาก 0.12 ไมโครกรัม/มล. เป็นสูงกว่า 5 ไมโครกรัม/มล.

จากการศึกษาของเรา เราเชื่อว่า ALS-4 ไม่มีแนวโน้มที่จะดื้อยาเนื่องจากไม่มีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย มีการศึกษาเกี่ยวกับการยับยั้งการเจริญของเชื้อ S. aureus สายพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงแบคทีเรียชนิดอื่น รวมถึง MSSA 3 สายพันธุ์ (ATCC29212, SH1000 และ HG003) MRSA 1 สายพันธุ์ (USA300) VISA (ATCC700698 Mu3) 1 สายพันธุ์ รวมถึงแบคทีเรีย 6 ชนิด (E. coli, A. baumannii, S. cerevisiae, B. subtilis, E. faecalis และ K. pneumoniae) แบคทีเรียทุกสายพันธุ์ที่นำมาทดสอบ พบว่าไม่มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตเมื่อทดสอบด้วย ALS-4 ที่มีความเข้มข้นสูงสุด (250uM) ดังนั้นจึงไม่ปรากฏว่า ALS-4 มีฤทธิ์โดยตรงในการยับยั้งการเจริญเติบโตหรือฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยในหลายชนิด จึงลดการคัดเลือกจากแรงกดดัน (selection pressure) สำหรับการดื้อยาที่ยังไม่ปรากฏได้อย่างมาก

เรายังได้ประเมินผลกระทบที่เป็นไปได้ต่อประสิทธิภาพของแวนโคมัยซิน ซึ่งเป็นยารักษาหลักสำหรับการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย MRSA เมื่อใช้ร่วมกับ ALS-4. โดยมีการใช้ S. aureus ทั้งหมด 8 สายพันธุ์ (USA300 FPR3757, USA300-3, USA300-LAC, USA300-JE2, Mu3, HG003, ATCC29213 และ clinical isolate ST239III) ในการศึกษานี้ ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าไม่พบผลกระทบต่อ MIC ของแวนโคมัยซินเมื่อความเข้มข้นของ ALS-4 ต่ำกว่า 25 ไมโครเมตร ดังนั้น เราเชื่อว่า ALS-4 จะไม่ส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของแวนโคมัยซิน

นอกจากนั้น เมื่อเทียบกับยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อจาก S. aureus ในปัจจุบัน เช่น แวนโคมัยซิน หรือ เดปโตมัยซิน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะให้ยาโดยการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ (ยกเว้นการให้ยาแวนโคมัยซินผ่านทางช่องปากสำหรับการรักษาอาการท้องเสียที่เกิดจากการตืดเชื้อคลอสตริเดียมดิฟฟิไซล์และโรคลำไส้อักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น) ยาที่ออกฤทธิ์ในช่องปากจะช่วยให้สามารถเข้าถึงตลาดได้กว้างขึ้น โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ป่วยนอกและตลาดผลิตภัณฑ์ป้องกันโรค

ข้อมูลความเป็นพิษ GLP

ปัจจุบัน ALS-4 อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อนำมาพัฒนาเป็นยา (IND) และที่ผ่านมาให้ผลด้านความปลอดภัยในเชิงบวก ตามที่ได้อธิบายในเอกสารประชาสัมพันธ์ที่เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562 ALS-4 ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการกลายพันธุ์ในการทดสอบเอมส์ในหลอดทดลองก่อนหน้านี้ ผลการทดสอบไมโครนิวเคลียในหลอดทดลองขณะนี้แสดงให้เห็นว่า ALS-4 ไม่เป็นพิษต่อหน่วยพันธุกรรม ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่กลายพันธุ์ของยา นอกจากนี้ ผลจากการศึกษาที่ได้จากทดสอบ hERG ในหลอดทดลอง คาดว่า ALS-4 มีความเสี่ยงต่ำที่จะทำให้เกิดอาการที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจมีระยะคิวทียาว (QT prolongation)

สำหรับการนำเสนอแบบทั่วไป โปรดชมที่: http://ir.aptorumgroup.com/static-files/bcf77574-7bd6-4b9d-8110-d53837238f16

สำหรับการนำเสนอทางเทคนิค โปรดชมที่: http://ir.aptorumgroup.com/static-files/66346f79-7a03-474a-89be-0eaafaa00d9d

เกี่ยวกับ Aptorum Group Limited

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM) คือบริษัทเวชภัณฑ์ที่อุทิศตนในการพัฒนาและทำธุรกิจการรักษาโรคแบบใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์และไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก Aptorum Group ยังเดินหน้าคิดค้นโปรแกรมการรักษาโรคต่าง ๆ เช่นโรคประสาท โรคติดเชื้อ โรคเกี่ยวกับทางเกินอาหาร โรคเนื้องอก และโรคอื่น ๆ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Aptorum Group โปรดดูที่ www.aptorumgroup.com.

คำจำกัดสิทธิ์ความรับผิดชอบและข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Aptorum Group Limited และความคาดหวังในอนาคต แผน และโอกาสในอนาคตซึ่งเป็น “แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า” ภายใต้ความหมายของพระราชบัญญัติปฏิรูปกฎหมายฟ้องร้องหลักทรัพย์เอกชนปี พ.ศ. 2538 ข้อความที่มีอยู่ในเอกสารฉบับนี้ซึ่งไม่ใช่แถลงการณ์ของข้อเท็จจริงในอดีตอาจถือเป็นข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ในบางกรณีคุณสามารถระบุข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าโดยใช้คำเช่น“ อาจ” “ควร” “คาดว่า” “มีแผนจะ” “คาดการณ์” “อาจจะทำได้” “ตั้งใจว่า” “มีเป้าหมายว่า” “มีโครงการว่า" "พิจารณาจะ" "เชื่อว่า" "ประเมินว่า" "พยากรณ์" "มีศักยภาพจะ" หรือ "จะดำเนินการต่อ"  หรือคำตรงข้ามของคำเหล่านี้หรือสำนวนอื่น ๆ ที่คล้ายกัน กลุ่ม Aptorum ได้ใช้แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้โดยส่วนใหญ่มาจากความคาดหวังและการคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์และแนวโน้มในอนาคตซึ่งบริษัท เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้พูดเฉพาะวันที่ของเอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้และอยู่ภายใต้ความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และข้อสันนิษฐาน รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ประกาศไว้และการเปลี่ยนแปลงองค์กร การให้บริการอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการขยายการจัดประเภทผลิตภัณฑ์โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมสำหรับกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มเติม กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทที่คาดการณ์ไว้ แนวโน้มและความท้าทายที่คาดการณ์ไว้ในธุรกิจของบริษัท และความคาดหวังเกี่ยวกับเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและความเสี่ยงอย่างเต็มที่อธิบายไว้ในแบบฟอร์ม 20-F ของกลุ่ม Aptorum และเอกสารอื่น ๆ ที่กลุ่ม Aptorum อาจทำกับ กลต. ในอนาคต ซึ่งเป็นผลให้การคาดคะเนต่าง ๆ ในข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง กลุ่ม Aptorum ไม่มีข้อผูกมัดในการปรับปรุงแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าที่มีอยู่ในเอกสารประชาสัมพันธ์นี้อันเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่น ๆ


1 mBio 2017 8(5): e01224-17
2 Microbiol Spectr. 2019 Mar;7(2)
3 Clin Infect Dis. 2019 Nov 27;69(12):2112-2118

ติดต่อ:

นักลงทุน:
โทร: +852 2117 6611
อีเมล: investor.relations@aptorumgroup.com

สื่อ:
โทร: + 852 2117 6611
อีเมล: info@aptorumgroup.com

Aptorum Group ประกาศความก้าวหน้าครั้งสำคัญของการนำ SACT-1 ที่มีศักยภาพเป็นตัวยามารักษานิวโรบลาสโตมา ตั้งเป้ายื่น IND ช่วงครึ่งหลังของปี 2563

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–10 กุมภาพันธ์ 2563

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM) (“Aptorum Group”) บริษัทผลิตชีวเภสัชภัณฑ์ที่เน้นการพัฒนายารักษาโรคชนิดใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ประกาศถึงข้อมูลและการพัฒนาในทิศทางบวกเกี่ยวกับการนำสารที่มีศักยภาพเป็นตัวยา (drug candidate) อย่าง SACT-1 มาใช้ในการรักษานิวโรบลาสโตมา มะเร็งชนิดที่พบได้ยากซึ่งมักเกิดในเด็กทารกและเด็กเล็ก เมื่อการศึกษาเพื่อทดสอบความใช้ได้นี้เสร็จสิ้น Aptorum Group วางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากคำขอขึ้นทะเบียนตำรับยาตามมาตร 505(b)(2) และยื่นขอ IND กับองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับ SACT-1 ในครึ่งหลังของปี 25631

SACT-1 เป็นสารที่มีศักยภาพทางตัวยาที่ถูกนำมาใช้กับการรักษาโรคอื่นตัวแรกที่จะถูกพัฒนาภายใต้แพลตฟอร์มการค้นคว้ายา Smart-ACTTM ซึ่งใช้วิธีที่มีระบบเป็นขั้นเป็นตอนในการระบุและนำยาที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในปัจจุบันมาพัฒนาเพื่อใช้กับโรคหายาก2 ที่มีมากกว่า 7000 โรค (และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง)

Aptorum Group มีความตั้งใจใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวเร่งและเป็นทางลัดในการนำสารที่มีศักยภาพทางตัวยามาใช้กับการรักษาโรคอื่น ซึ่งมีการจัดทำข้อมูลความปลอดภัยและความเป็นพิษต่อมนุษย์ไว้อยู่แล้ว ผ่านการพัฒนาและขั้นตอนทางคลิกนิกเพื่อระบุตลาดโรคหายากที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว Aptorum Group ตั้งเป้าที่จะคัดกรองโรคหายากในกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัด โรคมะเร็ง โรคภูมิต้านตนเอง และโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก

ผ่านแพลตฟอร์ม Smart-ACTTM Aptorum ประสบความสำเร็จในการค้นพบประสิทธิภาพที่มีศักยภาพของ SACT-1  และพัฒนาสารชนิดนี้เพื่อนำไปรักษานิวโรบลาสโตมา ซึ่งเป็นการรักษาด้านใหม่ที่แตกต่างจากข้อบ่งชี้ที่ได้รับการอนุมัติอย่างสิ้นเชิง ในการศึกษาของเราเมื่อไม่นานมานี้ พบว่า SACT-1 มีประสิทธิภาพต่อเซลล์ไลน์ของนิวโรบลาสโตมาหลายเซลล์ โดยมี 2 เซลล์ที่เป็นเซลล์แบบ MYCN-amplified ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงสูงในกลุ่มผู้ป่วยนิวโรบลาสโตมา นอกจากนี้ จากการใช้ดัชนีหลายแบบเป็นตัวชี้วัดเชิงปริมาณระดับของการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา Aptorum Group พบความเข้ากันได้และประสิทธิภาพระหว่าง SACT-1 กับยาเคมีบำบัดที่ใช้ในการรักษาทั่วไปในหลอดทดลองในระดับสูง ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มประสิทธิภาพศักยภาพ/การลดปริมาณของยาเคมีบำบัด นอกจากนี้ ในการศึกษาล่าสุดของเรายังพบว่าค่าขนาดยาสูงสุดที่สามารถทนได้ (MTD) ของ SACT-1 ในสัตว์ทดลองวัดได้สูงกว่า 400มก./กก. เมื่อเทียบกับค่า MTD ของการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแบบมาตรฐาน เช่น แพคลิแทกเซล (20-30มก./กก.)3 และซิสพลาติน (6มก./กก.) 4 พบว่าความปลอดภัยของ SACT-1 ให้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก

การนำสูตร SACT-1 มาพัฒนาใหม่เป็นสูตรสำหรับเด็ก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยนิวโรบลาสโตมาโดยเฉพาะที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีได้ดียิ่งขึ้น จากการสังเกตการณ์ข้อมูลที่มีอยู่ก่อนหน้านี้จากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอนุมัติ5 ซึ่งเป็นการสังเกตการณ์ภายใน พบว่า SACT-1 มีความปลอดภัย เมื่อใช้ในปริมาณ 150มก./วัน อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 0% ในการศึกษาทางคลินิกก่อนหน้านี้) โดยไม่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวกับขนาดยาแต่อย่างใด

เกี่ยวกับนิวโรบลาสโตมา (neuroblastoma)

นิวโรบลาสโตมาเป็นโรคมะเร็งชนิดที่พบได้ยากและได้รับการจัดให้เป็นโรคหายาก โรคนี้จะก่อตัวในเนื้อเยื่อประสาทบางประเภทและส่วนใหญ่พบในต่อมหมวกไต รวมถึงกระดูกสันหลัง หน้าอก ช่องท้องหรือคอ และพบบ่อยในเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีลงไป สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีจำนวนเกือบ 20%6 ของประชากรผู้ป่วยใหม่รวมต่อปี อัตราการรอดชีวิตในระยะ 5 ปีของโรคนี้อยู่ที่ประมาณ 40-50% ตามที่สังเกตการณ์โดยสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา7 ปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายสำหรับยารักษาที่สูงสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงอยู่ที่เฉลี่ย 200,000 ดอลลาร์ต่อการให้ยาแต่ละครั้ง (ทั้งหมด 6 ครั้ง)8 นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นเด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถทนต่อการรักษาหรือรอดชีวิตในระยะการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดที่เกี่ยวข้อง อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามการศึกษาทางคลีนิกในอนาคต ซึ่งข้อมูลนี้อาจเปลี่ยนให้เป็นในทิศทางบวกได้ด้วย SACT-1 เนื่องจากมีการเสริมฤทธิ์กันอย่างมีศักยภาพเมื่อใช้กับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแบบมาตรฐานตามที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น

สำหรับการนำเสนอแบบทั่วไป โปรดดูที่: http://ir.aptorumgroup.com/static-files/bcf77574-7bd6-4b9d-8110-d53837238f16

สำหรับการนำเสนอทางเทคนิค โปรดดูที่: http://ir.aptorumgroup.com/static-files/66346f79-7a03-474a-89be-0eaafaa00d9d

เกี่ยวกับ Aptorum Group Limited

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM) คือบริษัทเวชภัณฑ์ที่อุทิศตนในการพัฒนาและทำธุรกิจการรักษาโรคแบบใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์และไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก Aptorum Group ยังเดินหน้าคิดค้นโปรแกรมการรักษาโรคต่าง ๆ เช่นโรคประสาท โรคติดเชื้อ โรคเกี่ยวกับทางเกินอาหาร โรคเนื้องอก และโรคอื่น ๆ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Aptorum Group โปรดดูที่ www.aptorumgroup.com.

เกี่ยวกับ Smart Pharma Group

Smart Pharma Group เป็นบริษัทในครอบครองของ Aptorum Group Limited เน้นการนำยารักษาโรคที่ผ่านการรับรองมาใช้ใหม่อย่างเป็นระบบเพื่อการรักษาโรคหายากต่าง ๆ Smart Pharma Group ทำการสกรีนและคิดค้นวินิจฉัยผ่านระบบคอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนาตัวยาให้มีความทันสมัย

คำจำกัดสิทธิ์ความรับผิดชอบและข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Aptorum Group Limited และความคาดหวังในอนาคต แผน และโอกาสในอนาคตซึ่งเป็น “แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า” ภายใต้ความหมายของพระราชบัญญัติปฏิรูปกฎหมายฟ้องร้องหลักทรัพย์เอกชนปี พ.ศ. 2538 ข้อความที่มีอยู่ในเอกสารฉบับนี้ซึ่งไม่ใช่แถลงการณ์ของข้อเท็จจริงในอดีตอาจถือเป็นข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ในบางกรณีคุณสามารถระบุข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าโดยใช้คำเช่น“ อาจ” “ควร” “คาดว่า” “มีแผนจะ” “คาดการณ์” “อาจจะทำได้” “ตั้งใจว่า” “มีเป้าหมายว่า” “มีโครงการว่า" "พิจารณาจะ" "เชื่อว่า" "ประเมินว่า" "พยากรณ์" "มีศักยภาพจะ" หรือ "จะดำเนินการต่อ"  หรือคำตรงข้ามของคำเหล่านี้หรือสำนวนอื่น ๆ ที่คล้ายกัน กลุ่ม Aptorum ได้ใช้แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้โดยส่วนใหญ่มาจากความคาดหวังและการคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์และแนวโน้มในอนาคตซึ่งบริษัท เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้พูดเฉพาะวันที่ของเอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้และอยู่ภายใต้ความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และข้อสันนิษฐาน รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ประกาศไว้และการเปลี่ยนแปลงองค์กร การให้บริการอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการขยายการจัดประเภทผลิตภัณฑ์โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมสำหรับกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มเติม กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทที่คาดการณ์ไว้ แนวโน้มและความท้าทายที่คาดการณ์ไว้ในธุรกิจของบริษัท และความคาดหวังเกี่ยวกับเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและความเสี่ยงอย่างเต็มที่อธิบายไว้ในแบบฟอร์ม 20-F ของกลุ่ม Aptorum และเอกสารอื่น ๆ ที่กลุ่ม Aptorum อาจทำกับ กลต. ในอนาคต ซึ่งเป็นผลให้การคาดคะเนต่าง ๆ ในข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง กลุ่ม Aptorum ไม่มีข้อผูกมัดในการปรับปรุงแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าที่มีอยู่ในเอกสารประชาสัมพันธ์นี้อันเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่น ๆ


1 หาก FDA ยอมรับให้ใช้คำขอขึ้นทะเบียนตำรับยาตามมาตร 505(b)(2) เป็นช่องทางสำหรับการอนุมัติ SACT-1 บริษัทจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลทางคลินิกและข้อมูลที่ไม่ใช้ข้อมูลทางคลินิกที่มีอยู่ปัจจุบันควบคู่กับการศึกษาที่ทำโดยผู้ให้การสนับสนุน เพื่อเร่งการพัฒนาและการอนุมัติของ SACT-1
2 ดู https://rarediseases.info.nih.gov/diseases/pages/31/faqs-about-rare-diseases
3 Clin Cancer Res. 5(11):3632-8.
4 BMC Cancer 17: 684 (2017).
5 ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของ FDA และแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี ขอขึ้นทะเบียนตำรับยาตามมาตร 505(b)(2) อาจขึ้นอยู่กับข้อมูลปัจจุบันจากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอนุมัติแล้ว (เช่น การค้นพบของ FDA ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพ) หรือผลิตภัณฑ์ในวรรณกรรม (เช่น ข้อมูลที่มีอยู่) อย่างไรก็ตาม ตามที่มีการกล่าวโดยทั่วไป การยื่นขอขึ้นทะเบียนจำเป็นต้องมีการดำเนินการศึกษาเชื่อมโยงในระยะที่ 1 เพื่อเปรียบเทียบกับยาต้นแบบและอ้างอิงข้อมูลความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่กำหนด
6 Annu Rev Med. 2015; 66: 49–63.
7www.cancer.org/cancer/neuroblastoma/detection-diagnosis-staging/survival-rates.html
www.cadth.ca/sites/default/files/pcodr/Reviews2019/10154DinutuximabNeuroblastoma_fnEGR_NOREDACT-ABBREV_Post_26Mar2019_final.pdf

ติดต่อนักลงทุน:
โทร: +852 2117 6611
อีเมล: investor.relations@aptorumgroup.com 

สื่อ:
โทร: + 852 2117 6611
อีเมล: info@aptorumgroup.com

Jabil เปิดตัว Jabil Healthcare ผู้ให้บริการการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุด

Logo

Jabil ร่วมกับ Nypro ในด้านเครื่องมือศัลยกรรมกระดูก กระดูกสันหลัง การบาดเจ็บ และเครื่องมือทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องเพื่อมอบบริการการผลิตขั้นสูงเพื่อการใช้งานที่กว้างขวางและความสามารถด้านเทคนิคที่เป็นนวัตกรรม

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัฐฟลอริดา–(บิสิเนสไวร์)–03 ก.พ. 2563

Jabil Inc. (NYSE: JBL) วันนี้ประกาศควบรวมกิจการด้านการแพทย์ของตนทั้งหมดภายใต้ Jabil Healthcare นำโดย Steve Borges, CEO และ EVP.  Jabil Healthcare ได้รวม Nypro เข้ากับกิจการเครื่องมือศัลยกรรมกระดูก กระดูกสันหลัง การบาดเจ็บ และเครื่องมือทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องของตน  ด้วยสาขากว่า 35 แห่งทั่วโลกและพนักงานเกือบ 20,000 คนที่ให้บริการแบรนด์สุขภาพชั้นนำ  การรวมตัวที่ทรงพลังนี้ทำให้ Jabil กลายเป็นผู้ให้บริการการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุด

Jabil Healthcare ให้บริการห้าภาคสำคัญในตลาดการดูแลสุขภาพ: อุปกรณ์การแพทย์ ศัลยกรรมกระดูก การวินิจฉัย ระบบการจัดส่งยา และการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค  ในแต่ละเวที ความต้องการดูแลที่เน้นมูลค่าเป็นแรงผลักดันให้เกิดวิวัฒนาการของผลิตภัณฑ์และการบริการสุขภาพและผลักดันให้มีนวัตกรรมสุขภาพดิจิทัล  ประเด็นสำคัญได้แก่ Internet of Things (IoT) และนวัตกรรมแพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่เปิดใช้งานโดยการเชื่อมต่อ เซ็นเซอร์ และการย่อขนาด

“การรวมพลังของทีม Jabil และ Nypro ทำให้เราอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครในการเร่งวิวัฒนาการเทคโนโลยีและเพิ่มคุณค่าที่เรามอบให้กับลูกค้า ผู้ป่วยของเขา และอุตสาหกรรมสุขภาพ” Borges กล่าว “ด้วยการเพิ่มขึ้นของบริการสุขภาพดิจิทัลและการผลิตเพิ่มเติม จึงเป็นเวลาเหมาะสมที่จะรวมความสามารถที่หลากหลายและความเชี่ยวชาญของเราภายใต้แบรนด์ที่แข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียว”

Jabil Healthcare ได้รวบรวมความรู้ด้านอุตสาหกรรมทางการแพทย์กับประสบการณ์ด้านการฉีดพลาสติก อิเล็กทรอนิกส์ การรวมเซ็นเซอร์ และการผลิตเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้แบรนด์ด้านการดูแลสุขภาพได้พัฒนาและขยายความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  ขีดความสามารถแบบบูรณาการทั่ว Jabil ถูกนำมาใช้กับฐานลูกค้าด้านการดูแลสุขภาพนับตั้งแต่สตาร์ทอัพใหม่ไปจนถึงวิสาหกิจระดับโลก

การสนับสนุนของบริษัทเทคโนโลยีสตรี Elvie เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่าง “เราอยู่ในพื้นที่สุขภาพที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นพื้นที่ใหม่  เราต้องการความเชี่ยวชาญในทุกด้าน ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ ไปจนถึงซอฟต์แวร์” Tania Boler ซีอีโอของ Elvie กล่าวในกรณีศึกษาของ Jabil Healthcare ที่เผยแพร่ในวันนี้ “ในการเลือกหุ้นส่วนการผลิตที่ดีที่สุด เราพบว่า Jabil เป็นทางเลือกที่ชัดเจนเพราะประสบการณ์มากมายจากเครือพันธมิตรในประเภทผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย”

“ด้วยความเชี่ยวชาญกว่า 50 ปี Jabil Healthcare บูรณาการส่วนประกอบและระบบย่อยในอุปกรณ์เวชภัณฑ์ ศัลยกรรมกระดูก การวินิจฉัย การแพทย์ และการดูแลสุขภาพผู้บริโภค” Borges กล่าว “ในฐานะกลุ่มทีมที่มีภารกิจที่ชัดเจน เราอยู่ในตำแหน่งที่ทรงพลังในการช่วยลูกค้าของเราให้เสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพและนวัตกรรมสูงที่เพิ่มพูนผลลัพธ์พี่ดีแก่ผู้ป่วย”

เกี่ยวกับ Jabil

Jabil (NYSE: JBL) เป็นผู้ให้บริการการผลิตที่มอบการออกแบบ การผลิต ห่วงโซ่อุปทาน และบริการการจัดการ  ด้วยพลังของผู้คนกว่า 200,000 คนใน 100 สาขาทั่วโลก Jabil ช่วยลดความซับซ้อนและมอบความคุ้มค่าในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย จึงก่อให้เกิดนวัตกรรม การเติบโต และความสำเร็จสำหรับลูกค้า  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม jabil.com

อ่านฉบับที่มาใน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200203005387/en/

ติดต่อ:

อเมริกาเหนือ:
Erin Vadala
Warner Communications 
978-468-3076
erin@warnerpr.com  

ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา:
Kirsten Oosterhof
+44 (0) 1506 447215
Kirsten_Oosterhof@Jabil.com

ผลการวิจัยจาก Macrogen เกี่ยวกับ ‘GenomeAsia 100K’ ครอบคลุมข้อมูลในธรรมชาติ

Logo

  • จำนวนภูมิภาคและเผ่าพันธุ์มากที่สุดในแผงอ้างอิงของเอเชีย
  • การระบุความหลากหลายของจีโนมภายในกลุ่มชาติพันธุ์เอเชียและความแตกต่างในการตอบสนองยา

โซล เกาหลีใต้–(บิสิเนสไวร์)–05 ธ.ค. 2562

บริษัทการแพทย์แบบเฉพาะเจาะจงและเทคโนโลยีชีวภาพ Macrogen (ประธาน Jung-Sun Seo, www.macrogen.com) (KOSDAQ: 038290) ประกาศเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ว่าผลการวิเคราะห์จีโนมในเอเชียซึ่งดำเนินการผ่านสมาคมนานาชาติ GenomeAsia 100K Initiative ได้รับการกล่าวถึงในนิตยสาร Nature หน้าแรก (บทความชื่อ The GenomeAsia 100K Project enables genetic discoveries across Asia)

GenomeAsia 100K Initiative เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหาผลกำไรและได้จัดทำโครงการวิจัยจำนวนมากเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจีโนมของชาวเอเชีย 100,000 คนตั้งแต่ปี 2559  องค์กรที่เข้าร่วม ได้แก่ Macrogen (เกาหลี) และ Precision Medicine Center ของ Seoul National University Bundang Hospital (SNUBH) (เกาหลี), Nanyang Technological University (NTU) (สิงคโปร์), MedGenome บริษัทวิเคราะห์จีโนม (อินเดีย) และ Genentech บริษัทย่อยของ Roche Group (สหรัฐอเมริกา) ศาสตราจารย์ Jeong-Sun Seo ประธาน Macrogen และศาสตราจารย์พิเศษแห่ง SNUBH และศาสตราจารย์ Stephan Schuster จาก NTU ได้ร่วมกันนำทีมวิจัยเป็นผู้สอบสวนหลักร่วมกัน

การวิเคราะห์จีโนมในเอเชียดำเนินการโดยโครงการ GenomeAsia 100K Initiative ซึ่งครอบคลุมกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมด 219 กลุ่มจาก 64 ประเทศ สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากจากเอกสารอ้างอิงทั้งหมดรวมข้อมูลของภูมิภาคและเผ่าพันธุ์ในเอเชียจำนวนมากที่สุด ซึ่งหมายความว่านักวิจัยจะสามารถสร้างและใช้แผงอ้างอิงเอเชียแทนแผงอ้างอิงเดิมของยุโรปในการวิจัยสำหรับโรคเฉพาะในเอเชีย  ดังนั้นคาดว่าจะมีการพัฒนายารักษาโรคเฉพาะทางในเอเชียมากมาย

ทีมวิจัยดำเนินการหาลำดับจีโนมสำหรับบุคคลทั้งหมด 1,739 คนรวมถึง 598 คนจากอินเดีย 156 คนจากมาเลเซีย 152 คนจากเกาหลี 113 คนจากปากีสถาน 100 คนจากมองโกเลีย 70 คนจากจีน 70 คนจากปาปัวนิวกินี 68 คนจากอินโดนีเซีย 52 คนจาก 52 คน ฟิลิปปินส์ 35 จากญี่ปุ่นและ 32 จากรัสเซีย

การศึกษาพบว่าความหลากหลายทางพันธุกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ประมาณ 142 คนที่อาศัยอยู่ในเอเชียนั้นสูงกว่าที่เคยพบในการศึกษาก่อนหน้านี้ การศึกษาครั้งนี้พบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ในเอเชียมีความแตกต่างกันในแง่ของการตอบสนองต่อยาสำคัญ  ตัวอย่างเช่น ในขณะที่ผู้ป่วยบางรายตอบสนองต่อยาต้านการแข็งตัวของเลือด Warfarin ซึ่งปกติให้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยบางรายที่มีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมบางอย่างอาจพบอาการไม่พึงประสงค์จากยา  การวิจัยพบว่าความไวต่อ Warfarin มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในบุคคลจากเกาหลี จีน ญี่ปุ่น และมองโกเลีย เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ของเชื้อสายเอเชียเหนือ

องค์กรได้รวบรวมข้อมูลจีโนมจากชนเผ่ามองโกเลียตอนเหนือไปยังเผ่าบนเกาะเล็กๆ ในอินโดนีเซียและใช้ข้อมูลนี้เพื่อวิเคราะห์ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์เอเชียที่ประสบความสำเร็จและสร้างข้อมูลจีโนม  ผลลัพธ์ของโครงการมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานสำหรับการวินิจฉัยและการบำบัดที่ไม่เพียง แต่เฉพาะกับชาวเอเชียเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงชาติพันธุ์โลกที่ได้รับการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมของเอเชีย

Macrogen วางแผนที่จะใช้ฐานข้อมูลที่ได้มาจากโครงการเพื่อพัฒนาบริการทดสอบทางพันธุกรรมของผู้บริโภคโดยตรง  บริการนี้จะสะท้อนถึงลักษณะทางเชื้อชาติที่แตกต่างกันและจัดหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั่วโลกผ่านบริษัทและสาขาในเครือของ Macrogen

'Global Clinical Genome Supermarket (GCGS)' ใหม่จะได้รับการพัฒนาเป็นบริการที่มีไว้สำหรับการใช้งานเป็นหลักโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์  GCGS จะให้บริการการวินิจฉัยที่แตกต่างกันโดยเฉพาะสำหรับแต่ละมณฑลและเชื้อชาติและจะรวมถึงการวินิจฉัยทางคลินิกและการรักษาที่เหมาะกับชาวเอเชีย  Macrogen มุ่งมั่นที่จะกำหนดเป้าหมายตลาดการวินิจฉัยทางคลินิกทั่วโลกอย่างจริงจัง

ประธานของ Macrogen และศาสตราจารย์ Jeong-Sun Seo แห่ง SNUBH ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบชั้นนำสำหรับการวิจัยกล่าวว่า “ยิ่งมีจีโนมในเอเชียมาก เราก็ยิ่งสามารถวิเคราะห์ได้ว่าชาวเอเชียมีความเสี่ยงโรคใดสูงกว่าและจะตอบสนองต่อยาชนิดใด เราวางแผนที่จะทำข้อมูลจีโนมขนาดใหญ่ในเอเชียให้สำเร็จสำหรับ 100,000 คน โดยกระตุ้นการวิจัยในและนอกเกาหลีเกี่ยวกับโรคและยาในเอเชีย  เราจะเป็นผู้นำในการวางรากฐานสำหรับการแพทย์แบบเฉพาะเจาะจงที่เหมาะกับชาวเอเชีย”

ศาสตราจารย์ NTU Stephan C. Schuster ประธานกลุ่มวิทยาศาสตร์และผู้นำร่วมการศึกษาอธิบายถึงความสำคัญของการค้นพบครั้งแรกของ GenomeAsia 100K เกี่ยวกับความหลากหลายทางพันธุกรรมมากมายในเอเชีย: “เพื่อให้เป็นบริบท ลองจินตนาการว่าเราได้ดูประชาชนชาวยุโรปทุกคนบนพื้นฐานของความหลากหลายทางพันธุกรรมของพวกเขา โดยเราสามารถจัดกลุ่มเป็นเชื้อสายบรรพบุรุษหรือประชากรเพียงคนเดียว  พอเราใช้วิธีการเดียวกันกับข้อมูลใหม่ของเราจากคนเอเชีย จะพบว่ามีระดับความหลากหลายทางพันธุกรรมที่สูงขึ้นอย่างมาก โดยมี 10 กลุ่มบรรพบุรุษหรือเชื้อสายที่แตกต่างกันในเอเชีย  'GenomeAsia 100K' เป็นโครงการที่กว้างขวางซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และสุขภาพของชาวเอเชียทั่วโลก”

ดร. Andrew Peterson หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของ MedGenome และผู้เขียนบทความและผู้เชี่ยวชาญในการใช้พันธุศาสตร์เพื่อผลักดันการค้นพบยากล่าวว่า “ความแปรปรวนทางพันธุกรรมเป็นสาเหตุที่ทำให้เราแตกต่างจากกันอย่างชัดเจนรวมถึงความแตกต่างของโรคที่เราแต่ละคนประสบในช่วงชีวิตของเรา  การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่สุดที่เรามีในการผลักดันการค้นพบยาใหม่ที่เป็นนวัตกรรม”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

Macrogen Inc.
Hyun-Ah Lee, + 82-2-2180-7029
pr@macrogen.com

Macrogen ความสำเร็จของการรวมกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ

Logo

• กลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิงจะทำการค้นหายีนที่เกี่ยวข้องกับโรคเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมกับพัฒนาและปรับวิธีการวินิจฉัยให้เหมาะสม

• กลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิงชุดที่ 2 จำนวน 10,000 คนจะส่งออกมาในต้นปีหน้า

กรุงโซล เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–29 พฤศจิกายน 2562

ทีมวิจัยร่วมจากโรงพยาบาลบุนดัง มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล และ Macrogen (www.macrogen.com) (KOSDAQ: 038290) เปิดตัวฐานข้อมูลชาติพันธุ์อ้างอิงที่ใหญ่ที่สุดแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ (NARD, https://nard.macrogen.com/) โดยผลการศึกษาได้ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ Genome Medicine

https://genomemedicine.biomedcentral.com/articles/10.1186/s13073-019-0677-z

NARD เป็นที่รู้จัก​ในฐานะของมีค่า​และน้ำมันหอมระเหยซึ่งในพระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าอดัมเป็น​ผู้​รวบรวมจากดอกไม้ในสวนแห่งเอเดน ทีมวิจัยต้องการที่จะเน้นย้ำความสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิงนี้ จึงได้ตั้งชื่อว่า NARD 

NARD ประกอบด้วยข้อมูลการหาลำดับเบสของสารพันธุกรรมทั้งหมดและข้อมูลการผ่าเหล่าระดับยีนจาก 1,779 คน ซึ่งประกอบไปด้วยชาวเกาหลี 850 คน มองโกเลีย 384 คน ญี่ปุ่น 396 คน จีน 91 คน และฮ่องกง 58 คน นี่คือกลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิงที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอธิบายลักษณะประชากรในประเทศเกาหลีใต้ มองโกเลีย จีน และญี่ปุ่น นอกจากนี้ NARD ยังวิเคราะห์กลุ่มยีนในเซลล์ของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือแม่นยำกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ทั่วโลก

กลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิงนี้ก่อตัวมาจาก Haplotype Reference Consortium ซึ่งรู้จักกันในฐานะกลุ่มชาติพันธุ์สาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยเชื้อชาติยุโรป มีเพียง 1% เท่านั้นที่เป็นข้อมูลกลุ่มยีนจากเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และด้วยจำนวนข้อมูลที่ไม่เพียงพอนี้เองทำให้ความถูกต้องมีน้อยเมื่อทำการศึกษารูปแบบความเชื่อมโยงในจีโนม (GWAS) แก่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้นการรวมกลุ่มกลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือนี้จึงเป็นสิ่งที่ได้รับความสำคัญมาก

ทีมวิจัย NARD จะทำการปรับปรุงความถูกต้องของเทคนิคการประเมินค่าสูญหายใน GWAS และทำหน้าที่สำคัญในการคาดคะเนโรคบนพื้นฐานของโมเดล polygenic risk scores (PRS)

PRS สามารถคาดคะเนการเกิดโรคได้โดยอนุมานจากเทคนิคการประเมินค่าสูญหาย ไปจนถึงการระบุตำแหน่งของยีนกว่าร้อยแห่งที่อาจก่อให้เกิดโรคและเพิ่มความเสี่ยงแก่การเกิดโรค อีกนัยหนึ่ง หากความถูกต้องของผลการประเมินค่าสูญหายโดยใช้กลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิงชุดใหญ่อยู่ในระดับสูง ผลความถูกต้องของ PRS ก็จะสูงตามด้วย

ทีมวิจัยระบุว่า ในครั้งแรกนั้นแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือมีโครงสร้างกลุ่มยีนที่ต่างกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว โครงสร้างกลุ่มยีนของชาวเกาหลีโดดเด่นชัดเจนจากชาวเอเชียตะวันออกเฉียงเหนืออื่น ๆ ผลเหล่านี้นำมาซึ่งความต้องการสร้างกลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิง ไม่เพียงแต่เพื่อสำหรับทวีปเท่านั้น แต่สำหรับแต่ละประเทศด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผลทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นถึงความต้องการและความสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิงในเกาหลี

ศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ Jeong-Sun Seo แห่งโรงพยาบาลบุนดัง มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ให้ความเห็นว่า “การศึกษานี้ไม่เพียงแต่ระบุลักษณะยีนของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ยังประสบผลสำเร็จในการสร้างกลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีความถูกต้องเหมือนกันทั่วโลก เราจะเปิดตัวกลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิงชุดที่ 2 จำนวน 10,000 คนภายในต้นปีหน้า ดังนั้น กลุ่มชาติพันธุ์อ้างอิงทั้ง 2 ชุด จะทำหน้าที่ค้นหายีนที่ก่อให้เกิดโรคในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและคาดคะเนโรคต่าง ๆ”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อเราเกี่ยวกับข่าวประชาสัมพันธ์

Macrogen Inc.

Hyun-Ah Lee, +82-2-2180-7029

pr@macrogen.com

Mary Kay ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนางานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ผิวหนังอย่างต่อเนื่อง ณ การประชุมวิชาการของสมาคมโรคผิวหนังแห่งญี่ปุ่น (the Japanese Society of Investigative Dermatology)

Logo

บริษัทเครื่องสำอางระดับโลกแห่งนี้ได้ให้การสนับสนุนการประชุมวิชาการในหมู่แพทย์ผิวหนังที่มีชื่อเสียง เกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคที่ผิวหนังเผชิญและอาการผื่นแดงที่ผิวหนัง

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–11 พ.ย. 2562

ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทั่วโลก Mary Kay Inc. ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ผิวหนังในฐานะผู้สนับสนุนการประชุมวิชาการในการประชุมประจำปีครั้งที่ 44 ของสมาคมโรคผิวหนังแห่งญี่ปุ่น (JSID) ซึ่งในการประชุมที่จัดขึ้นในวันที่ 8 – 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในเมืองอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น มีการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับอุปสรรคผิวและผื่นแดงบนผิว การประชุมเป็นการทำงานร่วมกันเพื่อแบ่งปันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความก้าวหน้าด้านสุขภาพผิว

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคุณสมบัติด้านมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20191110005047/en/

Dr. Lucy Gildea, Senior Vice President - Chief Scientific Officer (Photo: Mary Kay Inc.)

Dr. Lucy Gildea รองประธานอาวุโส – หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ (ภาพ: Mary Kay Inc.)

ภารกิจของ JSID ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2524  คือการสร้างแรงบันดาลใจและเพิ่มพลังให้กับแพทย์ผิวหนังรุ่นต่อไป โดยการสนับสนุนการทำงานร่วมกันและการแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์ระหว่างองค์กรที่ทำงานด้านผิวหนังทั้งหมด องค์กรยังมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนับสนุนสถานะความสำคัญของโรคผิวหนังในสหวิทยาการโดยการยกระดับคุณภาพของวิทยาศาสตร์และการวิจัยเพื่อรักษาผิวที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมการรักษาโรคผิวหนังต่อไป JSID เป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดและโดดเด่นที่สุดในสาขาการวิจัยโรคผิวหนังในประเทศญี่ปุ่น และสนับสนุนนักวิชาการรุ่นเยาว์ด้วยการจัดสัมมนาเพื่อส่งเสริมให้แพทย์รุ่นเยาว์มีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นนักวิจัยด้านผิวหนัง

ณ งานประชุมวิชาการที่ได้รับการสนับสนุนโดย Mary Kay เกี่ยวกับปัญหาผิวหนังและรอยแดงที่ผิวหนัง ผู้ร่วมสนทนาประกอบด้วย Dr. Lucy Gildea หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของ Mary Kay Inc. ในฐานะผู้ดำเนินรายการ โดยผู้เข้าร่วมสนทนาได้ทำการสำรวจกลยุทธ์การปกป้องจากสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของผิวคนเอเชีย การตอบสนองของโปรตีนต่อการอักเสบของผิวหนัง และข้อบกพร่องของผิวหนัง

“ผิวบอบบางแพ้ง่ายส่งผลกระทบต่อผู้หญิงประมาณครึ่งหนึ่งทั่วโลก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการเพิ่มขึ้นของการใช้คีย์เวิร์ด 'สำหรับผิวแพ้ง่าย' และ 'การบรรเทารอยแดง' ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ขายในเอเชียเพิ่มขึ้น "ดร. Gildea กล่าว “ ปราการของผิวหนังถูกทำลายอยู่ตลอดเวลาโดยการสัมผัสกับรังสียูวีฝุ่นควัน และหมอกควันที่มีมลพิษ เช่น คาร์บอนดำ (black carbon) สารเคมี และโลหะหนัก มลพิษเหล่านี้สามารถสะสมบนผิวหนังและส่งผลให้เกิดผื่นหรือผื่นแดงบนใบหน้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้บริโภคจึงมองหาผลิตภัณฑ์ที่ทำงานเพื่อบรรเทาและช่วยปกป้องผิวหน้าที่เปราะบาง”

ผู้ร่วมสนทนาในงานประชุมยังรวมไปถึงด้วยแพทย์ผิวหนังที่มีชื่อเสียงสามคน:

  • ดร. Akimichi Morita, MD Ph.D., ภาควิชาอายุรศาสตร์โรคผิวหนังและสิ่งแวดล้อมที่ Nagoya City University บัณฑิตวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์
  • ดร. Sang Eun Lee, MD Ph.D. , ภาควิชาโรคผิวหนัง, โรงพยาบาล Gangnam Severance, สถาบันวิจัยชีววิทยาผิวหนัง, วิทยาลัยแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยยอนเซในกรุงโซล, เกาหลี
  • ดร. Gyohei Egawa, MD Ph.D., ภาควิชาโรคผิวหนังมหาวิทยาลัยเกียวโตบัณฑิตวิทยาลัยแพทยศาสตร์

“ในฐานะบริษัทระดับโลก เป็นเรื่องสำคัญที่เรามีจะพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่ตอบสนองความต้องการที่หลายรูปแบบของผู้หญิงทั่วโลกและที่สามารถเติบโตและพัฒนาตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง” ดร. Gildea กล่าว “ ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรม เช่นที่ JSID เราสามารถเรียนรู้และแบ่งปันการวิจัยที่เกี่ยวข้องในขณะที่ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ก้าวล้ำด้วยผลประโยชน์ที่ทรงพลังที่ส่งมอบให้แก่การดูแลผิวที่ผู้หญิงต้องการ”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ JSID คลิก ที่นี่

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฉีกกฎเกณฑ์แบบเดิม ได้ก่อตั้งบริษัทด้านความงามของเธอมานานกว่า 55 ปี โดยมีเป้าหมายสามประการ คือ มอบโอกาสที่คุ้มค่าให้แก่ผู้หญิง ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อาจต้านทานได้ และการทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น ความฝันดังกล่าวได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์โดยมีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการค้นคว้าวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัย เครื่องสำอางค์สี น้ำหอม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทั้งนี้ มูลนิธิ Mary Kay FoundationSM ของบริษัทได้มอบเงินมากกว่า 78 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับการวิจัยโรคมะเร็งและในด้านที่พักอาศัยสำหรับผู้เผชิญความรุนแรงในครอบครัว จึงกล่าวได้ว่า วิสัยทัศน์อันดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ในคอนเซปท์ ก้าวไปด้วยกันทีละลิปสติก ยังคงส่องสว่างนำทางต่อไป

ดูเวอร์ชั่นต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20191110005047/en/

ติดต่อ:

ฝ่ายการสื่อสารองค์กร Mary Kay Inc.

marykay.com/newsroom

972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com


The Bangkok Reporter