การจัดฟันแบบใส แบบถอดได้

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS ON BEHALF OF ALINE)–23 กันยายน 2563

Aline แบรนด์น้องใหม่มาแรง การจัดฟันแบบไม่ติดเครื่องมือ ถอดได้ จัดฟันใสไม่แพง ดัดฟันผ่อนได้

มันจะดีแค่ไหนถ้าคุณมีรอยยิ้มที่สวยงามเพราะฟันที่เรียงตัวได้ตามธรรมชาติ? แต่ทว่าทุกคนไม่ได้มีฟันเรียงตัวสวยได้ตามธรรมชาติน่ะสิ!

ปัญหาฟันยื่น ฟันเหยิน ฟันสบไม่พอดี ขากรรไกรผิดรูป ปัญหาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุของรอยยิ้มที่ไม่มั่นใจและปัญหาในช่องปากอื่นๆ ซึ่งในปัจจุบันมีนวัตกรรมมากมายในการทำให้ฟันเราสวยได้ตามที่เราต้องการ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการจัดฟัน หรือที่เรารู้จักกันว่า “การดัดฟัน” ซึ่งมันก็มีหลายประเภท มีทั้งแบบติดเครื่องมือทั่วๆไปและแบบเซรามิค แบบโลหะยึดติด หรือดามอนและแบบไม่ติดเครื่องมือ หรือจัดฟันแบบใสนั่นเอง

วันนี้เราจะมาแนะนำเทคโนโลยีการจัดฟันแบบไม่ต้องติดเครื่องมือน้องใหม่อย่าง “Aline” ที่กำลังมาแรงมากในประเทศเกาหลี ญี่ปุ่นและประเทศไทย ด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆ

  • ขั้นตอนที่ 1 ทำการสแกนฟันแบบ 3 มิติจากทันตแพทย์ในเครือ
  • ขั้นตอนที่ 2 รับแผนการรักษาที่เป็นรูปภาพและวิดีโอที่ได้จัดทำขึ้น โดยทีมทันตแพทย์จัดฟันที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี
  • ขั้นตอนที่ 3 อุปกรณ์จัดฟันเพื่อรอยยิ้มพิมพ์ใจจะถูกจัดส่งไปถึงหน้าบ้านของคุณเลย

ใครๆก็มั่นใจในรอยยิ้มได้ ด้วยราคาที่เอื้อมถึง

  • ไม่ต้องเสียเวลาทำนัดเพื่อไปเจอคุณหมอ ไม่ต้องฝ่าการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนเพื่อไปตามนัดทุกเดือน
  • ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ก็จะได้รอยยิ้มที่ต้องการ
  • ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือไม่มีใครสังเกตเห็นว่าคุณกำลังจัดฟันอยู่ เพราะเป็นอุปกรณ์ใส ถอดได้
  • จ่ายน้อยกว่าการจัดฟันแบบอื่นๆ และมีราคาถูกถูกกว่าแบรนด์อื่น 60%
  • ถูกสุขอนามัย แถมยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าการจัดฟันแบบอื่นๆ ถึง 50%

จัดฟันใสราคาไม่แพง Aline ทางเลือกใหม่ของการจัดฟัน

การรักษาทางทัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ ถูกสุขอนามัย ไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการทำความสะอาดช่องปาก ผลิตจากพลาสติกที่ปราศจากสาร BPA พร้อมทางเลือก 2 ช่องทางเพื่ออำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็น

  • เลือกชำระเต็มจำนวนครั้งเดียว เพียง 37,000 บาท (ราคานี้ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)
  • ผ่อนชำระด้วยบัตรเครดิต เพียงเดือนละ 4,200 บาท (ราคานี้ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)

Aline ช่วยคุณได้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งรอยยิ้ม!

SCG Logistics ใช้แพลตฟอร์มบูรณาการ SnapLogic เพื่อปรับปรุงการประสิทธิภาพกระบวนการ ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลดาต้า และความเป็นเลิศในการดำเนินงาน

Logo

บริษัทจัดการโลจิสติกส์และการขนส่งชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชื่อมต่อข้อมูล แอปพลิเคชัน และกระบวนการต่าง ๆ ทั่วทั้งองค์กรด้วยการใช้ SnapLogic

กรุงเทพมหานคร–(BUSINESS WIRE)–22 กันยายน 2563

SnapLogic ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแบบผสานรวมอัจฉริยะอันดับ 1 ประกาศในวันนี้ว่า SCG Logistics ได้สร้างมาตรฐานบนแพลตฟอร์มการผสานรวมระบบคลาวด์ชั้นนำของ SnapLogic เพื่อรองรับกระบวนการอัตโนมัติในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและโครงการการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัล โดย SCG Logistics ผู้ให้บริการด้านการจัดจำหน่ายและการจัดการการขนส่งชั้นนำของประเทศไทยได้ใช้ SnapLogic เพื่อรวมระบบปฏิบัติการและการวิเคราะห์หลักเข้าไว้ด้วยกันและทำให้กระบวนการที่สำคัญทางธุรกิจเป็นไปโดยอัตโนมัติตลอดทั่วทั้งองค์กร ซึ่งทำให้บริษัทสามารถให้บริการที่ยอดเยี่ยมแก่ลูกค้าทั่วโลกได้

SCG Logistics ยกระดับระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เครือข่ายธุรกิจที่กว้างขวาง บริการขนส่งและคลังสินค้าที่ดีที่สุด และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อให้บริการที่เหนือชั้นแก่ลูกค้า บริษัทใช้ระบบจัดการคำสั่งซื้อ (OMS หรือ order management system) เพื่อติดตามและจัดการการขาย คำสั่งซื้อ สินค้าคงคลังและการปฏิบัติตามช่องทางต่าง ๆ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการทำธุรกิจกับลูกค้าผ่านแชทบอทและในช่องทางอื่น ๆ นอกจากนี้บริษัทยังรวมระบบภายในของ SCG เข้ากับระบบสำหรับลูกค้าภายนอก ทำให้สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหลของข้อมูลและกระบวนการในห่วงโซ่คุณค่าที่สมบูรณ์ซึ่งขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้บริษัทยังอาศัยการวิเคราะห์ขั้นสูงและข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชนและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน

SnapLogic คือกาวที่เชื่อมต่อระบบปฏิบัติการและแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ต่าง ๆ ของ SCG Logistics ซึ่งด้วยการใช้ SnapLogic เป็นระบบฐาน จึงทำให้กระบวนการทางธุรกิจมีความราบรื่นและสามารถทำการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้ ทำให้บริษัทสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรม พัฒนาการส่งมอบบริการและยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้

แพลตฟอร์มการผสานรวมอัจฉริยะของ SnapLogic ใช้เวิร์กโฟลว์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อทำให้ทุกขั้นตอนของโครงการด้านไอทีทั้งหมดเป็นแบบอัตโนมัติ ทั้งด้านการออกแบบ การพัฒนา การปรับใช้ และการบำรุงรักษา ไม่ว่าจะเป็นในสถานที่ทำงาน ในระบบคลาวด์ หรือในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด อินเทอร์เฟซแบบบริการตนเองที่ใช้งานง่ายของแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้ทั้งผู้เชี่ยวชาญ และ citizen integrators สามารถจัดการการบูรณาการแอปพลิเคชัน ข้อมูล การจัดการ API การบูรณาการ B2B และโครงการวิศวกรรมข้อมูลบนแพลตฟอร์มเดี่ยวที่ปรับขนาดได้ และด้วยการใช้ SnapLogic องค์กรสามารถเชื่อมต่อระบบขององค์กรทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายเพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจเป็นอัตโนมัติ เร่งการวิเคราะห์ และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

เกี่ยวกับ SnapLogic

SnapLogic ขับเคลื่อนองค์กรอัตโนมัติ แพลตฟอร์มบูรณาการแบบบริการตนเองที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของบริษัท ช่วยให้องค์กรเชื่อมต่อแอปพลิเคชันและแหล่งข้อมูลทำให้เวิร์กโฟลว์ทั่วไปและกระบวนการทางธุรกิจเป็นไปโดยอัตโนมัติและมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า คู่ค้า และพนักงาน องค์กรหลายพันแห่งทั่วโลกพึ่งพาแพลตฟอร์ม SnapLogic ในการบูรณาการการทำงานอัตโนมัติและพลิกโฉมธุรกิจของตน เรียนรู้เพิ่มเติมที่ snaplogic.com.

เชื่อมต่อกับ SnapLogic ผ่าน Blog, Twitter, Facebook, หรือ LinkedIn.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200921005931/en/

ติดต่อ:

Scott Behles

SnapLogic

scott.behles@snaplogic.com

+1 415-571-4462

RELX สรุปแนวทางปฏิบัติอย่างมีความรับผิดชอบของอุตสาหกรรมบุหรี่ไฟฟ้าที่งานบทบาทของเทคโนโลยี GTNF Role of Technology

Logo

โซล เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–21 ก.ย. 2563

หัวหน้าฝ่ายกิจการภายทั่วโลกของบริษัทได้เสนอตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า RELX ใช้ประโยชน์จากพลังของเทคโนโลยี นวัตกรรม และการวิจัยเพื่อพัฒนากลไกการป้องกันเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพ

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200921005456/en/

Jonathan Ng speaking at the GTNF Innovations on the Horizon panel. (Photo: Business Wire)

Jonathan Ng พูดในงาน GTNF Innovations ในคณะ Horizon (ภาพ: Business Wire)

ในงานยาสูบและนิโคติน Virtual Global Tobacco & Nicotine Forum (GTNF) เมื่อวานนี้ Jonathan Ng หัวหน้าฝ่ายกิจการภายนอกทั่วโลกของ RELX Technology ได้พูดเกี่ยวกับหัวข้อ “นวัตกรรมในอนาคตอันใกล้”  ทางคณะได้สำรวจหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ในระดับสากลที่เพิ่มมากขึ้นในฐานะทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับบุหรี่ นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของผู้ใช้ และการป้องกันเยาวชนและการค้าที่ผิดกฎหมาย  GTNF เป็นหนึ่งในฟอรัมยาสูบและนิโคตินชั้นนำของโลก โดยวิทยากรและผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ตัวแทนรัฐบาล นักลงทุน และสมาชิกของอุตสาหกรรมยาสูบและนิโคติน

งาน GTNF ในปีนี้มุ่งเน้นไปที่วิธีที่อุตสาหกรรมสามารถบรรลุการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนผ่านนวัตกรรมและกฎระเบียบโดยตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากสังคมโลกของเราในการเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบ

ด้วยเป้าหมายดังกล่าว Mr. Ng อธิบายว่า “นอกเหนือจากการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังมีหลายๆ ด้านที่วิทยาศาสตร์ การวิจัย และเทคโนโลยีสามารถเสริมผลิตภัณฑ์ได้  สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมากสำหรับอุตสาหกรรมของเราเนื่องจากเรามุ่งมั่นที่จะรักษาการปฏิบัติและพฤติกรรมทางธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ

Mr. Ng ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ RELX เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เยาว์จะไม่เสพติดและได้รับการป้องกันจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของตน  RELX ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ป้องกันไม่ให้ผู้เยาว์เข้าถึงผลิตภัณฑ์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์  ในปี 2562 RELX ได้เปิดตัว RELX i ซึ่งมีฟังก์ชั่นการล็อกระยะไกลที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถล็อกอุปกรณ์ได้โดยการแตะที่แอพเพื่อป้องกันการใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต

นอกจากนี้ Mr. Ng ยังระบุว่าในประเทศจีน RELX ได้เปิดตัวระบบ Sunflower System ซึ่งเป็นระบบป้องกันผู้เยาว์รายแรกสำหรับร้านค้า RELX ทั้งหมด  ลูกค้าของร้าน RELX จำเป็นต้องตรวจสอบอายุของพวกเขาผ่านกระบวนการจดจำใบหน้าที่ตรงกับใบหน้าของลูกค้ากับภาพถ่ายบนบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าบรรลุนิติภาวะก่อนการซื้อผลิตภัณฑ์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์

เพื่อจัดการกับข้อกังวลว่าชื่อผลไม้หรือขนมอาจดึงดูดใจเยาวชนโดยเฉพาะ RELX ได้ตัดสินใจระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมในการตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ที่มีความหมายเป็นกลางเช่น Fresh Red และ Mellow Yellow

ในทางเดียวกัน Mr Ng ประกาศว่า RELX กำลังพัฒนาระบบติดตามที่เชื่อมต่อลูกค้า บาร์โค้ดผลิตภัณฑ์และที่ตั้งร้านค้าซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถติดตามผลิตภัณฑ์ไปยังจุดขายได้หากพบว่ามีผู้เยาว์ครอบครองผลิตภัณฑ์ RELX

เกี่ยวกับฟอรัมยาสูบและนิโคตินระดับโลก

Global Tobacco & Nicotine Forum (GTNF) เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์และทิศทางของผู้ก่อตั้งและประธาน Elise Rasmussen  ในเดือนมกราคม 2562 Elise ได้เป็นกรรมการบริหารของ GTNF Trust ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนกใหม่ภายใต้การอุปถัมภ์ของสมาคมผู้ค้ายาสูบ Tobacco Merchants Association (TMA) นับตั้งแต่การเปิดตัวในรีโอเดจาเนโรในปี 2551 จนถึงปัจจุบัน GTNF ได้กลายเป็นที่แลกเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดระดับโลกระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขตัวแทนรัฐบาล นักลงทุน และสมาชิกของอุตสาหกรรมยาสูบ/นิโคติน

เกี่ยวกับ RELX Technology

ก่อตั้งขึ้นในเดือนมกราคม 2561 RELX เป็นแบรนด์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของเอเชีย  RELX พัฒนาผลิตภัณฑ์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์อย่างอิสระที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาในเซินเจิ้น ประเทศจีน  ภารกิจของ RELX คือการส่งเสริมฃผู้สูบบุหรี่ที่เป็นผู้ใหญ่ผ่านเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์และวิทยาศาสตร์อย่างมีจริยธรรม  RELX ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านการวิจัยและพัฒนาการทดสอบ e-liquid และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่  เมื่อไม่นานมานี้ RELX ได้ประกาศการเริ่มดำเนินการที่ห้องปฏิบัติการชีววิทยาศาสตร์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อทำการวิจัยอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลกระทบของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ผ่านการทดสอบในร่างกายและในหลอดทดลอง รวมทั้งทำการประเมินความปลอดภัยก่อนการรักษาทางคลินิก  บริษัทได้ดึงดูดผู้มีความสามารถระดับโลกจาก Uber, Proctor and Gamble, Huawei, Beats และ L'Oréal  นักลงทุน RELX ได้แก่บริษัทร่วมทุนชั้นนำ Source Code Capital, IDG Capital และ Sequoia Capital

เว็บไซต์: https://relxnow.com
Twitter: @Relxtech
Facebook: @Relxnow
Instagram: relxtech
Linkedin: RELX Technology

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200921005456/en/

ติดต่อ:

Yasha Wolfman
yasha.wolfman@relxtech.com

Aimee Ren
aimee.ren@relxtech.com

ผู้ผลิตชิ้นส่วนนิวเมติกของเกาหลี KCC พร้อมครองเครือข่ายการจัดหาชิ้นส่วนทั่วโลกภายหลังโควิด 19

Logo

โซล เกาหลีใต้–(บิสิเนสไวร์)–21 ก.ย. 2563

รัฐบาลเกาหลีจะใช้นโยบาย 'วัสดุชิ้นส่วนและอุปกรณ์ 2.0' เพื่อกระจายเครือข่ายอุปทานของอุตสาหกรรมการผลิตในยุคหลังโควิด 19  นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมธุรกิจในประเทศในด้านวัสดุ ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ซึ่งใช้เป็นพื้นฐานสำหรับผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป

ตามนโยบายของรัฐบาล KCC Co., Ltd. ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนนิวเมติกในเกาหลีได้เริ่มดำเนินการตามกลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกเพื่อครองตลาดในอนาคตหลังจากการระบาดของโควิด 19

B10 Series ของ KCC สายการผลิตแบตเตอรี่สำรองเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีล้ำสมัยที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองเทรนด์ล่าสุด กระบอกสูบนิวเมติก/ไฮดรอลิก กริปเปอร์ วาล์วนิวเมติก อุปกรณ์ฟอกอากาศนิวเมติก และปั๊มสูญญากาศและแผ่นรอง ฯลฯ ที่รวมอยู่ใน B10 Series เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อช่องแบตเตอรี่สำรองและวัสดุสองขั้ว

ผลิตภัณฑ์หลักของ KCC คือกระบอกสูบนิวเมติก/ไฮดรอลิกที่ใช้กับระบบขนส่ง กริปเปอร์ที่ทำหน้าที่เหมือนนิ้วมนุษย์ วาล์วนิวเมติกโซลินอยด์เพื่อควบคุมการทำงานของแอคชูเอเตอร์โดยการควบคุมอากาศที่ให้มา อุปกรณ์ฟอกอากาศนิวเมติกเพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของอุปกรณ์ด้วยการควบคุมคุณภาพอากาศ และยังเป็นปั๊มสุญญากาศ แผ่นรอง และอุปกรณ์  ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ใช้กับสายการขนส่งเครื่องจักรกล อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ หรือโรงงานเหล็กในโรงงานโรงงานผลิตไฟฟ้าและระบบสำหรับการผลิตเหล็ก วิศวกรรม การก่อสร้าง และการผลิตยางรถยนต์

KCC เริ่มจัดหาวัสดุยกเครื่องให้กับ Yeongheung Power Division Units 3 ในปี 2554 จากนั้นได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่ห้องโถงอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าของงาน Seoul International Electric Fair ในปี 2556 และดำเนินโครงการ Management Supporters และโครงการ KOEN World Class – 30 ในปี 2557 และ 2560 ตามลำดับ KCC ยังเข้าร่วมในโครงการที่ส่งเสริมโดย Korea South–East Power  เมื่อเร็วๆ นี้ KCC ได้รับการยอมรับในด้านเทคโนโลยีจากการได้รับเลือกให้เป็น Hi Seoul ซึ่งเป็นแบรนด์บริษัทยอดเยี่ยมแห่งโซลที่ได้รับการรับรองโดยรัฐบาล กรุงโซล และหน่วยงานธุรกิจโซลและเป็น Global Small Giant ในปี 2020 และชนะรางวัล SMEs and Startups Minister’s Award รางวัล Trade, Industry, and Energy Minister’s Award ที่งานรางวัล Korea Precision Industry Technology Awards และ Citation of the Chairman of Korea Packaging Machinery Association

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

KCC Co., Ltd.
Hyojin Kim
+ 82-70-4224-9862
global@kccpr.com

สินค้าโรงงานคุณภาพจากไท่โจวสร้างบรรยากาศคึกคักในมาเลเซียและไทย

Logo

— งานแสดงสินค้าส่งออกออนไลน์ เจ้อเจียง ไท่โจว 2020 (สถานที่: มาเลเซียและไทย ประเภทสินค้า: เครื่องใช้ในบ้าน) เริ่ม 21 กันยายน

กรุงเทพฯ –(BUSINESS WIRE)–18 กันยายน 2563

งานแสดงสินค้าส่งออกออนไลน์ เจ้อเจียง ไท่โจว 2020 (สถานที่: มาเลเซียและไทย ประเภทสินค้า: เครื่องใช้ในบ้าน) มีรัฐบาลประชาชนเทศบาลไท่โจวเป็นเจ้าภาพ หอการค้าเทศบาลไท่โจวเป็นผู้อำนวยการ และบริษัท เจ้อเจียงแซมเอ็กซ์โป เอ็กซ์ซิบิชัน แอนด์ คอนเวนชัน โฮลด์ดิ้งส์ จำกัด เป็นผู้จัด การจัดงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ขนาดเล็กภายในบ้านทางออนไลน์อย่างเป็นทางการครั้งแรกในไท่โจวปีนี้จะเริ่มถ่ายทอดทางโปรแกรม ZOOM วันที่ 21 กันยายน การจัดงานจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสมาคมการค้าเครื่องใช้ในครัวเรือนไทย และหอการค้ามาเลเซีย-จีน จับคู่ผู้ซื้อคุณภาพสูงกับผู้ประกอบการสินค้าเครื่องใช้ภายในบ้านและเครื่องใช้ขนาดเล็กภายในบ้านจากเมืองไท่โจว แห่งมณฑลเจ้อเจียง

เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน (CAFTA) เป็นเขตการค้าเสรีแรกและใหญ่ที่สุดของจีนสำหรับการเจรจาธุรกิจต่างประเทศ ปัจจุบัน ปริมาณเศรษฐกิจรวมของทั้งสองฝั่งสูงเกือบแตะ 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเกือบ 60% ของเอเชีย และ 13% ของการค้าทั้งหมดทั่วโลก นอกจากนี้ ภาษีของสินค้ากว่า 90% ที่ซื้อขายกับกลุ่มอาเซียนยังลดลงเหลือศูนย์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดผู้บริโภคเครื่องใช้ภายในบ้านทั่วโลกกลับมาเติบโตอีกครั้ง และแนวโน้มการเติบโตของเครื่องใช้ขนาดเล็กภายในบ้านและเครื่องใช้อัจฉริยะภายในบ้านยังคงเห็นได้ชัด เนื่องจากความต้องการเครื่องใช้ภายในบ้านในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ของอาเซียนเติบโตขึ้น

ไท่โจวเป็นสถานที่กำเนิดของระบบเศรษฐกิจสหกรณ์แบบรวมทุนของจีนและเป็นแหล่งผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่สำคัญของจีนอีก ผลิตภัณฑ์อย่างตู้เย็น หม้อหุงข้าวแรงดัน เครื่องปรับอากาศ เครื่องสุขภัณฑ์จากที่นี่ต่างครองตำแหน่งผู้นำตลาดภายในประเทศ โดยในบรรดาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ หม้อหุงข้าวแรงดันและภาชนะอาหารเคลือบผิว (non-stick) มีส่วนแบ่งการตลาดภายในประเทศถึง 70% และ 50% ตามลำดับ ขณะที่่ส่วนแบ่งการตลาดของอุปกรณ์สำหรับตู้เย็นสูงกว่า 10% ยอดขายต่อปีของตู้เย็นติดอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรมภายในประเทศ 5 ปีติดต่อกัน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 25% แบรนด์ "Xingxing", "Supor" และ "ASD" ได้รับการรับรองเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงของจีน ตู้เย็นแบรนด์ "Xingxing" หม้อหุงข้าวแรงดันและภาชนะอาหารเคลือบผิวแบรนด์ "Supor" และภาชนะอาหารเคลือบผิวแบรนด์ "ASD" เป็นสินค้าแบรนด์ดังของจีน และตู้เย็น "Xingxing" เครื่องปรับอากาศ "ShuangLu" ภาชนะอาหารเคลือบผิวแบรนด์ "Supor" และ "ASD" ยังได้รับการรับรอง inspection-free product อีกด้วย

ในช่วงที่มีการแพร่ระบาด การจัดงานแสดงสินค้าออนไลน์เป็นการรับมืออันยอดเยี่ยมของรัฐบาลประชาชนเทศบาลไท่โจวและหอการค้าเทศบาลไท่โจวที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการในไท่โจวที่ค้าขายกับต่างประเทศ

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200918005247/en/

สื่อโปรดติดต่อ: Shubhra Bundela, 9584394446, shubhra.bundela22@gmail.com

OPPLE Lighting จับมือกับ Huawei สร้างระบบนิเวศน์ระดับโลก

Logo

เซี่ยงไฮ้–(บิสิเนสไวร์)–17 ก.ย. 2563

ในระหว่างการประชุมนักพัฒนา Developer Conference 2020 ของ Huawei ที่เพิ่งปิดไปเมื่อเร็วๆ นี้ Huawei และพันธมิตร 12 รายรวมถึง OPPLE Lighting ได้ประกาศเปิดตัวความร่วมมือทางระบบนิเวศน์ HMS Go Global Ecosystem Alliance โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักพัฒนาชาวจีนที่มองตลาดโลกด้วยเครื่องมือ “go global service engine” ได้จัดการกับความท้าทายที่สำคัญสามประการ: “การแปลงผลิตภัณฑ์ให้กับท้องถิ่น” “การปฏิบัติตามข้อกำหนดในท้องถิ่น” และ “การตลาดในท้องถิ่น”

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200917005710/en/

HMS members join hands to create a smart and scenario-based ecosystem. (Photo: Business Wire)

สมาชิก HMS ร่วมมือกันเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ชาญฉลาดและเป็นไปตามสถานการณ์ (ภาพ: Business Wire)

ในฐานะพันธมิตรด้านฮาร์ดแวร์เชิงกลยุทธ์รายเดียวของ Huawei ในบรรดาสมาชิกพันธมิตรทั้งหมด โดย OPPLE Lighting จะเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการเป็นพันธมิตรและจะร่วมมือกับ Huawei เพื่อพัฒนาระบบนิเวศระดับโลกและผลิตภัณฑ์ระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้แอปพลิเคชันของจีนเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น

ปัจจุบัน OPPLE Lighting รองรับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของระบบนิเวศ HiLink ของ Huawei ในการปรับแต่งภายในบ้านและรับรองระบบแสงสว่างอัจฉริยะโดยรวมและฟังก์ชันการใช้ชีวิตที่ชาญฉลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบแสงสว่างแบบครบวงจรของ OPPLE Lighting ซึ่งรวมถึงดาวน์ไลท์ และสปอตไลท์ แถบโคมไฟ เพดาน และโคมไฟตกแต่ง ตลอดจนแผงสถานการณ์อัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งการทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ได้อย่างสมบูรณ์นั้นล้วนใช้งานได้กับโปรโตคอล Bluetooth MESH ตามแพลตฟอร์ม HiLink ของ Huawei

OPPLE Lighting ยังทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านระบบนิเวศอื่นๆ บนแพลตฟอร์ม HiLink เพื่อสร้างมาตรฐาน Bluetooth MESH และกฎการเข้าถึงอุปกรณ์และได้เปิดใช้งานการโต้ตอบระหว่างระบบล็อคอัจฉริยะ ไฟอัจฉริยะ ม่านบังแดดอัจฉริยะ และเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่ผลิตโดยบริษัทต่างๆ  ในโซนการใช้ชีวิตที่ชาญฉลาด Full-Scenario Smart Living Open Experience Zone ที่งาน Developer Conference 2020 ของ Huawei นั้น OPPLE Lighting, Multi IR, Kaadas และ Dooya Tubular Motor ได้ร่วมกันสาธิตระบบบ้านอัจฉริยะที่ใช้โปรโตคอล Bluetooth MESH

OPPLE Lighting ได้รับการคัดเลือกจากโครงการในต่างประเทศหลายโครงการให้เป็นผู้ให้บริการระบบแสงสว่างระดับมืออาชีพ รวมถึงโครงการอาคารอเนกประสงค์ Al Kifaf ใน UAE โครงการสำนักงานและโรงพยาบาลในเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และเบลเยียม โครงการโคมไฟถนนมัณฑะเลย์ และตัวแทนจำหน่าย JLR และผู้ให้บริการโทรคมนาคมท้องถิ่น Mobily ในซาอุดีอาระเบีย  ในอนาคต OPPLE Lighting จะร่วมมือกับสมาชิกของพันธมิตรและใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ระดับโลกและความเชี่ยวชาญของสมาชิกแต่ละคนเพื่อสร้างเรื่องราว “ก้าวสู่ระดับโลก” ที่ประสบความสำเร็จมากขึ้นสำหรับนักพัฒนาชาวจีน

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200917005710/en/

ติดต่อ:

OPPLE Lighting
Jenny Qian, +86 21 38550000
Globalservice@opple.com


RELX เปิดห้องปฏิบัติการชีววิทยาศาสตร์เพื่อปรับปรุงการวิจัยบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก

Logo

เซินเจิ้น ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–17 ก.ย. 2563

RELX Technology ประกาศในวันนี้ว่า บริษัท ได้เริ่มดำเนินการที่ห้องปฏิบัติการชีววิทยาศาสตร์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อทำการวิจัยอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลกระทบของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ผ่านการทดสอบในร่างกายและในหลอดทดลอง รวมทั้งดำเนินการประเมินความปลอดภัยพรีคลินิก

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200917005346/en/

RELX Technology announced the company has started operations at its newly-established e-cigarette bioscience laboratory (Photo: Business Wire)

RELX Technology ประกาศว่าบริษัทได้เริ่มดำเนินการที่ห้องปฏิบัติการชีววิทยาศาสตร์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่ (ภาพ: Business Wire)

ขณะนี้ห้องปฏิบัติการชีววิทยาศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่ใน International Bioindustry Valley เมืองเซินเจิ้นกำลังทำการวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของผลิตภัณฑ์ RELX ต่อระบบหัวใจ หลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และระบบประสาทของสัตว์ เพื่อให้สามารถประเมินผลกระทบที่ครอบคลุมของผลิตภัณฑ์ได้

“วิทยาศาสตร์เป็นรากฐานของความน่าเชื่อถือ ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมเรามีความรับผิดชอบในการขยายขอบเขตของวิทยาศาสตร์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และสำรวจสิ่งที่เรายังไม่รู้คำตอบ” Kate Wang ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ RELX กล่าว

ในวันงานเปิดตัวแล็บ  RELX ยังได้ประกาศแผนการสร้างแนวทางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แบบ“ 1 + 4” นั่นคือ การได้รับการสนับสนุนจากการพัฒนาแพลตฟอร์มตามด้วยการประเมินทางพิษวิทยา การประเมินทางคลินิก การศึกษาพฤติกรรมการรับรู้ และการประเมินระยะยาว

จากข้อมูลของการสาธารณสุขของอังกฤษ หรือ Public Health England บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เป็นอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าการสูบบุหรี่ถึง 95% และมีศักยภาพในการช่วยให้ผู้สูบบุหรี่เลิกสูบบุหรี่ได้ ผู้บริโภคจำนวนมากยอมรับว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เป็นทางเลือกที่ดีกว่าบุหรี่ทั่วไปที่ต้องจุดไฟ

ยังมีหลายประเด็นที่ต้องการการวิจัยในระยะยาวเพิ่มเติม เช่น องค์ประกอบการลดอันตรายที่แท้จริงของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอันตรายสูงสุด และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสูบไอ

“บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์บางครั้งยังถูกมองด้วยความสงสัยเนื่องจากเรามีความรู้ไม่ครบถ้วน” Yilong Wen ผู้ร่วมก่อตั้ง RELX และหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์การวิจัยและพัฒนาและซัพพลายเชนกล่าว“ ภารกิจของห้องปฏิบัติการชีววิทยาศาสตร์ RELX คือการสำรวจสิ่งที่ไม่เรายังไม่รู้ เราต้องการรวบรวมหลักฐานด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพยายามพิสูจน์ความเป็นไปได้ที่ว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์มีอันตรายน้อยกว่า และในการค้นพบดังกล่าวจะทำให้ผู้ใช้มีทางเลือกในการเลือกทางเลือกอื่น

เพื่อให้มั่นใจในความน่าเชื่อถือและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ RELX ทาง RELX ได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการทางเคมีและทางกายภาพในปี 2561 ห้องปฏิบัติการดังกล่าวได้รับการรับรองโดย China National Accreditation Service ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการประเมิน Accreditation Service for Conformity Assessment โดย RELX เริ่มต้นการวิจัยที่ก้าวล้ำเกี่ยวกับการศึกษาทางพิษวิทยาและเภสัชวิทยาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของตนในปี 2562 และห้องปฏิบัติการทางชีววิทยาศาสตร์ใหม่จะมุ่งเน้นไปที่การทดสอบในร่างกายและในหลอดทดลอง รวมทั้งดำเนินการประเมินความปลอดภัยพรีคลินิกในปี 2563

“การศึกษาทางพิษวิทยาและเภสัชวิทยามุ่งเน้นไปที่ผลกระทบของผลิตภัณฑ์ของ RELX” Xingtao Jiang หัวหน้าห้องปฏิบัติการ RELX กล่าว“ ตัวอย่างเช่น มันมีผลต่อดีเอ็นเอหรือโครโมโซมหรือไม่ และอะไรคือผลกระทบในระยะยาวต่ออวัยวะและเนื้อเยื่อของร่างกาย ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเรายังมีงานวิจัยอีกมากที่ต้องทำ”

จนถึงปัจจุบันนี้ Xingtao Jiang ยังได้ประกาศการค้นพบเบื้องต้น 5 ประการจากการวิจัยของ RELX จากข้อมูลพบว่าระดับของสารที่เป็นอันตราย เช่น เบนซีน และ TSNA 4 ชนิด (N-nitrosoamines ที่พบในเฉพาะยาสูบ) ที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์ RELX นั้นต่ำกว่าที่พบในควันบุหรี่ที่ติดไฟทั่วไปมากกว่า 99.1 เปอร์เซ็นต์และ 99.8 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ

ขณะนี้ RELX กำลังดำเนินโครงการวิจัยในหัวข้อต่าง ๆ กับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ซึ่งรวมถึง มหาวิทยาลัยซุนยัดเซ็นสถาบันเทคโนโลยีขั้นสูงเซินเจิ้น หรือ Sun Yat-sen University and Shenzhen Institutes of Advanced Technology, สถาบันวิทยาศาสตร์จีน หรือ the Chinese Academy of Sciences และโรงพยาบาล 2 แห่งและสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ 9 แห่ง

เกี่ยวกับ RELX Technology

RELX ก่อตั้งเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2561 เป็นแบรนด์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของเอเชีย RELX พัฒนาผลิตภัณฑ์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์อย่างอิสระที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาในเซินเจิ้นประเทศจีน ภารกิจของ RELX คือการส่งเสริมผู้สูบบุหรี่ที่เป็นผู้ใหญ่ผ่านเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และวิทยาศาสตร์ อย่างมีจริยธรรม RELX ยังคงลงทุนอย่างมากต่อ ๆ ไป ในด้านการวิจัยและพัฒนา การทดสอบ e-liquid และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ บริษัทได้ดึงดูดผู้มีความสามารถระดับโลกจาก Uber, Proctor and Gamble, Huawei, Beats และ L’Oréal นักลงทุน RELX รวมถึง บริษัทร่วมทุนชั้นนำอย่าง Source Code Capital, IDG Capital และ Sequoia Capital

เว็บไซต์: https://relxnow.com

Twitter: @Relxtech

Facebook: @Relxnow

Instagram: relxtech

Linkedin: RELX Technology

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200917005346/en/

ติดต่อ:

Yasha Wolfman

yasha.wolfman@relxtech.com

Aimee Ren

aimee.ren@relxtech.com

อเมริกัน เอ็กซ์เพรส ประกาศแผนขยายห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน (Centurion®) ในสนามบินหลักของสหรัฐฯ สองแห่ง และเตรียมกลับมาต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งภายใต้ระเบียบและแนวปฏิบัติด้านสุขภาพและความปลอดภัยฉบับใหม่

Logo

  • อเมริกัน เอ็กซ์เพรส เพื่อขยายและเพิ่มประสิทธิภาพห้องรับรอง เดอะเซ็นจูเรี่ยน ณ สนามบินลาการ์เดีย ในนิวยอร์กและท่าอากาศยานนานาชาติแมคคาร์แรนในลาสเวกัส
  • อเมริกัน เอ็กซ์เพรส ขอแนะนำ “ความมุ่งมั่นของห้องรับรอง เดอะเซ็นจูเรี่ยน” ภายใต้ระเบียบและแนวปฏิบัติด้านสุขภาพและความปลอดภัยฉบับใหม่

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2563

วันนี้ อเมริกัน เอ็กซ์เพรส (NYSE: AXP) ได้ประกาศแผนเตรียมขยายพื้นที่ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน สองแห่ง และได้ประกาศให้ทราบเกี่ยวกับ Centurion Lounge Commitment ซึ่งเป็นระเบียบและแนวปฏิบัติด้านสุขภาพและความปลอดภัยฉบับใหม่ที่จะนำมาใช้กับห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ทั้งหมดเมื่อกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง (บางแห่งจะเริ่มกลับมาให้บริการในช่วงต้นเดือนตุลาคม) ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ณ สนามบินลาการ์เดีย (LGA) ในนิวยอร์กจะย้ายไปอยู่ในบริเวณเทอร์มินอล B และมีขนาดกว้างขวางขึ้น และตามที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้แล้ว ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแมคคาร์แรน (LAS) ในลาสเวกัสจะได้รับปรับโฉมใหม่และขยายให้ใหญ่ขึ้น

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200916005291/en/

Rendering of Centurion Lounge at New York's LaGuardia Airport (Photo: Business Wire)

ภาพเรนเดอร์ของห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ในสนามบินลาการ์เดียของนิวยอร์ก (รูปภาพ: Business Wire)

“เรายังคงให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพ ความปลอดภัย และความสบายสำหรับสมาชิกผู้ถือบัตรและเพื่อนร่วมงานเป็นอันดับต้น ๆ ระหว่างที่เตรียมเปิดห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ที่เป็นไอคอนของเราเพิ่มและเตรียมความพร้อมกลับมาให้บริการทั่วโลกอีกครั้ง” Alexander Lee รองประธานด้านประสบการณ์ท่องเที่ยวและสิทธิประโยชน์ กล่าว “เราเชื่อว่าการเดินทางเป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตของสมาชิกบัตรของเรา และเช่นเดียวกันกับสมาชิกทั้งหลาย เราต่างตั้งตารอวันที่จะได้กลับมาเดินทางท่องโลกอีกครั้ง เราตื่นเต้นที่จะได้ต้อนรับสมาชิกที่ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ของเราอีกครั้ง เร็ว ๆ นี้”

ยกระดับประสบการณ์การใช้ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ณ สนามบิน LAS และ LGA:

การตกแต่งห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ณ สนามบินลาการ์เดียในนิวยอร์กและท่าอากาศยานนานาชาติแมคคาร์แรนในลาสเวกัสจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2564 ห้องรับรองที่มีการขยายให้กว้างขวางขึ้นจะมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้สมาชิกบัตรได้เพลิดเพลินเมื่อกลับมาเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง

  • ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ณ สนามบินลาการ์เดีย (LGA) จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าและจะย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่เฉพาะสำหรับผู้ที่ผ่านจุดตรวจค้นสนามบินเข้าแล้วในบริเวณเทอร์มินอล B ซึ่งเป็นเทอร์มินอลสุดล้ำแห่งใหม่ของสนามบิน ห้องรับรองแห่งใหม่นี้โดดเด่นด้วยห้องสำหรับครอบครัว พื้นที่ทำงานที่ขยายให้กว้างขึ้น ห้องโทรศัพท์ส่วนตัว และวิวทิวทัศน์ของเส้นขอบฟ้าแห่งมหานครนิวยอร์ก
  • สำหรับ ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ซึ่งเปิดให้บริการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแมคคาร์แรน (LAS) เป็นที่แรกในปี 2556 จะมีการขยายพื้นที่จากเกือบ 9,000 ตารางฟุตเป็นกว่า 13,400 ตารางฟุต ห้องรับรองที่ได้รับการออกแบบใหม่จะมีพื้นที่อเนกประสงค์เพิ่มมากขึ้น มีห้องโทรศัพท์ส่วนตัวใหม่ บริเวณต้อนรับโฉมใหม่ รวมถึงพื้นที่ทำงานและอื่น ๆ อีกมากมาย

ในช่วงปลายปีนี้ อเมริกัน เอ็กซ์เพรส ยังเตรียมเปิดห้องรับรองเพิ่ม ณ ท่าอากาศยานจอห์น เอฟ. เคนเนดี ในนิวยอร์ก และท่าอากาศยานฮีทโธรว์และท่าอากาศยานนานาชาติเดนเวอร์ในลอนดอนอีกด้วย

สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพและมีความปลอดภัยด้วย Centurion Lounge Commitment:

ขณะที่ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ยังคงต้องปิดให้บริการเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) อเมริกัน เอ็กซ์เพรส ได้ประกาศให้ทราบเกี่ยวกับระเบียบและแนวปฏิบัติด้านสุขภาพและความปลอดภัย (Centurion Lounge Commitment) ฉบับใหม่ ที่จะนำมาใช้เพื่อดูแลในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของสมาชิกผู้ถือบัตรรวมถึงพนักงานเมื่อกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง จากรายงาน Amex Trendex* ซึ่งเป็นรายงานเกี่ยวกับแนวโน้มต่าง ๆ โดย อเมริกัน เอ็กซ์เพรส พบว่าผู้บริโภคเกือบ 2 ใน 3 ให้ความเห็นว่านโยบายและขั้นตอนปฏิบัติเกี่ยวกับด้านสุขภาพและความปลอดภัย (39%) หรือความยืดหยุ่น (25%) คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเขาพิจารณาเมื่อวางแผนกลับมาเดินทางอีกครั้งในอนาคต

สมาชิกผู้ถือบัตรจะต้องปฏิบัติตามหลักปฏิบัติด้านสุขภาพและความปลอดภัยใหม่ เช่น การกำหนดที่นั่งโดยรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล การลดจำนวนผู้เข้าใช้ การเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาด การบังคับให้สวมหน้ากากขณะเข้าใช้เลานจ์ การเสิร์ฟอาหารแทนการบริการแบบบุฟเฟต์ และอื่น ๆ สำหรับการเช็คอินแบบไร้การสัมผัส สมาชิกบัตรสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน American Express® มาเพื่อใช้เช็คอินผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยจะมีการประเมินหลักปฏิบัติเหล่านี้เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ถือบัตรและข้อบังคับของรัฐบาลและหน่วยงานด้านสุขภาพในท้องถิ่นนั้น ๆ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่: thecenturionlounge.com/reopening

ขณะที่หลาย ๆ คนยังไม่พร้อมที่จะเดินทางท่องเที่ยวในขณะนี้ รายงาน Amex Trendex* พบกว่าผู้บริโภคกว่าครึ่ง (56%) ที่เดินทางท่องเที่ยวในประเทศเป็นปกติจะพร้อมเดินทางท่องเที่ยวไปยังจุดหมายปลายทางในประเทศอีกครั้งในอีก 6 เดือน อเมริกัน เอ็กซ์เพรส อยู่ระหว่างประเมินช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกลับมาให้บริการห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน แต่ละแห่งอีกครั้งจากหลายปัจจัยรวมถึงการระบาดของ COVID-19 ในพื้นที่นั้น ๆ  และจะค่อย ๆ กลับมาให้บริการในแต่ละพื้นที่ต่อไป บริษัทคาดว่าจะสามารถเปิดห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ณ ท่าอากาศยานนานาชาติซีแอตเติล-ทาโคมา และท่าอากาศยานนานาชาติฟิลาเดลเฟียได้ในวันที่ 5 ตุลาคม 2563 นี้ ตามด้วยพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป

*วิธีทำแบบสำรวจโดย Amex Trendex:

แบบสำรวจออนไลน์นี้จัดทำโดย Morning Consult ระหว่างวันที่ 18-20 สิงหาคม 2563 โดยสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คนจากทั่วประเทศ โดยกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้เป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป มีรายได้อย่างน้อย 70,000 ดอลลาร์ต่อครัวเรือน และเป็นผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) ที่เดินทางโดยเครื่องบินอย่างน้อยหนึ่งครั้งในปี 2562 ผลการสำรวจมีส่วนต่างของข้อผิดพลาดบวกหรือลบ 2 เปอร์เซ็นต์

เกี่ยวกับ อเมริกัน เอ็กซ์เพรส

อเมริกัน เอ็กซ์เพรส เป็นบริษัทผู้ให้บริการระดับโลก ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ ข้อมูล รวมถึงประสบการณ์ที่เพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตและสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ americanexpress.com และติดตามความเคลื่อนไหวของเราได้ทาง facebook.com/americanexpressinstagram.com/americanexpresslinkedin.com/company/american-expresstwitter.com/americanexpress และ youtube.com/americanexpress

ลิงก์ไปยังผลิตภัณฑ์ บริการ และข้อมูลความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท: ค่าธรรมเนียมและบัตรเครดิต บัตรเครดิตเพื่อธุรกิจ บริการด้านการเดินทาง บัตรของขวัญ บัตรเติมเงิน บริการร้านค้า Accertify InAuthบัตรสำหรับองค์กร การเดินทางเพื่อธุรกิจ และ ความรับผิดชอบต่อสังคม

เกี่ยวกับห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน

ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน เป็นโปรแกรมห้องรับรองที่เป็นซิกเนเจอร์ภายใต้ คอลเลกชันห้องรับรองอเมริกันเอ็กซ์เพรสทั่วโลก ซึ่งให้สิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน โดยอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ห้องรับรองอเมริกัน เอ็กซ์เพรสในประเทศต่าง ๆ  สิทธิ์ Delta Sky Club® สำหรับผู้ถือบัตรที่เดินทางกับสายการบินเดลตา สิทธิ์ Priority PassTM Select Lounges โดยต้องทำการลงทะเบียน สิทธิ์เข้าถึง Airspace Lounges, MAG U.S. Escape Lounges และ Plaza Premium Lounges รวมกว่า 1,300 แห่งใน 140 ประเทศ และกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ

สิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน เป็นเอกสิทธิ์ที่มอบให้เฉพาะสมาชิกผู้ถือบัตรแพลตตินัม สมาชิกห้องรับรองเซ็นจูเรี่ยน และสมาชิกบัตร Delta SkyMiles® Reserve เท่านั้น สมาชิกบัตรแพลตตินัมสามารถเข้าใช้ห้องรับรองพร้อมผู้ติดตามได้สูงสุดสองท่านโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สมาชิกบัตรเซ็นจูเรี่ยนสามารถเข้าใช้ห้องรับรองพร้อมครอบครัว หรือ ผู้ติดตามได้สูงสุดสองท่าน สมาชิกบัตรแพลตตินัมและบัตรเซนจูเรียนสามารถซื้อสิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรอง เดอะ เซ็นจูเรี่ยน ให้กับแขกที่นอกเหนือจากนี้ได้ในราคา 50 ดอลลาร์ต่อท่าน สมาชิกบัตร Delta SkyMiles® Reserve สามารถให้ผู้ติดตามเข้าใช้ได้สูงสุดสองท่านต่อการเข้าใช้หนึ่งครั้ง โดยมีค่าบริการเพิ่มเติมที่ 50 ดอลลาร์ต่อท่านต่อห้องรับรองแต่ละแห่ง

ที่ตั้ง: ทั่วโลก

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200916005291/en/

ติดต่อ

อเมริกัน เอ็กซ์เพรส
Margot Leeds
Margot.Leeds@aexp.com


CleverTap แต่งตั้ง Jasmeet Gandhi เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจและพันธมิตร

Logo

อดีตผู้คร่ำหวอดในแวดวงพันธมิตรของแบรนด์ Nokia และ Microsoft จะเข้ามาผลักดันการพัฒนาความร่วมมือระดับโลก

มุมไบ อินเดีย–(BUSINESS WIRE)–17 ก.ย. 2563

CleverTap ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวงจรชีวิตลูกค้าชั้นนำและแพลตฟอร์มการรักษาผู้ใช้ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ประกาศแต่งตั้ง Jasmeet Gandhi เป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจและพันธมิตร โดยนาย Gandhi จะนำประสบการณ์ด้านการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ การขาย และพันธมิตรเชิงกลยุทธ์มานานกว่า 20 ปี ของเขามาใช้ประโยชน์สร้างแรงผลักดันสานโมเมนตัมต่อให้ CleverTap ในตลาดเทคโนโลยีการตลาดมือถือที่มีการแข่งขันที่สูง อนึ่ง นาย Gandhi จะประจำอยู่ที่สำนักงาน CleverTap ในมุมไบ

“บรรยากาศทางธุรกิจในปัจจุบันส่งเสริมตลาดให้มีการแข่งขันสูงขึ้น ดังนั้นการค้นหาผู้นำที่โดดเด่นมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมา” Supratim Biswas ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ของ CleverTap กล่าว “ เราโชคดีที่มีผู้นำที่โดดเด่นและมีประสบการณ์ที่พิสูจน์แล้วอย่าง Jasmeet ซึ่งเป็นคนที่นอกจากจะมาช่วย CleverTapในการเติบโตในระยะยาวและเติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว ยังจะมาช่วยค้นพบโอกาสและความร่วมมือใหม่ ๆ ที่ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ จากหลากหลายอุตสาหกรรมสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด”

Jasmeet มีประสบการณ์ด้านอาชีพในสายเทคโนโลยีที่ครอบคลุมมากกว่า 20 ปี เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมผู้ก่อตั้งที่ Rediff.com ที่ซึ่งเขาใช้เวลา 14 ปีในการสร้างและจัดการการตลาดของผลิตภัณฑ์ การขาย การตลาดแบรนด์ และพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริการของ Nokia เขาได้จัดการ Nokia app store และสร้างระบบนิเวศของนักพัฒนาแอปพร้อมกับบริการอื่น ๆ เช่น Nokia Music และ Maps สำหรับที่ Microsoft ทีมของเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการเตรียมความพร้อมใช้งานแอปพลิเคชัน ISV ไปยังโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ Azure

“ในขณะที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ความสามารถเฉพาะตัวของ CleverTap ในการเสริมสร้างประสบการณ์แบบรายบุคคลและเปลี่ยนประสบการณ์เหล่านั้นให้เป็นมูลค่าตลอดชีวิตถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวสำหรับทุกองค์กรทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก” Jasmeet Gandhi หัวหน้าการพัฒนาธุรกิจและพันธมิตรที่ CleverTap กล่าว “ผมตื่นเต้นและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมทีม CleverTap ที่ยอดเยี่ยมและรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สร้างโครงการพันธมิตรระดับโลกของเรา”

CleverTap ช่วยให้แบรนด์ดิจิทัลอันดับต้น ๆ สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับแอพบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ของตนได้สูงสุด โดยการปรับเปลี่ยนประสบการณ์ของลูกค้าโดยใช้ข้อมูลวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์และการสร้างแบบจำลองเชิงคาดการณ์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือลงทะเบียนเพื่อทดลองใช้ฟรีโปรดไปที่ clevertap.com.

เกี่ยวกับ CleverTap

CleverTap เป็นแพลตฟอร์มการมีส่วนร่วมและการรักษาลูกค้าชั้นนำที่ช่วยให้แบรนด์เพิ่มมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของผู้ใช้ แบรนด์ผู้บริโภคทั่วโลกซึ่งมีแอพเป็นจำนวนรวมกันกว่า 8,000 แอพ รวมถึง Gojek, Disney + Hotstar, Discovery Kids, Sony, Vodafone, Carousell และ The Meet Group ไว้วางใจให้ CleverTap ช่วยปรับปรุงการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการรักษาผู้ใช้ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ในระยะยาวได้ CleverTap ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท ร่วมทุนชั้นนำ ได้แก่ Sequoia, Tiger Global Management, Accel และ Recruit Holdings และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Mountain View, แคลิฟอร์เนีย โดยมีสำนักงานในอัมสเตอร์ดัม สิงคโปร์ ดูไบ และมุมไบ ด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ clevertap.com หรือติดตามเราได้ที่ LinkedIn และ Twitter.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200916005781/en/

ติดต่อ:

Almitra Karnik

CleverTap

415-513-5756

press@clevertap.com

Lightspeed Venture Partners ขยายไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ก่อตั้งไฟแรงเพื่อสร้างนวัตกรรมบุกเบิก

Logo

สรุปหัวข้อข่าว:

  • Lightspeed ได้ลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น Grab, Chilibeli, Ula, Shipper และ NextBillion โดยมีแผนการเร่งด่วนต่อไป
  • Lightspeed จะลงทุนทั่วทั้งภูมิภาคโดยใช้ทุน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ได้ระดมเมื่อเร็วๆ นี้จากกองทุนทั่วโลก โดยสิงคโปร์และอินโดนีเซียเป็นประเทศที่สำคัญ
  • Lightspeed ได้จัดตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคในสิงคโปร์ นำโดยทีมงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประสบการณ์ที่แข็งแกร่งด้านการลงทุนและการดำเนินงานในระดับภูมิภาค

สิงคโปร์0–(บิสิเนสไวร์)–17 ก.ย. 2563

Lightspeed Venture Partners (“ Lightspeed”) ประกาศการดำเนินงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ Lightspeed จะเป็นพันธมิตรและสนับสนุนผู้ประกอบการไฟแรงในภูมิภาคกำลังสร้างบริษัทบุกเบิก  Lightspeed จะลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยใช้เงินจากกองทุนทั่วโลกซึ่งก่อนหน้านี้ได้ประกาศว่าระดมได้รวม 4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200916005103/en/

Lightspeed Southeast Asia Team (pictured left to right): Akshay Bhushan, Marsha Sugana, Pinn Lawjindakul, and Bejul Somaia.(Graphic: Business Wire)

ทีม Lightspeed Southeast Asia (ภาพจากซ้ายไปขวา): Akshay Bhushan, Marsha Sugana, Pinn Lawjindakul และ Bejul Somaia (กราฟฟิค : บิสิเนสไวร์)

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจที่เพราะโรคโควิด 19 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่รวดเร็วในอุตสาหกรรมและประเภทต่างๆ แรงหนุนเหล่านี้ทำให้ผู้ก่อตั้งที่แข็งแกร่งสามารถสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ  Lightspeed มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้ก่อตั้งทั่วทั้งภูมิภาคที่กำลังสร้างอนาคตใหม่จากการหยุดชะงักครั้งนี้โดยการใช้เทคโนโลยี

ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา Lightspeed ได้สนับสนุนผู้ก่อตั้งนักบุบเบิกตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงช่วงเติบโต กว่า 70% ของการลงทุนเป็นบริษัทในระยะเริ่มต้น โดยมักจะเป็นหุ้นส่วนทุนสถาบันรายแรก  ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Lightspeed มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับการลงทุนตั้งแต่ระยะแรกๆ โดยช่วยตอบโจทย์ที่เป็นเอกลักษณ์ในเอเชียในภาคส่วนต่าง เช่นการค้า ฟินเทค edtech และ SaaS และอื่นๆ อีกมากมาย

“เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและระบบนิเวศของสตาร์ทอัพที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเกิดจากความสามารถพิเศษของผู้ประกอบการในภูมิภาคนี้  เราเชื่อว่าระบบนิเวศสตาร์ทอัพจะยังคงขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญและรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการในช่วงที่พวกเขาสร้างและขยายขนาดบริษัท” Akshay Bhushan หุ้นส่วนของ Lightspeed Venture Partners กล่าว

Lightspeed ได้ลงทุนไปแล้วในซุปเปอร์แอพพลิเคชั่นแห่งภูมิภาค Grab  แพลตฟอร์มพาณิชย์สังคม Chilibeli แอพตลาด B2B Ula ผู้ให้บริการองค์กรซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ NextBillion.ai เช่นเดียวกับบริษัทจัดส่งสินค้า Shipper  นอกจากนี้บริษัทในพอร์ตโฟลิโอของ Lightspeed หลายแห่งกำลังขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคในสิงคโปร์ ได้แก่ Snap, OYO Rooms, Yellow Messenger และ Darwinbox เป็นต้น  นอกจากนี้กิจการหลายแห่งกำลังสร้างธุรกิจที่มีความสามารถด้านวิศวกรรมจากอินเดียและพื้นที่อื่นๆ

“ภารกิจของเราที่ Lightspeed ยังคงเหมือนเดิม แม้ว่าเราจะขยายตัวจากซิลิคอนวัลเลย์ไปยังอิสราเอล จีน อินเดีย ยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่กล้าหาญซึ่งกำลังสร้างบริษัทในอนาคตในวันนี้” Ravi Mhatre ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการ Lightspeed Venture Partners กล่าว “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในระบบนิเวศนวัตกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยและเราหวังว่าจะสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยาวนานกับผู้ก่อตั้งและชุมชนเทคโนโลยีที่กว้างขึ้น”

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา Lightspeed ได้ช่วยให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ เติบโตกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ได้แก่ Snap (สหรัฐฯ), Nutanix (สหรัฐฯ), Pinduoduo (จีน), Man Bang group (จีน), Grab (เอเชีย), ห้อง OYO (อินเดีย), Udaan (อินเดีย) และ Byju's (อินเดีย).  Lightspeed มีส่วนร่วมอย่างอย่างลึกซึ้งกับการลงทุนเพื่อให้ผู้ก่อตั้งประสบความสำเร็จโดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายทั่วโลกการแนะนำลูกค้า ความสามารถและการสนับสนุนด้านการตลาด และเงินทุนในการเติบโต

“ด้วยประชากรจำนวนมากที่เข้าใจเทคโนโลยีและอายุที่น้อย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากในโอกาสที่นี่และความสามารถที่ผู้ก่อตั้งในภูมิภาคนี้ได้แสดงให้เห็น” Bejul Somaia หุ้นส่วนหุ้นส่วนของ Lightspeed Venture กล่าว “การดำเนินงานในระดับโลกของเรา เมื่อรวมกับความเชี่ยวชาญของทีมงานในพื้นที่แล้ว จะช่วยให้ผู้ก่อตั้งภูมิภาคสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสระดับโลกได้ดีขึ้นและเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับพวกเขา”

Lightspeed จะนำพากิจกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากสำนักงานประจำภูมิภาคในสิงคโปร์  ทีมงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วยผู้มีความสามารถจากทั่วภูมิภาค พร้อมด้วยประสบการณ์ การดำเนินงาน และการลงทุนที่หลากหลายในยูนิคอร์นระดับภูมิภาคและบริษัทข้ามชาติ  ทีมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วย:

  • Akshay Bhushan หุ้นส่วน ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา Akshay เป็นผู้นำการลงทุนร่วมกับ Lightspeed  ก่อนหน้านี้เขาเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งทีมพัฒนาองค์กรของ Flipkart ซึ่งเป็นผู้นำการลงทุนเชิงกลยุทธ์และการเข้าซื้อกิจการของสตาร์ทอัพ  ก่อนหน้าการทำงานที่ Flipkart, Akshay เคยเป็นที่ปรึกษาของ Bain & Company ซึ่งเขาได้ก่อตั้ง บริษัท Atlanta Private Equity Practice ซึ่งเป็นองค์กรลงทุนระยะแรกในอินเดียและผู้ร่วมก่อตั้ง Whalelogix แพลตฟอร์มการมีส่วนร่วมของนักช้อป
     
  • Bejul Somaia หุ้นส่วน Bejul เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ปี 2542 ได้เข้าร่วมงานกับ Lightspeed ในปี 2551 และมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งบริษัท Lightspeed India  เขามีส่วนช่วยในการสร้างบริษัทที่กำหนดตลาดเช่น OYO Rooms และ Udaan ในอินเดีย
     
  • Pinn Lawjindakul รองประธาน Pinn ได้ทำงานร่วมกับผู้ก่อตั้งในจีนและอินเดีย  นอกเหนือจากการทำงานร่วมกับ Grab ในช่วงแรกๆ ของซุปเปอร์แอพพลิเคชั่นนี้แล้ว เธอยังเคยทำงานกับ Tiger Global Management ในสิงคโปร์ซึ่งทำงานในบริษัทพอร์ตโฟลิโอในด้านต่างๆ เช่น fintech ไรด์แชร์ การสื่อสารและอีคอมเมิร์ซ  นอกจากนี้เธอยังทำงานกับ Bain & Company ซึ่งเธอให้คำแนะนำแก่ลูกค้าหุ้นเอกชนในช่วงแรกของการเริ่มต้นธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
     
  • Marsha Sugana รองหุ้นส่วนอาวุโสด้านการลงทุน Marsha เคยดำรงตำแหน่ง Private equity ร่วมกับ L Catterton และ Goldman Sachs ในอดีตและมีประสบการณ์ครอบคลุมบริษั ผู้บริโภคและบริษัทค้าปลีกมหาชนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เธอยังทำงานร่วมกับแผนกที่ปรึกษาตลาดการเงินของ BlackRock ในนครนิวยอร์กในฐานะนักวิเคราะห์

ด้วยการขยายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ Lightspeed ยังคงมุ่งมั่นในพันธกิจมากกว่าที่เคย ซึ่งก็คือการเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการไฟแรงในการสร้าง บริษัทที่ยอดเยี่ยมในอนาคต

เกี่ยวกับ Lightspeed Venture Partners

Lightspeed Venture Partners เป็นบริษัทร่วมทุนหลายขั้นตอนที่มุ่งเน้นการเร่งสร้างนวัตกรรมและแนวโน้มที่บุกเบิกในภาคธุรกิจและผู้บริโภค  ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทีมงาน Lightspeed ได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการหลายร้อยรายและช่วยสร้างบริษัทมากกว่า 400 แห่งทั่วโลกรวมถึง Snap, Nest, Nutanix, AppDynamics, MuleSoft, OYO, Guardant, StitchFix และ GrubHub  ปัจจุบัน Lightspeed และบริษัทในเครือบริหารจัดการแพลตฟอร์ม Lightspeed ทั่วโลกมูลค่า 10.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและที่ปรึกษาในซิลิคอนวัลเลย์ อิสราเอล อินเดีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรป www.lsvp.com

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม: www.lsvp.com

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200916005103/en/

สำหรับสื่อมวลชนกรุณาติดต่อ:
Pranav Rastogi – REDHILL ​​ในนามของ Lightspeed Venture Partners
pranav@redhill.asia l +6587487919