มูลนิธิ Merck ประกาศมอบรางวัลเชิดชูสื่อจากประเทศเอเชียภายใต้หัวข้อ ‘Stay at Home’

Logo

  • มูลนิธิ Merck สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาเนื่องในโอกาสวันอนามัยโลก
  • Rasha Kelej ซีอีโอมูลนิธิ Merck เริ่มต้นโครงการ “Separated but Connected”

มุมไบ, อินเดีย–(BUSINESS WIRE)–14 เมษายน 2563

มูลนิธิ Merck องค์กรเพื่อการกุศลภายใต้การดำเนินงานของ Merck KGaA ประเทศเยอรมนี ประกาศเปิดรับสมัครผู้สื่อข่าวจากประเทศในเอเชียเพื่อรับมอบรางวัลเชิดชูสื่อในหัวข้อ ‘Stay at Home’ สำหรับธีมในการมอบรางวัลของปีนี้ คือ ‘การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยและการดูแลสุขภาพกายและใจระหว่างการกักตัวในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา’

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200414005580/en/

Dr. Rasha Kelej, CEO of Merck Foundation with H.E. DJÈNÈ CONDÉ, The First Lady of Guinea; H.E. FATIMA MAADA BIO; The First Lady of Sierra Leone; H.E. Prof. GERTRUDE MUTHARIKA, The First Lady of Malawi; H.E. FATOUMATTA BAH-BARROW, The First Lady of The Gambia; H.E. DENISE NKURUNZIZA, The First Lady of Burundi; H.E. AÏSSATA ISSOUFOU MAHAMADOU, The First Lady of Niger; H.E. BRIGITTE TOUADERA, The First Lady of Central African Republic; H.E. REBECCA AKUFO-ADDO, The First Lady of Ghana; H.E. CLAR MARIE WEAH, The First Lady of Liberia; H.E. ANTOINETTE SASSOU-NGUESSO, The First Lady of Congo Brazzaville; H.E. MONICA GEINGOS, The First Lady of Namibia; H.E. AUXILLIA MNANGAGWA, The First Lady of Zimbabwe; H.E. NEO JANE MASISI, The First Lady of Botswana; H.E. Dr. ISAURA FERRÃO NYUSI, The First Lady of Mozambique and Former First Lady of Mauritania. (Photo: Business Wire)

Dr. Rasha Kelej ซีอีโอมูลนิธิ Merck พร้อมกับ H.E. DJÈNÈ CONDÉ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐกินี H.E. FATIMA MAADA BIO สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐเซียร์ราลีโอน H.E. Prof. GERTRUDE MUTHARIKA สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐมาลาวี H.E. FATOUMATTA BAH-BARROW สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐแกมเบีย H.E. DENISE NKURUNZIZA สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐบุรุนดี H.E. AÏSSATA ISSOUFOU MAHAMADOU สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐไนเจอร์ H.E. BRIGITTE TOUADERA สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐแอฟริกากลาง H.E. REBECCA AKUFO-ADDO, สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐกานา H.E. CLAR MARIE WEAH สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐไลบีเรีย H.E. ANTOINETTE SASSOU-NGUESSO, สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐคองโก H.E. MONICA GEINGOS สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐนามิเบีย H.E. AUXILLIA MNANGAGWA สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐซิมบับเว H.E. NEO JANE MASISI สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐบอตสวานา H.E. Dr. ISAURA FERRÃO NYUSI สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก และอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสาธารณรัฐอิสลามมอริเตเนีย (รูปภาพ: Business Wire)

Dr. Rasha Kelej ซีอีโอมูลนิธี Merck อธิบายว่า “นี่คือการเฉลิมฉลองวันอนามัยโลกของเรา การมอบรางวัลเชิดชูสื่อในหัวข้อ ‘Stay at Home’ จะกระตุ้นให้สื่อช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้กับชุมชนของเรา การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาในชุมชนจะนำไปสู่การสนับสนุนบุคลากรด้านสุขภาพผู้อยู่แนวหน้าของการรับมือกับไวรัส COVID-19 ด้วยการให้การรักษาและการดูแลในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ การมอบรางวัลยังจะช่วยเพิ่มความพยายามอันมุ่งมั่นของพวกเขาที่จะสร้างการพูดคุยกันในชุมชนเพื่อชี้ให้เห็นถึงความหวาดกลัวและคำถามต่าง ๆ เราขอส่งกำลังใจให้พวกเขาทุกคน”

“ระหว่างนี้ผมทำงานจากที่บ้านเช่นเดียวกับผู้คนส่วนใหญ่ ผมเรียกสิ่งนี้ว่าการรักษาระยะห่างทางกายภาพ ไม่ใช่การรักษาระยะห่างทางสังคม และอยากจะเชิญชวนให้ทุกท่านรักษาระยะห่างทางกายภาพในแบบที่ไม่ขาดการติดต่อสื่อสารระหว่างกันในสังคม จริง ๆ แล้วด้วยเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ปัจจุบัน พวกเราสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้แทบจะทุกวินาที ที่ยิ่งกว่านั้น พวกเราทั่วโลกต่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียวมากกว่าครั้งใด ๆ ขอให้เราปฏิบัติตามหลักการรักษาระยะห่างทางกายภาพ แต่อย่าหยุดติดต่อสื่อสารกันในทางสังคม เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ” Dr. Rasha Kelej ซีอีโอมูลนิธิ Merck กล่าว

รางวัลนี้เปิดรับสมัครนักข่าวจากทุกแขนงทั้งสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุและมัลติมีเดียจากทุกประเทศในเอเชีย การมอบรางวัลจะเลือกผู้ชนะมากกว่าหนึ่งรายจากแต่ละประเภทสื่อ สื่อที่มีความสร้างสรรค์และมีอิทธิพลมากที่สุดในการสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นชุมชนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่น่าวิตกกังวลนี้อย่างสม่ำเสมอจะได้รับการพิจารณาให้ได้รับรางวัลนี้

“เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องกักตัวอยู่ที่บ้านในช่วงนี้ พวกเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือและรับฟังข่าวสารผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ บุคลากรด้านสื่อทุกท่าน นี่คือเวลาที่ท่านจะได้ช่วยเหลือผู้คนให้ดูแลทั้งสุขภาพกายและใจของพวกเขาในช่วงเวลาที่น่ากังวลใจด้วยความคิดสร้างสรรค์ ข้อมูล และสื่อที่สร้างแรงจูงใจของพวกท่าน ท่านสามารถชี้แนะให้พวกเขาปรับเปลี่ยนตารางและจังหวะชีวิตใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม” Dr. Rasha Kelej กล่าวย้ำ

มูลนิธิ Merck ได้เริ่มโครงการมอบรางวัลนี้มาก่อนแล้วในประเทศในแอฟริกาและตะวันออกกลาง และจะขยายการมอบรางวัลนี้ไปยังกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้สื่อจากประเทศในซีกโลกใต้ได้มีส่วนร่วมกับโครงการนี้

รายละเอียดการมอบรางวัลเชิดชูสื่อในหัวข้อ “Stay at Home” โดยมูลนิธิ Merck

ผู้ที่มีสิทธิ์สมัคร:

ผู้สื่อข่าวประเภทสื่อสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุและมัลติมีเดียจากประเทศในเอเชีย

หมดเขตรับสมัคร:

ผู้สนใจสามารถสมัครได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563

วิธีการสมัคร

ผู้สนใจสามารถสมัครได้ทางอีเมล submit@merck-foundation.com

โดยระบุรายละเอียดของคุณ (ได้แก่ ชื่อ เพศ ประเทศ สื่อที่สังกัด ที่อยู่อีเมลและหมายเลขโทรศัพท์มือถือ) และแนบผลงานมาพร้อมกัน

ประเภทสื่อและเงินรางวัล:

ประเภทสื่อ

ทีวี

วิทยุ

สิ่งพิมพ์

ออนไลน์

เงินรางวัล

(สูงสุด)

500 ดอลลาร์สหรัฐ

500 ดอลลาร์สหรัฐ

500 ดอลลาร์สหรัฐ

500 ดอลลาร์สหรัฐ

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมูลนิธิ Merck
Google Play – https://play.google.com/store/apps/details?id=de.merck.foundation.googleplay
App Store – https://apps.apple.com/no/app/merck-foundation/id1297299793

เกี่ยวกับมูลนิธิ Merck

มูลนิธิ Merck ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2560 เป็นองค์กรการกุศลภายใต้การดำเนินงานของ Merck KGaA ประเทศเยอรมนี โดยมีจุดประสงค์เพื่อยกระดับสุขภาพและสุขภาวะของผู้คน และใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้การใช้ชีวิตของผู้คนมีความก้าวหน้า ความพยายามของเรามุ่งเน้นไปที่การยกระดับการเข้าถึงการแก้ปัญหาสุขภาพที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมของชุมชนที่ขาดแคลน การสร้างระบบดูแลสุขภาพและศักยภาพด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และสนับสนุนผู้คนในแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ (STEM) พร้อมให้ความสนใจหลักไปที่กลุ่มผุ้หญิงและเยาวชน เอกสารประชาสัมพันธ์ทั้งหมดของมูลนิธิ Merck มีการเผยแพร่ทางอีเมลพร้อมกับทางเว็บไซต์ของมูลนิธิ โปรดอ่านเพิ่มเติมที่ www.merck-foundation.com หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อเราผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่: Merck FoundationFacebookTwitter, Instagram, YouTube และ Flickr

เกี่ยวกับ Merck

Merck เป็นบริษัทชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ชีววิทยาศาสตร์ และวัตถุดิบอุตสาหกรรม พนักงานเกือบ 52,000 คนของเราต่างทำงานเพื่อยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ ที่จะยกระดับการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชีวเภสัชภัณฑ์สำหรับรักษาโรคมะเร็งหรือโรคปลอกประสาทอักเสบ ระบบเพื่อการวิจัยและการผลิตด้านวิทยาศาสตร์ที่ล้ำสมัย ไปจนถึงการพัฒนาคริสตัลเหลวสำหรับใช้ในสมาร์ตโฟนและโทรทัศน์จอ LCD

Merck ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2211 และเป็นบริษัทด้านเภสัชภัณฑ์และเคมีที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ครอบครัวผู้ก่อตั้งบริษัทยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Merck ถือครองสิทธิ์ในชื่อและแบรนด์ Merck ทั่วโลก ยกเว้นในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งบริษัทดำเนินธุรกิจในชื่อ EMD Serono, MilliporeSigma

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200414005580/en/

ติดต่อ:

Mehak Handa (ผู้จัดการโครงการสร้างความตระหนักรู้ให้ชุมชน) มูลนิธิ Merck, mehak.handa@exteral.merckgroup.com, +91-9319606669

สมาคมธนาคารไทย ชี้ผลกระทบโควิด-19 อาจสูงกว่า 1.3 ล้านล้านบาท เชื่อมาตรการรัฐช่วยลดผลกระทบ จำกัดการหดตัวทางเศรษฐกิจ

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–14 เมษายน 2563

imgสมาคมธนาคารไทย มองมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐมาเร็ว จัดใหญ่ จัดเต็ม เป็นยาดีช่วยลดผลกระทบวิกฤตโควิด-19 ชี้เร่งช่วยด้านสาธารณสุข อาชีพและปากท้อง เสถียรภาพเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน หากสถานการณ์สงบเร็วกระทบจีดีพี 7.7% หากยืดเยื้อความเสียหายอาจรุนแรงขึ้น

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง และสถาบันการเงิน ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือ SMEs และดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้เอกชน เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติพระราชกำหนด (พรก.) ให้อำนาจ ธปท.ออกซอฟท์โลน (Soft Loan) เพื่อดูแลภาคธุรกิจ พรก.ดูแลเสถียรภาพภาคการเงิน ตลอดจน พรก.กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งรวมแล้วคือ มาตรการเยียวยาระยะที่ 3 ที่มีวงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาทนั้น ถือว่ามีทั้ง ‘ความสำคัญ’ และ ‘ความจำเป็นอย่างยิ่ง’ ทั้งนี้ หากมองผลกระทบจากวิกฤตการระบาดของไวรัสฯ ในรอบนี้ สามารถประเมินเบื้องต้นเป็นเม็ดเงินสุทธิราว 1.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 7.7% ของจีดีพี โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวรายได้หายไปถึง 1.1 ล้านล้านบาท อันทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสหดตัวลึกใกล้เคียงกับปี 2540 และอาจจะลึกกว่านั้น หากการระบาดไม่สามารถควบคุมได้ภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ อันจะทำให้ผลกระทบในเชิงตัวเงินใหญ่ขึ้นอีกจนอาจจะแย่กว่าวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540

อย่างไรก็ตามจุดแตกต่างที่สำคัญระหว่างวิกฤตการระบาดของเชื้อโควิด-19 กับวิกฤตปี 2540 คือ ในรอบนี้ ทางการไทยออกมาตรการให้ความช่วยเหลือที่ ‘เร็ว’ และมี ‘ขนาดใหญ่’ เพื่อยับยั้งไม่ให้เหตุการณ์ทรุดลงแรงกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งสิ่งที่ต้องจัดการเป็นลำดับแรกๆ คือ การจัดการด้านสาธารณะสุขเพื่อยับยั้งการระบาดของโรคและดูแลผู้ป่วยในวงที่กว้างขึ้น รวมถึงการดูแลเรื่องอาชีพและปากท้องของประชาชน ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ มาตรการด้านการคลังจะเข้ามาเป็นกลไกหลัก ทำให้การอนุมัติ พรก.กู้เงินฯ เพิ่มเติมอีก 1 ล้านล้านบาท เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องเร่งทำ เพื่อดึงงบประมาณจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ มาเป็นทรัพยากรเพิ่มเติมสำหรับตอบวัตถุประสงค์ข้างต้น หลังจากที่งบกลางเดิมได้จัดสรรไปหมดแล้ว

ในอีกด้านหนึ่ง การดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจตลาดการเงินก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะปัจจุบันตลาดการเงินไทยเชื่อมโยงกับต่างประเทศมากขึ้นกว่าในปี 2540 มาก ทำให้ความตื่นตระหนก ไม่ว่าจะจากทั้งในและต่างประเทศ ก็สามารถฉุดให้อัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนในตลาดการเงินปรับตัวแรง จนกระทบความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน ตลอดจนสถานะทางการเงินลูกค้าธุรกิจและครัวเรือนได้ โดยการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจและตลาดการเงินนี้ ถือเป็นหน้าที่ของมาตรการด้านการเงิน ซึ่งควรเร่งอุดรูรั่วและเร่งสร้างความเชื่อมั่นของตลาดก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้น มาตรการ 9 แสนล้านบาทในรอบนี้ จึงจำเป็นต้องพุ่งเป้าหมายไปที่การจัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลตลาดตราสารหนี้เอกชนที่มีขนาดใหญ่ราว 22% ของจีดีพี ซึ่งจะช่วยทั้งตัวกิจการที่ต้องการระดมทุนไปชำระคืนหนี้เดิมและเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ รวมถึงช่วยผู้ลงทุนสถาบันและรายย่อย ซึ่งต้องยอมรับว่าในระยะหลัง ผู้ฝากเงินรายย่อยหันมาออมเงินทั้งทางตรงและทางอ้อมในตราสารหนี้มากขึ้น

นอกจากนี้ ความช่วยเหลือในครั้งนี้ ยังประกอบด้วยมาตรการช่วยภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ครอบคลุมกว่า 99% ของจำนวนกิจการทั้งหมด และการจ้างงานกว่า 85% ของการจ้างงานทั้งประเทศ หรือกว่า 13 ล้านคน ผ่านการให้ซอฟท์โลนเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแบบอัตโนมัติ ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็คาดหวังว่าการต่อลมหายใจทางธุรกิจ จะช่วยพยุงจ้างงานและกลไกของห่วงโซ่ธุรกิจบางส่วนให้พอเดินต่อไปได้ ในระหว่างที่ทุกคนรวมพลังอยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ

“ผมเชื่อมั่นว่า การดำเนินการต่าง ๆ ทั้งด้านการเงินและการคลังของภาครัฐ น่าจะทำให้การหดตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้อยู่ในขอบเขตจำกัด และไม่น่าจะลุกลามจนกลายเป็นวิกฤตที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ แม้ว่าในที่สุดแล้ว สถานการณ์ต่าง ๆ จะยังคงขึ้นอยู่กับว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะยุติลงเมื่อใด แต่ก็เชื่อว่า หากมีความจำเป็น ทางการไทยยังมีทรัพยากรอีกมากเพียงพอที่จะประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน” นายปรีดี กล่าวในตอนท้าย

swIDch: ทำไมบัตรที่ไม่มีเลขจึงไม่เพียงพอสำหรับป้องกันการฉ้อโกงในการชำระเงิน

Logo

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–14 เมษายน 2563

swIDch สตาร์ทอัพด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จากสหราชอาณาจักร ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีทางเลือกที่จะเอาชนะข้อจำกัดเรื่องบัตรที่ไม่มีเลขบนบัตร (numberless card) โดยการใช้หมายเลขบัญชีหลักของบัตร (PAN) ที่ไม่ซ้ำเดิม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมด้านความปลอดภัยใหม่ในกระบวนการชำระเงิน

A UK cybersecurity startup, swIDch, announced an alternative technology to overcome the limitations of numberless cards by using its Dynamic Virtual PAN (primary account number) technology, thereby creating a new security environment in the payment process. This patented technology is a complete API-driven, CNP security solution that replaces static with dynamic PANs as well as eliminating access points for hackers. (Graphic: Business Wire)

swIDch สตาร์ทอัพด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จากสหราชอาณาจักร ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีทางเลือกที่จะเอาชนะข้อจำกัดเรื่องบัตรที่ไม่มีเลขบนบัตรโดยการใช้หมายเลขบัญชีหลักของบัตร (PAN) ที่ไม่ซ้ำเดิม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมด้านความปลอดภัยใหม่ในกระบวนการชำระเงิน เทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้วนี้เป็นโซลูชันความปลอดภัยสำหรับบัตรที่ไม่มีการแสดงตน (CNP) ที่รองรับการเชื่อมต่อ API อย่างเต็มรูปแบบ โดยจะแทนที่หมายเลขบัญชีหลักของบัตรที่เป็นหมายเลขเดียวตลอดให้เป็นหมายเลขที่ไม่ซ้ำกัน รวมถึงลดจุดที่แฮกเกอร์จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ (กราฟิก: Business Wire)

การนำตัวเลขออกจากบัตรชำระเงินเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในกรณีที่ลูกค้าทำบัตรหาย อย่างไรก็ตาม แฮกเกอร์ยังสามารถหาประโยชน์จากจุดอ่อนนี้ได้ผ่านการชำระเงินออนไลน์

บัตรที่ไม่มีเลขบนบัตรกลายเป็นเทรนด์ใหม่ด้านการเงินพร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-wallet และบัตรเครดิตของ Apple บริการ GrabPay ในเอเชีย และธุรกิจฟินเทคในยุโรปหลายเจ้ามีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีข้อดีคล้ายกันนี้ จุดประสงค์ของบัตรที่ไม่มีตัวเลขคือการเพิ่มความปลอดภัย วิธีนี้เป็นการลดความเสี่ยงการสูญเสียของข้อมูลส่วนตัวในกรณีที่บัตรตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ไม่หวังดี อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงการชำระเงินทางออนไลน์แล้ว ข้อมูลการเข้าสู่ระบบของลูกค้าก็ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นเป้าของการฉ้อโกงด้วยบัตรที่ไม่มีการแสดงตน (CNP) ด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่าข้อมูลบัตรของลูกค้าเป็นข้อมูลเดิมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สำหรับการชำระเงินออนไลน์ ลูกค้ามักจำเป็นต้องกรอกข้อมูลบัตรของตน แต่สำหรับผู้ที่ใช้บัตรที่ไม่มีเลขบนบัตร พวกขาสามารถดูหมายเลขบัตรได้จากแอปพลิเคชันของผู้ออกบัตร แต่ระหว่างกระบวนการนี้ แฮกเกอร์จะสามารถเข้าถึงหมายเลข PAN ที่เป็นหมายเลขเดิมได้ และเจ้าของบัตรจะตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงด้วยบัตรที่ไม่มีการแสดงตัวตน ผลเสียอีกอย่างจากการใช้หมายเลข PAN ที่ไม่มีการเปลี่ยนเลย คือ การโจมตีรหัส BIN ที่เป็นหมายเลขระบุตัวตนของธนาคาร ซึ่งทำให้อาชญากรทางไซเบอร์รู้รหัส BIN และสร้างหมายเลขบัตรที่สามารถใช้ได้จริงขึ้นมาได้อย่างเป็นระบบ

เพื่อป้องกันการฉ้อโกงด้วยบัตรที่ไม่มีการแสดงตน ผู้ให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้นำเทคโนโลยีเปลี่ยนหมายเลขให้เป็นรหัสโทเค็น (tokenization) มาใช้แทนที่ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนสำหรับการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ตาม มีผู้ค้าออนไลน์เพียง 35% เท่านั้นที่นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ ทำให้ที่เหลือมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงด้วยบัตรที่ไม่มีการแสดงตน

ขณะที่ธนาคารบางแห่งหาทางออกด้วยการออกบัตรเสมือนจริงแบบใช้ครั้งเดียว แต่บริการนี้มีต้นทุนที่สูงมาก แล้วถ้าลูกค้าสามารถสร้างบัตรเสมือนจริงที่มีรหัสไม่ซ้ำได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตสำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์แต่ละครั้งเพื่อลดต้นทุนให้กับธนาคารได้ละ

swIDch ได้เปิดตัวเทคโนโลยี Dynamic Virtual PAN สำหรับธุรกิจ ซึ่งเป็นโซลูชันสำหรับบัตรที่ไม่มีเลข เทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้วนี้เป็นโซลูชันความปลอดภัยสำหรับบัตรที่ไม่มีการแสดงตน (CNP) ที่รองรับการเชื่อมต่อ API อย่างเต็มรูปแบบ โดยจะแทนที่หมายเลขบัญชีหลักของบัตรที่เป็นหมายเลขเดียวตลอดให้เป็นหมายเลขที่ไม่ซ้ำกัน รวมถึงลดจุดที่แฮกเกอร์จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้

นอกจากนี้ swIDch ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาบัตรดิจิทัลดิสเพลย์ที่จะต้องใช้ข้อมูลไบโอเมตริกในการเข้าใช้ โดยบัตรนี้จะแสดงหมายเลขบัตรที่ไม่ซ้ำกันในการพิสูจน์ตัวตน บัตรนี้ไม่มีแบตเตอรี่แต่จะใช้ระบบเก็บเกี่ยวพลังงานเพื่อดึงพลังงานจากอุปกรณ์ NFC แทน บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวบัตรดิจิทัลใหม่นี้ในเดือนมิถุนายน ปี 2563 พร้อมกับการประกาศความร่วมมือกับผู้ผลิตบัตร

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52201949/en

ติดต่อ:

swIDch Ltd.
Su Hyun Luquet
+44-7951-409-765
info@swidch.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hytera เดินหน้าต่อสู้กับ COVID-19 ด้วยการป้องกันการติดเชื้อจากการปนเปื้อน

Logo

เซินเจิ้น จีน–(บิสิเนสไวร์)–13 เม.ย. 2563

ณ วันที่ 9 เมษายนปี 2563 กว่า 1.5 ล้านคนทั่วโลกได้รับการวินิจฉัยว่าติดโรค COVID-19 ตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO)  ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ Hytera ผู้ให้บริการเครือข่ายการสื่อสารไร้สายระดับมืออาชีพและเอกชนชั้นนำระดับโลกได้ดำเนินการบริจาคผลิตภัณฑ์ต่างๆ และสนับสนุนการบริการไปยังประเทศและภูมิภาคต่างๆ  นอกจากนี้ บริษัทยังได้มอบหมายให้โรงงานผลิตอัจฉริยะหันมาผลิตหน้ากาก  ทาง Hytera ได้บริจาคหน้ากากกว่า 1 ล้านใบให้แก่ฟิลิปปินส์ ไทย พม่า รัสเซีย แอฟริกาใต้ และประเทศอื่นๆ

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200409005427/en/

A total of 1 million masks have already been donated by Hytera to Uzbekistan, the Philippines, Thailand, Myanmar, Russia, South Africa and other countries. (Photo: Business Wire)

Hytera ได้บริจาคหน้ากากกว่า 1 ล้านใบให้แก่ฟิลิปปินส์ ไทย พม่า รัสเซีย แอฟริกาใต้ และประเทศอื่นๆ (ภาพ: บิสิเนสไวร์)

เพื่อสนับสนุนความการตอบโต้ COVID-19, Hytera ได้บริจาควิทยุ DMR ให้กับ Chevra Hatzalah เพื่อช่วยปกป้องอาสาสมัครในมหานครนิวยอร์กซึ่งเป็นศูนย์กลางของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ในสหรัฐอเมริกา  Chevra Hatzalah เป็นองค์กรผู้ให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยดำเนินงานใน 16 ประเทศและให้บริการชุมชนชาวยิวเป็นส่วนใหญ่

หนึ่งในค่านิยมหลักของการสื่อสารไร้สายแบบมืออาชีพและส่วนตัวคือการให้การสื่อสารที่สำคัญและสนับสนุนรัฐบาลและหน่วยงานตอบสนองแนวหน้าสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยในช่วงสถานการณ์ที่สำคัญ

โซลูชันทางธุรกิจของ Hytera ได้ถูกนำไปใช้ในกว่า 120 ประเทศและภูมิภาคและใช้ในการสื่อสารส่วนตัวเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ การขนส่ง การช่วยเหลือฉุกเฉิน และบริการผู้ให้บริการเพื่อต่อสู้กับ COVID-19  ในปัจจุบันโรงพยาบาลและหน่วยงานตำรวจหลายแห่งในสเปน สหราชอาณาจักร ฟิลิปปินส์ และเกาหลีกำลังต่อสู้กับโรคระบาดโดยได้รับการสนับสนุนโซลูชั่นการสื่อสารของ Hytera  ในอาบูดาบีได้ประกาศเคอร์ฟิวเพื่อป้องกันโรคระบาด  ตำรวจได้ใช้วิทยุขั้นสูงหลายโหมดของ Hytera เพื่อช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของผู้คนในพื้นที่สาธารณะ

Hytera ให้อำนาจผู้คนในการจัดการและแก้ไขความโกลาหลที่เกิดจากการระบาดของ COVID-19 และให้ความคุ้มครองเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการปนเปื้อนจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ทำการตรวจสอบชายแดน เจ้าหน้าที่ของรัฐที่กำลังหารือโครงการต่อต้านการแพร่ระบาดและทำการกำกับดูแล หน่วยงานกู้ภัยที่ใช้วัสดุป้องกันการแพร่ระบาด และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่เผชิญกับโรคระบาดในแนวหน้า

ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ Hytera ได้ใช้ประโยชน์จากการผลิตอัจฉริยะและการรวมโซ่อุปทานเพื่อสร้างสายการผลิตผลิตหน้ากากในฐานะบริษัทผู้ผลิตที่มีความสามารถในการผลิตอัจฉริยะระดับโลก 

นอกเหนือจากความพยายามดังกล่าว Hytera ยังพัฒนาโซลูชันการป้องกันโรคระบาดซึ่งมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนการตรวจสอบชายแดน การจัดการโรงพยาบาล และการตรวจสอบองค์กรซึ่งจะเข้าสู่ตลาดประมาณ 10 เมษายน

อ่านที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200409005427/en/

ติดต่อ:

Shaowa Cai
Shaowa.cai@hytera.com

ศูนย์อาเซียน – ญี่ปุ่น กล่าวว่ามีการค้นพบศักยภาพการส่งออกของกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุดในอาเซียนโดยใช้รูปแบบใหม่ของการค้า

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)– 10 เมษายน 2562

การผลิตเพื่อการขยายสู่ตลาดต่างประเทศโดยไม่ถือหุ้นโดยตรง หรือ non-equity modes  (NEMs) กำลังเพิ่มขึ้นทั้งในสปป. ลาวและพม่า ซึ่งถูกสะท้อนให้เห็นจากการใช้การค้ารูปแบบใหม่นี้เป็นวิธีการส่งออกของทั้งสองประเทศ  มีการประมาณการว่าสปป. ลาวมีมูลค่าส่งออกเป็นจำนวน 274 ล้านเหรียญสหรัฐในเครื่องจักรไฟฟ้า และอีก 132 ล้านเหรียญสหรัฐในเครื่องนุ่งห่ม ส่วนที่พม่ามีการประมาณมูลค่าส่งออกเครื่องนุ่งห่มประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมากกว่าร้อยละ 70 ของการส่งออกเครื่องนุ่งห่มจากพม่าทั้งหมดมาจากวิธี NEM ทั้งนี้ข้อมูลได้จากการอ้างอิงรายงานใหม่ของศูนย์อาเซียน – ญี่ปุ่น ที่เกี่ยวกับ  NEMs ชื่อว่า (การขยายสู่ตลาดต่างประเทศโดยไม่ถือหุ้นโดยตรงในอาเซียน: สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ Non-Equity Modes of Trade in ASEAN: Lao People’s Democratic Republic; และการขยายสู่ตลาดต่างประเทศโดยไม่ถือหุ้นโดยตรงในอาเซียน: พม่า หรือ Non-Equity Modes of Trade in ASEAN: Myanmar)

รายงานได้ถูกเผยแพร่ในวันนี้ในเวลาเดียวกัน [https://www.asean.or.jp/en/trade-info/nem_papers/])

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคุณสมบัติเป็นมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200409005886/en/

"Non-Equity Modes of Trade in ASEAN: Lao People’s Democratic Republic" and "Non-Equity Modes of Trade in ASEAN: Myanmar" are downloadable from the AJC Website. (Graphic: Business Wire)

สามารถดาวน์โหลดรายงานการขยายสู่ตลาดต่างประเทศโดยไม่ถือหุ้นโดยตรงในอาเซียน: สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ Non-Equity Modes of Trade in ASEAN: Lao People’s Democratic Republic; และรายงานการขยายสู่ตลาดต่างประเทศโดยไม่ถือหุ้นโดยตรงในอาเซียน: พม่า หรือ Non-Equity Modes of Trade in ASEAN: Myanmar ได้ที่เว็บไซต์ของ AJC (กราฟิก: Business Wire)

บริษัทของทั้งสองประเทศอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้วิธี NEMs โดยใช้การรับเหมาช่วง การใช้สัญญาการจัดการและแฟรนไชส์ เป็นต้น

อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มเป็นหนึ่งอุตสาหกรรมที่ส่งออกและการจ้างงานในธุรกิจ NEM มากที่สุดอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการรับเหมาช่วง โดยทั่วไปโรงแรมนานาชาติจะดำเนินการในประเทศเหล่านี้ผ่านสัญญาการจัดการหรือข้อตกลงแฟรนไชส์

อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับกระบวนการจ้างจากภายนอก หรือ The information technology-business process outsourcing (IT-BPO) เป็นอุตสาหกรรมใหม่และมีศักยภาพในการเติบโตเป็นอย่างมาก และเนื่องจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูง รัฐบาลจึงจำเป็นจะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเครือข่ายการสื่อสารเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต

ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด หรือ  least developed countries (LDCs) เหล่านี้ ควรใช้ประโยชน์จากโอกาสที่บรรษัทข้ามชาติ หรือ transnational corporations (TNCs) เสนอให้ เมื่อได้รับข้อเสนอเอาท์ซอร์สให้เป็นผู้รับจ้างผลิตสินค้าหรือบริการหรือเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตไปยังประเทศนั้น ๆ

บริษัทด้าน NEM กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ เพราะ บรรษัทข้ามชาติ หรือ TNCs สามารถยกเลิกสัญญาได้อย่างง่ายดายโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณภาพของบริการหรือสินค้าที่จัดหาไม่ตรงตามมาตรฐานของพวกเขา หรือเมื่อมีการเพิ่มขึ้นของซัพพลายเออร์ที่เป็นคู่แข่งรายอื่นที่มาจากประเทศอื่น ๆ

รัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาขีดความสามารถด้าน NEM เพื่อให้บริษัทในท้องถิ่นสามารถใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยบรรษัทข้ามชาติอย่างเหมาะสม เนื่องจากการแข่งขันที่สูงบีบบังคับให้บรรษัทข้ามชาติต้องทำการปรับคุณภาพและราคาของซัพพลายเออร์อย่างต่อเนื่อง

นอกเหนือจากการยกระดับแรงงานและปรับปรุงสภาพการลงทุนแล้ว รัฐบาลควรสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานโดยทั่วไป และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาเช่นนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับบริษัท NEM ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อและประสานงานกับห่วงโซ่คุณค่าระดับโลกได้อย่างทันการแข่งขันตลาด และเพื่ออัพเกรดบริษัทของพวกเขาอีกด้วย

รัฐบาลของทั้งสองประเทศควรพิจารณาดำเนินการและเสริมสร้างกรอบการกำกับดูแลสำหรับบริษัท NEM ต่าง ๆ เพื่อให้บริษัท NEM เหล่านี้สามารถส่งออก ขยายการจ้างงาน และอัพเกรดเทคโนโลยีของตนเองได้

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200409005886/en/

ติดต่อ:

ASEAN-Japan Centre

Tomoko Miyauchi

เว็บไซต์: www.asean.or.jp/en/

อีเมล: toiawase_ga@asean.or.jp

กสิกรไทยนำร่อง ลดดอกกู้ทั้ง MLR, MOR และ MRR 0.40% สนองมาตรการภาครัฐทันที มีผล 10 เม.ย.นี้

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–9 เมษายน 2563

imgนายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยพร้อมสนับสนุนกลไกภาครัฐเพื่อช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มของธนาคาร โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR, MOR และ MRR ทันทีอีก 0.40% หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปแล้ว เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ทำให้อัตราดอกเบี้ย MLR ปรับลดมาอยู่ที่ระดับ 5.60% MOR และ MRR ปรับลดมาอยู่ที่ระดับ 6.22% และ 6.10% ตามลำดับ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งมาตรการเพิ่มเติมจากมาตรการอื่น ๆ ที่ธนาคารได้มีการประกาศใช้เพื่อให้ความช่วยเหลือและลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกค้าของธนาคารอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการช่วยดูแล และประคับประคองลูกค้าของธนาคารให้ผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตไปได้

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ธนาคารปรับลดเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเท่านั้น ยังไม่ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงแต่อย่างใด โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2563 เป็นต้นไป

Bityard เปิดตัวแล้ว! ลงทะเบียนตอนนี้เพื่อรับ 258 USDT ฟรี!

Logo

สิงคโปร์–(THAI BUSINESS NEWS)–8 เมษายน 2563

Bityard แพลตฟอร์มการซื้อขายสัญญาดิจิทัลชั้นนำของโลกได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในอุตสาหกรรมเผยว่า Bityard ได้รับเงินทุนจากกองทุนสหรัฐมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นผู้นำอุตสาหกรรมสำหรับสัญญาที่ซับซ้อนและการทำธุรกรรมที่เรียบง่าย  ที่ Bityard วิสัยทัศน์ของเราคือการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการคาดการณ์ล่วงหน้า การขยายไปยังตลาดต่างประเทศ และการสร้างระบบนิเวศภายใต้ชื่อแบรนด์ของเรา

Bityard ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2562 และมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ โดยเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายสัญญาสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำของโลกซึ่งกำกับโดยหน่วยงานสำหรับธุรกิจบริการทางการเงินของสหรัฐอเมริกา (American Money Services Businesses)  หน่วยงานด้านการบัญชีและการกำกับดูแลองค์กรของสิงคโปร์ (Singaporean Accounting and Corporate Regulatory Authority – ACRA) และหน่วยงานกำกับ MTR ของเอสโตเนียสำหรับสหภาพยุโรป  ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Bityard มุ่งสนองความต้องการด้านตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในท้องที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวโน้มบล็อคเชนที่ขับเคลื่อนโดยภาครัฐ  Bityard ไม่เพียงแต่จะดึงดูดความสนใจด้วยบริการธุรกรรมดิจิทัลที่ปลอดภัย เรียบง่าย และรวดเร็วแล้ว แต่เรายังได้มีแชมป์มวยไทยในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Bityard  โดยแชมป์มวยท่านนี้จะเดินหน้าเพื่อสร้างความสนใจในประเทศบ้านเกิดของเขาและอื่นๆ

ในช่วงปีที่มีความไม่แน่นอน ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีก็จะยิ่งผันผวนมากตาม  ในขณะที่ทุกคนยังถกกันเรื่องการลดรางวัลบล็อกครึ่งนึงเป็นครั้งที่สามของ Bitcoin เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นโดยมีความกลัวไวรัสโคโรนาเป็นตัวผลักดัน โดยราคาของคริปโทเคอร์เรนซีต่างๆ ได้ลดลงครึ่งหนึ่ง ตามด้วยการรีบาวด์ราคาอย่างรวดเร็วจากจุดต่ำสุดมากกว่า 60%  การซื้อสัญญาย่อมจะเป็นสนามรบหลักที่มีการแข่งขันกันมากที่สุดในปีนี้  ในฐานะผู้เข้าตลาดรายใหม่ผู้ก่อตั้ง Bityard ทราบดีว่าการได้มาซึ่งตำแหน่งที่แข็งแกร่งในตลาดสัญญาที่มีการแข่งขันสูงนั้นจำเป็นต้องประสบความสำเร็จในการสร้างนวัตกรรม

imgชุมชนที่มีศักยภาพซ่อนเร้น: ผู้ที่รอคอย ธุรกรรมที่เรียบง่าย

การวิจัยจำนวนมากพบว่าในตลาดสกุลเงินดิจิทัลที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ได้มีกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพสูงเกิดขึ้น  ผู้บริโภคเหล่านี้เห็นด้วยกับแนวคิดของการซื้อขายสัญญาและคาดว่าจะใช้เลเวอเรจในการขยายผลกำไร  อย่างไรก็ตามสัญญาเหล่านี้ยังมีความซับซ้อน  เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยกเลิกสัญญา ผู้ใช้ดังกล่าวลังเลที่จะใช้สัญญาเหล่านี้  Bityard ได้ก่อตั้งขึ้นเพราะเห็นศักยภาพของผู้ใช้จำนวนมากในชุมชนคริปโทเคอร์เรนซีที่ต้องการธุรกรรมที่เรียบง่ายและอนุพันธ์ต่างๆ 

แนวคิดผลิตภัณฑ์: สัญญาที่ซับซ้อนด้วยธุรกรรมที่เรียบง่าย

Bityard ยึดมั่นในแนวคิดผลิตภัณฑ์ "สัญญาที่ซับซ้อนด้วยธุรกรรมที่เรียบง่าย" และมุ่งสร้างประสบการณ์การทำงานที่เรียบง่ายที่สุดให้แก่ลูกค้า  จากการสัมภาษณ์กับฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ผู้สื่อข่าวต่างๆ ได้ทราบว่าทางทีมงานได้ทำงานอย่างหนักเพื่อให้ผู้ใช้เปิดใช้งานได้อย่างรวดเร็ว  การเปิดบัญชีนั้นง่ายดาย: คุณเพียงแค่ลงทะเบียนด้วยอีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือเท่านั้นและคุณสามารถเป็นผู้ใช้ Bityard ได้ภายใน 30 วินาที  การเติมเงินที่เรียบง่าย: ปัจจุบัน bityard รองรับการใช้สกุลเงินดิจิทัล 6 สกุลเงินเป็นวิธีการเติมบัญชีของผู้ใช้  นอกจากนี้ยังสนับสนุนสกุลเงินเหรินหมินปี้ของจีนและเงินดองของเวียดนาม โดยมีแผนจะเพิ่มสกุลเงินอื่นในอนาคต  นอกจากนี้ยังมีระบบให้โอนเงินระหว่างนายจ้างและลูกจ้างซึ่งอำนวยความสะดวกโดยตัวแทน  การซื้อขายอย่างง่าย: การลดความซับซ้อนของฟังก์ชั่นการซื้อขาย  ผู้ใช้สามารถซื้อขายได้ตั้งแต่ 5 USDT  เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Bityard ได้ประกาศเปิดตัวกิจกรรมการขุดเหรียญรายวัน  โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้ หลังจากการลงทะเบียนผู้ใช้แต่ละครั้ง คุณสามารถรับ Bitcoin, Ethereum, EOS, Tron และสกุลเงินดิจิทัลที่สำคัญอื่นๆ ได้ฟรีในมูลค่าถึง 258 USDT  นอกจากนี้คุณยังสามารถรับสกุลเงินแพลตฟอร์มแรก BYD ของ Bityard ได้  หลังจากที่ได้จดทะเบียน BYD จะได้รับการยอมรับอย่างดี!

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมลงทะเบียนบัญชีที่ bityard ได้แล้ววันนี้! เยี่ยมชม www.bityard.com เพื่อลงทะเบียนเพื่อรับประสบการณ์และสิทธิประโยชน์ของคุณ!

Dataiku 7 เพิ่มประสิทธิภาพของการใช้งานร่วมกับ Microsoft 365 สำหรับการทำงานร่วมกันกับ AI เรียลไทม์ ที่สามารถปรับระดับได้ตามความต้องการ

Logo

Drive Dataiku เวอร์ชันล่าสุดสามารถใช้งานโปรเจคท์ AI แบบเรียลไทม์ ร่วมกับ Microsoft Teams, SharePoint และ OneDrive

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–7 เมษายน 2563

Dataiku ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มการเรียนรู้ของเครื่องจักร และ Enterprise AI ชั้นนำของโลก ได้ประกาศเปิดตัว Dataiku 7 ซึ่งเป็นการบูรณาการการใช้งานร่วมกับบริการของ Microsoft 365 ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งรวมไปถึงบริการ Microsoft Teams, SharePoint และ OneDrive อีกด้วย ส่งผลให้ให้ลูกค้าที่ใช้ Teams สามารถติดตามและแบ่งปันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโปรเจ็คท์ AI ต่าง ๆ ของพวกเขาได้โดยตรง

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคุณสมบัติด้านมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200407005228/en/

(Graphic: Business Wire)

(กราฟิก: Business Wire)

Dataiku 7 ซึ่งได้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 18 มีนาคมบน Microsoft Azure Marketplace นำเสนอฟีเจอร์การทำงานที่มีประสิทธิภาพสำหรับโปรไฟล์ด้านเทคนิคเพื่อทำงานในโครงการการเรียนรู้ของตัวเครื่องแมชชีน ซึ่งรวมถึงการบูรณาการ Git ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น อินเตอร์เฟส EDA ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการวิเคราะห์ทางสถิติ และความสามารถในการอธิบายระดับแถว หรือ row-level explainability เพื่อโปรโมต AI กล่องขาว

“Dataiku เข้าใจดีว่าองค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง และต้องสร้างข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงเพื่อนำไปใช้กับโครงการ AI ได้ทั้งหมดทุกโครงการในธุรกิจของพวกเขา” Florian Douetteau CEO ของ Dataiku กล่าว “การผนวกรวมครั้งล่าสุดกับ Microsoft แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนสำคัญในการขยายแพลตฟอร์มของเราเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึง Enterprise AI ที่สามารถใช้ได้กับโครงการทุกขนาด สามารถทำงานร่วมกันกับแพลตฟอร์มที่หลากหลาย และที่สามารถให้ข้อมูลชี้แจงได้”

Mike Ammerlaan ผู้อำนวยการฝ่ายระบบนิเวศของ Microsoft 365 ที่ Microsoft กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้เห็น Dataiku ขยายแพลตฟอร์มเพื่อนำเสนอคุณสมบัติที่ดีขึ้นซึ่งมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันสำหรับโครงการ AI ต่าง ๆ ของลูกค้า

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการรวมของ Dataiku กับ Microsoft และการดูตัวอย่างวิธีที่ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ใช้งานจริง ลงทะเบียนร่วมการสัมมนาทางเว็บของเรา ในวันที่ 16 เมษายน หรือเข้าไปที่ Dataiku/Partners/Microsoft

เกี่ยวกับ Dataiku

Dataiku เป็นแพลตฟอร์มข้อมูลแบบรวมศูนย์ที่สามารถใช้งานกับวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูล (data science) การเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) และ AI ในองค์กร การใช้บริการของ Dataiku ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้รับการเสริมพลัง ช่วยผลักดันให้สามารถติดตามการเดินทางของข้อมูลตั้งแต่การเตรียมข้อมูลไปจนถึงการวิเคราะห์ในระดับ AI องค์กร ทั้งนี้ Dataiku เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับบริษัทต่าง ๆ โดยใช้การสร้างพื้นฐานร่วมกันสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลและนักสำรวจพื้นที่ การเก็บข้อมูลของแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด การมีทางลัด (shortcut) สู่การเรียนรู้ของเครื่องและการปรับใช้ / การจัดการ AI  และการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมจากส่วนกลาง

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200407005228/en/

ติดต่อ:

Laurel Toney

Strange Brew Strategies

dataiku@strangebrewstrategies.com

ธุรกิจยังคงดำเนินการตามปกติที่ศูนย์การผลิตอัจฉริยะของ Hytera ท่ามกลาง COVID-19

Logo

ศูนย์การผลิตอัจฉริยะของ Hytera ในเซินเจิ้นสามารถรักษาการผลิตได้ท่ามกลางการระบาดของ COVID-19  ความยืดหยุ่นที่มีอยู่ในศูนย์ทำให้ Hytera สามารถผลิตหน้ากากแบบใช้แล้วทิ้งเพื่อช่วยชดเชยการขาดแคลนทั่วโลกที่เกิดจากไวรัส

เซินเจิ้น จีน–(บิสิเนสไวร์)–3 เมษายน 2563

Hytera Communications ผู้ให้บริการระบบการสื่อสารเอกชนระดับมืออาชีพได้รักษาระบบการผลิตได้ตามปกติท่ามกลางการหยุดชะงักของการผลิตทั่วโลกจากการระบาดของ COVID-19 เนื่องจากได้ลงทุนในระบบผลิตและซัพพลายเชน

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20200324005461/en/

Hytera's intelligent manufacturing center stays business as usual (Photo: Business Wire)

ศูนย์การผลิตอัจฉริยะของ Hytera ยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ (รูปภาพ: บิสิเนสไวร์)

สาเหตุสำคัญของความสามารถการผลิตนี้เป็นเพราะศูนย์การผลิตอัจฉริยะของ Hytera ในเมืองเซินเจิ้น
ประเทศจีน ซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติขั้นสูง

ระบบการผลิตอัจฉริยะก่อให้เกิดกระบวนการผลิตและซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นและคล่องตัว  ทางศูนย์ได้ออกแบบระบบการผลิตและการจัดการอัจฉริยะ การจ่ายงานแบบอัตโนมัติ การประกอบและการทดสอบการทำงานเพื่อรับประกันความแม่นยำในการผลิตและประสิทธิภาพในระดับสูง สิ่งเหล่านี้ยังได้รับการเอื้ออำนวยจากระบบบรรจุภัณฑ์อัตโนมัติและความสามารถในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์จากระยะไกล

หัวใจสำคัญของระบบการผลิตอัจฉริยะของ Hytera คือการผลิตที่ยืดหยุ่นซึ่งใช้ระบบการดำเนินการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผ่านข้อมูลแบบเรียลไทม์ ระบบการผลิตมีความยืดหยุ่นจนสามารถปรับโครงสร้างใหม่เพื่อผลิตสินค้าที่แตกต่างกันมากมาย จึงมั่นใจได้ว่าสามารถตอบสนองต่อตลาดที่เปลี่ยนแปลงและความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

Hytera เริ่มใช้ระบบการผลิตอัจฉริยะที่ศูนย์เซินเจิ้นตั้งแต่ปี 2556  เพื่อตอบสนองความต้องการการผลิต รวมถึงการปรับแต่งวงจรการส่งมอบและความเสถียรของผลิตภัณฑ์อุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่คุณภาพสูงเช่นวิทยุสื่อสารสองทาง

ขณะนี้ บริษัทมีสายการผลิตอัจฉริยะมากกว่า 10 ไลน์การผลิต  ในปี 2562 Hytera ก้าวหน้าด้วยการพัฒนาการผลิตอัจฉริยะโดยกระบวนการผลิตอัจฉริยะได้เข้ายุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีนี้  ในอีก 5 ปีข้างหน้าหนึ่งในเป้าหมายหลักของ Hytera คือการปรับปุรงกระบวนการผลิตทั้งหมดเพื่อให้ได้ตามมาตรฐานการผลิตแบบ 'อัจฉริยะ'

นอกจากนี้ โรงงานผลิตอัจฉริยะของ Hytera ในเซินเจิ้นมีระบบคลังสินค้าอัจฉริยะและระบบโลจิสติกส์  หนึ่งในซัพพลายเชนที่สำคัญของโลกคือศูนย์การผลิต Hytera ในซาราโกซา ประเทศสเปนซึ่งเน้นระบบปรับแต่งตามความต้องการเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าในยุโรปและอเมริกา

ความยืดหยุ่นของกระบวนการผลิตอัจฉริยะของ Hytera ทำให้บริษัทสามารถเปลี่ยนสายการผลิตบางส่วนผลิตหน้ากากแบบใช้แล้วทิ้งเพื่อช่วยต่อสู้กับปัญหาการขาดแคลนทั่วโลกที่เกิดจากการระบาดของ COVID-19

การผลิตหน้ากากได้เริ่มต้นในต้นเดือนกุมภาพันธ์และได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้ผลิตได้จำนวนมาก  หน้ากากแบบใช้แล้วทิ้งของ Hytera มีวางจำหน่ายแล้วทั่วโลก

Hytera ได้ตอบสนองต่อการระบาดของ COVID-19 ในทางอื่นเช่นกัน โดยได้จัดตั้งทีมช่วยเหลือฉุกเฉินระดับชาติและได้ติดต่อกับคณะกรรมการสุขภาพ แผนกป้องกันและควบคุม สถาบันการแพทย์ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรทั่วประเทศจีนเพื่อช่วยสนับสนุนทุกด้านและได้บริจาคอุปกรณ์ ให้การสนับสนุนด้านการสื่อสารและบริการภาคสนาม  บริษัทได้บริจาคอุปกรณ์สื่อสารกว่า 3,000 เครื่องทั่วประเทศเพื่อสนองเป้าหมายความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร

การพัฒนาระบบการผลิตอัจฉริยะเป็นหนึ่งในผลลัพธ์หลักของกลยุทธ์ Hytera ในการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  บริษัทได้ลงทุน 15% ของรายได้ประจำปีในด้านให้กับการวิจัยและพัฒนาและมีสิทธิบัตร 2,342 ฉบับทั่วโลก  พนักงานประมาณ 40% เป็นวิศวกรการวิจัยและพัฒนาโดย 80% จบการศึกษาระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200324005461/en/

ดูคลังภาพ/มัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52193415/en

ติดต่อ:

Shaowa Cai
Shaowa.cai@hytera.com

VDX.tv เปิดตัวโครงการ PSA ซึ่งเป็นโครงการวิดีโอดิจิตอลระดับโลก เพื่อให้ข้อมูลต่อสาธารณะเกี่ยวกับ COVID-19

Logo

โครงการจะเกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกันกับบริษัท แบรนด์ หน่วยงาน ผู้เผยแพร่ และโฆษกต่าง ๆ ทั้งหลาย

เอเมอรีวิลล์, รัฐแคลิฟอร์เนีย –(BUSINESS WIRE)–2 เมษายน 2563

VDX.tv ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีการโฆษณาระดับโลกที่ช่วยเปลี่ยนวิธีที่แบรนด์ต่าง ๆ เชื่อมต่อกับผู้ชม ได้เปิดตัวโครงการวิดีโอประกาศแจ้งบริการสาธารณะ  หรือ  Public Service Announcement (PSA) ในวันนี้ เพื่อช่วยกระตุ้นความรับรู้เกี่ยวกับ COVID-19 และช่วยชุมชนทั่วโลกรับมือกับการแพร่กระจายของไวรัสตัวนี้ โดยแคมเปญนี้จะช่วยให้ บริษัท แบรนด์ สำนักพิมพ์ นักการตลาด และคนดังต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกันเพื่อช่วยต่อสู้กับการระบาดของโรคนี้

โครงการนี้ตระหนักว่าไวรัสตัวนี้ยังคงส่งผลกระทบต่อชุมชนทั่วโลกอย่างต่อเนื่องโฆษณาวิดีโอของ VDX.tv จะถูกแปลเป็นหลายภาษาเพื่อให้เข้าถึงผู้คนทั่วทุกภูมิภาค นอกจากนี้ VDX.tv จะใช้ความสามารถเต็มรูปแบบของแพลตฟอร์มของตนเพื่อสร้างข้อความที่มีความสอดคล้องกับบริบทของแต่ละเมืองให้มากที่สุด

“ในสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นนี้ เรามุ่งมั่นที่จะดำเนินการและช่วยเหลือโดยการทำสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด นั่นก็คือการเชื่อมต่อกับผู้คนผ่านการส่งข้อความและวิดีโอในรูปแบบที่น่าสนใจ” Dilip DaSilva, ซึ่งเป็น CEO ของ VDX.tv กล่าว “วิดีโอเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับแบรนด์ในการสื่อสารกับผู้บริโภคที่เกี่ยวข้อง และเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการให้ข้อมูลแก่ผู้คนทั่วโลกเกี่ยวกับวิธีการต่อสู้และการรับมือกับผลกระทบที่ไวรัสนี้อาจมีต่อครอบครัวและชุมชนของพวกเขา”

รูปแบบฟอร์แม็ต VDX.tv ซึ่งย่อมาจาก“ Video Driven Experience ”จะเริ่มต้นด้วยวิดีโอก่อน แต่ก็อนุญาตให้ผู้บริโภคโต้ตอบกับโฆษณาและสำรวจข้อมูลเพิ่มเติมได้ ตัววิดีโอสามารถถูกออกแบบให้มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ออกฉาย ตัวอย่างเช่นโฆษณาสามารถให้ข้อมูลเรื่องศูนย์พยาบาลหรือศูนย์ตรวจโรคที่ใกล้เคียงบริเวณนั้นที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถให้การเชื่อมโยงไปยังแหล่งข้อมูลท้องถิ่นจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC)

“เรากำลังมองหาบริษัทต่าง ๆ แบรนด์ ตัวแทน ผู้จัดพิมพ์ และโฆษก เพื่อเข้ามาร่วมงานกับเรา และเพื่อที่เราจะสามารถกระจายข้อความออกไปให้ได้มากที่สุดนั้น เราจำเป็นต้องได้รับการบริจาค หรือได้รับเงินเงินทุนเพื่อสนับสนุนการจัดซื้อสินค้าคงคลัง ตลอดจนถึงการมีโฆษกในแต่ละประเทศเพื่อบันทึกวิดีโอเพื่อช่วยส่งต่อข้อความ” DaSilva กล่าว “ตัวผมเองได้บริจาคเงิน 100,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อเริ่มต้นแคมเปญนี้ บริษัทของเราจะบริจาคทรัพยากรทั้งหมดบนพื้นฐานของการทำงานเพื่อประโยชน์สังคม เรามีพนักงานประมาณ 500 คนและพนักงานส่วนใหญ่จะเข้ามาช่วยเหลือโครงการนี้”

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมและช่วยเหลือโครงการนี้ โปรดไปที่ covid-19.vdx.tv.

เกี่ยวกับ VDX.tv

VDX.tv ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีการโฆษณาระดับโลกที่ช่วยเปลี่ยนวิธีที่แบรนด์ต่าง ๆ เชื่อมต่อกับผู้ชม ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนสามารถรับชมวิดีโอจากหลากหลายช่องทาง เราสร้างประสบการณ์วิดีโอที่ขับเคลื่อนด้วยการบูรณาการข้อความบนโทรทัศน์และข้อความดิจิตอลของแบรนด์หนึ่ง ๆ และช่วยให้นักการตลาดสามารถดึงดูดผู้ชม สนับสนุนให้มีการกระทำบางอย่าง และแปลงการรับรู้เป็นการตอบสนอง เราเชื่อมโยงผู้คน อุปกรณ์ดิจิตอล และครัวเรือนเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์แบรนด์ที่ต่อเนื่อง มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และมีความหมายมากขึ้น ผ่านทีวีและอุปกรณ์ส่วนตัว วิธีการเข้าถึงแบบหลายมิติของเราในการกำหนดเป้าหมายในครัวเรือนช่วยให้มองเห็นการเดินทางของผู้บริโภคทั้งหมดทำให้แบรนด์ต่าง ๆ สามารถขยายพลังของการส่งข้อความของพวกเขา และเปลี่ยนผู้บริโภคให้กลายเป็นลูกค้าของพวกเขาได้

VDX.tv เป็นแผนกหนึ่งของ Exponential Interactive, Inc. เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.vdx.tv.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200402005220/en/

ติดต่อ:

Kite Hill PR สำหรับ VDX.tv

Moira Shannon

moira@kitehillpr.com

The Bangkok Reporter