GIGABYTE ที่งาน MWC 2023: การพัฒนาความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI, ESG และ 5G ผ่าน “พลังของคอมพิวติ้ง”

Logo

ไทเป–(BUSINESS WIRE)–27 กุมภาพันธ์ 2023

GIGABYTE และบริษัทในเครือ Giga Computing ร่วมนำเสนอโซลูชันเซิร์ฟเวอร์รุ่นต่อไปที่งาน MWC 2023 นิทรรศการจะครอบคลุมโซลูชันด้านไอทีสำหรับการประมวลผลแบบเอดจ์ การพัฒนา AI ศูนย์ข้อมูล HPC เซิร์ฟเวอร์คลาวด์ การประมวลผลสีเขียว และการประมวลผลภาพ ภายใต้หัวข้อ “พลังแห่งคอมพิวติ้ง” ด้วยความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของ GIGABYTE เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากสถาบันการศึกษาและองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก ช่วยเร่งให้เกิดนวัตกรรมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

GIGABYTE at MWC 2023: Advancing AI, ESG and 5G Technology Breakthroughs through “Power of Computing” (Photo: Business Wire)

GIGABYTE ที่งาน MWC 2023: การพัฒนาความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI, ESG และ 5G ผ่าน “พลังของคอมพิวติ้ง”(ภาพ: Business Wire)

เชื่อมต่อความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดของแอปพลิเคชัน 5G ด้วยการประมวลผลแบบเอดจ์

GIGABYTE นำเสนอ edge server สามรุ่น (E163-S30E263-Z30E252-P30) ซึ่งสนับสนุนโปรเซสเซอร์ Intel, AMD และ Ampere ล่าสุดตามลำดับ พวกเขามีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูลแบบเอดจ์ ซึ่งสนับสนุนการทำงานของอุปกรณ์ IoT จำนวนมากในแอปพลิเคชัน 5G เช่น การผลิตอัจฉริยะ เทคโนโลยียานยนต์ และเมืองอัจฉริยะ

เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ 5G GIGABYTE ได้นำเสนอ edge servers ที่หลากหลาย ซึ่งโดดเด่นในด้านพลังการประมวลผล ความสามารถในการปรับขนาด ความเร็วในการส่งข้อมูล และการใช้พลังงานที่ต่ำกว่า การออกแบบแชสซีที่มีความลึกสั้นช่วยให้เซิร์ฟเวอร์สามารถปรับเป็นศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กใกล้กับแหล่งข้อมูลในเขตเมืองและพื้นที่ห่างไกล ทำให้รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อผู้คนกับเทคโนโลยีอัจฉริยะ 5G ได้

เร่งการพัฒนานวัตกรรม AI ด้วยเซิร์ฟเวอร์ GPU และศูนย์ข้อมูล HPC

การเพิ่มขึ้นของ ChatGPT ทำให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วโลกสำรวจคุณค่าของนวัตกรรม AI มากขึ้น ที่งาน MWC GIGABYTE จัดแสดงเซิร์ฟเวอร์ GPU/HPC รุ่นล่าสุด (G493-SB0H263-S64) ที่รองรับโปรเซสเซอร์ขั้นสูงสุด DDR5 RAM และเลน PCIe 5.0 แบนด์วิธสูงที่เพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI สูงสุด

GIGABYTE นำเสนอเซิร์ฟเวอร์ GPU/HPC ที่ผ่านการรับรองจาก NVIDIA ซึ่งผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ ความเสถียร และความสามารถในการปรับขนาดอย่างเข้มงวด พวกเขาเร่งปริมาณงานอย่างมากสำหรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ การฝึกอบรมโมเดล AI/ML และการอนุมาน โดยการนำการวิจัย AI ไปสู่อีกระดับ

ช่วยให้โลกโอบรับอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการประมวลผลสีเขียว

ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับ AI, HPC และคลาวด์คอมพิวติ้ง ความร้อนที่มากเกินไปที่เกิดจากเซิร์ฟเวอร์เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียพลังงาน ที่งาน MWC GIGABYTE นำเสนอโซลูชันระบายความร้อนด้วยอากาศ ของเหลว และแช่ โดยมีตัวเลือกมากมายสำหรับองค์กรต่าง ๆ ในการสร้าง "ศูนย์ข้อมูลสีเขียว"

GIGABYTE ได้สร้างความเชี่ยวชาญในด้านโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ ถังแช่ และระบบการจัดการ โซลูชันการทำความเย็นแบบแช่ได้ถูกนำมาใช้โดย KDDI ผู้นำด้านโทรคมนาคมของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทหล่อ IC ยักษ์ใหญ่ระดับโลกและลูกค้าที่มีชื่อเสียงรายอื่น ๆ หนึ่งในกรณีที่ประสบความสำเร็จ ศูนย์ข้อมูลสามารถลดการใช้พลังงานลงได้ 30% ในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ HPC ได้ 10% GIGABYTE นำเสนอโซลูชันการระบายความร้อนเซิร์ฟเวอร์ที่หลากหลายเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถสร้างข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีและบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน

นอกจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์แล้ว GIGABYTE ยังนำเสนอเวิร์กสเตชันโรงไฟฟ้าในนิทรรศการ “Visual Computing” ที่บูธ เวิร์กสเตชัน GPU W771-Z00 เป็นที่รู้จักในด้านประสิทธิภาพระดับเซิร์ฟเวอร์องค์กรและสามารถรองรับได้สูงสุด 64 คอร์และหน่วยความจำระบบทั้งหมด 2TB ความสามารถในการทำงานหลายอย่างพร้อมกันช่วยให้ผู้สร้างสามารถสร้างโลกเสมือนจริง การเรนเดอร์ 3 มิติ และหลังการผลิตภาพยนตร์ด้วยการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ โดยสร้างผลงานชิ้นเอกที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

เกี่ยวกับ GIGABYTE

GIGABYTE เป็นวิศวกร มีวิสัยทัศน์ และเป็นผู้นำในโลกของเทคโนโลยีที่ใช้ความเชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์ นวัตกรรมที่ได้รับการจดสิทธิบัตร และความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเพื่อสร้าง สร้างแรงบันดาลใจ และพัฒนา GIGABYTE มีชื่อเสียงมากว่า 30 ปีในด้านความเป็นเลิศที่ได้รับรางวัลในด้านเมนบอร์ดและกราฟิกการ์ด GIGABYTE เป็นรากฐานที่สำคัญในชุมชน HPC ซึ่งมอบความเชี่ยวชาญด้านเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูลให้กับธุรกิจเพื่อช่วยเร่งให้ประสบความสำเร็จ ในระดับแนวหน้าของเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนา GIGABYTE ทุ่มเทให้กับการคิดค้นโซลูชันอัจฉริยะที่เปิดใช้งานการแปลงเป็นดิจิทัลจากเอดจ์สู่คลาวด์ และช่วยให้ลูกค้าสามารถจับภาพ วิเคราะห์ และแปลงข้อมูลดิจิทัลให้เป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติและ "ยกระดับชีวิตของคุณ"

หน้ากิจกรรม MWC ของ GIGABYTE

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20230221005507/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ช่องทางติดต่อสำหรับสื่อ: Michael Pao brand@gigabyte.com

แหล่งที่มา: GIGABYTE

ระบบตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสอย่างต่อเนื่องรุ่น Dexcom G6 เปิดตัวแล้วที่สิงคโปร์

Logo

ระบบ CGM รูปแบบใหม่อันทันสมัยจะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานไม่ต้องคอยเจาะปลายนิ้วอีกต่อไป

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–28 กุมภาพันธ์ 2023

ในวันนี้ Dexcom, Inc. (NASDAQ:DXCM) ซึ่งเป็นผู้นำระดับสากลด้านระบบตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสอย่างต่อเนื่อง (CGM) แบบเรียลไทม์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ได้ประกาศเปิดตัวระบบ CGM รุ่น Dexcom G6 ในสิงคโปร์สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไปรวมถึงผู้ตั้งครรภ์ ทั้งยังประกาศแต่งตั้งให้ DKSH Singapore Pte Ltd เป็นผู้ให้บริการด้านการขาย การตลาด และการจัดจำหน่ายอีกด้วย

ระบบ Dexcom G6 นี้จะใช้เซนเซอร์ขนาดเล็กแบบสวมพกพาและตัวส่งสัญญาณเพื่อคอยวัดและส่งระดับน้ำตาลกลูโคสแบบไร้สายไปยังตัวรับสัญญาณหรืออุปกรณ์อัจฉริยะที่ใช้คู่กันได้ ผู้ป่วยจึงเห็นข้อมูลระดับน้ำตาลกลูโคสได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องเจาะปลายนิ้ว ระบบนี้ยังมาพร้อมการแจ้งเตือนและสัญญาณเตือนที่ปรับแต่งได้ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงจนอยู่ในขีดอันตราย

คุณ Scott Moss ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธาน Dexcom ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า "การเปิดตัว Dexcom G6 ในสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของบริษัทเรา" ก่อนกล่าวต่อไปว่า "การเปิดตัวครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ Dexcom CGM ให้บริการแก่ผู้คนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจากการที่เราได้เปิดสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคในสิงคโปร์ไปเมื่อไม่นานมานี้ เราหวังว่าจะนำ Dexcom CGM เข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ในภูมิภาคนี้ในอนาคตอันใกล้"

แอป Dexcom G6 สำหรับอุปกรณ์ iOS และ Android ที่เข้ากันได้ยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถแชร์ข้อมูลน้ำตาลกลูโคสกับผู้ติดตามได้สูงสุด 10 ราย ซึ่งช่วยให้ครอบครัว บุคคลอันเป็นที่รัก และผู้ให้บริการดูแลด้านสุขภาพสามารถติดตามผู้ป่วยจากระยะไกลเพื่อให้อุ่นใจได้มากยิ่งขึ้น

ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Dexcom G6 ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสุขภาพของตัวเองได้:

  • ช่วยให้ไม่ต้องเจาะนิ้วเพื่อปรับเทียบและตัดสินใจดำเนินการรักษาโรคเบาหวาน
  • ส่งค่าน้ำตาลกลูโคสที่อ่านได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้เทคโนโลยี Bluetooth ไปยังอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ที่เข้ากันได้ * หรือไปยังตัวรับสัญญาณของ Dexcom โดยเว้นระยะ 5 นาที
  • การแจ้งเตือนและสัญญาณเตือนที่ปรับแต่งได้ ซึ่งรวมถึงการแจ้งเตือน Urgent Low Soon (จะถึงระดับต่ำฉุกเฉินในอีกไม่ช้า) ซึ่งสามารถเตือนผู้ใช้ล่วงหน้าได้ถึง 20 นาทีก่อนจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemic) ระดับฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดำเนินการป้องกันได้
  • การแชร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์กับแอป Dexcom G6 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ข้อมูลน้ำตาลกลูโคสของตนกับผู้ติดตามได้สูงสุดสิบคน ในการคอยติดตามระดับน้ำตาลกลูโคสของผู้ใช้เพื่อให้อุ่นใจได้มากยิ่งขึ้น
  • เซนเซอร์ที่อยู่ได้ 10 วัน ช่วยให้รองรับการสวมใส่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น
  • เครื่องส่งสัญญาณขนาดเล็ก กะทัดรัดยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้สวมใส่ได้โดยไม่ดูโดดเด่นนัก
  • ตัวติดเซนเซอร์อัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ติดเซนเซอร์ได้ง่ายเพียงแค่กดปุ่ม
  • ตัวรับสัญญาณที่ออกแบบขึ้นมาใหม่พร้อมหน้าจอแสดงผลระบบสัมผัส (จะใช้อุปกรณ์ตัวรับสัญญาณ/แสดงผลหรือไม่ก็ได้)
  • เมมเบรนเซนเซอร์รูปแบบใหม่ที่ช่วยให้ใช้ยาอะเซตามีโนเฟนได้โดยไม่ส่งผลต่อค่าน้ำตาลกลูโคสที่อ่านได้แต่อย่างใด §

ระบบ CGN รุ่น Dexcom G6 จะเชื่อมต่อกับแอป Dexcom G6 ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดได้จาก App Store ของ Apple หรือ Google Play store เพื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อัจฉริยะของ Apple หรือ Android ที่เข้ากันได้ หรือผู้ป่วยจะดูค่าน้ำตาลกลูโคสที่อ่านได้บนตัวรับสัญญาณที่มีหน้าจอสัมผัส Dexcom G6 (ติดตั้งหรือไม่ก็ได้) ซึ่งมีให้เลือกซื้อแยกต่างหากก็ได้

CGM รุ่น Dexcom G6 ได้รับการอนุมัติจาก HSA ของสิงคโปร์เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว และชาวสิงคโปร์สามารถใช้งานได้แล้วในเดือนนี้ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Dexcom G6 ที่ www.dexcom.com/sg

เกี่ยวกับ Dexcom, Inc.

DexCom, Inc. ช่วยให้ผู้คนสามารถควบคุมสุขภาพของตัวเองได้แบบเรียลไทม์ผ่านระบบตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสอย่างต่อเนื่อง (CGM) อันทันสมัย บริษัท Dexcom ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการรักษาโรคเบาหวาน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองแซนดีเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย และดำเนินงานอยู่ทั่วยุโรปรวมถึงเอเชีย/โอเชียเนียบางส่วน การรับฟังความต้องการของผู้ใช้ ผู้ดูแล และผู้ให้บริการช่วยให้ Dexcom สามารถลดความซับซ้อนและปรับปรุงการจัดการโรคเบาหวานทั่วโลกให้ดีขึ้นได้ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Dexcom ที่ https://www.dexcom.com/en-us/about-dexcom

_________________________

*โปรดดูรายการอุปกรณ์ที่เข้ากันได้ที่ www.dexcom.com/compatibility

หากการแจ้งเตือนเกี่ยวกับน้ำตาลกลูโคสและค่าที่อ่านได้จาก G6 ไม่สอดคล้องกับอาการหรือที่คาดไว้ ให้ใช้เครื่องตรวจน้ำตาลกลูโคสในเลือดเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาโรคเบาหวาน

จำเป็นต้องมีแอป Follow แยกต่างหาก

§ค่าที่อ่านได้จาก G6 สามารถใช้เพื่อตัดสินใจด้านการรักษาโรคเบาหวานได้ เมื่อใช้ยาอะเซตามีโนเฟนไม่เกิน 1,000 มก. ทุก 6 ชั่วโมง การใช้ยาในปริมาณมากกว่านี้อาจส่งผลต่อค่าที่อ่านได้จาก G6

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

บุคคลติดต่อ

บุคคลติดต่อสำหรับสื่อ:
Patrick Ho: Sr. Manager, New Business Development
Patrick.ho@dexcom.com

James McIntosh: Director, Global Public Relations
James.mcintosh@dexcom.com

แหล่งที่มา: Dexcom, Inc.

NEC Corporation เลื่อนตำแหน่งให้ Aalok Kumar รับบทบาทระดับโลก โดยการให้เป็นหัวหน้าธุรกิจเมืองอัจฉริยะระดับโลก เพิ่มเติมจากความรับผิดชอบในอินเดีย

Logo

ตอนนี้ Aalok Kumar เป็นเจ้าหน้าที่องค์กรและรองประธานอาวุโส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจเมืองอัจฉริยะระดับโลก และประธานและซีอีโอของ NEC Corporation India Pvt. Ltd.

เขาจะเป็นแนวหน้าในธุรกิจเมืองอัจฉริยะระดับโลก และแผนระยะยาวของ NEC รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านเมืองอัจฉริยะระดับโลกในอินเดีย

เดลี อินเดีย–(BUSINESS WIRE)–22 กุมภาพันธ์ 2023

NEC Corporation India ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ NEC Corporation ได้ประกาศเลื่อนตำแหน่ง Mr. Aalok Kumar ประธานและซีอีโอของ NEC Corporation India ขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรและรองประธานอาวุโส หัวหน้าธุรกิจเมืองอัจฉริยะระดับโลก

Mr. Aalok Kumar, Corporate Officer & Sr VP - Head of the Global Smart City Business (Photo: Business Wire)

Mr. Aalok Kumar เจ้าหน้าที่องค์กรและรองประธานอาวุโส หัวหน้าธุรกิจ Global Smart City (ภาพ: Business Wire)

Aalok จะยังคงเป็นผู้นำธุรกิจในอินเดียและเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ของอินเดียสำหรับ NEC Group โดยรวม เขาจะยังคงร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนต่อไป ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ว่า “ในอินเดีย เพื่ออินเดีย” และ “จากอินเดีย เพื่อทั่วโลก” Aalok จะเข้ารับตำแหน่งใหม่ในฐานะเจ้าหน้าที่องค์กรและรองประธานอาวุโสและหัวหน้าธุรกิจเมืองอัจฉริยะระดับโลก ในฐานะส่วนหนึ่งของทีมบริหารองค์กรของ NEC เขาจะรับผิดชอบในการสร้างธุรกิจระดับโลก โดยใช้การเรียนรู้ที่ไม่เหมือนใครจากประสบการณ์ระดับโลกของเขา

Mr. Takayuki Morita ประธานและซีอีโอของ NEC Corporation กล่าวถึงการเลื่อนตำแหน่งนี้ว่า "หลังจากที่ Aalok ได้เป็นผู้นำในโครงการขนาดใหญ่ที่สุดของเราสำหรับทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชนในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่ NEC Corporation India นั้น Aalok มีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือตำแหน่งของ NEC Corporation ในฐานะพันธมิตรการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่น่าเชื่อถือสำหรับรัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ของอินเดีย ตำแหน่งใหม่ของเขาในฐานะเจ้าหน้าที่องค์กรและสมาชิกฝ่ายบริหารของ NEC ที่เป็นผู้นำในอินเดีย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสำคัญของ NEC ที่มีต่ออินเดียในฐานะตลาด”

NEC ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างแนวดิ่งธุรกิจเมืองอัจฉริยะระดับโลกที่แข็งแกร่ง ซึ่งนำเสนอโดยผู้มีความสามารถจากทั่วโลกที่มีความรู้และประสบการณ์ทางเทคโนโลยีอย่างลึกซึ้ง อินเดียจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบนี้ โดยใช้ความเชี่ยวชาญของ Aalok ในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอินเดีย และการเรียนรู้จากโครงการเมืองอัจฉริยะที่ดำเนินการในประเทศ ในระยะยาว เขาจะพยายามจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านเมืองอัจฉริยะระดับโลกในอินเดีย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทบรรลุวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโซลูชัน “จากอินเดีย เพื่อทั่วโลก” ได้อย่างรวดเร็ว

Aalok Kumar ศิษย์เก่าของ St. Stephens College, Delhi และ Indian Institute of Management, Ahmedabad นำประสบการณ์เกือบสามทศวรรษในบทบาทผู้นำระดับสูงมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ การปรับปรุงประสิทธิภาพ และการขยายอัตรากำไรขั้นต้น ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานและซีอีโอของ NEC India ในปี 2020 เขาดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสของ McKinsey & Company อีกทั้งเขายังทำงานในบริษัทต่าง ๆ เช่น GE Healthcare, GE Capital และ ABN Amro Bank

Aalok Kumar เจ้าหน้าที่องค์กรและรองประธานอาวุโส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจเมืองอัจฉริยะระดับโลก และประธานและซีอีโอของ NEC Corporation India Pvt. Ltd. กล่าวว่า ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ผู้นำระดับโลกมอบโอกาสนี้ให้ผม ผมได้รับสิทธิพิเศษให้เป็นผู้นำทีมที่ยอดเยี่ยมในอินเดีย และด้วยความสามารถและการสนับสนุนที่ไม่มีใครเทียบได้ทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายที่สำคัญบางอย่างสำหรับ NEC Corporation India จนถึงตอนนี้ ผมตั้งตารอที่จะทำหน้าที่ความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับบทบาทใหม่นี้ให้สำเร็จ และจะมุ่งมั่นพา NEC ไปสู่จุดสูงสุดด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทีมงานทั้งหมด”

หน่วยธุรกิจต่าง ๆ และโครงสร้างการจัดการองค์กรได้รับการปรับปรุงและรวมเข้าด้วยกันในระดับโลก เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงองค์กรของ NEC Corporation เพื่อให้สอดคล้องกับ "วิสัยทัศน์ปี 2030 (2030VISION)" ของ NEC บริษัทตั้งเป้าที่จะเสริมสร้างการกำกับดูแลกิจการและเพิ่มความเร็วในการจัดการเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเสาหลักทางธุรกิจทั่วโลก สิ่งนี้จะช่วยให้ NEC Corporation บรรลุแผนการจัดการระยะกลางปี ​​2025 และเพิ่มมูลค่าองค์กรระยะกลางถึงระยะยาวของ NEC ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก

เกี่ยวกับ NEC Corporation India (NEC India)

NEC เป็นผู้นำในการผสานรวมเทคโนโลยีไอทีและเครือข่าย และนำความเชี่ยวชาญเกือบ 125 ปี ในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีมาให้บริการโซลูชันสำหรับการเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้คน ธุรกิจ และสังคม NEC มีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น และเริ่มดำเนินการในอินเดียในทศวรรษที่ 1950 โดยเร่งการเติบโตผ่านการขยายธุรกิจไปยังตลาดโลก NEC ในอินเดียขยายธุรกิจจากโทรคมนาคมไปสู่ความปลอดภัยสาธารณะ ลอจิสติกส์ การขนส่ง การค้าปลีก การเงิน การสื่อสารแบบรวมศูนย์ และแพลตฟอร์มไอที โดยให้บริการทั่วทั้งรัฐบาล ธุรกิจ ตลอดจนบุคคลทั่วไป ด้วยศูนย์ความเป็นเลิศด้านโซลูชันแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ ข้อมูลขนาดใหญ่ ไบโอเมตริก อุปกรณ์เคลื่อนที่และการค้าปลีกนั้น NEC ในอินเดียนำเสนอบริการและโซลูชันใหม่ที่เป็นนวัตกรรมสำหรับอินเดียและตลาดทั่วโลก

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม: https://in.nec.com/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53335907/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Arvind Saxena: arvind.saxena@india.nec.com

แหล่งที่มา: NEC Corporation India

Chunghwa Telecom เข้าร่วมกับ Vietnam Smart City Consortium (VSCC) ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง

Logo

ขยายโซลูชันเมืองอัจฉริยะในเวียดนาม

ไทเป ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–22 กุมภาพันธ์ 2023 

Chunghwa Telecom (CHT) และ VSCC ลงนาม MOU อย่างเป็นทางการในวันนี้ และประกาศให้ CHT กลายเป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งรายใหม่ การร่วมมือกับ Chunghwa Telecom ถือเป็นก้าวใหม่ในการสร้างเมืองอัจฉริยะในเวียดนาม

CHT Join VSCC signed MOU, (L to R), H. L. Liu, CHT-I Assistant VP, Hồ Huỳnh Hưng, CEO, DQ Group, Alfonso Vegara, Founder and Honorary President, Fundacion Metropoli. (Photo: Business Wire)

CHT เข้าร่วมกับ VSCC ลงนาม MOU, (จากซ้ายไปขวา), H. L. Liu CHT-I ผู้ช่วยรองประธาน CHT-I, Hồ Huỳnh Hưng ซีอีโอของ DQ Group, Alfonso Vegara ผู้ก่อตั้งและประธานกิตติมศักดิ์ของ Fundacion Metropoli (ภาพ: Business Wire)

ปัจจุบัน แนวคิดเกี่ยวกับเมืองอัจฉริยะของเวียดนามยังไม่ได้รับการกำหนดมาตรฐาน ด้วยเหตุนี้ CHTCityOS ที่เป็นแพลตฟอร์มการกำกับดูแลอัจฉริยะที่พัฒนาโดย Chunghwa Telecom จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยมี API มาตรฐานที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบใดก็ได้และรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในแพลตฟอร์มเดียว CHTCityOS ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบทุกมุมเมืองได้ตลอดเวลา ด้วยคุณสมบัติทริกเกอร์เหตุการณ์และฟังก์ชันการวิเคราะห์ AI แล้ว ทำให้ไม่เพียงแต่สามารถส่งเหตุการณ์การเตือนภัยต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ แต่ยังสามารถเปิดใช้งานอุปกรณ์หรือโปรแกรมโดยอัตโนมัติเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยในเมืองและเอฟเฟกต์การประหยัดพลังงานอัจฉริยะ สามารถให้ความช่วยเหลือด้านนโยบายที่ถูกต้องที่สุดแก่ผู้บริหารเมือง ซี่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในโซลูชันอัจฉริยะที่จำเป็นที่สุดสำหรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในเวียดนาม

Vietnam Smart City Consortium ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยมีบริษัทก่อตั้ง 2 บริษัท คือ Fundacion Metropoli และ Dien Quang บริษัท Fundación Metropoli เป็นบริษัทฐานในยุโรปที่มีประสบการณ์ในการสร้างระบบนิเวศระดับภูมิภาคสำหรับเมือง ภูมิทัศน์เมือง และสถาปัตยกรรม ส่วนบริษัท Dien Quang เป็นบริษัทที่วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีอัจฉริยะ และโซลูชันต่าง ๆ ที่ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในหลายสาขา เมื่อทำงานร่วมกับ Chunghwa Telecom ซึ่งเป็นผู้นำด้านบริการโทรคมนาคมระดับ Tier 1 ของไต้หวัน ทำให้ VSCC สามารถใช้ประโยชน์จากประสบการณ์การใช้งานแอปพลิเคชันที่ดีที่สุดของ Chunghwa บนโครงสร้างพื้นฐาน อินเทอร์เน็ต และบริการอัจฉริยะ 5G ซึ่งสามารถช่วยเวียดนามในการยกระดับเทคโนโลยีโทรคมนาคมสมัยใหม่ได้ นอกเหนือจากการให้บริการโซลูชันอัจฉริยะ 5G ล่าสุดแล้ว Chunghwa Telecom ยังสามารถจัดหาโซลูชันโดยรวมสำหรับการเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อ การจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้ ซึ่งคาดว่าสมาชิกผู้ก่อตั้งทั้งสามบริษัทจะนำคุณูปการมากมายมาสู่เมืองต่าง ๆ ของเวียดนาม

Chunghwa Telecom กล่าวว่า คาดว่าการเข้าร่วม VSCC จะขยายขอบเขตความร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสบการณ์อันมีค่าในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในไต้หวันได้ขยายไปยังเวียดนาม ด้วยความช่วยเหลือจากประสบการณ์ของ VSCC ในการออกแบบสถาปัตยกรรมและโซลูชันอัจฉริยะของเวียดนาม รวมถึง Chunghwa Telecom เพื่อพัฒนาโอกาสเพิ่มเติมในเวียดนามและเดินหน้าสร้างการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของเวียดนามต่อไป

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53335958/en

ติดต่อ

Angela Tsai
chofen@cht.com.tw

แหล่งที่มา: Chunghwa Telecom

นักวิจัยของ NTHU พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการถ่ายภาพอิเล็กตรอน

Logo

ซินจู๋ ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–22 กุมภาพันธ์ 2023

ทีมวิจัยที่ National Tsing Hua University (NTHU) ในไต้หวันได้จับภาพชั่วขณะหนึ่งในโลกนาโนด้วยการผลิตคลื่นอัลตราไวโอเลตที่รุนแรงในระดับอัตโตวินาที แหล่งกำเนิดแสงนี้เปรียบเสมือนกล้องนาโนที่ใช้จับภาพวัตถุขนาด 5 นาโนเมตรที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมาก เช่น อิเล็กตรอน เทคโนโลยีนี้คาดว่าจะพัฒนาการออกแบบทรานซิสเตอร์และชิปหน่วยความจำรุ่นต่อไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร

Members of the NTHU research team (right to left): Ming-Chang Chen, Po-Wei Lai, Ming-Shian Tsai, An-Yuan Liang, and Ming-Wei Lin. (Photo: National Tsing Hua University)

สมาชิกของทีมวิจัย NTHU (ขวาไปซ้าย): Ming-Chang Chen, Po-Wei Lai, Ming-Shian Tsai, An-Yuan Liang และ Ming-Wei Lin (ภาพ: National Tsing Hua University)

นำโดยรองศาสตราจารย์ Ming-Chang Chen จากภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและรองศาสตราจารย์ Ming-Wei Lin จากสถาบันวิศวกรรมนิวเคลียร์และวิทยาศาสตร์ เป็นครั้งแรกในโลกที่พัฒนาเทคโนโลยีการบีบอัดพัลส์ประสิทธิภาพสูงสำหรับการบีบอัดเลเซอร์เจืออิตเทอร์เบียมถึง 3,000 อัตโตวินาที เมื่อแหล่งกำเนิดแสงนี้ถูกโฟกัสไปที่ก๊าซเฉื่อย มันจะสร้างพัลส์รังสีอัลตราไวโอเลตมากด้วยระยะเวลาเพียง 290 อัตโตวินาที สิทธิบัตรสำหรับเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมนี้ได้รับการนำไปใช้ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และไต้หวัน และงานวิจัยของทีมได้รับการตีพิมพ์โดยวารสาร Science Advances ชั้นนำ

อิเล็กตรอนมีขนาดเล็กมากและเคลื่อนที่ได้เร็ว ดังนั้นการถ่ายภาพจึงมีความท้าทายอย่างมาก Chen อธิบายว่ามันคล้ายกับการใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงในการถ่ายภาพนกฮัมมิงเบิร์ดที่กำลังบินและปีกสั่นไหวอย่างชัดเจน ดังนั้น เนื่องจากอิเล็กตรอนเคลื่อนที่เร็วมาก การถ่ายภาพอิเล็กตรอนเหล่านั้นจึงต้องใช้กล้องที่มีความละเอียดสูงเพื่อจับภาพการเคลื่อนไหวที่เร็วมาก และต้องใช้ความละเอียดเชิงพื้นที่สูงเพื่อจับภาพวัตถุขนาดเล็กเหล่านี้

Chen ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาแหล่งกำเนิดแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นเพื่อปรับปรุงความละเอียดเชิงพื้นที่ในการวัด สำหรับแสงที่มองเห็น คลื่นขนาด 400 นาโนเมตรจะให้ความละเอียดเชิงพื้นที่ที่ประมาณ 400 นาโนเมตร ในทางตรงกันข้าม สามารถรับความละเอียดเชิงพื้นที่ได้ดีขึ้นมากถึง 10 นาโนเมตร โดยใช้แสงอัลตราไวโอเลตสูงขนาด 10 นาโนเมตรที่สร้างขึ้นในงานนี้ ในขณะเดียวกัน ด้วยระยะเวลา 290 อัตโตวินาที พัลส์ของเราทำให้ได้ความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วเป็นพิเศษสำหรับการวัดค่า

ด้วยเป้าหมายที่จะทำให้ระยะเวลาของพัลส์ลดลงอย่างมาก ทีมงานจึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี "การขยายสเปกตรัมและการบีบอัดพัลส์" โดยขั้นแรกให้กระตุ้นคลื่นแสงที่มีความถี่ต่างกันในอวกาศให้มากขึ้น จากนั้นจึงปรับตำแหน่งจุดสูงสุดของคลื่นใหม่เหล่านี้ให้ซ้อนทับกัน การทำขั้นตอนการขยายสเปกตรัมและการบีบอัดซ้ำ ๆ นี้สามารถลดระยะเวลาของพัลส์และเพิ่มจุดพีคของพัลส์ได้ ด้วยเทคโนโลยีนี้ ระยะเวลาของพัลส์สามารถบีบอัดได้ตั้งแต่ 160,000 อัตโตวินาที ถึง 290 อัตโตวินาที ด้วยอัตราส่วนการบีบอัดที่โดดเด่นที่ 550

Chen กล่าวว่า ความเร็วที่เร็วที่สุดของกล้องทั่วไปคือประมาณหนึ่งในพันของวินาที แต่เวลาชัตเตอร์สำหรับกล้องระดับอัตโตวินาทีนั้นเร็วกว่าถึงสิบล้านล้านเท่า ทำให้สามารถถ่ายภาพอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่เร็วได้ การใช้งานในอนาคตของเทคโนโลยีนี้มีส่วนประกอบระดับนาโนของเซมิคอนดักเตอร์และเซ็นเซอร์ที่มีความแม่นยำ ซึ่งต้องใช้แหล่งกำเนิดแสงในระดับอัตโตวินาทีเพื่อวิเคราะห์ไดนามิกของอุปกรณ์นาโน

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53333239/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Holly Hsueh NTHU
(886)3-5162006
hoyu@mx.nthu.edu.tw

แหล่งที่มา: National Tsing Hua University

Medidata เปิดตัวทีมผู้นำระดับอาวุโสเพื่อต่อยอดการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลให้วงการชีววิทยาศาสตร์ด้วยโซลูชันแบบครบวงจรที่ไม่มีใครเทียบ

Logo

คุณ Pascal Daloz ได้รับตำแหน่งเป็น CEO และคุณ Michael Pray ได้รับตำแหน่งเป็น COO ของ Medidata

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–21 กุมภาพันธ์ 2023

วันนี้ Medidata ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Dassault Systèmes ได้ประกาศโครงสร้างความเป็นผู้นำรูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเดินหน้าภารกิจของบริษัทในการพัฒนาโซลูชันแบบครบวงจรที่ช่วยยกระดับการรักษาให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้นและช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยการพัฒนาเชิงกลยุทธ์เช่นนี้เปิดโอกาสให้สามารถต่อยอดเป้าหมายและการเติบโตในระยะยาว เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากสายผลิตภัณฑ์ของ Dassault Systèmes ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยยกระดับการพัฒนายาขึ้นไปอีกระดับในท้ายที่สุด

คุณ Pascal Daloz ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้มากความสามารถของ Dassault Systèmes ได้เข้าดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของ Medidata โดยคุณ Daloz มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้เข้าซื้อกิจการ Medidata ได้สำเร็จเมื่อปี 2019 โดยความสามารถในการเป็นผู้นำธุรกิจและวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยมของเขาจะเข้ามาช่วยเสริม Medidata ได้เป็นอย่างดี

ส่วนคุณ Michael Pray ได้รับแต่งตั้งเป็น COO ของบริษัทดังกล่าว โดยก่อนจะเข้ามารับตำแหน่งนี้ให้กับ Medidata เขาเคยเป็นบุคลากรคนสำคัญที่ช่วยให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงการเพิ่มรายได้รวมขึ้น 2 เท่าเป็นจำนวนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยคุณ Pray จะเข้ามาดูแลการปฏิบัติงานในแต่ละวันของ Medidata และจะร่วมงานกับคุณ Daloz อย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างชุดโซลูชันที่ครบครันสำหรับวงการชีววิทยาศาสตร์ในวงกว้าง

คุณ Pascal Daloz  ซึ่งเป็น CEO ของ Medidata กล่าวว่า “ลูกค้าคาดหวังให้ Medidata ตอบโจทย์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น และเราก็คอยพัฒนาตัวเองให้สอดรับกับความต้องการด้านการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลของลูกค้า” ก่อนกล่าวต่อไปว่า “เราจะคิดค้นโซลูชันใหม่ ๆ ที่ไม่มีใครเทียบได้สำหรับงานชีววิทยาศาสตร์ในทุก ๆ ด้านอย่างไม่หยุดยั้งโดยต่อยอดจากรากฐานที่มั่นคงมากว่า 20 ปี เรายังมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับวงการนี้ และจะไม่หยุดทุ่มเทเพื่อให้วิสัยทัศน์ของเราเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกัน การรักษาอย่างตรงจุด การค้นพบ ไปจนถึงการจัดจำหน่าย เพื่อให้เราได้เป็นศูนย์กลางในทุก ๆ ขั้นตอนของการดูแลรักษาผู้ป่วย”

Medidata เป็นบริษัทย่อยที่ Dassault Systèmes ได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมดแล้ว โดยแพลตฟอร์ม 3DEXPERIENCE ของ Medidata มีส่วนช่วยอย่างมากในการปรับเปลี่ยนงานชีววิทยาศาสตร์ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลในยุคปัจจุบันที่การรักษาแบบเฉพาะบุคคลกำลังเป็นที่นิยม โดยให้บริการแพลตฟอร์มด้านวิทยาศาสตร์และธุรกิจแบบครบวงจรที่ครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยไปจนถึงการจำหน่าย

เกี่ยวกับ Medidata

Medidata เป็นผู้นำในการเปลี่ยนงานชีววิทยาศาสตร์ให้เป็นระบบดิจิทัล ช่วยให้ผู้ป่วยหลายล้านรายเกิดความหวัง โดย Medidata ช่วยสร้างข้อมูลหลักฐานและข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ เพื่อช่วยเร่งประโยชน์ ลดความเสี่ยง และยกระดับผลลัพธ์ให้กับบริษัทด้านเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และการวินิจฉัย ตลอดจนนักวิจัยทางวิชาการต่าง ๆ ทั้งนี้ แพลตฟอร์มที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในโลกของบริษัทมีผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่า 1 ล้านรายจากลูกค้าและพาร์ทเนอร์กว่า 2,100 ราย ซึ่งเข้าใช้เพื่อรับข้อมูลการพัฒนาทางคลินิก การจำหน่าย และข้อมูลที่การใช้งานที่เกิดขึ้นจริง Medidata ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Dassault Systèmes (Euronext Paris: FR0014003TT8, DSY.PA), มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นิวยอร์กซิตี และมีสำนักงานตั้งอยู่ทั่วโลกเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.medidata.com และติดตามเราที่ @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes ซึ่งเป็นบริษัท 3DEXPERIENCE เป็นบริษัทที่มุ่งพัฒนาด้านบุคลากร เราช่วยให้ธุรกิจและผู้คนมีสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแบบ 3 มิติเพื่อร่วมกันรังสรรค์นวัตกรรมที่ยั่งยืน เมื่อมีแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน 3DEXPERIENCE แบบเสมือนจริงที่ใกล้เคียงความเป็นจริง ลูกค้าของเราจึงสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดในการคิดค้นนวัตกรรม การเรียนรู้ และการผลิต เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นให้แก่ผู้ป่วย ผู้คน และผู้บริโภค ในปัจจุบัน Dassault Systèmes มีลูกค้ามากกว่า 300,000 ในทุกขนาดและวงการในกว่า 140 ประเทศ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.3ds.com

3DEXPERIENCE, ไอคอนรูปเข็มทิศ, ไอคอน 3D, CATIA, BIOVIA, GEOVIA, SOLIDWORKS, 3DVIA, ENOVIA, NETVIBES, MEDIDATA, CENTRIC PLM, 3DEXCITE, SIMULIA, DELMIA และ IFWE เป็นเครื่องหมายการค้าเชิงพาณิชย์หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Dassault Systèmes หรือภาษาฝรั่งเศสคือ “société européenne” (การจดทะเบียนพาณิชย์ Versailles # B 322 306 440) หรือบริษัทย่อยในเครื่องในสหรัฐอเมริกาและ/หรือประเทศอื่น ๆ

ผู้ติดต่อ

Tom Paolella
Senior Director, Corporate Communications & Affairs
+1-848-203-7596
thomas.paolella@3ds.com

Paul Oestreicher
External Communications Director
+1-917-522-4692
paul.oestreicher@3ds.com

แหล่งที่มา: Medidata

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Aura Network ระดมทุน 4 ล้านเหรียญฯ ในช่วง Pre-Series A นำโดย Hashed และ Coin98

Logo

Aura Network เริ่มต้นปี 2023 ด้วยรอบการระดมทุน 4 ล้านเหรียญสหรัฐโดยมี Hashed และ Coin98 เป็นผู้นำการระดมทุนดังกล่าว Aura Network กำลังก้าวขึ้นสู่แนวหน้าในปีนี้ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ซบเซา

ฮานอย เวียดนาม –(BUSINESS WIRE)–15 กุมภาพันธ์ 2023

Aura Network ได้ปิดรอบการระดมทุนเป็นจำนวนเงิน 4 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมี Hashed และ Coin98 Ventures ร่วมกันเป็นผู้นำการระดมทุนดังกล่าว ทั้งนี้ การระดมทุนนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญก่อนการเปิดใช้งาน Mainnet ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 ถัดจากการประกาศความร่วมมือด้านการให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์กับ Republic Crypto

(Photo: Business Wire)

(Photo: Business Wire)

การระดมทุนครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในครั้งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของ Aura Network โดยมีการลงทุนจาก Hashed ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนคริปโตรายใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ หลังจากก่อตั้งบริษัทมา 5 ปี Hashed ได้ลงทุนกับโครงการต่าง ๆ กว่า 80 โครงการในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ NFT อย่าง Axie Infinity และ The Sandbox, เครือข่ายบล็อกเชนอย่าง Cosmos และ Klaytn และโปรโตคอล DeFi อย่าง MakerDAO

คุณ Joseph Young ผู้ดำรงตำแหน่ง Senior Associate ของ Hashed ได้กล่าวว่า "Hashed ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ให้การสนับสนุน Aura Network ในช่วงก่อนการเปิดใช้งาน Mainnet เราประทับใจในความสำเร็จด้านเทคนิคที่ผ่าน ๆ มาของ Aura Network ซึ่งช่วยให้บริษัทนี้พัฒนาขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการโอเพนซอร์สรายใหญ่ที่สุดแก่ Cosmos” ทั้งยังกล่าวต่อไปว่า “เราเล็งเห็นว่าระบบนิเวศของ Cosmos มีแนวโน้มที่ดี และเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของ Aura Network ในพัฒนา Layer-1 ที่สนับสนุน NFT, การเล่นเกม และ DeFi ที่ยั่งยืนอย่างครอบคลุมในที่เดียว"

ในรอบการระดมทุนนี้ Aura Network ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการบล็อกเชนบางโครงการ ซึ่งรวมถึง GuildFi, Istari Ventures, Republic Crypto และนักลงทุนกับธุรกิจในระยะเริ่มต้น (Angel investor) รายอื่น ๆ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับนักลงทุนและพาร์ทเนอร์เหล่านี้จะช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินการ ผลิตภัณฑ์และการพัฒนาธุรกิจ การทำการตลาด และอื่น ๆ

คุณ Thanh Le ผู้ก่อตั้ง Coin98 กล่าวว่า ”การได้สนับสนุน Giang และทีมงานผู้มีความสามารถของ Aura ตั้งแต่ต้นและเฝ้าดูพวกเขาพัฒนาขึ้นในทุก ๆ วันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก Aura Network ให้บริการ Layer-1 ที่ให้ความสำคัญกับ NFT ทั้งยังมีความน่าเชื่อถือ รวดเร็ว และรองรับการปรับขยาย จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะช่วยให้การนำ NFT เข้ามาใช้ในด้านต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น” และกล่าวต่อไปว่า “เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุน Aura, ทีมงานที่ดำเนินงานได้อย่างยอดเยี่ยม, ความรู้ทางเทคนิคในเชิงลึก, รากฐานที่มีประสิทธิภาพสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้กับผู้พัฒนา ตลอดจนความทุ่มเทอย่างสุดความสามารถในด้านคุณภาพเพื่อให้ NFT เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง"

ก้าวต่อไปของ Aura Network

“Web3 และ NFT จะอยู่กับเราไปอีกนาน เมื่อได้รับการสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ เราจะใช้เงินทุนนี้เพื่อดำเนินงานพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสภาวะเช่นไรก็ตาม” said Giang Tran, Founder & CEO of Aura Network.

เงินทุนจะถูกนำไปใช้เพื่อขยายระบบนิเวศของ Aura Network ซึ่งรวมถึงการเพิ่มจำนวนโครงการ Web3 ระดับสากลและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นภายในระบบนิเวศดังกล่าว ทั้งนี้ ทีมฝ่ายพัฒนาของ Aura Network อยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มากมายเพื่อเดินหน้าสู่การเปิดใช้งาน Mainnet โดยบริษัทจะประกาศกำหนดการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในอีกไม่ช้าในแผนดำเนินงานประจำปี 2023

เมื่อได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากนักลงทุนกับธุรกิจในระยะเริ่มต้น (Angel investor) และพาร์ทเนอร์ Aura Network จะช่วยให้ NFT มีการนำมาใช้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้นและก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้พัฒนา Web3 ชั้นนำ

เกี่ยวกับ Aura Network

Aura Network เป็นระบบนิเวศที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้มีการนำ NFT มาใช้งานทั่วโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดย Aura Network มุ่งเน้นการพัฒนาอินเทอร์เน็ตของ NFT และทำให้ NFT กับ web3 มีการใช้งานโดยผู้คนจำนวนมาก

Website | Twitter | Discord | Telegram | Blog

เกี่ยวกับ Hashed

Hashed ก่อตั้งขึ้นจากทีมผู้ประกอบการต่อเนื่องและวิศวกรในปี 2017 โดยเป็นบริษัทบล็อกเชนรายใหญ่ในเอเชียที่มีผลงานอยู่ทั่วโลก

Website | Twitter | Blog | Linkedin

เกี่ยวกับ Coin98 Ventures

Coin98 Ventures เป็นหน่วยธุรกิจเงินร่วมลงทุนของ Coin98 Finance ซึ่งเป็นฮับพัฒนา Web3 ในเวียดนาม บริษัทแห่งนี้มุ่งมั่นที่จะลงทุนกับผู้ก่อตั้งบริษัทต่าง ๆ ที่มีแนวคิดที่สร้างความเปลี่ยนแปลงและแนวทางเชิงสร้างสรรค์ในทุก ๆ เรื่องเกี่ยวกับสแต็ก Web3 ตั้งแต่โปรโตคอลและโครงสร้างพื้นฐาน Layer-1 ไปจนถึงการใช้งานสำหรับผู้บริโภค

Website | Twitter

บุคคลติดต่อ

Thu Tran (คุณ)
Aura Network
COO
thu@aura.network

แหล่งที่มา: Aura Network

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Midea Group ได้รับรางวัล 2022 Forbes China สุดยอด 50 ธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

Logo

ฝอซาน, จีน–(BUSINESS WIRE)–15 กุมภาพันธ์ 2023

ในช่วงต้นปีนี้ Forbes ได้เผยแพร่รายชื่อ "2022 Forbes China สุดยอด 50 ธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน"  ซึ่งมี Midea Group รวมอยู่ในรายชื่อดังกล่าวด้วยเนื่องจากผลงานที่โดดเด่นในด้านการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความเป็นกลางทางคาร์บอน การพัฒนาที่ยั่งยืน และโครงสร้างแบบ ESG

Midea Group Awarded as 2022 Forbes China TOP 50 Sustainable Development Industrial Enterprises (Graphic: Business Wire)

Midea Group ได้รับรางวัล 2022 Forbes China สุดยอด 50 ธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Graphic: Business Wire)

การประเมินมุ่งเน้นไปที่ตัวชี้วัดอย่างเฉพาะเจาะจง 5 มิติ ได้แก่ "ระบบการจัดการ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ผลประโยชน์ที่ครอบคลุม การจัดสรรทรัพยากร รวมไปถึงการสาธิตและส่งเสริม" บริษัทที่ได้รับเลือกในปีนี้คือบริษัทอุตสาหกรรมทั้งหมดที่ก่อตั้งมาอย่างน้อย 10 ปี และมีรายได้ต่อปีมากกว่า 100 พันล้านหยวน พร้อมกับมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่เพิ่มขึ้นประมาณ 50% เมื่อเทียบเป็นรายปี พวกเขายังแสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบที่สำคัญเหนือคู่ค้าในระดับโลกและมีเทคโนโลยีล้ำสมัยซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดในโลก
ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา Midea ได้ปรับปรุงและทำให้ระบบการจัดการการพัฒนาอย่างยั่งยืนของตนสมบูรณ์แบบ โดยได้ผสานแนวคิดของการพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้ในแทบทุกขั้นตอนของการผลิตและการดำเนินงาน ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการทำตามความมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าร่วมกันกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้สำเร็จ

Midea Shunde Industrial Park ใช้ระบบ PV แบบกระจาย อุปกรณ์จัดเก็บพลังงาน อุปกรณ์ HVAC ประสิทธิภาพสูง (รวมถึงยูนิตเชื่อมต่อ MDV8 หลายตัว) ลิฟต์อัจฉริยะดิจิทัล LINVOL โมดูลการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ และสายการผลิตอัตโนมัติเพื่อทำให้การเป็นสำนักงานสีเขียวและการผลิตคาร์บอนโดยมีต้นทุนต่ำสำเร็จ ความพยายามดังกล่าวนำไปสู่การรับรองโดย LEED & WELL ด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัลของ iBUILDING ระบบการจัดการคาร์บอนและระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ Midea Shunde Industrial Park ได้รับการผนวกรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ และยังบรรลุถึงความเป็นกลางทางคาร์บอนในพื้นที่สำนักงานอีกด้วย

ปัจจุบันโรงงาน Midea Chongqing ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสีเขียวและประหยัดพลังงานมากกว่า 15 รายการ แอปพลิเคชันฉากดิจิทัล 8 รายการ การรับรองและการให้คำปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม 3 รายการ และยังมีการเข้าถึงระบบข้อมูลมากกว่า 10 ระบบ และยังเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดและไฟฟ้าสีเขียวอย่างมีนัยสำคัญด้วยการติดตั้งแผง PV บนหลังคา ผนังอาคารที่มีแผงโซลาร์เซลล์แสงอาทิตย์แบบบูรณาการ และไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ โรงงาน Midea Chongqing ยังได้รับใบรับรองคาร์บอนเป็นกลาง PAS2060 ทำให้กลายเป็นหนึ่งในโรงงานต้นแบบที่ปลอดคาร์บอนแห่งแรกของ Midea

ด้วยคำแนะนำจากการให้คำปรึกษาด้านคาร์บอนขั้นสูงสุด โรงงาน Midea Jingzhou ได้สร้างเส้นทางปลอดคาร์บอนซึ่งประกอบด้วยสี่ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผนและการออกแบบ การก่อสร้าง การดำเนินงาน และการปฏิรูป นอกจากนี้ บริษัทยังใช้โซลูชันคาร์บอนเป็นศูนย์ที่สำคัญเพื่อให้ได้รับการรับรองทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเรื่องคาร์บอนเป็นศูนย์ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพและการจัดการพลังงานดังกล่าว ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการบำรุงรักษาจะลดลง 30% และการใช้พลังงานของโรงงานจะลดลง 5-20% โดยทั้งหมดนี้คือความพยายามในการลดคาร์บอน

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ดูเวอร์ชันต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20230213005693/en/

ติดต่อ

Lori Luo   luory17@midea.com

 

แหล่งที่มา: Midea Group

ในงาน MWC 2023 GIGABYTE จะมีการนำเสนอโซลูชัน 5G Edge และ Green Computing พร้อมเปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่แห่ง “Power of Computing”

Logo

TAIPEI–(BUSINESS WIRE)–15 กุมภาพันธ์ 2023

GIGABYTE ผู้นำด้านนวัตกรรมฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์และโซลูชันเซิร์ฟเวอร์ จัดงานแสดงผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ในงาน MWC 2023 (บูธ #5F60 ฮอลล์ 5) โดยเป็นครั้งแรกที่ GIGABYTE นำเสนอร่วมกับ Giga Computing ซึ่งเป็นบริษัทใหม่ล่าสุดภายในเครือ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในโซลูชันสำหรับองค์กร โดยจะร่วมกันเปิดตัวโซลูชันไอทีล่าสุดสำหรับ edge computinggreen computing, AI, ศูนย์ข้อมูล HPC และการใช้งานระบบคลาวด์สำหรับองค์กร โดยจะมีการแสดงภาพรวมของ "Power of Computing" และวิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและเปิดกว้างโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ของโลก

At MWC 2023, GIGABYTE to Present 5G Edge and Green Computing Solutions, Unveiling New Visions of “Power of Computing” (Photo: Business Wire)

ในงาน MWC 2023 GIGABYTE จะมีการนำเสนอโซลูชัน 5G Edge และ Green Computing พร้อมเปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่แห่ง “Power of Computing” (ภาพ: Business Wire)

ตั้งแต่วันที่ 27 เดือนกุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 2 เดือนมีนาคม ในงาน MWC GIGABYTE จะมีการนำเสนอเซิร์ฟเวอร์ซีรีส์ใหม่ที่มุ่งเน้นผลกระทบที่เกิดใน HPC การพัฒนา AI และระบบการประมวลผลบนคลาวด์ ด้วยความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน โซลูชันเซิร์ฟเวอร์ของ GIGABYTE เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและมีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในสถาบันการศึกษา ศูนย์การบินและอวกาศ บริการคลาวด์สาธารณะ บริษัทผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ และสตูดิโอผลิตแอนิเมชั่น เพื่อเปิดกว้างศักยภาพของนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ

ศูนย์ข้อมูล Edge จะช่วยเพิ่มการเติบโตของระบบนิเวศ 5G

ในระหว่างงาน MWC GIGABYTE จะมีการเปิดตัว เซิร์ฟเวอร์สำหรับ edge computing รุ่นล่าสุด โดยเซิร์ฟเวอร์ edge เหล่านี้จะสามารถประมวลผลข้อมูลด้วยความเร็วในการรับส่งข้อมูลและประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ดีเยี่ยมโดยใช้พลังงานที่น้อยลง การออกแบบแชชซีที่มีความลึกน้อยลงจะช่วยให้เซิร์ฟเวอร์มีขนาดที่เข้ากับพื้นที่ที่จำกัดใกล้กับแหล่งข้อมูล โดยเป็นส่วนที่สำคัญในการรองรับอุปกรณ์ IoT แบบเรียลไทม์ปริมาณมาก

ด้วยขอบเขตการครอบคลุมที่เพิ่มขึ้นในเครือข่าย 5G ระบบการผลิตแบบอัจฉริยะ เทคโนโลยียานยนต์ และ เมืองอัจฉริยะ ที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความต้องการของศูนย์ข้อมูล edge จำนวนสูง โดยโซลูชันเซิร์ฟเวอร์ edge ที่สมบูรณ์ของ GIGABYTE มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมให้องค์กรและสถาบันสามารถเปิดกว้างโอกาสการดำเนินการธุรกิจภายใต้ระบบ 5G ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

โซลูชัน Green Computing ของ GIGABYTE จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล พร้อมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยลง

การที่ศูนย์ข้อมูลมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงขึ้นถือเป็นความท้าทายที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมายให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ รวมถึงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าและสภาพอากาศที่รุนแรงทำให้โซลูชันการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูลยิ่งทำให้เป็นความต้องการที่สำคัญในกลยุทธ์ด้านไอที

GIGABYTE เตรียมนำเสนอ โซลูชันการระบายความร้อน และเซิร์ฟเวอร์ที่สอดคล้องกันในงาน MWC โดยจะมีการนำโซลูชันดังกล่าวมาใช้ในโรงหล่อ IC เพื่อปรับปรุงระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการกระจายความร้อนของศูนย์ข้อมูล HPC ให้ดียิ่งขึ้น โดยมีระดับ PUE (ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน) ลดลงเป็นอย่างมากต่ำกว่า 1.08 และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ HPC ให้มากขึ้นกว่า 10% โดยจะเป็นศูนย์ข้อมูลแม่แบบตัวอย่างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

GIGABYTE มีการสร้างมาตรฐานระดับสูงสำหรับเทคโนโลยี green computing สำหรับสายการผลิตเซิร์ฟเวอร์โดยรวม โดยเป็นที่รู้จักกันดีในด้านการออกแบบระบบระบายความร้อนระดับพรีเมียมและประสิทธิภาพที่โดดเด่นแม้จะมีโหลดการประมวลผลที่หนักหน่วง โดยมีสถาบันต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยและบริษัทโทรคมนาคมเข้าร่วมมือกับ GIGABYTE เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ดีเยี่ยมโดยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่น้อยลง

ในงาน MWC ที่กำลังจะมาถึงนี้ GIGABYTE ขอแสดงความยินดีต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อสำรวจวิสัยทัศน์อย่างชาญฉลาดและยั่งยืนยิ่งขึ้นผ่าน "Power of Computing" โดยไฮไลต์ในบูธจะเป็นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีของ edge computing, green computing, AI, ศูนย์ข้อมูล HPC และ enterprise cloud รวมถึงวิธีการผสานรวมโอกาสความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

เกี่ยวกับ GIGABYTE

GIGABYTE เป็นกลุ่มนักวิศวกร ผู้มีวิสัยทัศน์ และเป็นผู้นำในโลกแห่งเทคโนโลยีที่ใช้ความเชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์ นวัตกรรมที่ได้รับการจดสิทธิบัตร และความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ในการสร้าง แรงบันดาลใจ และพัฒนาให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น GIGABYTE เป็นรากฐานที่สำคัญในชุมชน HPC โดยมีชื่อเสียงในด้านความเป็นเลิศที่ได้รับรางวัลเกี่ยวกับเมนบอร์ดและกราฟิกการ์ดมากว่า 30 ปี นำธุรกิจไปสู่ความสำเร็จด้วยความเชี่ยวชาญด้านเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ GIGABYTE ทุ่มเทในการคิดค้นโซลูชันอัจฉริยะที่ปรับแปลงระบบดิจิทัลจาก edge เป็นคลาวด์ และช่วยให้ลูกค้าสามารถมองเห็นภาพรวม วิเคราะห์ และแปลงข้อมูลดิจิทัลให้เป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ และ "ยกระดับชีวิตของคุณ" พร้อมกับอยู่ในระดับแนวหน้าของเทคโนโลยี

เยี่ยมชม GIGABYTE MWC event page

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53314598/en

ติดต่อ

สื่อ: Michael Pao brand@gigabyte.com

แหล่งข้อมูล: GIGABYTE

FPT Software เป็นพันธมิตรกับ Anaplan Asia Pacific เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Logo

ฮานอย เวียดนาม–(BUSINESS WIRE)–8 กุมภาพันธ์ 2023

FPT Software ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและไอทีชั้นนำของเวียดนามเพิ่งเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Anaplan Asia Pacific ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการวางแผนธุรกิจและการตัดสินใจ ในฐานะพันธมิตรการผสานรวมระดับภูมิภาคของ Anaplan Asia Pacific นั้น FPT Software พร้อมที่จะมอบการจัดการประสิทธิภาพองค์กรบนคลาวด์ให้กับธุรกิจทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเป็นพันธมิตรนี้ขยายการเข้าถึงของ Anaplan ไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ในพอร์ตโฟลิโอการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลชั้นนำของโลกของ FPT Software ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลูกค้าธุรกิจจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการวางแผนทั่วทั้งองค์กร การรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล นอกจากนี้ ด้วยการใช้ประโยชน์จากความสามารถของทั้งสองฝ่าย การเป็นหุ้นส่วนยังมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างฝ่ายการเงินและฝ่ายปฏิบัติการ

ในฐานะภูมิภาคการค้าและการบริโภคที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก และเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุด ธุรกิจต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังลงทุนเพื่อสร้างความสามารถและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านดิจิทัล เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน การวิจัยโดย Altimeter เผยให้เห็นว่าผู้นำส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (72%) ไม่เพียงแต่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลด้วยจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังถือว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของลำดับความสำคัญสูงสุดทางธุรกิจในปีหน้า

นำโดยกลุ่ม Digital Transformation Group ของ FPT Software ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวได้รวมเอาความเชี่ยวชาญของ FPT Software ในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับแพลตฟอร์มการวางแผนที่เชื่อมต่อกันของ Anaplan ลูกค้าของ FPT Software ในหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ การผลิต โลจิสติกส์และการขนส่ง และสาธารณูปโภค จะสามารถควบคุมความสามารถพิเศษในการวางแผน การคาดการณ์ และการตัดสินใจของ Anaplan ได้ เป็นเช่นนั้นเพื่อยกระดับการเงิน ห่วงโซ่อุปทาน การขาย การตลาด และประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ด้วยโซลูชันการวางแผนที่เชื่อมต่อข้อมูลและจุดบอดให้กระจ่างทั่วทั้งแผนก องค์กรต่าง ๆ สามารถสร้างแหล่งข้อมูลจริงแหล่งเดียว ขจัดความจำเป็นในการประมาณการ และเข้าถึงข้อมูลอัจฉริยะที่จำเป็นได้เพื่อเตรียมพร้อมอย่างมั่นใจสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอน

Frank Bignone รองประธานฝ่าย Global Digital Transformation ของ FPT Software ให้คำมั่นสัญญาว่า “การเป็นหุ้นส่วนกับ Anaplan จะช่วยให้ FPT Software สามารถขยายขอบเขตออกไปในพอร์ตโฟลิโอของบริการ Digital Transformation ได้ เรายินดีที่ Anaplan แบ่งปันวิสัยทัศน์เดียวกันในโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ ในขณะที่นำเสนอข้อเสนอที่มีคุณค่าในการวางแผนธุรกิจ ด้วยการเป็นพันธมิตรกับ Anaplan นี้ เรากำลังเตรียมพร้อมที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความสามารถของเราในการวางแผนการเงินบนคลาวด์ (Cloud Financial Planning) เพื่อช่วยเหลือลูกค้าของเราให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ใน Fortune 500 เนื่องจากองค์กรเหล่านี้มีมุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ”

Mark Micallef รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและกรรมการผู้จัดการของ Anaplan กล่าวว่า "องค์กรต่าง ๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากหลายอุตสาหกรรมยอมรับ Anaplan เพื่อเร่งการตัดสินใจ ขับเคลื่อนประสิทธิภาพ และคงความยืดหยุ่น ความร่วมมือของเรากับ FPT Software จะช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างแกนหลักดิจิทัลสำหรับองค์กรของพวกเขา และสร้างความคล่องตัวได้อย่างมั่นใจ ด้วยแผนคาดการณ์ล่วงหน้าที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตทั่วทั้งการเงิน ห่วงโซ่อุปทาน พนักงาน และการขาย”

เกี่ยวกับ Anaplan

Anaplan เป็นลู่ทางการเปลี่ยนแปลงการมองเห็น วางแผน และดำเนินธุรกิจของคุณ ด้วยการใช้เทคโนโลยี Hyperblock™ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเรา Anaplan ช่วยให้คุณกำหนดบริบทของประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ และคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคตเพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็วและมั่นใจ Anaplan เปิดใช้งานกลยุทธ์และการวางแผนที่เชื่อมต่อทั่วทั้งองค์กรเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของคุณไปข้างหน้า โดย Anaplan ที่ตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโกมีพันธมิตรมากกว่า 200 รายและลูกค้ามากกว่า 2,000 รายทั่วโลก

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม โปรดไปที่ www.anaplan.com

เกี่ยวกับ FPT Software

FPT Software เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีและไอทีระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่ในเวียดนาม โดยมีรายได้มากกว่า 632.5 ล้านดอลลาร์และพนักงาน 25,500 คนใน 28 ประเทศ ในฐานะผู้บุกเบิกการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล บริษัทให้บริการระดับโลกในโรงงานอัจฉริยะ, แพลตฟอร์มดิจิทัล, RPA, AI, IoT, คลาวด์, AR/VR, BPO และอื่น ๆ ซึ่งให้บริการลูกค้ามากกว่า 1,000 รายทั่วโลก โดยหลายร้อยรายเป็นบริษัทที่ติดอันดับ Fortune Global 500 ในด้านยานยนต์ การธนาคารและการเงิน โลจิสติกส์และการขนส่ง สาธารณูปโภค และอื่น ๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ http://www.fpt-software.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53305143/en

ติดต่อ

Media
Mai Duong (Ms.)

FPT Software
ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์
อีเมล: MCP.PR@fsoft.com.vn
เว็บไซต์: https://www.fpt-software.com/newsroom/

Anaplan Media: Kate Hegarty – kate.hegarty@anaplan.com

แหล่งที่มา: FPT Software

The Bangkok Reporter