จ๊อบไทย เผยความต้องการแรงงานครึ่งปีแรก โควิด-19 ทำธุรกิจลดการจ้างงานสูงสุด 75% สายงานแพทย์/สาธารณสุข เนื้อหอมสุดในช่วงโควิด-19

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–13 สิงหาคม 2563

imgจ๊อบไทย (JobThai) ผู้ให้บริการหางาน สมัครงาน ออนไลน์ อันดับ 1 ของประเทศไทย ซึ่งให้บริการเข้าสู่ปีที่ 20 เปิดเผยว่า จากการรวบรวมข้อมูลความต้องการแรงงานขององค์กรในจ๊อบไทยแพลตฟอร์ม พบว่า องค์กรมีความต้องการแรงงานในช่วงครึ่งปีแรกรวมกันอยู่ที่ 303,776 อัตรา (เป็นการนับจำนวนอัตราแบบไม่ซ้ำกัน) ซึ่งมีการเปิดรับสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 124,629 อัตรา แต่ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายนการจ้างงานลดลง 16.5% เทียบกับเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มมีตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้นและกระจายวงกว้างมากขึ้น ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนด้านผู้ใช้งาน หางาน สมัครงาน มีการใช้งานมากกว่า 11 ล้านคน เติบโตขึ้น 7.5%  ซึ่งมีการสมัครงาน 8,876,727 ครั้ง เติบโตขึ้น 31.0% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นางสาวแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการจ๊อบไทย (JobThai)
กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้นส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับภาพรวมตลาดแรงงาน จากการรวบรวมและวิเคราะห์ฐานข้อมูลงานในจ๊อบไทยแพลตฟอร์ม เพื่อรายงานสถานการณ์ความต้องการแรงงานและพฤติกรรมความต้องการของผู้สมัครงานทั่วประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ดังนี้

  • 5 ประเภทธุรกิจมีความต้องการแรงงานมากที่สุด
  1. อาหารเครื่องดื่ม 58,724 อัตรา แม้การผลิตในอุตสาหกรรมอาหารไตรมาสที่ 1 ปี 2563 จะปรับตัวลดลง (ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม) แต่ผู้บริโภคยังคงมีการใช้จ่ายในหมวดสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ทำให้ประเภทธุรกิจนี้ยังคงมีความต้องการแรงงานมาเป็นอันดับแรก ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 22.9%
  2. บริการ 44,750 อัตรา ความต้องการแรงงานในธุรกิจประเภทนี้จะเป็นธุรกิจบริการที่นอกเหนือจากธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาคท่องเที่ยว  เช่น ธุรกิจบริการทำความสะอาด ธุรกิจบริการด้านระบบ ธุรกิจบริการฝึกอบรม
  3. ก่อสร้าง 41,353 อัตรา SCB EIC ได้ประเมินว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการยังคงสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างจะมีแนวโน้มหดตัวตามเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงมาก ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บางส่วนเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป แต่การก่อสร้างโครงการภาครัฐยังคงมีแรงขับเคลื่อนจากโครงการเมกะโปรเจกต์คมนาคม เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการสนามบิน โครงการท่าเรือ โครงการมอเตอร์เวย์ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  4. ยานพาหนะ/ชิ้นส่วนยานยนต์ 39,883 อัตรา ผลจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อยอดการจำหน่ายและการผลิตรถยนต์ในประเทศและการส่งออกให้ชะลอตัวลง และยังกระทบต่อเนื่องไปยังผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ผู้ผลิตอุปกรณ์ตกแต่งภายในรถยนต์ รวมถึงตัวแทนจำหน่าย (ที่มา : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) แม้ธุรกิจนี้จะอยู่ในห้าอันดับแรกที่ต้องการแรงงานมากแต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าความต้องการแรงงานลดลงถึง 31.8%
  5. ค้าปลีก 37,482 อัตรา ธุรกิจค้าปลีกโดยรวมมีผลกระทบค่อนข้างมาก ยกเว้นสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีวิต เช่น อาหารและของใช้ส่วนตัว ทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ยังคงมีความต้องการแรงงาน

  • 5 ประเภทธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานน้อยที่สุด
  1. ธุรกิจท่องเที่ยว 1,690 อัตรา การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่หดตัวรุนแรงหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยที่มีประกาศใช้มาตรการจํากัดการเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งความต้องการแรงงานในธุรกิจนี้ลดลงถึง 65.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)
  2. ธุรกิจความบันเทิง 2,075 อัตรา เป็นอีกอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศปิดสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ประกอบกับมาตรการควบคุมโรค โดยห้ามการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนเป็นจำนวนมาก รวมถึง การถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร ซีรีย์ โฆษณา
  3. ธุรกิจกระดาษ/เครื่องเขียน 2,200 อัตรา ธุรกิจกระดาษที่เกี่ยวเนื่องกับสื่อสิ่งพิมพ์มีความต้องการลดลง ส่วนธุรกิจกระดาษที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์แม้มีความต้องการใช้เติบโตขึ้น แต่โดยภาพรวมจะเห็นว่าธุรกิจนี้อยู่ในกลุ่มที่มีความความต้องการแรงงานน้อยเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ ในจ๊อบไทยแพลตฟอร์ม
  4. ธุรกิจโรงแรม/Resort/Spa/สนามกอล์ฟ 2,820 อัตรา จากมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติในไทยลดลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจที่กลุ่มนี้ ทำให้ธุรกิจกลุ่มนี้มีการจ้างงานลดมากที่สุด โดยลดลงถึง 75.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
  5. ธุรกิจอัญมณี/เครื่องประดับ 3,092 อัตรา การผลิตและจำหน่ายอัญมณีและเครื่องประดับปรับตัวลดลง เนื่องจากการผลิตเพื่อการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศลดลง ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสองธุรกิจที่สภาอุตสาหกรรมประเมินว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก

  • 5 สายงานที่องค์กรเปิดรับมากที่สุด อันดับหนึ่ง ขาย คิดเป็น 19.9% อันดับสอง ช่างเทคนิค คิดเป็น  10.3% อันดับสาม ผลิต/ควบคุมคุณภาพ คิดเป็น 7.9% อันดับสี่ วิศวกร คิดเป็น 5.8% อันดับห้า ธุรการ/จัดซื้อ คิดเป็น 5.7%
  • 5 สายงานที่คนสมัครมากที่สุด อันดับหนึ่ง ธุรการ/จัดซื้อ คิดเป็น 12.7% อันดับสอง ขาย คิดเป็น 9.5% อันดับสาม ผลิต/ควบคุมคุณภาพ คิดเป็น 9.1% อันดับสี่ งานบุคคล/ฝึกอบรม คิดเป็น 6.2% อันดับห้า ขนส่ง-คลังสินค้า คิดเป็น 6.1%
  • 5 สายงานยอดนิยมที่มีอัตราการแข่งขันสูง พบว่า งานที่มีอัตราการแข่งขันสูงที่สุด คือ นำเข้า-ส่งออก มีการแข่งขันอยู่ที่ 10.2 คน ต่อ 1 อัตรา อันดับสอง บุคคล/ฝึกอบรม โดยมีการแข่งขันอยู่ที่ 9.9 คน ต่อ 1 อัตรา อันดับสาม เลขานุการ การแข่งขันอยู่ที่ 9.4 คน ต่อ 1 อัตรา อันดับสี่ วิทยาศาสตร์/วิจัย การแข่งขันอยู่ที่ 8.2 คน ต่อ 1 อัตรา อันดับห้า วิเคราะห์/เศรษฐศาสตร์ การแข่งขันอยู่ที่ 7.2 คน ต่อ 1 อัตรา
  • 5 นิคมอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานมากที่สุด อันดับหนึ่ง นิคมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 3,374 อัตรา
    อันดับสอง นิคมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี 3,140 อัตรา อันดับสาม นิคมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี 2,789 อัตรา อันดับสี่ สวนอุตสาหกรรมโรจนะอยุธยา 2,339 อัตรา อันดับห้า เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ปทุมธานี 2,264 อัตรา
  • 5 องค์กรที่มีอัตราการเปิดรับมากที่สุด อันดับหนึ่ง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อันดับสอง บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) อันดับสาม บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด อันดับสี่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด อันดับห้า บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
  • 5 องค์กรที่มีคนสมัครมากที่สุด อันดับหนึ่ง บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) อันดับสอง บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) อันดับสาม บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) อันดับสี่ กลุ่มบริษัทเครือเบทาโกร จำกัด อันดับห้า บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 

นักศึกษาจบใหม่ในปีนี้ต้องเผชิญกับภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นต้องมีการปรับตัวอยู่เสมอเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและพร้อมรับมือกับอนาคต สำหรับสายงานที่เปิดรับนักศึกษาจบใหม่ มีดังนี้

  • 5 สายงานที่องค์กรเปิดรับนักศึกษาจบใหม่ปริญญาตรีมากที่สุด อันดับหนึ่ง ขาย คิดเป็น 23.3% อันดับสอง บริการ คิดเป็น 11.8% อันดับสาม ธุรการ/จัดซื้อ คิดเป็น 9.0% อันดับสี่ วิศวกร คิดเป็น 7.2% อันดับห้า ช่างเทคนิค คิดเป็น 7.1%
  • 5 สายงานที่นักศึกษาจบใหม่ปริญญาตรีสมัครมากที่สุด อันดับหนึ่ง ธุรการ/จัดซื้อ คิดเป็น 15.8%
    อันดับสอง วิศวกร คิดเป็น 10.3% อันดับสาม ขาย คิดเป็น 9.5% อันดับสี่ ผลิต/ควบคุมคุณภาพ คิดเป็น 8.0% อันดับห้า บริการ คิดเป็น 7.1%

เมื่อดูข้อมูลเชิงลึกในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่า ช่วงก่อนการระบาดในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์มีแนวโน้มการจ้างงานที่สูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเดือนมกราคม มีอัตราการเปิดรับ 119,122 เพิ่มขึ้น 8.7% จากธันวาคม 2562 และเดือนกุมภาพันธ์ มีอัตราการเปิดรับ 124,629 เพิ่มขึ้น 4.6% จากมกราคม 2563 โควิด-19 เริ่มมีการระบาดมากในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน รวมทั้งมีการออกมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อทำให้หลายสถานประกอบการจำเป็นต้องปิดกิจการชั่วคราว ตลอดทั้งการประกาศเคอร์ฟิว ส่งผลให้ความต้องการแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนมีนาคม มีอัตราการเปิดรับ 112,220 ลดลง 10.0% จากกุมภาพันธ์ 2563 และลดลงหนักสุดในช่วงเดือนเมษายน มีอัตราการเปิดรับ 91,382 ซึ่งลดลง 18.6% จากมีนาคม 2563 ส่วนเดือนพฤษภาคม อัตราที่เปิดรับ 86,966 ลดลง 4.8% จากเมษายน 2563 เดือนมิถุนายน อัตราที่เปิดรับ 90,347 เพิ่มขึ้น 3.9% จากพฤษภาคม 2563

  • 5 ประเภทธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2562 อันดับหนึ่ง ธุรกิจโรงแรม ลดลง 75.7% อันดับสอง ธุรกิจท่องเที่ยว ลดลง 65.8% อันดับหนึ่งและสองเป็นผลกระทบโดยตรงการท่องเที่ยวที่หดตัวรุนแรง อันดับสาม ธุรกิจที่ปรึกษา ลดลง 38.9% อันดับสี่ ธุรกิจสิ่งทอ ลดลง 37.9% อันดับห้า ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ลดลง 36.6%

  • 5 ประเภทธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางลบน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2562 พบว่า อันดับหนึ่ง ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม รับเพิ่ม 38.7% อันดับสอง ธุรกิจพลังงาน รับเพิ่ม 0.3% อันดับสาม ธุรกิจคอมพิวเตอร์/ไอที ลดลง 5.2% อันดับสี่ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์/เครื่องใช้ในบ้าน ลดลง 9.0% อันดับห้า ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ลดลง 9.4%

หากแบ่งข้อมูลออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงก่อนระบาดหนัก (มกราคม-กุมภาพันธ์) ช่วงระบาดหนักและล็อกดาวน์ (มีนาคม-เมษายน) และ ช่วงคลายล็อกดาวน์ (พฤษภาคม-มิถุนายน) พบว่า ช่วงระบาดหนักและล็อกดาวน์ มีสายงานเดียวที่เปิดรับคนเพิ่มขึ้น คือ แพทย์/เภสัชกร/สาธารณสุข เพิ่มขึ้น 0.5% ส่วนช่วงคลายล็อกดาวน์ มีการเปิดรับ Freelance เพิ่มขึ้น 36.4%

นางสาวแสงเดือน กล่าวต่อว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาสถานการณ์ด้านตลาดแรงงานมีความผันผวนจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 องค์กรต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้ทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ คนทำงานเองต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการทำงานของตัวเองอยู่ตลอดเวลา การพัฒนาทักษะอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการทำงานยุคนี้ สำหรับทิศทางของตลาดแรงงานจากนี้ไปคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเราดูสถิติช่วงต้นเดือนกรกฎาคม พบว่า สายอาชีพที่มีแน้วโน้มเปิดรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ Freelance, อาจารย์/ครู, แพทย์/เภสัชกร/สาธารณสุข สำหรับการหางาน สมัครงานในจ๊อบไทยมีการเติบโตขึ้นมาก ซึ่งจ๊อบไทยได้ออกฟีเจอร์การค้นหางานที่ให้ทำงานที่บ้านได้ (Work from Home) และค้นหางานที่เปิดรับสัมภาษณ์ออนไลน์ เพื่อสร้างความสะดวก ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการและคนหางานด้วย

อย่างไรก็ตาม จากฐานข้อมูลของจ๊อบไทยยังมีตำแหน่งงานจากบริษัทชั้นนำทั่วประเทศ สำหรับผู้ที่ต้องการหางาน สมัครงาน สามารถใช้งานได้ที่ www.jobthai.com หรือดาวน์โหลด JobThai Application ทั้งในระบบ  iOS, Android และ HUAWEI AppGallery

###

สื่อมวลชนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354-3599 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์ โทร. 081-984-5500 Email: usanee@incom.co.th

สถาบันประสาทวิทยาจับมือกสิกรไทย เปิดตัวแอป PNI PLUS ตัวช่วยพบแพทย์ยุคนิวนอร์มอล ลดความแออัดในการรับบริการ เข้าถึงได้ทุกสิทธิ์การรักษา

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–13 สิงหาคม 2563

imgสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย เปิดตัว PNI PLUS แอปพลิเคชันทันยุครับชีวิตวิถีใหม่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการการรักษาโรคสมองและระบบประสาทไขสันหลังสำหรับคนไทยทั้งประเทศให้ง่ายขึ้น ช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาล ตอบโจทย์การใช้บริการที่สะดวกรวดเร็วขึ้น

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดี กรมการแพทย์ เปิดเผยว่า PNI PLUS เป็นแอปพลิเคชันที่จะช่วยทำให้โรงพยาบาลของรัฐก้าวสู่ความเป็น Smart Hospital ที่แท้จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ระยะห่างระหว่างผู้ให้บริการทางด้านสาธารณสุขกับประชาชนคนไทยผู้รับบริการห่างออกไป ตรงกันข้ามแอปพลิเคชัน PNI PLUS จะเป็นตัวกลางที่เพิ่มความสามารถในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ด้านโรคสมองและระบบประสาทไขสันหลังของประชาชนจากทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น  ซึ่งสถาบันประสาทวิทยามุ่งเน้นพัฒนาการให้บริการที่ง่ายและสะดวกมาก โดยเริ่มต้นจากที่บ้าน ตั้งแต่การลงทะเบียนผู้ป่วย ตรวจสอบสิทธิ์การรักษาซึ่งเป็นแนวทางปกติของโรงพยาบาลภาครัฐ สามารถทราบขั้นตอนและจำนวนคิวที่ต้องรอ โดยในระหว่างนี้ ผู้รับบริการสามารถไปนั่งรับประทานอาหาร หรือทำธุระต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคิวตรวจ และเมื่อใกล้ถึงเวลารับบริการจะมีการแจ้งเตือน จึงค่อยเดินทางมายังจุดรับบริการ ซึ่งถือเป็นการให้บริการแบบวิถีใหม่หรือนิวนอร์มอล (New Normal) ที่จะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลของรัฐทั้งในช่วงเวลาปกติ และในช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเช่นในปัจจุบัน

นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา เปิดเผยว่าแอปพลิเคชัน PNI PLUS ได้รับการออกแบบให้สามารถใช้งานได้ง่ายไม่ซับซ้อนเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ของสถาบันประสาทวิทยาเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มคนไข้หลักของสถาบันประสาทวิทยาและบางส่วนเป็นผู้ป่วยทุพพลภาพที่มีความยากลำบากต่อการเข้ามารับการรักษาในแต่ละครั้งจึงต้องมีญาติมาด้วย โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยมารักษาประมาณ 400-600 รายต่อวัน หรือกว่า 9,900-12,000 รายต่อเดือน โดยในวันที่มีคลินิกเฉพาะโรคจะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอีก 250-350 รายต่อวัน ซึ่งเป็นจำนวนที่ค่อนข้างหนาแน่น ทำให้ผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการต้องรอคอยเป็นเวลานาน ดังนั้นการจะนำเทคโนโลยีใดมาใช้จึงต้องทำให้ขั้นตอนการเข้ารับบริการง่ายขึ้น สะดวกสบายขึ้น แต่หากผู้รับบริการท่านใดไม่ถนัด ก็ยังเปิดช่องทางให้บริการแบบปกติ ซึ่งจะได้รับการบริการที่สะดวกสบายไม่แตกต่างจากการใช้แอปพลิเคชัน เนื่องจากเมื่อมีผู้รับบริการส่วนหนึ่งหันไปใช้แอปพลิเคชัน ก็จะทำให้ผู้ขอรับบริการตามช่องทางปกติมีจำนวนลดลง จึงเพิ่มความคล่องตัวและความสะดวกสบายแก่ผู้ที่ไม่ถนัดใช้แอปพลิเคชัน สำหรับผู้ที่ใช้ PNI PLUS ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดคือ การลดระยะเวลาการใช้บริการในแต่ละขั้นตอน ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วย หรือญาติผู้ป่วยจัดสรรเวลาพบแพทย์ในแต่ละครั้งได้ดียิ่งขึ้น

นายทวี ธีระสุนทรวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาธนาคารได้ร่วมพัฒนาแอปพลิชันให้แก่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมาแล้วหลายแห่ง  โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ธนาคารมีความเชี่ยวชาญ มาร่วมพัฒนาแอปพลิเคชันทางการแพทย์ให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งครั้งนี้ได้ร่วมมือกับสถาบันประสาทวิทยา สถาบันทางการแพทย์เฉพาะทางโรคสมองและระบบประสาทไขสันหลังของกรมการแพทย์ ที่มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจำนวนมากในแต่ละวัน การลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการจึงเป็นโจทย์สำคัญ ซึ่งแอปพลิเคชัน PNI PLUS เอื้อประโยชน์ทั้งต่อ “ผู้รับบริการ” ได้แก่ ผู้ป่วย และญาติผู้ป่วย ที่ช่วยลดเวลาการเข้ารับบริการในขั้นตอนต่าง ๆ ที่สั้นลง และ “ผู้ให้บริการ” ได้แก่ แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่สามารถบริหารจัดการการให้บริการของโรงพยาบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยลดงานการให้บริการที่ไม่จำเป็นลง มีเวลาไปปฏิบัติงานอื่นที่เพิ่มคุณค่าให้กับโรงพยาบาลและผู้รับบริการมากขึ้น

นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยยังได้เชื่อมต่อบริการทางการเงิน ให้สามารถชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน PNI PLUS ได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต QR CODE หรือโอนเงินผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS  ซึ่งสร้างความสะดวกให้กับผู้รับบริการที่สามารถชำระเงินค่ารักษาภายใน 5 นาที จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที และผู้ใช้บริการยังสามารถบริจาคเงินให้กับสถาบันประสาทวิทยา ผ่านระบบ e-Donation บนแอปพลิเคชันเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยไม่จำเป็นต้องเก็บหลักฐานการบริจาค นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการบริหารจัดการเงินของสถาบันประสาทวิทยา เช่น ลดความยุ่งยากด้านการบริหารเงินสดประจำวัน  และลดภาระหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในห้องการเงิน เป็นต้น อีกทั้งตัวแอปพลิเคชัน ยังจะบันทึกข้อมูลการวินิจฉัยของแพทย์ ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ประวัติการรับยา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยสำหรับกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อการรับการรักษาต่อต่างโรงพยาบาล โดยธนาคารกำลังพัฒนาแอป PNI PLUS ให้สามารถชำระเงินและเพิ่มข้อมูลผลการตรวจต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้สามารถใช้งานได้ในช่วงต้นปีหน้า

ทั้งนี้ ผู้รับบริการของสถาบันประสาทวิทยาสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน PNI PLUS โดยสามารถค้นหาได้จากทั้งระบบปฎิบัติการ Android และ IOS เมื่อดาวน์โหลดแล้วก็สามารถเปิดใช้บริการได้ทันที โดยสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ พร้อมที่จะพัฒนาระบบการให้บริการควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการบริการ เพื่อประชาชนคนไทยมีสุขภาพดี เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการทางด้านสาธารณสุขมีความสุข เพื่อระบบสุขภาพของคนไทยที่ยั่งยืน

Prumo bp และ Siemens ร่วมมือกับ SPIC ในโครงการด้านพลังงานต่าง ๆ ในบราซิล

Logo

  • SPIC เข้าซื้อหุ้นในกิจการจำนวน 33% ของโครงการต่าง ๆ ภายใต้ GNA I และ GNA II 3 GW LNG-to-power
  • เข้าร่วมสัญญาตกลงเพื่อเข้าร่วมการขยายตัวของโครงการในอนาคต GNA III และ GNA IV ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน 6.4 GW และศูนย์กลางก๊าซในประเทศ ณ Port of Açu

ริโอเดจาเนโร–(BUSINESS WIRE)–10 ส.ค. 2563

Prumo ซึ่งเป็น บริษัทเอกชนของบราซิลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ EIG Global Energy Partners, bp และ Siemens ได้ลงนามในข้อตกลงที่มีผลผูกพันกับ SPIC Brasil ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว SPIC จะเข้าซื้อกิจการเป็นจำนวน 33% ของโครงการ LNG-to-power ของ GNA I และ GNA II  ซึ่งตั้งอยู่ที่ Port of Açu เมืองริโอเดจาเนโร นอกจากนี้ SPIC ยังได้ทำข้อตกลงเพื่อเข้าร่วมในโครงการการขยายตัวในอนาคตของโครงการ GNA III และ GNA IV ซึ่งคาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากการรวมตัวกันของ LNG และก๊าซในประเทศจากแหล่งสำรองก่อนชั้นเกลือ (pre-salt reserves) จำนวนมากในบราซิล

การสิ้นสุดของการตกลงนี้ ซึ่งถูกกำหนดเอาไว้ในไตรมาสที่สี่ของปี 2563 จะขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างบางประการซึ่งเป็นไปตามปกติของธุรกรรมลักษณะนี้ และเงื่อนไขอื่น ๆ ให้ครบถ้วน

GNA I และ GNA II เป็นโครงการก๊าซสู่พลังงานที่ใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกาโดยมีกำลังการผลิตติดตั้ง 3 GW ซึ่งเพียงพอที่จะจ่ายพลังงานให้กับครัวเรือนได้ถึง 14 ล้านครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีสถานี LNG ที่มีกำลังการผลิตรวม 21 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน โดยโครงการ GNA I ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 1.3 GW ถูกคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในครึ่งปีแรกของปี 2564  ซึ่งข้อตกลงนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายโครงการ GNA III และ GNA IV ตลอดจนถึงโครงการกลยุทธ์ศูนย์กลางก๊าซในประเทศ และโครงการพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ การลงทุนตามแผนในศูนย์ก๊าซและพลังงาน GNA จะมีมูลค่าโดยประมาณอยู่ที่ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ

การมีส่วนร่วมของ SPIC Brasil ในความร่วมมือครั้งนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานและกลยุทธ์การบริหารโครงการในบราซิล  โดยหน่วยงานด้านการจัดหาเงินของ Siemens ที่มีชื่อว่า Siemens Financial Services จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ Siemens Energy เพื่อการสนับสนุนด้านเงินทุน ด้านเทคโนโลยี ด้านนวัตกรรม และด้านความเชี่ยวชาญในการจัดการโครงการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ bp จะมีส่วนร่วมสนับสนุนพอร์ตโฟลิโอ LNG ทั่วโลก โดยทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาก๊าซอย่างสมบูรณ์แบบในระดับนวัตกรรม ส่วน Prumo จะมีส่วนช่วยในโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือทั้งหมด การดำเนินงาน การพัฒนา และการบูรณาการโครงการทั้งหมด ทั้งนี้การเป็นหุ้นส่วนจะช่วยอำนวยความสะดวกในการขยายโครงการต่าง ๆ และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินด้านการลงทุนที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์

BofA Securities และ Lakeshore Partners ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ GNA พร้อมกับเป็นผู้สนับสนุน ส่วน Itaú BBA ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวให้กับ SPIC สำหรับ Mattos Filho ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับ GNA และผู้สนับสนุนรายอื่น ๆ (sponsors) ส่วน Trench Rossi Watanabe ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับ SPIC

Siemens AG (เบอร์ลินและมิวนิก) เป็นขุมพลังด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ยืนหยัดในความเป็นเลิศด้านวิศวกรรม นวัตกรรม ด้านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือและความเป็นสากลมามากกว่า 170 ปี บริษัทมีการดำเนินงานทั่วโลกโดยมุ่งเน้นที่ด้านการผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะให้กับอาคารและระบบพลังงานแบบกระจาย และระบบอัตโนมัติและการแปลงกระบวนการและอุตสาหกรรมการผลิตให้เป็นแบบดิจิตอล นอกจากนี้ Siemens ก็กำลังสร้างตลาดโลกในด้านการบริการผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทที่มีการจัดการแยกออกมาโดยเฉพาะอย่าง Siemens Mobility ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ชั้นนำในด้านโซลูชันการเครื่องมือสื่อสารเคลื่อนที่อัจฉริยะสำหรับการขนส่งทางรถไฟและทางถนน  เนื่องจากการมีหุ้นส่วนใหญ่ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใต้ Siemens Healthineers AG และ Siemens Gamesa Renewable Energy  ดังนั้น Siemens ยังเป็นซัพพลายเออร์ชั้นนำระดับโลกด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และบริการด้านการดูแลสุขภาพแบบดิจิตอล ตลอดจนถึงโซลูชั่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับการผลิตพลังงานลมบนบกและนอกชายฝั่ง โดยในปีงบประมาณ 2562 ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2562 Siemens สร้างรายได้ 86,800 ล้านยูโรและรายได้สุทธิ 5,600 พันล้านยูโร และ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 บริษัทมีพนักงานประมาณ 385,000 คนทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมบนอินเทอร์เน็ตที่ www.siemens.com.

Siemens Financial Services (SFS) ซึ่งเป็นบริษัทจัดหาเงินทุนของซีเมนส์ เป็นผู้จัดหาโซลูชั่นทางการเงินแบบธุรกิจกับธุรกิจ (b2b) การผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญทางการเงิน การจัดการความเสี่ยงและความรู้ในอุตสาหกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ SFS สามารถสร้างโซลูชันทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ ด้วยเหตุนี้ SFS จึงสามารถอำนวยความสะดวกในการเติบโต การสร้างมูลค่า การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ นอกจากนี้ SFS สนับสนุนการลงทุนด้วยการจัดหาเงินทุน อุปกรณ์และการเช่าซื้อ การให้กู้ยืมขององค์กร การลงทุนในตราสารทุนและโครงการ และการจัดหาเงินทุน โซลูชันการจัดหาเงินเพื่อการค้าและลูกหนี้ทำให้พอร์ตโฟลิโอ SFS มีความสมบูรณ์ ด้วยการมีเครือข่ายระหว่างประเทศจึงทำให้ SFS สามารถปรับเข้ากับข้อกำหนดทางกฎหมายเฉพาะของประเทศต่าง ๆ และสามารถให้บริการโซลูชั่นทางการเงินได้ทั่วโลก สำหรับ Siemens แล้ว SFS ถือเป็นที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสำหรับความเสี่ยงทางการเงิน อนึ่ง Siemens Financial Services มีสำนักงานใหญ่ในมิวนิกประเทศเยอรมนี และมีพนักงานเกือบ 3,000 คนทั่วโลก www.siemens.com/finance.

SPIC Brasil เป็นบริษัทในเครือของ State Power Investment Corporation (SPIC) ซึ่งเป็น บริษัทผลิตพลังงานระดับโลกและบริษัทโครงการที่เกี่ยวข้องในบราซิล ซึ่งนี่หมายถึงการรวมกันระหว่างความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่งทางการเงินของกลุ่มชาวจีนขนาดใหญ่ และผู้บุกเบิกชาวออสเตรเลียที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในด้านพลังงานหมุนเวียน ปัจจุบันนี้ SPIC Brasil ดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังน้ำชื่อว่า SãoSimão บนพรมแดนระหว่างรัฐ Minas Gerais และ Goiás, Millennium Wind Farm และ Vale dos Ventos Wind Farm ในรัฐ Paraíba ทั้งนี้ในบราซิล บริษัทมีพนักงานประมาณ 160 คนซึ่งอยู่ในเมืองเซาเปาโล (SP), นาตาล (RN), เซาซิมาโอ (GO) และมาตารากา (PB) อนึ่ง SPIC Global มีกำลังติดตั้งรวม 151 GW มีพนักงานมากกว่า 130,000 คนใน 64 ประเทศที่ดำเนินงาน

Prumo เป็นกลุ่มเศรษฐกิจหลายธุรกิจที่รับผิดชอบการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ของท่าเรือ  Açu เราอยู่ภายใต้การควบคุมของ EIG Global Energy Partners ซึ่งเป็นกองทุนที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน และโดย Mubadala Investment Company ซึ่งเป็นนักลงทุนที่กระตือรือร้นและมีนวัตกรรมที่จัดสรรเงินทุนในหลากหลายกลุ่ม

ผ่านบริษัท 6 แห่งของกลุ่มบริษัท (Porto do Açu Operações, Ferroport, Açu Petróleo, GNA, Dome และ BP Prumo) ร่วมกับลูกค้าและคู่ค้าของเรา โดย Port of Açu ให้บริการน้ำมันและก๊าซ โลจิสติกส์ด้านท่าเรือ และด้านการขุด โครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มมีศักยภาพพิเศษในการรองรับธุรกิจใหม่ ๆ และกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ

ด้วยมุมมองเชิงกลยุทธ์ของ Prumo ปัจจุบัน Açu เป็นหนึ่งในองค์กรที่ใหญ่ที่สุดและมีศักยภาพมากที่สุดในบราซิล ด้วยความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานรวมกับความแข็งแกร่งของวิสัยทัศน์ระยะยาวของกลุ่มบริษัท และระยะทางที่ใกล้ชิดกับอ่างสำรวจน้ำมันหลัก รวมกันทำให้ Açu เป็นโซลูชันที่ดีที่สุดสำหรับความต้องการที่ท้าทายที่สุด

bp เป็นธุรกิจพลังงานแบบบูรณาการที่มีการดำเนินงานในยุโรป อเมริกาเหนือและใต้ ออสตราเลเซีย เอเชีย และแอฟริกา เราดำเนินการใน 79 ประเทศ ด้วยประสบการณ์กว่า 100 ปีในโลกแห่งพลังงาน เราเข้าใจตลาดพลังงานอย่างลึกซึ้งและได้พัฒนาความสามารถเฉพาะในด้านการค้า การตลาด เทคโนโลยีและนวัตกรรม จุดประสงค์ใหม่ของ bp คือการจินตนาการถึงพลังงานสำหรับผู้คนและโลกของเราเพื่อให้ bp กลายเป็น บริษัทที่ไม่ปล่อยมลพิษ (net zero) ภายในปี 2593 หรือเร็วกว่านั้น และเพื่อช่วยให้โลกกลายเป็นโลกที่ไม่ปล่อยมลพิษ

EIG Global Energy Partners (“EIG”) เป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำของภาคพลังงานทั่วโลกด้วยเงิน     22 ,900 ล้านดอลลาร์ภายใต้การบริหาร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดย EIG เชี่ยวชาญในการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ในช่วงประวัติศาสตร์ 38 ปี ที่ผ่านมา EIG ได้มอบเงินกว่า 34,200 ล้านดอลลาร์ให้กับภาคพลังงานผ่านโครงการต่าง ๆ หรือให้กับบริษัทมากกว่า 360 แห่งใน 36 ประเทศใน 6 ทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยผู้จัดทำแผนบำนาญชั้นนำ บริษัทประกันภัย บริษัทระกันชีวิต มูลนิธิและกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ในวอชิงตันดีซีโดยมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ ริโอเดจาเนโร ฮ่องกงและโซล สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดไปที่เว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200810005361/en/

ติดต่อ

สำหรับสื่อ

Siemens

Priscilla Garcez: +55 11 98996-2610 – priscilla.garcez@siemens.com

Jillian Lukach: +1 (732) 512-7550 – jillian.lukach@siemens.com

Prumo

Thaina Halac: +55 (21) 3114-0779 – thaina@danthicomunicacoes.com.br

SPIC

PUBLICIS CONSULTANTS

Cibele Gandolpho: +55 11 96477-2701 – cibele.gandolpho@mslgroup.com

Thaís Thomaz: +55 11 3169-9373 – thais.thomaz@mslgroup.com

EIG

Sard Verbinnen & Co.

Kelly Kimberly/Brandon Messina: +1 212 687 8080

ผลิตภัณฑ์จากพลาสมาสายพันธุ์จาก Lactococcus lactis ที่ Kirin เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้ารายการได้ระบการจดทะเบียนเป็น “สินค้าอาหารที่มีคุณสมบัติพิเศษ”

Logo

– เป็นครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์อาหารที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจะวางจำหน่ายในญี่ปุ่น –

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–07 สิงหาคม 2563

Kirin Holdings Company, Limited (TOKYO:2503) ประกาศในวันนี้ว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทห้ารายการ*1 ที่ใช้พลาสมาสายพันธุ์จาก Lactococcus lactis เป็นส่วนประกอบได้จดทะเบียนเป็น สินค้าอาหารที่มีคุณสมบัติพิเศษ (Foods with Function Claims) กับหน่วยงานกิจการผู้บริโภค (CAA) ของญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันได้จดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลังการอนุมัติโดยหน่วยงานกิจการผู้บริโภคแล้ว ผลิตภัณฑ์สามารถติดฉลากเพื่อ “กล่าวอ้างหน้าที่ของสารอาหาร” (โดยปกติแล้วเป็นประโยชน์ทางสุขภาพ) ได้ การจดทะเบียนครั้งนี้เป็นการเพิ่มคุณค่าในด้านความน่าเชื่อถือและการรับประกันให้กับผู้บริโภคเมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์
*1: เครื่องดื่มประเภทที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมสามรายการและอาหารเสริมสองรายการ ซึ่งจะมีการประกาศในภายหลัง

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200807005123/en/

Lactococcus lactis strain Plasma (Photo: Business Wire)

พลาสมาสายพันธุ์จาก Lactococcus lactis (รูปภาพ: Business Wire)

วิสัยทัศน์ Kirin Group Vision 2027 ของบริษัทได้วางเป้าหมายในการสร้างคุณค่าไว้อย่างครอบคลุมทั้งด้านอาหารและเครื่องดื่มไปจนถึงเภสัชภัณฑ์ และกำลังก้าวสู่การเป็นผู้นำโลกด้าน CSV*2 และเพื่อขยายธุรกิจกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มและกลุ่มเภสัชภัณฑ์ในปัจจุบัน กลุ่มจึงได้เปิดตัวธุรกิจกลุ่มใหม่ ได้แก่ วิทยาศาสตร์สุขภาพ เพื่อให้ผู้คนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพและการหมักที่มีความทันสมัยซึ่งทางกลุ่มได้สะสมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หนึ่งในตัวอย่างคือประโยชน์จากการวิจัยตลอด 35 ปีของกลุ่มที่นำไปสู่การพัฒนาพลาสมาสายพันธุ์จาก Lactococcus lactis ร่วมกันในทุกภาคส่วนขององค์กร จากนี้ Kirin Group จะเร่งขายผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลาสมาสายพันธุ์จาก Lactococcus lactis ภายในประเทศและขยายไปยังต่างประเทศต่อไป ซึ่งจะนำไปสู่การเสริมสร้างสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของชุมชนทั่วโลกยิ่งขึ้นไป
*2: Creating Shared Value หรือ การสร้างสรรค์คุณค่าร่วม ระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภคและสังคมโดยรวม

พลาสมาสายพันธุ์จาก Lactococcus lactis ที่ Kirin เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์

พลาสมาสายพันธุ์จาก Lactococcus lactis เป็นแบคทีเรียกรดแลคติกตามธรรมชาติที่ส่วนใหญ่นำมาใช้หมักชีสและโยเกิร์ต พลาสมาสายพันธุ์จาก Lactococcus lactis เกิดจากการวิจัยร่วมระหว่าง Kirin Holdings, Koiwai Dairy Products และ Kyowa Hakko Bio มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจำนวนมากได้รับการตีพิมพ์รวมถึงมีการนำเสนอ ณ สมาคมทางการแพทย์ที่ร่วมกับวิทยาลัยด้านการแพทย์และสถาบันวิจัยอยู่หลายครั้ง

สรุปการยื่นจดทะเบียนฉลากสินค้าอาหารที่มีคุณสมบัติพิเศษกับ CAA

ผลิตภัณฑ์นี้ประกอบด้วยพลาสมาสายพันธุ์จาก Lactococcus lactis และมีการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยบำรุงระบบภูมิคุ้มกันให้กับผู้ที่มีสุขภาพดีได้ด้วยการกระตุ้นการสร้างเซลล์ plasmacytoid dendritic หรือ pDC

[ส่วนประกอบที่มีคุณสมบัติเชิงหน้าที่]
พลาสมาสายพันธุ์จาก Lactococcus lactis (100พันล้าน/วัน)

ข้อมูลฉลากบนกล่องและบรรจุภัณฑ์

  1. “ช่วยบำรุงระบบภูมิคุ้มกันให้กับผู้ที่มีสุขภาพดี” (ข้อความที่ตัดมาจากสรุปการยื่นจดทะเบียนข้างต้น)
  2. “แบคทีเรียกรดแลคติกชนิดแรกของโลก* ที่ช่วยกระตุ้นเซลล์ pDC”
    *: งานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบจากแบคทีเรียกรดแลคติกต่อเซลล์ pDC ชิ้นแรกของโลกที่ได้รับการเผยแพร่
    (ข้อมูลจากเว็บไซต์วารสารทางการแพทย์และ PubMed) 

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200807005123/en/

ข้อมูลติดต่อสื่อ
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
Kirin Holdings Company, Limited
Russell Roll
ที่อยู่ Nakano Central Park South, 4-10-2 Nakano, Nakano-ku, Tokyo
โทร +81-3-6837-7028
อีเมล: Russell_Roll@kirin.co.jp
เว็บไซต์หลัก Kirin Holdings: www.kirinholdings.co.jp/english/

Zynga ประกาศผลประกอบการทางการเงินในไตรมาสที่สองของปี 2563

Logo

รายงานรายรับรายไตรมาสที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Zynga

สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานรายไตรมาสที่ดีที่สุดในรอบกว่าแปดปี

รายงานรายได้และการจองปี 2563 อย่างเต็มรูปแบบ

ซานฟรานซิสโก–(บิสิเนสไวร์)–06 สิงหาคม 2563

Zynga Inc. (Nasdaq: ZNGA) เปิดตัวผลประกอบการทางการเงินสำหรับไตรมาสที่สองสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยรายงานกำไรไตรมาสไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ลงในเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ โปรดดูจดหมายรายงานกำไรรายไตรมาสที่แนบมาหรือเยี่ยมชม http://investor.zynga.com/financial-information/quarterly-results

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับสมบูรณ์ได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200805005297/en/

“เราได้สร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในไตรมาสที่ 2 โดยบรรลุรายรับและการจองสูงสุดประจำไตรมาสและสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานรายไตรมาสที่ดีที่สุดของ Zynga ในมากกว่าแปดปี  นอกจากนี้เรายังดำเนินการซื้อกิจการ Peak และกำลังเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 โดยมี forever แฟรนไชส์ ​​8 รายการซึ่งเป็นการเพิ่มขนาดที่สำคัญให้กับบริการไลฟ์สดของเรา” Frank Gibeau ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Zynga กล่าว “นอกจากนี้เรายังได้ทำข้อตกลงเพื่อซื้อบริษัทอิสตันบูล Rollic ผู้พัฒนาและจัดจำหน่ายเกมไฮเปอร์แคชชวล หนึ่งในหมวดเกมมือถือที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุด”

ฝ่ายบริหารของ Zynga จะจัดการประชุมทางไกลเวลา 14.00 น. ตามเวลาแปซิฟิก (5:00 น. ตามเวลาตะวันออก) ในวันนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัท  อาจมีการชักถามและ Zynga จะตอบคำถามให้ได้มากที่สุด

สามารถเข้าร่วมการประชุมทางโทรศัพท์ได้ที่ http://investor.zynga.com โดยจะมีการฉายซ้ำผ่านทางเว็บไซต์หลังจากการโทร – หรือผ่านทางหมายเลขการประชุมด้านล่าง:

  • หมายเลขโทรฟรี: (800) 537-0745
  • หมายเลขโทรศัพท์ระหว่างประเทศ: (253) 237-1142
  • Conference ID: 5769759

เกี่ยวกับ Zynga Inc.

Zynga เป็นผู้นำระดับโลกในด้านความบันเทิงแบบอินเทอร์แอคทีฟโดยมีภารกิจในการเชื่อมต่อโลกผ่านเกม  ในปัจจุบัน Zynga มีผู้เล่นมากกว่าหนึ่งพันล้านคนเล่นเกมแฟรนไชส์ของบริษัท ซึ่งได้แก่ CSR RacingTM, Empires & PuzzlesTM, Merge Dragons!TM, Merge Magic!TM, Toon Blast™, Toy Blast™, Words With FriendsTM และ Zynga PokerTM เกมของ Zynga นั้นมีให้เล่นในกว่า 150 ประเทศผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลและอุปกรณ์มือถือทั่วโลก  บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2550 และมีสำนักงานใหญ่ในซานฟรานซิสโก โดยมีที่ตั้งสาขาในสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ อินเดีย ตุรกี และฟินแลนด์  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม เยี่ยมชม www.zynga.com หรือติดตาม Zynga บน Twitter, Instagram, Facebook หรือ บล็อกของ Zynga

แถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าที่เกี่ยวข้องกับการคาดการณ์รายได้และการจองของปี 2563 และการเข้าซื้อกิจการของ Rollic ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าประกอบด้วยคำต่างๆเช่น “มุมมอง” “คาดการณ์” “วางแผน” “ตั้งใจ” “จะ” “คาดหวัง” “เชื่อ” “ตั้งเป้าหมาย” “คาดหวัง” และข้อความอื่นๆ ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า การได้มาหรือความสำเร็จของประเด็นที่กล่าวถึงในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าวมีความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และสมมติฐานที่เกี่ยวข้อง  ผู้รับข่าวสารไม่ควรมีความเชื่อมั่นเกินควรในแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าวซึ่งอิงข้อมูลของเราที่มีอยู่ในปัจจุบันและเราไม่มีข้อผูกมัดในการอัพเดทข้อความดังกล่าว  ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และข้อสมมติฐานเหล่านี้จะถูกระบุในหนังสือที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“SEC”) โดยสามารถอ่านสำเนาหนังสือนี้ได้ในเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ของเราที่ http://investor.zynga.com หรือเว็บไซต์ของ SEC ที่ www.sec.gov

หมายเหตุจากบรรณาธิการ

หากต้องการดาวน์โหลดคลิป B-roll และภาพเกมสำคัญของ Zynga สำหรับโปรดไปที่: https://bit.ly/ZyngaQ22020

อ่านต้นฉบับใน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200805005297/en/

ติดต่อ:

Zynga สำหรับนักลงทุน:
Rebecca Lau
Investors@zynga.com

Zynga สำหรับสื่อ:
Sarah Ross
Sarah@zynga.com

Zynga ลงนามในข้อตกลงเพื่อซื้อบริษัทอิสตันบูล Rollic หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตมือถือแนว Hyper-Casual ที่เติบโตเร็วที่สุด

Logo

  • เป็นการเข้าสู่หนึ่งในหมวดเกมมือถือที่ใหญ่และเติบโตเร็วที่สุด
  • รวมผลงานเกม Hyper-Casual ยอดนิยมที่มีมากกว่า 5 ล้าน DAU มือถือและ 65 ล้าน MAU มือถือ
  • ขยายและสร้างความหลากหลายให้แก่ธุรกิจโฆษณาของ Zynga
  • เพิ่มทีมงานที่มีความสามารถและเครือข่ายนักพัฒนาที่กว้างขวาง
  • คาดว่าจะเข้าซื้อกิจการได้ภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2020

ซานฟรานซิสโก–(บิสิเนสไวร์)–06 สิงหาคม 2563

Zynga Inc. (Nasdaq: ZNGA) ผู้นำระดับโลกด้านความบันเทิงแบบอินเทอร์แอคทีฟประกาศว่า บริษัทได้ทำข้อตกลงเพื่อซื้อบริษัท Rollic ในอิสตันบูล ผู้พัฒนาและผู้จัดจำหน่ายเกมมือถือที่มีการดาวน์โหลดมากกว่า 250 ล้านครั้ง  ด้วยการซื้อกิจการครั้งนี้ Zynga จะเข้าสู่ตลาด Hyper-Casual (ไฮเปอร์แคชชวล) ซึ่งเป็นหมวดเกมที่ใหญ่และเติบโตเร็วที่สุดบนมือถือ  นอกจากนี้จะเป็นการเพิ่มทีมที่มีความสามารถสูงและเครือข่ายนักพัฒนาที่กว้างขวาง  Rollic จะเพิ่มจำนวนลูกค้าและขยายธุรกิจโฆษณาของเรา

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีมัลติมีเดีย  อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200805005030/en/

Zynga Enters Into Agreement to Acquire Istanbul-based Rollic (Graphic: Business Wire)

Zynga ทำข้อตกลงเพื่อซื้อบริษัท Rollic ในอิสตันบูล (กราฟิก: บิสิเนสไวร์)

โดยก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม 2561 โดย Burak Vardal, Deniz Basaran และ Mehmet Can Yavuz, Rollic เป็นผู้พัฒนาเกมแนวไฮเปอร์แคชชวลในอิสตันบูลประเทศตุรกี  แปดเกมของ Rollic ได้ครองอันดับเกมดาวน์โหลดฟรีอันดับ #1 หรือ #2 ใน US App Store และเกมล่าสุดของพวกเขา Go Knots 3D และ Tangle Master 3D เป็นเกมที่ดาวน์โหลดมากที่สุดสองอันดับแรกใน US App Store ในไตรมาสที่ 2 ปี 2020  ปัจจุบันเกมของ Rollic มีผู้ใช้งานประจำวันบนมือถือ (DAUs) มากกว่า 5 ล้านรายต่อวันและผู้ใช้งานมือถือรายเดือน (MAU) จำนวน 65 ล้านราย

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะขยายไปสู่หมวดไฮเปอร์แคชชวลด้วยการซื้อกิจการของ Rollic ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาและผู้เผยแพร่เกมแนวไฮเปอร์แคชชวลที่เติบโตเร็วที่สุดทั่วโลกในปี 2563 นำโดยทีมที่สร้างสรรค์อย่างเหลือเชื่อ” Frank Gibeau ซีอีโอของ Zynga กล่าว “ด้วย Rollic เรากำลังโตฐานลูกค้าของเรา ขยายและสร้างความหลากหลายแก่ธุรกิจโฆษณาทั่วโลกของเรา รวมถึงการเพิ่มโครงการพัฒนาเกมและเครือข่ายผู้พัฒนาเกมของเรา  Zynga และ Rollic อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะเติบโตได้เร็วขึ้นด้วยกัน”

“ทีม Rollic ภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับ Zynga” Burak Vardal ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Rollic กล่าว “ความเชี่ยวชาญด้านเกมแนวไฮเปอร์แคชชวลของเรานั้นเหมาะสมอย่างยิ่งกับความสามารถของ Zynga ในการจัดการผลิตภัณฑ์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล การสร้างรายได้จากโฆษณา และการเผยแพร่ระดับโลก  ด้วยการรวมรายชื่อเกมไฮเปอร์แคชชวลของ Rollic ที่มีอยู่เดิมและใหม่ๆ กับ Zynga เราหวังว่าจะได้มีส่วนร่วมในภารกิจการเชื่อมต่อโลกผ่านเกม”

Zynga จะซื้อ 80% ของ Rollic ด้วยเงินสด 168 ล้านดอลลาร์  การพิจารณาการทำธุรกรรมขั้นสุดท้ายจะรวมถึงการปรับเปลี่ยนการปิดตามธรรมเนียมและคาดว่าจะเสร็จสิ้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2563  ในอีกสามปีข้างหน้า Zynga จะเข้าซื้อส่วนที่เหลืออีก 20% ในงวดเท่าๆ กันตามการประเมินมูลค่าจากผลกำไร

หมายเหตุจากบรรณาธิการ:

ใช้งานเนื้อหาและกราฟฟิกได้ที่ลิงค์ต่อไปนี้: https://bit.ly/ZyngaRollic

เกี่ยวกับ Zynga Inc.

Zynga เป็นผู้นำระดับโลกในด้านความบันเทิงแบบอินเทอร์แอคทีฟโดยมีภารกิจในการเชื่อมต่อโลกผ่านเกม  ในปัจจุบัน Zynga มีผู้เล่นมากกว่าหนึ่งพันล้านคนเล่นเกมแฟรนไชส์ของบริษัท ซึ่งได้แก่ CSR RacingTM, Empires & PuzzlesTM, Merge Dragons!TM, Merge Magic!TM, Toon Blast™, Toy Blast™, Words With FriendsTM และ Zynga PokerTM เกมของ Zynga นั้นมีให้เล่นในกว่า 150 ประเทศผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลและอุปกรณ์มือถือทั่วโลก  บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2550 และมีสำนักงานใหญ่ในซานฟรานซิสโก โดยมีที่ตั้งสาขาในสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ อินเดีย ตุรกี และฟินแลนด์  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม เยี่ยมชม www.zynga.com หรือติดตาม Zynga บน Twitter, Instagram, Facebook หรือ บล็อกของ Zynga

เกี่ยวกับ Rollic

โดยก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม 2561 Rollic เป็นผู้พัฒนาและผู้เผยแพร่เกมในอิสตันบูลโดยมุ่งเน้นที่เกมไฮเปอร์แคชชวลแบบเล่นฟรีสำหรับ iOS และ Android  เกมที่ออกโดย Rollic ได้แก่ Go Knots 3D, Flipper Dunk, Onnect – Pair Matching Puzzle, Pixel Shot 3D, Picker 3D, Repair Master 3D, Tangle Master 3D, Water Shooty และ Wheel Smash. Rollic มุ่งมั่นที่จะผลิตเกมที่มีชื่อเสียงระดับโลกและสร้างระบบนิเวศของนักพัฒนาที่เจริญรุ่งเรืองในอุตสาหกรรมเกม สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม www.rollicgames.com หรือติดตาม Rollic บน Facebook, LinkedIn, Instagram, Twitter หรือ บล็อก Rollic

แถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า รวมถึงข้อความที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของเราในการบรรลุผลประโยชน์ที่ต้องการจากการเข้าซื้อกิจการ Rollic Oyun Yazılım ve Pazarlama Anonim Şirketi (“Rollic”) รวมถึงการขยายกลุ่มเป้าหมายและธุรกิจโฆษณา การโต DAU และ MAU ของเรา การเพิ่มจำนวนโครงการพัฒนาของเราและการเติบโตโดยรวมของเรา ราคาซื้อ Rollic รูปแบบและการพิจารณาข้อตกลง ระยะเวลาที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นการทำธุรกรรม และความสามารถของเราในการบรรลุประมาณการทางการเงิน  ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าประกอบด้วยคำต่างๆเช่น “มุมมอง” “คาดการณ์” “วางแผน” “ตั้งใจ” “จะ” “คาดหวัง” “เชื่อ” “ตั้งเป้าหมาย” “คาดหวัง” และข้อความอื่นๆ ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า การได้มาหรือความสำเร็จของประเด็นที่กล่าวถึงในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าวมีความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และสมมติฐานที่เกี่ยวข้อง  ผู้รับข่าวสารไม่ควรมีความเชื่อมั่นเกินควรในแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าวซึ่งอิงข้อมูลของเราที่มีอยู่ในปัจจุบันและเราไม่มีข้อผูกมัดในการอัพเดทข้อความดังกล่าว  ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และข้อสมมติฐานเหล่านี้จะถูกระบุในหนังสือที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“SEC”) โดยสามารถอ่านสำเนาหนังสือนี้ได้ในเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ของเราที่ http://investor.zynga.com หรือเว็บไซต์ของ SEC ที่ www.sec.gov

ตัวชี้วัดการดำเนินงานที่สำคัญ

เราจัดการธุรกิจของเราโดยการติดตามตัวชี้วัดการดำเนินงานรูปแบบ รวมถึง DAU มือถือ  “DAU มือถือ” ซึ่งวัดผู้ใช้ที่ใช้งานประจำวันของเกมมือถือของเราได้รับการบันทึกและประเมินโดยระบบการวิเคราะห์ภายในของเรา  เรากำหนด DAU มือถือและตัวชี้วัดการดำเนินงานอื่นๆ โดยใช้ข้อมูลภายในบริษัทที่อิงตามกิจกรรมของบัญชีผู้ใช้  นอกจากนี้ เรายังใช้ข้อมูลที่ได้รับจากบุคคลที่สาม รวมถึงการเข้าสู่ระบบเครือข่ายบุคคลที่สามที่ได้รับจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเพื่อช่วยเราติดตามว่าผู้เล่นได้เข้าสู่ระบบภายใต้บัญชีผู้ใช้ที่แตกต่างกันสองบัญชีหรือมากกว่า

DAU มือถือ  เรากำหนด DAU มือถือเป็นจำนวนบุคคลที่เล่นเกมมือถือหนึ่งเกมของเราในแต่ละวัน  DAU มือถือเฉลี่ยสำหรับช่วงเวลาหนึ่งคือค่าเฉลี่ยของ DAU มือถือสำหรับแต่ละวันในช่วงเวลานั้น  ภายใต้การวัดนี้ บุคคลที่เล่นเกมมือถือสองเกมที่แตกต่างกันในวันเดียวกันจะถูกนับเป็นสอง DAU  เราใช้ DAU มือถือเป็นตัวชี้วัดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้

MAU มือถือ เรากำหนดผู้ใช้ MAU มือถือเป็นจำนวนบุคคลที่เล่นเกมมือถือหนึ่งเกมของเราในช่วง 30 วันที่สิ้นสุดด้วยวันที่วัด ภายใต้การวัดนี้ บุคคลที่เล่นเกมมือถือสองเกมที่แตกต่างกันในช่วง 30 วันจะถูกนับเป็นสอง MAU เราใช้ข้อมูลที่จัดทำโดยบุคคลที่สามเพื่อช่วยเราระบุบุคคลที่เล่นเกมมือถือเดียวกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนนี้  อย่างไรก็ตามเนื่องจากเราไม่ได้มีข้อมูลการเข้าสู่ระบบเครือข่ายบุคคลที่สามเพื่อเชื่อมโยงบุคคลที่เล่นภายใต้บัญชีผู้ใช้หลายบัญชี ผู้เล่นอาจถูกนับเป็น MAU มือถือหลายเครื่อง  MAU มือถือเฉลี่ยในช่วงเวลาหนึ่งคือค่าเฉลี่ยของ MAU มือถือในแต่ละสิ้นเดือนในช่วงเวลานั้น  เราใช้ MAU มือเพื่อวัดขนาดผู้เล่นเกมทั้งหมด

อ่านที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200805005030/en/

ติดต่อ:

Zynga สำหรับนักลงทุน:
Rebecca Lau
Investors@zynga.com

Zynga สำหรับสื่อ:
Sarah Ross
Sarah@zynga.com


ภูมิภาคเอเชียประเมินกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจพลังงานอีกครั้งเพื่อเร่งการผันตัวสู่ดิจิตอล

Logo

การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมนำเสนอความทันสมัยและโอกาสในการขยายธุรกิจในเอเชีย

กรุงเทพมหานคร–(BUSINESS WIRE)– 6 สิงหาคม 2563

ความยืดหยุ่นของระบบกริดของกระแสไฟฟ้าและ การบูรณาการพลังงานหมุนเวียน ยังคงเป็นพื้นที่หลักของการลงทุนในเอเชีย เนื่องจากภูมิภาคนี้ยังคงเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าระบบกริดเพื่อรองรับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

“ผู้นำด้านพลังงานของเอเชียกำลังประเมินกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงพลังงานของพวกเขาอีกครั้ง โดยคำนึงถึงการแพร่ระบาดของโรคที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ในขณะที่การหยุดการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกและระบบผลิตไฟฟ้าแบบไม่รวมศูนย์ได้เพิ่มความซับซ้อนของกริดในทุกรูปแบบธุรกิจ วิศวกรรม และเทคโนโลยีพวกเขา แต่ในขณะดียวกันก็เป็นการนำเสนอโอกาสสำหรับภาคพลังงานในภูมิภาคนี้” Adrian Tan รองประธานฝ่ายขายและการตลาดที่ได้รับการแต่งตั้งจาก Black & Veatch, Power Business Asia กล่าว

Tan ระบุโอกาสสำคัญสำหรับภาคพลังงานของเอเชียไว้ดังนี้:

โครงสร้างพื้นฐานพลังงานแบบบูรณาการยังคงตอบสนองความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าของเอเชีย

เหล่าผู้นำด้านพลังงานของเอเชียยังคงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนด้านพลังงานของตนเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยกระแสไฟฟ้าและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน โครงสร้างพื้นฐานพลังงานแบบบูรณาการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการส่งและการกระจายที่แตกต่างกันเพื่อช่วยให้ระบบสาธารณูปโภคสามารถเอาชนะข้อผิดพลาดของโครงสร้างพื้นฐานที่เริ่มล้าหลัง ในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในด้านพลังงานที่ยั่งยืนและที่น่าเชื่อถือได้ ช่องทางโอกาสในขณะนี้คือการใช้ประโยชน์จากยุคที่ให้ความสำคัญกับการการกระจายตัวทางพลังงาน เช่น ไมโครกริดและพลังงานโซลาร์บนหลังคา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการใช้พลังงานไฟฟ้าและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในกลุ่มประเทศหมู่เกาะต่าง ๆ เช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์

ระบบการจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพของกริด ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของเอเชีย

เหล่าผู้นำด้านพลังงานระดับภูมิภาคกำลังเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานโดยการกระจายเชื้อเพลิงและแหล่งพลังงานหลักที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า แหล่งพลังงานแหล่งหนึ่งที่ภูมิภาคนี้กำลังลงทุนอยู่คือแหล่งพลังงานหมุนเวียน โดยปัจจุบันมีโอกาสในการสร้างสมดุลของพลังงานทดแทนที่แปรผันตามระบบจัดเก็บแบตเตอรี่พลังงาน  หรือ Battery Energy Storage Systems (BESS) และความสามารถในการส่งพลังงาน หรือ larger transmission capacities ที่มากขึ้นเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับกริด

ภาคพลังงานในเอเชียเร่งการผันตัวสู่ระบบดิจิตอล

รัฐบาลในภูมิภาคนี้กำลังเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีดิจิตอล และระบบสมาร์ทกริดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลลัพธ์เชิงบวกของเทคโนโลยีส่วนบุคคลในด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานแบบบูรณาการ การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิตอลนำเสนอโอกาสในการรับมือกับความท้าทายหลักด้านความเสถียรของกริด การจัดการโหลดสูงสุด ความยืดหยุ่นของระบบ และความน่าเชื่อถือในระบบองค์รวม

ระบบสมาร์ทกริดช่วยบูรณาการการสร้างพลังงานทดแทนในกริด และช่วยจัดการด้านอุปสงค์และอุปทาน

การบำรุงรักษาโดยการคาดคะเนอัตราการเสื่อมของเครื่องจักรหรือ predictive asset maintenance ช่วยให้ผู้ประกอบการโรงงานคาดการณ์สถานะของอุปกรณ์เพื่อให้สามารถกำหนดการบำรุงรักษาได้ การคาดการณ์และการตรวจสอบแบบเรียลไทม์แก้ไขปัญหาด้านความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของกริดไฟฟ้า พร้อม ๆ ไปกับการลดการสูญเสียค่าใช้จ่ายและปัญหาความล้มเหลวของอุปกรณ์อื่น ๆ

Tan นำประสบการณ์กว่า 20 ปี ทั้งด้านการขาย, วิศวกรรมและการดำเนินงานในอุตสาหกรรมพลังงาน เข้ามาร่วมงานกับ Black & Veatch ในฐานะรองประธานฝ่ายขายและการตลาดของธุรกิจไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชีย ที่ Black & Veatch โดยจะรับผิดชอบในการนำเสนอโซลูชั่นให้กับลูกค้าในบริการ EPC แบบครบวงจรทั้งในรูปแบบโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนแบบดั้งเดิม,  โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน, การผลิตกระแสไฟฟ้าแบบกระจาย, ระบบสายส่งไฟฟ้าม,  ระบบไมโครกริด และ ระบบ behind-the-meter services อนึ่ง Tan ประจำอยู่ที่กรุงเทพ

กดที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดภาพที่เกี่ยวข้อง

หมายเหตุบรรณาธิการ

  • รายงานประจำปี Engineering News-Record’s (ENR) annual “Top 500 Design Firms” Sourcebook จัดอันดับให้ธุรกิจพลังงานของ Black & Veatch เป็นอันดับ 1 ในธุรกิจบริการสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ อันดับ 3 ในด้านการสายส่งและการกระจายไฟฟ้า และอันดับ 7 ในธุรกิจบริการสำหรับพลังงานลม ซึ่งนี่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของบริษัท ในการช่วยให้ลูกค้าติดตามความยั่งยืนและความยืดหยุ่นที่มากขึ้นผ่านการสร้างพลังงานทดแทนและการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบกระจายในสเกลที่กว้างขึ้น
  • ในปี 2019 ลำพัง Black & Veatch ได้สร้างสถานีย่อยแล้วเสร็จสิ้นกว่า 1,900 สถานี และโครงการส่งไฟฟ้า500 แห่ง ทั่วโลก
  • Black & Veatch ได้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมมากกว่า 100 GW ผ่านบริการและความสามารถด้าน EPC อย่างเต็มรูปแบบ บริษัทมีประสบการณ์การจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่มากกว่า 100 MW และได้ติดตั้งระบบกระจายพลังงานมามากกว่า 700 รายการ

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทด้านวิศวกรรม, การจัดซื้อ, การให้คำปรึกษาและการก่อสร้างที่มีพนักงานเป็นเจ้าของซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2458 เราได้ช่วยทำให้ชีวิตผู้คนในกว่า 100 ประเทศดีขึ้น ด้วยการจัดการกับความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของโลก รายได้ของเราในปี 2562 อยู่ที่ 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และบนโซเชียลมีเดีย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200728006064/en/

ติดต่อ:

Black & Veatch

EMILY CHIA | +65 6761 3511 p | +65 9875 8907 m | ChiaLP@BV.com

สายด่วนสื่อ 24 ชั่วโมง | +1 866 496 9149

คาลเท็กซ์ คืนความสุขให้แก่ลูกค้า ประเดิมเสิร์ฟ สตาร์บัคส์ ในปั๊มแล้ววันนี้

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSiNESS NEWS)–6 สิงหาคม 2563

imgบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมันคุณภาพระดับโลกภายใต้แบรนด์ “คาลเท็กซ์” ร่วมกับ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ผู้นำด้านวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ มุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์แห่งความสุขให้กับลูกค้าหลังวิกฤตโควิด-19 เปิดให้บริการร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ไดร์ฟทรู ในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคแบบครบวงจร สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ Smart Partnership พร้อมเติมความสุขทุกเส้นทางไปกับคาลเท็กซ์

นางอลิซ พอตเตอร์ ประธานกรรมการและผู้จัดการใหญ่ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “คาลเท็กซ์มุ่งมั่นนำเสนอประสบการณ์แห่งความสุขให้แก่ลูกค้า ภายหลังจากที่ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ต่าง ๆ ลง จึงเปิดให้บริการร้านกาแฟ สตาร์บัคส์ ไดร์ฟทรู ในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์อย่างเป็นทางการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนไทยในปัจจุบันที่นิยมดื่มกาแฟกันมากขึ้น โดยร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ไดร์ฟทรู สาขาแรกที่เปิดให้บริการในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ อยู่ที่สาขารังสิต คลอง 3 (บจก. ดาวธัญบุรี) จังหวัดปทุมธานี ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นอีกก้าวที่สำคัญของคาลเท็กซ์ในการร่วมมือกับพันธมิตรค้าปลีกด้านธุรกิจร้านกาแฟอย่าง สตาร์บัคส์ แบรนด์กาแฟระดับโลกที่มีสาขากว่า 25,000 แห่งทั่วโลก ในการเติมเต็มประสบการณ์แห่งความสุขในการเดินทาง”

“สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ รังสิต คลอง 3 (บจก. ดาวธัญบุรี) ตั้งอยู่บนถนน รังสิต – นครนายก จังหวัดปทุมธานี ได้รับการปรับปรุงให้เป็นสถานีบริการน้ำมันในรูปแบบ “Caltex Smart Station” ที่โดดเด่นด้วยโครงสร้างของสถานีบริการน้ำมันรูปโฉมใหม่ ไม่ว่าจะเป็น แท่นจ่ายน้ำมัน หลังคา และเสา ที่ออกแบบให้มีความสง่างามและร่วมสมัย สอดรับกับการออกแบบตัวอาคารของร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ไดร์ฟทรู ภายใต้แนวความคิดที่จะสร้าง Community Place แห่งใหม่ในย่านรังสิต ด้วยรูปทรงสี่เหลี่ยมด้านขนาน ตกแต่งอาคารด้วยโทนสีเข้ม เพื่อขับให้ตัวอาคารของทั้งสองแบรนด์โดดเด่น สะดุดสายตาไปพร้อม ๆ กัน โดยนอกจากลูกค้าจะสามารถแวะพักจิบกาแฟที่ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ไดร์ฟทรู แล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการเพิ่มเติมให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการสถานีบริการน้ำมันแห่งนี้ อาทิ ร้านซับเวย์ (Subway) ร้านสะดวกซื้อ มินิ บิ๊กซี ร้านเบเกอรี่ กาโตว์เฮ้าส์ ร้านราดหน้านายเคี้ยงเอ็มไพร์ ร้านเจียง ร้านโชคดี ติ่มซำ ฯลฯ ควบคู่ไปกับการแวะเติมน้ำมันคุณภาพระดับโลก ซึ่งก็คาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค และผู้ใช้รถที่เข้ามาใช้บริการสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์แห่งนี้” นางอลิซ กล่าวพร้อมให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า

 “ความร่วมมือกับ สตาร์บัคส์ ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจด้านพันธมิตร หรือ Smart Partnership ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักทางธุรกิจของคาลเท็กซ์ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน เสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานีบริการน้ำมันแบบครบวงจร พร้อมขยายบริการและเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการให้มากกว่าการเข้ามาเติมน้ำมันเพียงอย่างเดียว โดยความร่วมมือกับสตาร์บัคส์จะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันนอกจากสาขารังสิต คลอง 3 จังหวัดปทุมธานีแล้ว ยังมีร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ไดร์ฟทรู เปิดให้บริการร่วมกับ สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์  ภายใน โครงการเดียวกัน เช่น โครงการ พอร์โต โก้ ท่าจีน จังหวัดสมุทรสาคร และโครงการ เดอะมู้ด นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม อีกทั้งร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ไดร์ฟทรู มีแผนที่จะเปิดสาขาภายในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์แห่งใหม่ อาทิ สาขาพระราม 2 สาขาถนนบรมราชชนนี และ สาขาติวานนท์  เพื่อดึงดูดผู้ใช้รถให้เข้ามาใช้บริการ และช่วยสร้างการเติบโตโดยรวมให้กับธุรกิจในอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ บริษัทฯ มีพันธมิตรธุรกิจค้าปลีก ทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ศูนย์บริการเปลี่ยนยาง เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ศูนย์ซ่อมเบา ล้างรถ ฯลฯ อีกทั้งยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรค้าปลีก  อื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์อันน่าประทับใจให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง”

ด้าน นางเนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “สตาร์บัคส์มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “คาลเท็กซ์” ในการยกระดับการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและผู้ใช้รถในประเทศไทย เพื่อส่งมอบประสบการณ์ สตาร์บัคส์ ทั้งในด้านการรังสรรค์กาแฟคุณภาพเยี่ยม บริการที่เป็นกันเองจากพาร์ทเนอร์ และการเป็นบ้านหลังที่ 3 หรืออีกสถานที่หนึ่ง ระหว่างบ้าน ที่ทำงาน หรือสถานที่แวะพักระหว่างเดินทาง ที่ช่วยมอบความรื่นรมย์ให้แก่ลูกค้าระหว่างการเดินทาง สตาร์บัคส์ สาขาสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ รังสิต คลอง 3 (บจก. ดาวธัญบุรี) นี้ นอกจากจะเป็นสตาร์บัคส์สาขาแรกในสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์แล้ว ยังเป็นสาขาที่มีบริการไดร์ฟทรู ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความต้องการของผู้บริโภคในยุค New Normal ที่มองหาความสะดวกสบาย และสุขอนามัยในการแวะเลือกซื้อเครื่องดื่มแก้วโปรดและเมนูต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน”

# # #

แลคตาซอย เดินหน้าโครงการ “แลคตาซอยรักษ์ไทย” สร้างอาชีพวิสาหกิจชุมชนหัตกรรมกระจูดวรรณี ฝ่าวิกฤติโควิด-19

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–6 สิงหาคม 2563

imgต้องยอมรับว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้สร้างผลกระทบเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกชีวิตต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน ทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด มีหลายคนหันมาใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อสร้างรายได้กันมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ทำให้สามารถก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ 

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตกรรมกระจูดวรรณี จังหวัดพัทลุง ก็เช่นกัน จากเดิมที่ผลิตสินค้าจาก “ต้นกระจูด” ซึ่งมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น เดิมนำต้นกระจูดมาแปรรูปเป็นเสื่อและของใช้ในครัวเรือน จากนั้นได้ต่อยอดด้วยการใส่งานดีไซน์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้เสื่อธรรมดากลายเป็นกระเป๋า เฟอร์นิเจอร์ ดีไซน์เรียบหรู ที่มีกลิ่นไอของวัฒนธรรมพื้นบ้านผสมผสานกับความร่วมสมัย  ตลาดหลักคือ กลุ่มโรงแรม ร้านสปา นอกจากนี้ยังส่งออกไปญี่ปุ่น  แต่เมื่อประสบกับวิกฤติโควิด-19 ทำให้ต้องเปลี่ยนแนวการทำตลาดมาขายสินค้าผ่านออนไลน์แทน   

 “วิกฤติโควิด-19 ทำให้ชาวบ้านในกลุ่ม 56 ชีวิต ได้รับผลกระทบอย่างหนัก รายได้ที่เคยมี 300-400 บาทต่อวัน หดหายกลายเป็นศูนย์   โรงแรม ร้านสปาที่เคยสั่งซื้อสินค้าก็หยุดการสั่งซื้อ  ร้านค้าที่ฝากขายหน้าร้านก็ปิด ทำให้สินค้าที่ผลิตออกมาค้างสต๊อค  ตอนนั้นปรึกษากันในกลุ่มว่า ทำอย่างไรก็ได้ที่จะทำให้สมาชิกทุกคนมีรายได้ จึงหันมาขายออนไลน์ผ่านหน้าเพจ Varnicarft ” “มนัทพงค์ เซ่งฮวด” หรือ “นัท” หัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตกรรมกระจูดวรรณี จังหวัดพัทลุง กล่าวถึงการได้รับผลกระทบจากโควิด-19

แต่นับเป็นความโชคดี เพราะเมื่อนำสินค้ามาโพสต์ขายผ่านช่องทางออนไลน์  ทำให้ บริษัท แลคตาซอย จำกัด ซึ่งให้ความสำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19  ได้เห็นและเข้ามาสนับสนุนผลิตภัณฑ์ “กระเป๋ากระจูด” ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตกรรมกระจูดวรรณี จังหวัดพัทลุง ผ่านโครงการ “แลคตาซอยรักษ์ไทย” โดยนำมาบรรจุอยู่ใน สเปเชียลเซ็ท “แลคตาซอยรักษ์ไทย” ที่ประกอบไปด้วยนมถั่วเหลืองคุณภาพดี จัดเข้าชุดอย่างลงตัวกับกระป๋ากระจูด ที่มีสีสันสวยงามและลวดลายในการสานมีดีไซน์ที่ร่วมสมัยและมีความเป็นสากล

มนัทพงค์ ได้เปิดใจถึงความรู้สึกที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการนี้ว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่แลคตาซอยได้เปิดโอกาสให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ทำให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีรายได้  มีงานทำ เพราะกว่าจะได้ผลิตภัณฑ์จากต้นกระจูดสัก 1 ชิ้น  เริ่มต้นกระบวนการผลิตตั้งแต่การนำต้นกระจูดมาคลุกดินขาว  ตากแดดให้แห้ง  รีดให้แบน  และนำมาถักทอด้วยมือโดยใส่ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ลงไปจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์  เรียกได้ว่าทุกขั้นตอนต้องผ่านการรังสรรค์จากมือของชาวบ้านถึง 9 คน เลยทีเดียว

“แลคตาซอยภูมิใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ชาวบ้านได้มีอาชีพและมีรายได้ ในยามที่ต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 โดยสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากต้นกระจูดของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตกรรมกระจูดวรรณี จังหวัดพัทลุง นับเป็นอีกผลิตภัณฑ์อันทรงคุณค่าและมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น  ซึ่งที่ผ่านมาเราได้เข้าไปสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของชุมชนหมู่บ้านผ้าย้อมคราม จ.อุดรธานี   และหลังจากนี้ยังมีวิสาหกิจและชุมชนอีกหลายแห่งที่แลคตาซอยจะเข้าไปสนับสนุน  เพื่อให้พวกเขาได้มีอาชีพ มีรายได้ มีกำลังใจที่จะประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวต่อไป” นางสาวมัลลิกา จิรพัฒนกุล ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายขาย บริษัท แลคตาซอย จำกัด กล่าวถึงความภูมิใจที่ได้ทำโครงการดี ๆ อย่างแลคตาซอยรักษ์ไทย ที่ช่วยสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ทั้งยังส่งเสริมสินค้าจากภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยอีกด้วย

แลคตาซอยรักษ์ไทย เป็นหนึ่งในสเปเชียลเซ็ทสุดน่ารัก ที่แลคตาซอยได้รังสรรค์ขึ้น เพื่อเอาใจผู้บริโภคที่ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ไปฝากคนที่รักและห่วงใย ให้ได้มีสุขภาพที่ดีไปด้วยกัน จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยในเซ็ทประกอบด้วย นมถั่วเหลืองแลคตาซอย โกลด์ซีรีย์ บรรจุ 12 กล่อง 4 รสชาติเข้มข้น  ได้แก่ คอลลาเจนไฟเบอร์ ขนาด 180 ml. จำนวน 3 กล่อง ชาเขียวมัทฉะ ขนาด 180 ml. จำนวน 3 กล่อง  เอ็กซ์ตร้าช็อกโก ขนาด 180 ml. จำนวน 3 กล่อง  และ ไฮแคลเซียม ผสมโสมสกัด ขนาด 180 ml. จำนวน 3 กล่อง จัดเข้าเซ็ทกันอย่างลงตัวกับกระเป๋ากระจูด Handcraft ที่มาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตกรรมกระจูดวรรณี จังหวัดพัทลุง โดยผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อแลคตาซอยสเปเชียลเซ็ท ได้แล้วที่ https://www.lactasoy.com/shop/

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร. 081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

 

บริษัทแรก ๆ ที่บรรลุคะแนน WELL Portfolio Scores แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านสุขภาพผ่านวิธีการที่ครอบคลุมทั่วทั้งพอร์ตโฟลิโอ

Logo

JLL และ Lendlease ซึ่งเป็นผู้นำมาตรฐาน Well ไปปรับใช้เป็นแห่งแรก ๆ ได้กลายเป็นเป็นผู้เช่าและบริษัทเจ้าของรายแรกที่บรรลุคะแนน WELL Portfolio Scores และเป็นผู้นำในการใช้กลยุทธ์ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างกว้างขวางทั่วทั้งบริษัท

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–5 ส.ค. 2563

สถาบัน International WELL Building Institute (IWBI) ได้ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกอย่าง JLL และ Lendlease เป็นสองบริษัทแรกที่จะได้รับWELL Portfolio Scores สำหรับการบรรลุเกณฑ์มาตรฐานเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การรับรองพอร์ตโฟลิโอของสินทรัพย์ที่เข้าร่วมในโครงการนี้

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคุณสมบัติเป็นมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200804005923/en/

JLL WELL Portfolio report (Photo: Business Wire)

รายงานพอร์ตโฟลิโอของ JLL WELL (ภาพ: Business Wire)

JLL จะเป็นบริษัทผู้เช่าเชิงพาณิชย์รายแรก และ Lendlease จะเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์แห่งแรกที่จะได้รับ WELL Portfolio Scores ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทในการยืนยันด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ที่ใช้ห้องชุด สำนักงาน และอาคารต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้พอร์ตโฟลิโอของบริษัททั้งสอง

ความสำเร็จทั้งสองนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับบริษัทกลุ่มแรก ๆ ที่นำหลักการนี้ไปปรับใช้อย่างต่อเนื่อง และถือเป็นเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับโครงการ WELL Portfolio  ซึ่งเปิดตัวในปี 2561 เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถปรับปรุงพื้นที่อาคารของพวกเขาและพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของมนุษย์โดยการปรับใช้มาตรฐาน WELL Building Standard (WELL) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการสร้างมาตรฐานด้านอาคารเพื่อสุขภาพ อีกด้วย

“WELL Portfolio เป็นกลไกที่สามารถนำพาองค์กรไปสู่การเดินทางเพื่อนำไปสู่การปรับใช้ ประเมิน และเฉลิมฉลองกลยุทธ์ด้านสุขภาพและประสิทธิภาพที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถถูกปรับใช้ได้กับธุรกิจทุกขนาด และนั่นคือสิ่งที่เราเห็นได้จากพอร์ตโฟลิโอของบริษัทผู้นำตลาดต่าง ๆ ที่น่าทึ่งเหล่านี้” Rick Fedrizzi ประธานและซีอีโอของ IWBI กล่าว “JLL และ Lendlease เป็นผู้นำในการนำกลยุทธ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ทันสมัยมาใช้เพื่อยกระดับสุขภาพของธุรกิจของพวกเขามาเป็นเวลานาน โดยการสนับสนุนด้านสุขภาพและผลิตภาพของผู้คนและการปรับปรุงประสิทธิภาพอาคารของพวกเขา เราภูมิใจที่จะเฉลิมฉลองความสำเร็จล่าสุดนี้กับพวกเขา”

โปรแกรม WELL Portfolio เปิดตัวขึ้นเพื่อช่วยให้เจ้าของกิจการ นักพัฒนา และผู้เช่าปรับปรุงและปรับขนาดกลยุทธ์ด้านสุขภาพและ wellness ตามมาตรฐานของ WELL ในหลาย ๆ สินทรัพย์ในพอร์ตโฟลิโอการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ตลอดจนถึงทั่วทั้งองค์กรของพวกเขา โดยจะใช้คะแนนเป็นมาตรวัด ไปพร้อม ๆ กับการปรับปรุงและพัฒนาตามมาตรฐาน WELL ที่มุ่งเน้นด้านสุขภาพที่ทั่วถึงในทุกโครงการภายในพอร์ตโฟลิโอ ตัวคะแนนอาจทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดสำหรับการบันทึกความก้าวหน้าที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล หรือ environmental, social and governance  (ESG) และการวัดผลงานด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีเทียบกับกับบริษัทอื่น ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ WELL Portfolio ด้วยกัน

บริษัทต่าง ๆ สามารถได้รับประโยชน์จากการกำหนดเส้นทางในการนำการออกแบบการดำเนินงานและกลยุทธ์ที่อิงตามนโยบายไปใช้ในหลากหลายอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังสามารถเลือกที่จะนำมาตรฐานของ WELL การรับรอง WELL (WELL Precertification และ WELL Certification) มาปรับใช้ และ/หรืออาจนำการให้คะแนน WELL Health-Safety Rating  มาใช้ในการดำเนินงานด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและการจัดการสำหรับอาคารส่วนบุคคลที่อยู่ภายใต้พอร์ตโฟลิโอของพวกเขาได้อีกด้วย โครงการนี้จะนำเสนอความยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันทั่วทั้งพอร์ตโฟลิโอ และช่วยจัดหาโซลูชั่นสำหรับโครงการและพื้นที่ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น

Fedrizzi ตั้งข้อสังเกตว่า ด้วยการใช้คะแนน WELL Portfolio Score ผู้เข้าร่วม กับ WELL Portfolio สามารถเฉลิมฉลองไมล์สโตน หรือก้าวสำคัญแห่งความสำเร็จของพวกเขาในระหว่างการเดินทางของพวกเขา โดยมีการได้รับการรับรอง WELL Certificate เป็นเป้าหมายขั้นสูงสุด

Fedrizzi กล่าวเสริมว่าผู้เข้าร่วม WELL Portfolio ได้รับประโยชน์จากเครื่องมือที่ตั้งค่าได้เอง และการสนับสนุนที่ดี ซึ่งรวมถึงแดชบอร์ดการรายงานที่สามารถช่วยบริษัทในการวัดความคืบหน้าและปรับปรุงผลลัพธ์ตลอดระยะเวลา ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้ ตลอดทั่วทั้งพอร์ตโฟลิโอของพวกเขา และที่สำคัญกว่านั้นคือการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนที่ทำงาน ใช้ชีวิตและเรียนรู้ ที่อยู่ในแต่ละพื้นที่นั้น ๆ

พอร์ตโฟลิโอของ JLL ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์กว่า 194 แห่งทั่วเอเชียแปซิฟิกและอเมริกาเหนือ ซึ่งมีสามแห่งที่ได้รับการรับรอง WELL Certified แล้วและอีกสองแห่งที่ได้รับการรับรองแบบ WELL Precertified ทั้งหมดนี้แสดงว่า JLL ได้นำกลยุทธ์ด้านความเป็นอยู่ที่ดีและสุขภาพรวมเข้าไปในโครงสร้างของอาคารภายในพอร์ตโฟลิโอของพวกเขา ตลอดจนถึงการรวมกลยุทธ์ด้านสุขภาพเข้าไปในการดำเนินงานและนโยบายของ ซึ่งส่งผลกระทบด้านบวกให้กับผู้คนมากกว่า 23,000 คนทั่วทั้ง 18 ประเทศ

“ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานของเราและลูกค้าของเรานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ JLL เราได้รับการสนับสนุนจาก WELL มานาน ในฐานะมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับมาตรฐานด้านสุขภาพในอาคาร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงลงทะเบียนพอร์ตโฟลิโอของเราภายใต้โครงการนี้ในปีที่ผ่านมา และเราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นบริษัทแรกพร้อม ๆ กับ Lendlease ลูกค้าของเรา  ที่จะบรรลุคะแนน WELL Portfolio Score” Matthew Clifford ซึ่งเป็น Global Product Owner บริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ของ JLL กล่าว “เราจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาคารและสถานที่ทำงานของเราพร้อมรองรับสุขภาพร่างกาย จิตใจ และสังคมของผู้ที่ใช้อาคารนั้น ๆ คะแนน WELL Portfolio Score ของเราเป็นขั้นตอนต่อไปในความมุ่งมั่นของเราในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับพนักงานของเราทุกคนเพื่อให้พวกเขาได้สัมผัสกับความสุขและสุขภาพที่ดีในการทำงานที่มากยิ่งขึ้น”

บริษัทผู้ให้บริการมืออาชีพที่ติดอันดับ Fortune 500 รวมถึงแพลตฟอร์มสำนักงานของ Lendlease ที่มีมูลค่า 13,000 ล้านเหรียญออสเตรเลียได้ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติที่อยู่ภายใต้ WELL ในการสนับสนุนลูกค้า ผู้เช่า และพนักงานเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการกลับเข้ามายังอาคารอีกครั้งหลังจากการระบาดของ COVID-19 และเพื่อเป็นการทำให้แน่ใจว่าสินทรัพย์ทั้งหมด ทั้งสินทรัพย์ใหม่และที่มีอยู่แล้วได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์การส่งเสริมสุขภาพของ WELL

Rachel Gutter ประธาน IWBI กล่าวว่า "ตั้งแต่เริ่มแรก JLL และ Lendlease ได้เข้าใจถึงคุณค่าของการมีอาคารที่ดีขึ้นซึ่งจะช่วยให้ผู้คนและองค์กรประสบความสำเร็จ" "ผ่านมาตรฐาน WELL Portfolio ผู้นำตลาดทั้งสองแห่งนี้กำลังเป็นผู้นำเทรนด์สำหรับการปลูกฝังวัฒนธรรมด้านสุขภาพที่มาพร้อมกับตัวอาคาร ตลอดจนถึงโปรโตคอลการดำเนินงานและนโยบายขององค์กรอื่น ๆ เราเชื่อว่าการเริ่มต้นอย่างกล้าหาญของพวกเขาจะช่วยยกระดับความสำคัญและเร่งบูรณาการด้านสุขภาพของมนุษย์และความเป็นอยู่ที่ดีในอาคารและสถานที่ทำงานต่าง ๆ ทั่วโลก”

การให้คะแนน WELL Portfolio ในเชิงพาณิชย์ของ Lendlease ประกอบด้วย 3 กองทุนจากออสเตรเลียที่มาพร้อมสินทรัพย์ 14 รายการ ที่รวมพื้นที่เอาไว้ 569,216 ตารางเมตร (6.1 ล้านตารางฟุต) ได้แก่ Australian Prime Property Fund Commercial, Lendlease One Internation Towers Sydney Trust (Tower One ที่ Barangaroo) และ Lendlease International Sydney Trust (Towers Two ดับ Three และ International House ที่ Barangaroo) ทั้งนี้ ผ่านความพยายามของมาตรฐาน WELL Certification จึงทำให้ Lendlease สามารถดึงดูดผู้ลงทุนใหม่ ๆ และรักษานักลงทุนและผู้เช่าชั้นนำเอาไว้ได้ โดยการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เป็นโอกาสในการลงทุนที่แข็งแกร่ง อสังหาริมทรัพย์สามแห่งในพอร์ตของ WELL สามารถได้รับการรับรองจาก WELL Certified Platinum แล้ว ส่วนที่เหลืออีก 11 แห่ง ได้รับ WELL Precertified แล้ว ซึ่งโครงการเหล่านี้ทั้งหมดส่งผลกระทบเชิงบวกให้ผู้คนเกือบ 60,000 คน

“Lendlease เชื่อมั่นเสมอว่าสินทรัพย์ที่มีความยั่งยืนสูงมอบผลประโยชน์ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทั้งสิ่งแวดล้อมและลูกค้าของเรา สินทรัพย์เหล่านี้ยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุน เพื่อสร้างมูลค่าทางสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่ไปกับผลตอบแทนทางการเงินที่คำนึงถึงความเสี่ยงในระยะยาว” Kylie Rampa ซีอีโอด้านอสังหาริมทรัพย์ของ Lendlease กล่าว “WELL เป็นเกณฑ์มาตรฐานระดับโลกที่สำคัญสำหรับสุขภาพในอาคารที่รองรับการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในอุตสาหกรรม การที่เราเป็นมาตรฐานที่ให้คะแนนพอร์ตโฟลิโออาคารเป็นแห่งแรกของโลกเป็นก้าวสำคัญในการดำเนินการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อให้สถานที่ทำงานคำนึงถึงสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้าที่เช่าอาคาร โดยการนำเสนอสภาพแวดล้อมภายในอาคารที่ดีขึ้นผ่านการให้ความสำคัญกับอากาศ แสงธรรมชาติ การเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว และการปฏิบัติที่เข้มงวดในการทำความสะอาดเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ปลอดภัยในการกลับเข้ามาทำงานหลังจากการระบาดของ COVID19”

JLL และ Lendlease เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่มีระยะเวลายาวนาน และต่างเป็นพันธมิตรกับ IWBI โดยทั้งหมดร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ร่วมกันว่าด้วยการจัดการพื้นที่อาคารที่สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้คน และที่สามารถสร้างผลการลงทุนที่แข็งแกร่งได้ ทั้งนี้ Lendlease ได้ว่าจ้าง JLL เพื่อการจัดการอสังหาริมทรัพย์ของพอร์ตโฟลิโอเชิงพาณิชย์ โดยมีทีมงานของ JLL Energy & Sustainability Services ทำหน้าที่เป็นทีมที่ปรึกษาเกี่ยวกับ WELL ที่สนับสนุนพอร์ตโฟลิโอทั้งสองชุด

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม WELL Portfolio ไปที่ www.wellcertified.com/portfolio.

เกี่ยวกับ the International WELL Building Institute

The International WELL Building Institute (IWBI) เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวระดับโลกในการเปลี่ยนแปลงอาคาร ชุมชน และองค์กรต่างในรูปแบบที่ช่วยให้ผู้คนเจริญเติบโตมีความเป็นอยู่ที่ดี มาตรฐาน WELL v2 เป็นเวอร์ชันล่าสุดซึ่งเป็นที่นิยมของ WELL Building Standard ส่วนมาตรฐานบุกเบิกอย่าง WELL Community Standard เป็นระบบการจัดระดับเขตที่กำหนดมาตรฐานใหม่ระดับโลกสำหรับชุมชนที่มีสุขภาพดี เวลล์มุ่งเน้นไปที่วิธีการที่อาคารและชุมชนและรายละเอียดต่าง ๆ สามารถปรับปรุงความสะดวกสบาย สร้างทางเลือกที่ดีกว่า และปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของเรา IWBI ระดมชุมชนเพื่อสุขภาพผ่านการจัดการข้อมูลของ WELL AP การแสวงหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องการพัฒนาทรัพยากรทางการศึกษา และการสนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในทุกที่ IWBI เป็นผู้เข้าร่วมของ the United Nations Global Compact ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มด้านการเป็นพลเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโลกและช่วยบริษัทต่างๆในการพัฒนาเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs) ผ่านการใช้ WELL ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ WELL สามารถพบได้ ที่นี่

International WELL Building Institute, IWBI, the WELL Building Standard, WELL v2, WELL Certified, WELL AP, WELL Portfolio, WELL Portfolio Score, The WELL Conference, We Are WELL, the WELL Community Standard, WELL Health-Safety Rating, WELL Health-Safety Rated, WELL Workforce, WELL  และอื่น ๆ และโลโก้ที่เกี่ยวข้องเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายรับรองของ International WELL Building Institute pbc ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200804005923/en/

สำหรับสื่อติดต่อ:

Kristen Coco

media@wellcertified.com


The Bangkok Reporter