หญิงชาวญี่ปุ่นรุ่นมิลเลนเนียลมอง CLMV (กัมพูชา/ลาว/เมียนมาร์/เวียดนาม) เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างไร จะมีการจัดสัมมนาผ่านเว็บที่จะรวบรวมผลการสำรวจความคิดเห็นนี้ในวันที่ 21 และ 22 มิถุนายน โดยศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น

Logo

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–16 มิ.ย. 2564

ศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น (AJC) จะจัดสัมมนาผ่านเว็บที่มีชื่อว่า “การสำรวจความคิดเห็นการเดินทางใน CLMV (กัมพูชา/ลาว/เมียนมาร์/เวียดนาม) กลยุทธ์หลังการระบาดเพื่อดึงดูดผู้หญิงชาวญี่ปุ่นรุ่นมิลเลนเนียล” ในวันที่ 21 และ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ซึ่งจะอิงผลการ สำรวจความเชื่อมั่นในการเดินทาง CLMV1 ที่จัดทำขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 โดย AJC.  Ms. Yui Hiramatsu ผู้จัดการฝ่ายการตลาดจาก Valise Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับมอบหมายให้ทำการสำรวจ จะอธิบายผลการสำรวจรวมถึงวิธีที่ผู้หญิงชาวญี่ปุ่นรุ่นมิลเลนเนียลรวบรวมข้อมูลการเดินทางบนโซเชียลมีเดียและความประทับใจที่พวกเขามีต่อแต่ละประเทศใน CLMV ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งทั้งหมดอาจเป็นประโยชน์ในการสร้างผลิตภัณฑ์ทัวร์และปรับปรุงการใช้โซเชียลมีเดียในการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีเป้าหมายลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น

หน่วยงานการท่องเที่ยวญี่ปุ่นคาดว่าชาวญี่ปุ่นที่เดินทางในต่างประเทศประจำปีจะทะลุ 20 ล้านเป็นครั้งแรกใน 20192 โดยผู้หญิงในวัยยี่สิบอยู่อันดับแรกทั้งในกลุ่มอายุและเพศในฐานะตัวแทนส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศ CLMV, AJC ได้จัดทำแบบสำรวจความคิดเห็นด้านการเดินทางโดยมุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงญี่ปุ่นในวัย 20 และ 30 ปี เพื่อรอการเดินทางทั้งในช่วงที่มีและหลังโควิด-19

การสัมมนาผ่านเว็บจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการสำรวจ โดยเปิดให้ทุกคนที่สนใจในจุดหมายปลายทาง CLMV การวางแผนการท่องเที่ยว และการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว  แม้ว่าการสัมมนาผ่านเว็บจะเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่จะมีการจัดเตรียมล่ามภาษาอังกฤษไว้แปลในเวลาเดียวกัน

ดาวน์โหลดรายงานผลการสำรวจได้ที่เว็บไซต์ของ AJC ดังนี้ https://www.asean.or.jp/en/tourism-info/20210604/

เกี่ยวกับสัมนาทางเว็ป

ชื่อสัมนา:
“การสำรวจความคิดเห็นการเดินทางใน CLMV (กัมพูชา/ลาว/เมียนมาร์/เวียดนาม) กลยุทธ์หลังการระบาดเพื่อดึงดูดผู้หญิงชาวญี่ปุ่นรุ่นมิลเลนเนียล”

วันที่และเวลา:

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 15:00น. – 16:00น. (เวลาญี่ปุ่น) ประเด็นประเทศกัมพูชาและลาว

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 15:00น. – 16:00น. (เวลาญี่ปุ่น) ประเด็นประเทศเมียนมาร์และเวียดนาม

กำหนดการ
ผู้นำเสนอ: Ms. Yui Hiramatsu, Manager, Marketing Solution Dept., Valise Inc.
เนื้อหา: ผลการสำรวจ ข้อสรุปและการตอบคำถาม

ภาษา:
จะมีการจัดเตรียมล่ามภาษาอังกฤษไว้แปลในเวลาเดียวกัน (เสียงต้นเป็นภาษาญี่ปุ่น)

เสียงล่ามแปลมีเฉพาะกับแอปพลิเคชัน Zoom เท่านั้น

การลงทะเบียน:
ผ่านแบบฟอร์ม google ด้านล่าง https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeD9Q6qrN_sRoSRCmnlR6qvXnl5EZwHjptF03SJ2xQVevlU4g/viewform

สถานที่:
สัมนาออนไลน์ผ่าน ZOOM

ค่าธรรมเนียม:
ฟรี

ผู้จัดงาน:
ศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น


1 AJC ได้เพิ่มการสนับสนุนให้แก่ประเทศ CLMV (กัมพูชา/ลาว/เมียนมาร์/เวียดนาม) เพื่อลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน

2 การท่องเที่ยวญี่ปุ่น, 17 มกราคม 2564 (https://www.mlit.go.jp/kankocho/topics06_000244.html).

3 รายงาน JTB ปี 2563 “All about Japanese overseas travelers” (การท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวญี่ปุ่น), ศูนย์ให้คำปรึกษาและวิจัยการท่องเที่ยว JTB, 14 สิงหาคม 2563

อ่านต้นฉบับใน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210615006245/en/

ติดต่อ:

ASEAN-Japan Centre (AJC) PR Unit (ฝ่ายประชาสัมพันธ์ศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น)
Tomoko Miyauchi (MS)
URL: https://www.asean.or.jp/en/
E-mail: toiawase_ga@asean.or.jp

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Pony.ai เป็นบริษัทแรกในการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับบนถนนสาธารณะในสหรัฐฯ และจีน

Logo

เริ่มเปิดบริการ Robotaxi หรือแท็กซี่ไร้คนขับเต็มรูปแบบแก่ประชาชนทั่วไปในแคลิฟอร์เนียในปี 2565

ฟรีมอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–16 มิถุนายน 2564

Pony.ai ซึ่งตั้งอยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ เป็นบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติชั้นนำ ประกาศในวันนี้ว่าบริษัทได้เริ่มทดสอบรถยนต์ไร้คนขับเต็มรูปแบบบนถนนสาธารณะทุกวันในเมืองฟรีมอนต์และมิลพีทัส รัฐแคลิฟอร์เนีย นอกจากการประกาศทดสอบรถยนต์ไร้คนขับอย่างเต็มรูปแบบในกวางโจว ประเทศจีนเมื่อไม่นานมานี้แล้ว บริษัทยังเป็นบริษัทแรกที่มีรถยนต์ไร้คนขับเต็มรูปแบบบนถนนสาธารณะของ 3 เมืองใน 2 ประเทศ ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่คึกคักมากที่สุดในโลกอีกด้วย

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยเนื้อหามัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210615005458/en/

ความสำเร็จในการเปิดตัวครั้งนี้คือการได้รับใบอนุญาตขับขี่ที่ออกให้ก่อนหน้านี้สำหรับรถยนต์ไร้คนขับจำนวน 6 คันโดยกรมยานยนต์แห่งแคลิฟอร์เนีย ซึ่งให้บริการความสะดวกในพื้นที่ปฏิบัติการรวมกว่า 100 ตารางกิโลเมตร การทดสอบเทคโนโลยีซ้ำไปซ้ำมานับไม่ถ้วนและการประเมินความพร้อมของรถยนต์ไร้คนขับหลายครั้ง ซึ่งดำเนินการโดยทีมงานระดับแนวหน้าได้ตอกย้ำความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ในขณะที่เมืองต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ทยอยเปิดพื้นที่ Pony.ai จึงเตรียมการที่จะกลับมาให้บริการ Robotaxi หรือแท็กซี่ไร้คนขับสาธารณะในฤดูร้อนนี้ที่เมืองเออร์ไวน์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และวางแผนที่จะเปิดตัวบริการไร้คนขับสาธารณะเต็มรูปแบบในปี 2565

James Peng ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Pony.ai กล่าวว่า “การพัฒนาระบบไร้คนขับแบบสมบูรณ์เป็นกุญแจสำคัญเพื่อสร้างความสำเร็จแก่การขับขี่อัตโนมัติ และเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญเพื่อตระหนักถึงวิสัยทัศน์อันทะเยอทะยานของเรา เนื่องจากเรายังคงเดินหน้าเติบโตและเพิ่มขนาดธุรกิจต่อไป เราจึงขยายความรับผิดชอบต่อชุมชน ตั้งแต่บริการจัดส่งแบบไร้การสัมผัสกันตลอดการระบาดใหญ่ของโรค COVID-19 ในแคลิฟอร์เนียเมื่อปีที่แล้ว ไปจนถึงการต่อสู้กับการระบาดใหม่ของ COVID-19 ในกวางโจว”

Pony.ai ได้ร่วมมือกับเมืองฟรีมอนต์มานานกว่าหนึ่งปีเพื่อต่อสู้กับโรค COVID-19 ไม่ว่าจะเป็นบริการจัดส่งชุดอาหารให้กับชุมชนที่อ่อนไหว นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับ Yamibuy ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ในการมอบบริการจัดส่งปลายทางแบบอัตโนมัติและไร้การสัมผัสแก่ผู้อยู่อาศัยในเมืองเออร์ไวน์อีกด้วย

Peng กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในเมืองกวางโจว รถยนต์ไร้คนขับจำนวน 14 คันจะลำเลียงอุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์ช่วยชีวิต และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์แนวหน้าไปยังชุมชนท้องถิ่นทั้งกลางวันและกลางคืน Pony.ai ยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคมเสมอ และทำให้ชุมชนเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เราทำ”

เกี่ยวกับ Pony.ai

Pony.ai, Inc. (“Pony.ai”) ดำเนินการตามวิสัยทัศน์ที่ทะเยอทะยานด้านระบบขับขี่อัตโนมัติ เรามุ่งหวังที่จะนำระบบขับขี่ที่ปลอดภัย ยั่งยืน และเข้าถึงได้มาสู่ทั่วโลก เราเชื่อว่าเทคโนโลยีระบบขับขี่อัตโนมัติจะทำให้ถนนของเราปลอดภัยแก่นักเดินทางยิ่งขึ้น Pony.ai ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปี 2016 เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีและบริการระบบขับขี่อัตโนมัติทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน โดยนำร่องให้บริการ Robotaxi หรือแท็กซี่ไร้คนขับสาธารณะใน 2 ประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าทางการตลาด 5.3 พันล้านดอลลาร์ และนักลงทุนรายใหญ่บางรายของบริษัท ได้แก่ Toyota, Ontario Teachers' Pension Plan, Sequoia Capital China และ IDG Capital Pony.ai ได้จับมือเป็นพันธมิตรธุรกิจ OEM ชั้นนำ เช่น Toyota, Hyundai, GAC Group, FAW Group เป็นต้น

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210615005458/en/

ติดต่อ:

Christine Qing
media@pony.ai

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

LiveRamp และ Carrefour ร่วมเป็นพันธมิตร เพื่อนำเสนอการค้าปลีกแห่งยุคอนาคต

Logo

ผู้นำระดับโลกด้านการทำงานร่วมกันของข้อมูลที่เปิดใช้งานความเป็นส่วนตัว ช่วยให้ผู้ค้าปลีกปลดล็อกโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และยกระดับความสัมพันธ์ของคู่ค้าซัพพลาย

ซานฟรานซิสโก-(BUSINESS WIRE)–15 มิ.ย. 2564

LiveRamp® (NYSE: RAMP) ประกาศขยายความร่วมมือระดับโลกกับ Carrefour (OTCMKTS: CRERF) เพื่อเปิดใช้งาน การทำงานร่วมกันของข้อมูล ความสามารถในการวิเคราะห์และนวัตกรรมผ่าน Safe Haven ของ LiveRamp ทั้งนี้ การใช้เทคโนโลยีรักษาความเป็นส่วนตัวที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมของ LiveRamp จะทำให้ผู้ค้าปลีก แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค (CPG) และพันธมิตรของ Carrefour สามารถดำเนินการใช้และประสานข้อมูลได้อย่างปลอดภัย เรียบง่าย และมีประสิทธิภาพในระดับโลก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ปัจจุบัน Safe Haven มีให้บริการในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย และ Carrefour กำลังขยายตัวไปยังสเปน อิตาลี เบลเยียม โปแลนด์ โรมาเนีย อาร์เจนตินา บราซิล และไต้หวัน อนึ่ง Safe Haven ของ LiveRamp เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยธุรกิจใหม่ที่ Carrefour กำลังเปิดตัวในโอกาสนี้: “Carrefour Links” การเป็นหุ้นส่วนได้รับการประกาศในงานแถลงข่าวที่ปารีสในวันนี้

“LiveRamp จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงของคาร์ฟูร์ให้กลายเป็นผู้ค้าปลีกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลชั้นนำของอุตสาหกรรม” Elodie Perthuisot กรรมการบริหาร E-Commerce, Data and Digital Transformation Carrefour Group กล่าว “เรากำลังส่งมอบคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ด้วยการทำงานร่วมกันมากขึ้นกับ CPG และพันธมิตรผู้ค้าปลีกของเรากับ Carrefour Links เรารู้สึกตื่นเต้นกับการเป็นพันธมิตรกับ LiveRamp ในการทำงานร่วมกันเพื่อส่งมอบข้อมูลเชิงลึกและความสามารถใหม่ ๆ สำหรับผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ให้แก่พันธมิตร CPG ของเราในระดับโลก”

ด้วยการนำเสนอ การเชื่อมต่อข้อมูล และการจัดการข้อมูลประจำตัวในสภาพแวดล้อมที่เป็นกลาง ปลอดภัย และที่ได้รับอนุญาตแล้ว LiveRamp ทำให้วิธีการใช้งานและช่องทางรายได้ใหม่ ๆ เป็นไปได้สำหรับผู้ค้าปลีก ในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนวิธีการทำงานร่วมกับพันธมิตรซัพพลาย ส่วน การใช้ Safe Haven ผ่าน Carrefour Links  ช่วยให้คาร์ฟูร์เป็นพันธมิตรอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตร CPG ในตลาดต่างประเทศ 9 แห่งผ่านอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อมอบความสามารถในการทำงานร่วมกันด้านข้อมูลที่ได้รับการพัฒนามากขึ้น ซึ่งรวมถึง:

  • ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น一รายงานแบบครบถ้วนให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแคมเปญ การจัดการหมวดหมู่ และการวิเคราะห์นักช้อป Safe Haven ยังช่วยมอบความสามารถสำหรับทีมวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพื่อใช้สำหรับแบบจำลองและการเรียนรู้ของเครื่องอีกด้วย
  • การเปิดใช้งานการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลายช่องทาง一เปิดใช้งานแคมเปญ CPG โดยใช้ข้อมูลของ Carrefour ในแพลตฟอร์มโซเชียลและเว็บแบบเปิดและทรัพย์สินที่ Carrefour เป็นเจ้าของและดำเนินการ
  • การวัดที่ดีขึ้น一CPG สามารถเข้าใจผลกระทบของกิจกรรมทางการตลาดที่มีต่อการขายโดยใช้ข้อมูลการค้าปลีกได้ดีขึ้น และผลักดันให้มีการขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สำคัญ ๆ

“ข้อมูลกำลังเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของลูกค้าทั่วโลก – และCarrefour เป็นผู้นำเทรนด์นี้ด้วยแพลตฟอร์ม Carrefour Links” Warren Jenson ประธาน LiveRamp กล่าว “ด้วยการใช้ LiveRamp Safe Haven แบรนด์ต่าง ๆ และพันธมิตรสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างปลอดภัยเพื่อมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้นและขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจ เราภูมิใจที่ได้เริ่มใช้งานความสามารถที่ก้าวล้ำนี้สำหรับ Carrefour ในเครือข่ายพันธมิตร CPG และในกว่า 9 ประเทศ”

การขยายความร่วมมือของ LiveRamp กับ Carrefour ส่งสัญญาณถึงโมเมนตัมที่เพิ่มขึ้นของ Safe Haven ซึ่งขณะนี้ให้บริการลูกค้ามากกว่า 45 รายในร้านค้าปลีก ร้านขายของชำ CPG เครื่องใช้ไฟฟ้า และร้านค้าประเภทอื่น ๆ การเข้าซื้อกิจการ DataFleets ล่าสุดของ LiveRamp นำเทคโนโลยีที่ยกระดับความเป็นส่วนตัวชั้นนำของอุตสาหกรรมชิ้นนี้ มาสู่ Safe Haven ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้การควบคุมข้อมูลที่กำหนดค่าได้ Safe Haven ของ LiveRamp ทำให้การทำงานร่วมกันของข้อมูลปลอดภัยและง่ายดายสำหรับลูกค้า โดยไม่ต้องคำนึงถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคหรือแพลตฟอร์มคลาวด์ที่แต่ละฝ่ายใช้ โดยไม่ต้องย้ายข้อมูล

“Safe Haven ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำงานร่วมกันข้ามคลาวด์ ข้ามพันธมิตร และพรมแดน เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม มอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน” Jenson กล่าวต่อ “ในเวลาเพียงหนึ่งปีนับตั้งแต่การประกาศ Safe Haven เราได้รับส่วนแบ่งการตลาด 30% ภายในร้านขายของชำในสหรัฐอเมริกาและร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ส่วนในยุโรปกำลังบุกเบิกแนวทางกับ Carrefour และร้านค้าปลีกชั้นนำอื่นๆ โดยในขณะที่เราขยายธุรกิจไปทั่วโลก เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะให้บริการมากกว่าร้อยละ 30 ของ CPG ที่ใหญ่ที่สุดทั่วโลกกว่า 500 ราย  ในขณะนี้”

เยี่ยมชมเว็บไซต์ LiveRamp เพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Safe Haven และ Safe Haven สำหรับการค้าปลีก

เกี่ยวกับ Carrefour Group

ด้วยเครือข่ายหลายรูปแบบของร้านค้ากว่า 13,000 แห่งในกว่า 30 ประเทศ Carrefour Group เป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกอาหารชั้นนำของโลก Carrefour มียอดขายรวม 78.6 พันล้านยูโรในปี 2020 มีพนักงานมากกว่า 320,000 คนที่ช่วยทำให้คาร์ฟูร์เป็นผู้นำระดับโลกในด้านการส่งต่ออาหารสำหรับทุกคน โดยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารคุณภาพสูงและราคาไม่แพงได้ทุกวันในทุกสถานที่

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.carrefour.com หรือตามเราบน Twitter(@GroupeCarrefour) และ LinkedIn (Carrefour)

เกี่ยวกับ LiveRamp

LiveRamp เป็นแพลตฟอร์มการเชื่อมต่อข้อมูลชั้นนำสำหรับการใช้ข้อมูลอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนโดยความสามารถในการแก้ไขข้อมูลประจำตัวหลักและเครือข่ายที่ไม่มีใครเทียบได้ LiveRamp ช่วยให้บริษัทและคู่ค้าสามารถเชื่อมต่อ ควบคุม และเปิดใช้งานข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มีคุณค่ามากขึ้น โครงสร้างพื้นฐานที่ทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์และเป็นกลางของ LiveRamp มอบความสามารถในการเป็นสถานที่ตั้งแบบครบวงจรหรือ end-to-end สำหรับแบรนด์ เอเจนซี่ และผู้เผยแพร่ชั้นนำของโลก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.LiveRamp.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210615005755/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ

Michelle Millsap ในนามของ LiveRamp

liveramp@havasformula.com

619-857-2384

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hisense เพิ่มรายได้จากการขายในยุโรป 113% แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการเสริมสร้างความแข่งขันและความสามารถในการทำกำไรในยุโรป

Logo

ชิงเต่า จีน–(บิสิเนสไวร์)–14 มิ.ย. 2564

Hisense ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของ UEFA EURO 2020 ฉลองการเปิดตัว EURO 2020 ในอิตาลี  ฟุตบอลเป็นหนึ่งในกิจกรรมชั้นนำของยุโรปและสร้างโอกาสให้ Hisense สร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับผู้บริโภคชาวยุโรป  นับตั้งแต่การสนับสนุน UEFA EURO 2016 ผ่านการสนับสนุนการแข่งขันกีฬาและนวัตกรรมเทคโนโลยี Hisense ได้รับการยอมรับและยกย่องมากมายจากผู้บริโภคชาวยุโรป โดยการรับรู้แบรนด์ได้เพิ่มขึ้น 6%. ในปี 2564 รายได้ของ Hisense ในตลาดยุโรปเพิ่มขึ้น 113% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 355% และ 185% ในตลาดหลัก เช่น โปแลนด์และฝรั่งเศส  Hisense ทุ่มเทให้กับการพัฒนาและผลิตเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยใช้กลยุทธ์เชิงพื้นที่เพื่อรับรองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดที่แตกต่างกันและประสบการณ์ของผลิตภัณฑ์

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210614005257/en/

Fans can find Hisense Logo on EURO 2020 Festival Tower (Photo: Business Wire)

แฟนๆ สามารถมองเห็นโลโก้ Hisense บนหองาน EURO 2020 (ภาพ: Business Wire)

การจัดการระดับท้องถิ่น

Hisense ได้จัดตั้งสาขาและสำนักงานในเยอรมนี อิตาลี สเปน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และประเทศในยุโรปอื่นๆ โดยขยายการขายในท้องถิ่นอย่างแข็งขันโดยร่วมมือกับ Amazon, Euronics, ElectonicPartner, ตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ ฯลฯ

นอกจากนี้ Hisense ยังเพิ่มการลงทุนในยุโรปเพื่อปรับปรุงการรับรู้ถึงแบรนด์และเร่งกระบวนการขายกับพื้นที่  ในปี 2564 ตั้งแต่มกราคมถึงพฤษภาคม ยอดขาย ULED TV U7 และ ULED TV U8 ในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน และรัสเซีย เพิ่มขึ้น 181% เมื่อเทียบเป็นรายปี และรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 258% เมื่อเทียบเป็นรายปี  เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในท้องถิ่นและเร่งการผลิตผลิตภัณฑ์ Hisense ได้ลงนามในข้อตกลงกับรัฐบาลสโลวีเนียและวางแผนที่จะผลิตทีวี 2.5 ล้านเครื่องสำหรับตลาดยุโรปในปี 2564

ผลิตภัณฑ์สำหรับแต่ละท้องถิ่น

โดยทุ่มเทให้กับนวัตกรรมทางเทคนิคและให้ความสำคัญกับผู้บริโภคเป็นอันดับแรก Hisense สร้างผลิตภัณฑ์ที่กำหนดตามความแตกต่างของความต้องการของตลาด เช่น การปรับรอบหมุนของเครื่องซักผ้าจากปกติ 1200 รอบเป็น 1400 รอบสำหรับเครื่องในสหราชอาณาจักรเนื่องจากระดับความชื้นสูงเพื่อให้ผ้าแห้งเร็วขึ้น

นอกจากการดูแลพฤติกรรมผู้บริโภคแล้ว Hisense ยังปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของตนให้เหมาะสมเพื่อตอบสนองต่อตลาดในท้องถิ่นและการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม  จากการวิจัยตลาด เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 และการล็อกดาวน์ ผู้บริโภคชาวยุโรปต้องการตู้เย็นขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเก็บอาหาร  Hisense จึงได้เปิดตัวตู้เย็น SkyLine ขนาด 2 เมตร ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีขนาดความสูงและปริมาตรที่ใหญ่ขึ้น และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวยุโรปได้สำเร็จ

การรับสมัครงานในแต่ละพื้นที่

Hisense ยืนหยัดในการจัดการระดับท้องถิ่นโดยจัดตั้งทีมในพื้นที่ เช่น ทีมการขาย การผลิต การขนส่ง การดูแลลูกค้า ผ่านการจัดการโครงการและการอนุมัติงาน  Hisense เชื่อว่าผู้บริหารท้องถิ่นและข้อมูลเชิงลึกจากพนักงานในท้องถิ่นสามารถบูรณาการเข้ากับตลาดได้ดียิ่งขึ้น

โรงงานผลิตโทรทัศน์ในยุโรปของ Hisense มีพนักงานเพิ่มขึ้น 2 เท่าตั้งแต่เปิดทำการ  โรงงานยังคงจ้างพนักงานในท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการดำเนินงานในพื้นที่  "โรงงานผลิตโทรทัศน์ของ Hisense มีส่วนสำคัญในการพัฒนาภูมิภาคนี้ด้วยการสร้างงานใหม่มากกว่า 700 ตำแหน่ง" รัฐมนตรี Zdravko Počivalšek กล่าว

เมื่อมองไปข้างหน้า ไฮเซนส์จะยังคงทำงานร่วมกับตลาดยุโรปและทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานและพันธมิตรในท้องถิ่นเพื่อจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการด้านเทคโนโลยีคุณภาพสูงสำหรับผู้บริโภคชาวยุโรป

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210614005257/en/

สื่อ:
Lori Luo (ทีมประชาสัมพันธ์ Ogilvy)
อีเมล: lori.luo@ogilvy.com  / HisenseGlobal@ogilvy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย



คนสวยใจบุญ “ไข่หวาน-สาธิตา จิรพัฒนกุล” บอสสาว “แลคตาซอย”

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS ON BEHALF OF INTEGRATED COMMUNICATION)–15 มิถุนายน 2564

imgคนสวยใจบุญ “ไข่หวาน-สาธิตา จิรพัฒนกุล” บอสสาว “แลคตาซอย” ล่าสุดมอบผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองซังซังชุดใหญ่จาก โครงการ ซังซัง…รักกัน ครั้งที่ 2 ให้กับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำไปร่วมเสริมสร้างกำลังกายให้กับบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลทั่วประเทศ ที่ต้องทำงานอย่างหนักในการรักษาผู้ติดเชื้อ COVID-19

สื่อมวลชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร. 081 954 5500 Email: usanee@incom.co.th

Celltrion ประกาศผลลัพธ์ที่เป็นเชิงบวกจากการทดลองระยะที่ 3 ของ regdanvimab (CT-P59) ทั่วโลก ซึ่งเป็นการรักษาด้วยแอนติบอดีชนิดโมโนโคลนต้าน COVID-19

Logo

  • Regdanvimab (CT-P59) (40 มก./กก.) บรรลุผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติและมีความหมายทางคลินิกในจุดยุติหลักสี่จุด รวมถึงจุดยุติหลักและจุดยุติทุติยภูมิที่สำคัญสามจุด บริษัทคาดว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลระยะที่ 3 เต็มรูปแบบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
  • Regdanvimab (CT-P59) ลดความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญของ COVID-19 ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาในโรงพยาบาล หรือการเสียชีวิตได้ 72% สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงของ COVID-19 และ 70% สำหรับผู้ป่วยทุกราย
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย regdanvimab (CT-P59) รายงานว่าลดระยะเวลาอย่างมีนัยสำคัญในการฟื้นตัวทางคลินิกโดยอย่างน้อยเร็วขึ้น 4.7 วัน สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงของ COVID-19 และโดยเร็วขึ้น 4.9 วัน เมื่อเทียบกับยาหลอกสำหรับผู้ป่วยทุกราย
  • ตามบทความที่ตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้จาก Biochemical and Biophysical Research Communications ฤทธิ์ต้านไวรัสที่เพียงพอในสายพันธุ์ B.1.351 (ปัจจุบันจัดประเภทโดย WHO โดยเรียกว่า บีตา) – สัตว์ที่ติดเชื้อได้รับการยืนยันด้วยปริมาณยาทางคลินิกของ regdanvimab (CT-P59) 1

อินชอน เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–14 มิถุนายน 2564

Celltrion Group ประกาศในวันนี้ว่าข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยระดับบนสุดจากการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยแอนติบอดีชนิดโมโนโคลนต้าน COVID-19 ซึ่ง regdanvimab (CT-P59) มีคุณสมบัติตรงตามจุดยุติหลักและจุดทุติยภูมิทั้งหมดในผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางของ COVID-19 (n=1,315) ผลการศึกษาพบว่า CT-P59 ลดความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญของการรักษาในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตโดย 72% สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงของ COVID-19 จนถึงวันที่ 28 เมื่อเทียบกับยาหลอก เป็นไปตามจุดยุติประสิทธิภาพหลัก [3.1 เทียบกับ 11.1 %, ค่า p-value< 0.0001] CT-P59 ยังลดความเสี่ยงของการรักษาในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตได้ 70% ในผู้ป่วยทุกราย โดยเป็นไปตามจุดยุติทุติยภูมิที่สำคัญลำดับแรก (2.4 vs. 8.0 %, p-value< 0.0001]

การทดลองยังพบจุดยุติทุติยภูมิที่สำคัญอื่นๆ รวมถึงการลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในระยะเวลาของอาการ ผู้ป่วยที่ได้รับ CT-P59 (40mg/kg) ฟื้นตัวเร็วกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกอย่างน้อย 4.7 วัน (ค่ามัธยฐาน 9.3 เทียบกับค่าขั้นต่ำ 14 วัน ค่า p-value < 0.0001) สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงของ COVID-19 สำหรับผู้ป่วยทุกรายที่ได้รับ CT-P59 (40mg/kg) ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วกว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก 4.9 วัน (มัธยฐาน 8.4 เทียบกับ 13.3 วัน ค่า p < 0.0001)

ผลลัพธ์อันดับต้นๆ ยังแสดงให้เห็นว่า CT-P59 มีความปลอดภัยในเชิงบวก โดยไม่มีความแตกต่างที่มีความหมายทางคลินิกระหว่างผู้ป่วยที่ได้รับ CT-P59 (40mg/kg) กับผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก ปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับการให้ยาไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราว โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะฟื้นตัวภายใน 1 ~ 3 วัน

"เรายังคงต้องรับมือจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 และความกังวลในรูปแบบใหม่” Dr. HoUng Kim, Ph.D.หัวหน้าแผนกการแพทย์และการตลาดของ Celltrion Healthcare กล่าว “ขณะนี้โรงพยาบาลหลายแห่งทั่วโลกไม่สามารถรับมือในการรองรับผู้ป่วยเนื่องจาก COVID-19 เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องใช้ทรัพยากรทุกอย่างเพื่อลดภาระในระบบการรักษาพยาบาล การทดลองที่มีการควบคุมอย่างดีนี้ให้ผลลัพธ์ที่สรุปได้ว่า CT-P59 สามารถปรับปรุงผลลัพธ์ในผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และยังลดความเสี่ยงของการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตได้อย่างมาก เราตั้งตารอที่จะทำงานร่วมกับหน่วยงานควบคุมทั่วโลกต่อไปเพื่อให้ CT-P59 พร้อมใช้งานสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือมากขึ้น”

ผลการรักษาของ CT-P59 ต่อสายพันธุ์ B.1.351 (พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ ซึ่งปัจจุบันจัดประเภทโดย WHO โดยเรียกว่า บีตา) ได้รับการอัปเดตผ่านการตีพิมพ์จาก Biochemical and Biophysical Research Communications ตามบทความในการศึกษาในสัตว์ทดลอง (in vivo) เฟร์ริต แสดงให้เห็นว่าปริมาณการรักษาของ CT-P59 สามารถลดจำนวนของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B.1.351 ในทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง เมื่อเทียบได้กับปริมาณที่สังเกตได้จากไวรัสสายพันธุ์ก่อโรค1

Celltrion วางแผนที่จะเปิดเผยข้อมูลระยะที่ 3 เต็มรูปแบบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และวางแผนที่จะนำเสนอข้อมูลดังกล่าวในการประชุมแบบปากเปล่าที่การประชุมทางจุลชีววิทยาเชิงคลินิกและโรคติดเชื้อแห่งยุโรปครั้งที่ 31 (ECCMID) ซึ่งจะจัดขึ้นทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 9-12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

 จบ –

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ:

เกี่ยวกับ Celltrion Healthcare

Celltrion Healthcare มุ่งมั่นที่จะนำเสนอยาที่เป็นนวัตกรรมและราคาที่จับต้องได้เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงการรักษาขั้นสูงของผู้ป่วย ผลิตภัณฑ์ของบริษัทผลิตขึ้นที่สถานเพาะเลี้ยงเซลล์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ทันสมัย ​​ออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับ US FDA cGMP และแนวทาง EU GMP โดย Celltrion Healthcare พยายามนำเสนอโซลูชั่นคุณภาพสูงที่คุ้มค่าผ่านเครือข่ายทั่วโลกที่ครอบคลุมกว่า 110 ประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณารับชมได้ที่ https://www.celltrionhealthcare.com/en-us

เกี่ยวกับ regdanvimab (CT-P59) และการทดลองทางคลินิก

CT-P59 ถูกระบุว่าเป็นการรักษาที่มีศักยภาพสำหรับ COVID-19 ผ่านการคัดกรองผู้สมัครแอนติบอดีและเลือกผู้ที่แสดงศักยภาพสูงสุดในการทำให้ไวรัส SARS-CoV-2 เป็นกลาง ซึ่งการศึกษาทางคลินิกในหลอดทดลอง (in vitro) และในสัตว์ทดลอง (in vivo) แสดงให้เห็นว่า CT-P59 จับกับ SARS-CoV-2 RBD อย่างแน่นหนา และทำให้เป็นกลางอย่างมีนัยสำคัญกับสายพันธุ์ก่อโรคและสายพันธุ์กลายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วง รวมถึงสายพันธุ์อัลฟาในสหราชอาณาจักร (B.1.17) แบบจำลองในสัตว์ทดลอง (in vivo) CT-P59 ช่วยลดจำนวนเชื้อไวรัสของ SARS-CoV-2 และการอักเสบในปอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์จากการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 และ 2 ทั่วโลกของ CT-P59 แสดงให้เห็นถึงความปลอดภัย ความทนทาน ผลต้านเชื้อไวรัส และประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางของ COVID-192 โดย Celltrion เพิ่งเริ่มพัฒนาค็อกเทลแอนติบอดีที่เป็นกลางกับ CT-P59 ต่อสายพันธุ์ใหม่ของ SARS-CoV-2 การวิจัยสำหรับการทดลองทางคลินิกของ Celltrion ได้รับการสนับสนุนโดยทุนป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพของเกาหลีจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพแห่งเกาหลี (KHIDI) โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ สาธารณรัฐเกาหลี (หมายเลขทุน: HQ2xC00xx)

ข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

ข้อมูลบางอย่างที่ระบุไว้ในเอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยข้อความที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและผลการดำเนินงานทางการเงินของเราในอนาคต และเหตุการณ์หรือการพัฒนาในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับ Celltrion/Celltrion Healthcare ซึ่งอาจประกอบด้วยข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง

ข้อความเหล่านี้อาจระบุได้ด้วยคำต่างๆ เช่น “เตรียม”, “หวังว่า”, “ที่จะมาถึง”, “แผน”, “จุดมุ่งหมาย”, “ที่จะเปิดตัว”, “กำลังเตรียมการ, “เมื่อได้รับ”, “สามารถ” , "โดยมุ่งหมาย", "อาจจะ", "เมื่อระบุ", "จะ", "มุ่งไปทาง", "ครบกำหนด", "พร้อมใช้งาน", "มีศักยภาพที่จะ", คำเหล่านี้ในเชิงลบ หรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ดังกล่าว หรือคำศัพท์ที่ใช้เปรียบเทียบกันได้

นอกจากนี้ ตัวแทนของเราอาจทำแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าด้วยวาจา ข้อความดังกล่าวอิงตามความคาดหวังในปัจจุบันและสมมติฐานบางประการของฝ่ายบริหารของ Celltrion/Celltrion Healthcare ซึ่งหลายข้ออยู่เหนือการควบคุม

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตจัดทำขึ้นเพื่อให้นักลงทุนที่มีศักยภาพได้มีโอกาสที่จะเข้าใจความเชื่อและความคิดเห็นของผู้บริหารในส่วนที่เกี่ยวกับอนาคต เพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้ความเชื่อและความคิดเห็นดังกล่าวเป็นปัจจัยหนึ่งในการประเมินการลงทุน ข้อความเหล่านี้ไม่ได้รับประกันประสิทธิภาพและไม่ควรเชื่อมั่นเกินควรในอนาคต

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตดังกล่าวมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่ทราบและไม่ทราบ ซึ่งอาจทำให้ผลการดำเนินงานและผลประกอบการที่แท้จริงในอนาคตแตกต่างไปอย่างมากจากการคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคตหรือผลลัพธ์ที่แสดงหรือบอกเป็นนัยโดยข้อความที่ที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ดังกล่าว

แม้ว่าข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต การนำเสนอนี้จะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผู้บริหารของ Celltrion/Celltrion Healthcare เชื่อว่าเป็นสมมติฐานที่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์จะพิสูจน์ได้ว่ามีความถูกต้อง เนื่องจากผลลัพธ์ที่แท้จริงและเหตุการณ์ในอนาคตอาจแตกต่างไปอย่างมากจากที่คาดการณ์ไว้ในข้อความดังกล่าวนั้น Celltrion/Celltrion Healthcare ไม่มีภาระผูกพันในการปรับปรุงข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ และถ้าหากสถานการณ์หรือการประมาณการหรือความคิดเห็นของฝ่ายบริหารควรเปลี่ยนแปลงไปยกเว้นตามที่กฎหมายหลักทรัพย์กำหนด ผู้อ่านไม่ควรเชื่อมั่นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์เกินควร

อ้างอิง


1 Ryu DK., et al. ผลการรักษาของ CT-P59 ต่อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ Biochemical and Biophysical Research Communications, เล่มที่ 566, 2021, หน้าที่ 135-140, https://doi.org/10.1016/j.bbrc.2021.06.016. [เข้าถึงล่าสุดเดือนมิถุนายน 2021]

2 ข้อมูล Celltrion บนไฟล์

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210614005275/en/

ติดต่อ:

Holly Barber
hbarber@hanovercomms.com
+44 (0) 7759 301620

Donna Curran
dcurran@hanovercomms.com
+44 (0) 7984 550312

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

นักวิจัยจาก NTHU พัฒนาอิมิตเตอร์ควอนตัมที่ซ่อมแซมตัวเองได้ด้วยความสว่างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

Logo

นครซินจู๋ ไต้หวัน –(BUSINESS WIRE)–12 มิถุนายน 2564

แม้ว่าควอนตัมดอทเพอรอฟสไกต์ (PQDs) เป็นดาวรุ่งท่ามกลางอิมิตเตอร์ควอนตัมหลายตัว ความไม่แน่นอนโดยธรรมชาติของพวกมันได้จำกัดการพัฒนาของพวกเขา ปัจจุบันศาสตราจารย์ Hao-Wu Lin จากภาควิชาวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์, ศาสตราจารย์ Chih-Sung, Chuu จากภาควิชาฟิสิกส์ และศาสตราจารย์ Richard D. Schaller จากภาควิชาเคมีที่มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ได้ร่วมกันพัฒนา PQDs ที่มีความเสถียรสูงและความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองโดยใช้ขั้นตอนที่ง่ายและคุ้มค่า: สเปรย์สังเคราะห์ ซึ่ง PQDs ของพวกเขาแสดงความสว่างโฟตอนเชิงเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แน่นอนที่พวกเขาทำลายสถิติโลกด้วยวัสดุอิมิตเตอร์ควอนตัมที่อุณหภูมิห้องที่สว่างที่สุด ซึ่งเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญสำหรับการประมวลผลข้อมูลของควอนตัม

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย รับชมฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210611005011/en/

Professor Hao-Wu Lin of the Department of Materials Science and Engineering at NTHU has played a key role in developing the world's brightest quantum emitters at room temperature. (Photo: National Tsing Hua University)

ศาสตราจารย์ Hao-Wu Lin จากภาควิชาวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่ NTHU มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอิมิตเตอร์ควอนตัมที่สว่างที่สุดในโลกที่อุณหภูมิห้อง (ภาพ: National Tsing Hua University)

Lin กล่าวว่าตรงกันข้ามกับอิมิตเตอร์ควอนตัมอื่นๆ PQDs สามารถรับรู้การปล่อยโฟตอนเชิงเดี่ยวที่อุณหภูมิห้องด้วยคุณสมบัติทางแสงที่ดีเยี่ยมรวมถึงอัตราส่วนควอนตัมที่สูงและความบริสุทธิ์ของโฟตอนเชิงเดี่ยวที่สูง ทำให้เหมาะสำหรับการคำนวณเชิงควอนตัมและการสื่อสารเชิงควอนตัมในอนาคต ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา PQDs ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักวิจัยจากต่างประเทศ ซึ่งคาดหวังที่จะขยายความเสถียรของวัสดุให้เหลือเพียงไม่กี่นาทีภายใต้การกระตุ้น

วิธีการดั้งเดิมในการเตรียม PQDs นั้นเกี่ยวข้องกับการผสมสารละลายสองชนิดที่แตกต่างกันในขวดแก้วโดยตรง ทีมนักวิจัยของ Lin ใช้วิธีการสเปรย์สังเคราะห์เพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสของสารตั้งต้น และสร้างชั้นสารอินทรีย์ที่ป้องกันแบบเดียวกันบนพื้นผิวของ PQD แต่ละตัว ผลลัพธ์ PQDs ที่ได้จะคงความสว่างไว้แม้หลังจากการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงภายใต้ความเข้มของแสงสูง ซึ่งเป็นการปรับปรุงความเสถียรอย่างมาก

การค้นพบที่น่าประหลาดใจคือ PQDs ที่สเปรย์สังเคราะห์เหล่านี้มีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองที่ไม่เหมือนใคร แม้ว่า PQDs จะได้รับความเสียหายและเสื่อมโทรมเมื่อถูกกระตุ้นภายใต้แสงที่มีความเข้มสูงมาก แต่ก็กลับคืนสู่ความสว่างเดิมหลังจากหยุดพักหลายนาที งานวิจัยของทีมปรากฏในวารสาร ACS Nano อันทรงเกียรติระดับนานาชาติซึ่งครอบคลุมฉบับล่าสุด

Lin เปรียบเทียบการเตรียมควอนตัมดอทเหล่านี้กับการทำเกี๊ยว บางคนลองใช้ส่วนผสมที่แตกต่างกัน บางคนลองใช้แผ่นห่อที่หนาขึ้น และบางคนก็พยายามเพิ่มแผ่นห่อเป็นสองเท่า แต่ทีมของเขาเน้นไปที่วิธีการห่อเกี๊ยวให้สมบูรณ์แบบ

ผู้เขียนบทความวารสารฉบับแรกคือ Bo-Wei Hsu นักศึกษาปริญญาเอกที่ NTHU เมื่อหวนคิดถึงช่วงเวลาที่เขาค้นพบการซ่อมแซมตัวเองของ PQDs ซึ่ง Hsu กล่าวว่า "ภายหลังจากการกระตุ้นอย่างแรง PQDs ค่อยๆ จางลง แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกมันก็ฟื้นความสว่างดังเดิม – และฉันแทบจะไม่เชื่อสายตาของฉันเลย!" Hsu ได้ทำการทดลองซ้ำหลายครั้ง และในที่สุดก็เชื่อในตัวเองว่า PQDs มีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้อย่างแท้จริง

Lin ตั้งข้อสังเกตว่าอิมิตเตอร์ควอนตัมเพอรอฟสไกต์ด้วยสเปรย์สังเคราะห์ต้องใช้ความเข้มของการกระตุ้นเพียง 1% ที่จำเป็นโดยอิมิตเตอร์ควอนตัมอื่น ๆ และให้ความสว่างโฟตอนเชิงเดี่ยวเกิน 9 ล้านโฟตอนต่อวินาทีซึ่งเป็นสถิติโลกใหม่ นอกจากนี้ความบริสุทธิ์ของโฟตอนเชิงเดี่ยวยังค่อนข้างสูงถึง 98% ด้วยประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม เช่น ความสว่างโฟตอนเชิงเดี่ยวสูง ความบริสุทธิ์ของโฟตอนเชิงเดี่ยวที่สูง และความเสถียรที่สูง อิมิตเตอร์ควอนตัมเพอรอฟสไกต์จึงเป็นวัสดุที่มีแนวโน้มว่าจะนำไปใช้ในอนาคตในการคำนวณเชิงควอนตัมและการสื่อสารเชิงควอนตัมได้

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210611005011/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh
NTHU
(886)3-5162006
hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Amazon และ National Safety Council ร่วมเป็นพันธมิตรในการแก้ปัญหาการบาดเจ็บในสถานที่ทำงานที่พบบ่อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถิอเป็นครั้งแรกของความร่วมมือเช่นนี้

Logo

ความร่วมมือห้าปีระหว่าง Amazon และ NSC จะร่วมกันคิดค้นวิธีใหม่ในการป้องกันการบาดเจ็บด้านกล้ามเนื้อและกระดูกทั่วไป หรือ musculoskeletal disorders (MSDs) เช่น การเคล็ดขัดยอก และกล้ามเนื้อฉีก

ซีแอตเทิลและชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–10 มิ.ย. 2564

วันนี้ Amazon (NASDAQ:AMZN) และ National Safety Council (NSC) ได้ประกาศความร่วมมือระยะเวลาห้าปีในการคิดค้นวิธีการใหม่ในการป้องกันการบาดเจ็บในที่ทำงานประเภทที่เกิดขึ้นมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้แก่ โรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก (MSDs) โดย Amazon และ NSC ทำงานร่วมกันมาเป็นเวลาหลายเดือนในการทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรกในโครงการลักษณะนี้

Lorraine Martin ประธานและซีอีโอของ National Safety Council กล่าวว่า "การเป็นพันธมิตรในครั้งนี้จะทำให้เราสามารถแก้ปัญหาที่ผู้คนต้องเผชิญทุกวันเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่" “การไปทำงานควรเป็นประสบการณ์ที่ดี คุ้มค่า และปลอดภัย เรารู้สึกขอบคุณสำหรับการสนับสนุนอย่างล้นหลามของ Amazon เพื่อช่วยบริษัทต่างๆ ทั่วโลกในการแก้ปัญหาที่สำคัญนี้ ไปพร้อม ๆ กับการเติมพลังให้กับภารกิจไม่แสวงหาผลกำไรของเราในการรักษาความปลอดภัยให้กับพนักงานในที่ทำงาน”

"ในฐานะสมาชิกของทีมความปลอดภัยในสถานที่ทำงานของ Amazon เป้าหมายของฉันคือการทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อให้เพื่อนร่วมงานของฉันมีสุขภาพแข็งแรงในที่ทำงาน เพื่อที่เราจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยไปหาเพื่อน ๆ และครอบครัวของเรา" Chelsea Weimer พนักงานรายชั่วโมงของ Amazon Fulfillment Center ในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ กล่าว  "Amazon มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยสูง ความร่วมมือครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์เพื่อช่วยลดโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก"

การเป็นหุ้นส่วนจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกัน MSDs ในอุตสาหกรรมต่างๆ  ผ่านการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก การดำเนินการวิจัย คิดค้นเทคโนโลยีและกระบวนการใหม่ และปรับขนาดผลลัพธ์ ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นได้จากการที่  Amazon บริจาค 12 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นยอดการบริจาคที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ NSC และจะรวมองค์ประกอบหลัก 5 ประการ:

สภาที่ปรึกษา: การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาระหว่างประเทศเพื่อรวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย บริษัท และนักวิจัยในภาครัฐและเอกชน สภาที่ปรึกษาจะทำงานร่วมกันเพื่อทบทวนแนวทางที่มีแนวโน้มมากที่สุดในการป้องกันโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก กำหนดรูปแบบการพัฒนาองค์ประกอบการเป็นหุ้นส่วน และการมีส่วนร่วมกับบุคคลภายนอกในการป้องกันโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก

การวิจัยบุกเบิก: ดำเนินการวิจัยโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์แห่งอนาคต การประมวลผลภาษาธรรมชาติ และเครื่องมือการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อสำรวจนวัตกรรมและแนวโน้มของ MSD ในปัจจุบันและอนาคต งานวิจัยนี้จะเปิดให้ทุกอุตสาหกรรมได้สำรวจและรวบรวมข้อมูลเชิงลึก

ทุนสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและมหาวิทยาลัย: มอบทุนให้กับธุรกิจขนาดเล็ก มหาวิทยาลัย และนักศึกษามหาวิทยาลัย ทุนเหล่านี้จะให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมที่ช่วยให้บริษัททุกขนาดประสบความสำเร็จได้

ความท้าทายด้านนวัตกรรม: การบ่มเพาะและส่งเสริมโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมและใช้งานได้จริงเพื่อจัดการกับ MSD ผ่านการแข่งขันด้านนวัตกรรมที่ท้าทาย การแข่งขันเหล่านี้จะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญมาทำงานร่วมกัน ทำซ้ำ และแบ่งปันเทคนิคและแนวคิด

การรณรงค์ให้มีการสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม – The MSD Pledge: Amazon และ NSC จะแบ่งปันโซลูชันที่ค้นพบตลอดการเป็นหุ้นส่วนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านการสร้าง The MSD Pledge และเรียกร้องให้บริษัทอื่นๆ เข้าร่วมในโครงการ เพื่อที่จะ

  • ติดตามตัวบ่งชี้การบาดเจ็บเชิงรุกเพื่อให้แน่ใจว่ามีการลดความเสี่ยงที่เหมาะสมและใช้กลยุทธ์การป้องกันที่อิงจากข้อมูล
  • ใช้โครงการป้องกัน MSD ซึ่งรวมถึงการให้ความรู้พนักงานและนายจ้างเกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บ
  • เปิดรับและขับเคลื่อนโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อป้องกัน MSD และแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดกับองค์กรอื่นๆ ทั่วโลก

ความร่วมมือดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นในเดือนมิถุนายนในช่วงเดือนความปลอดภัยแห่งชาติ โดยในปีแรกจะมุ่งเน้นไปที่การเปิดตัวสภาที่ปรึกษา National Safety Council การระบุพันธมิตรด้านการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ การพัฒนาทุนสนับสนุน และโครงการท้าทายด้านนวัตกรรม

Heather MacDougall รองประธานฝ่ายสุขภาพและความปลอดภัยในที่ทำงานทั่วโลกของ Amazon กล่าวว่า "ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของพนักงาน และการร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถเจาะลึกถึงวิธีที่ดีที่สุดในการลด MSD" “สภาความปลอดภัยแห่งชาติ หรือ National Safety Council มีประวัติอันยาวนานในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติที่ปลอดภัยในสถานที่ทำงาน และเราหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับพวกเขาเช่นเดียวกับบริษัทต่าง ๆ ผู้เชี่ยวชาญ และนักศึกษาอื่นๆ ทั่วโลก เพื่อสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาที่สำคัญนี้”

การทำงานร่วมกันของ NSC เป็นอีกก้าวหนึ่งในภารกิจระยะยาวของ Amazon ในการเป็นสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ซึ่งรวมถึงการลงทุนมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในโครงการด้านความปลอดภัยในปี 2564 และเป้าหมายที่จะลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุที่บันทึกได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2568 ทุก ๆ วัน Amazon ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและความปลอดภัย ดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยหลายพันครั้งภายในทุกอาคาร และแสวงหาข้อเสนอแนะจากพนักงานเกี่ยวกับวิธีปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทำงาน หากต้องการรับชมสถานที่ทำงานของ Amazon และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทีมและเทคโนโลยีของ Amazon ลงชื่อเพื่อเข้าร่วมทัวร์ ได้ที่ www.amazon.com/FCtours.

สภาความปลอดภัยแห่งชาติ หรือ NSC เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านความปลอดภัยที่ไม่แสวงหากำไรชั้นนำของอเมริกา—และตั้งอยู่มานานกว่า 100 ปีแล้ว ในฐานะองค์กรที่ยึดถือการปฏิบัติตามภารกิจ องค์กรจะดำเนินการเพื่อขจัดสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่ป้องกันได้ โดยมุ่งเน้นที่การทำงานในสถานที่ทำงาน ถนน และอุปสรรค สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยเพื่อให้ผู้คนปลอดภัยยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ในที่ทำงาน แต่ยังรวมถึงนอกที่ทำงานด้วย

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยของพนักงานที่ Amazon โปรดไปที่ www.amazon.com/employee-safety.

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วน โปรดไปที่ www.nsc.org/amazonpartnership.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210610005214/en/

ติดต่อ:

Amazon-pr@amazon.com

www.amazon.com/pr

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Entravision Communications Corporation ขยายตัวตนในโลกดิจิทัลทั่วโลกด้วยการเข้าซื้อกิจการบริษัทการตลาดและโฆษณาดิจิทัลชั้นนำ MediaDonuts

Logo

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นการขยายข้อเสนอดิจิทัลระดับแนวหน้าของบริษัทไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ซานตาโมนิกา แคลิฟอร์เนีย–(บิสิเนส ไวร์)–10 มิ.ย. 2564

Entravision Communications Corporation (NYSE: EVC) (“Entravision” หรือ “บริษัท”) ประกาศในวันนี้ว่าได้ทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายเพื่อเข้าซื้อกิจการ MediaDonuts บริษัทด้านการตลาดดิจิทัลชั้นนำและบริษัทการสร้างแบรนด์ที่มีการดำเนินงานใน 7 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก  เป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษที่ MediaDonuts ได้ช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพและการสร้างแบรนด์ผ่านช่องทางสื่อดิจิทัล  การเข้าซื้อกิจการคาดว่าจะเสร็จสิ้นประมาณวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย  อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210609005862/en/

MediaDonuts ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2553 นำเสนอความสามารถด้านการโฆษณาดิจิทัลอย่างครอบคลุมผ่านการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับแพลตฟอร์มสื่อและเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก  MediaDonuts มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ โดยให้บริการลูกค้าด้านเทคโนโลยีและแบรนด์ผู้บริโภคมากกว่า 500 ราย

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศการเข้าซื้อกิจการ MediaDonuts” Walter Ulloa ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Entravision กล่าว “การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีความเหมาะสมอย่างยิ่งกับกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลระดับโลกโดยรวมของเรา  Entravision ให้ความสำคัญกับการให้บริการการโฆษณาในตลาดที่มีการเติบโตสูงและร่วมมือกับสื่อและเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก  เราเชื่อว่าการรวม MediaDonuts เข้ากับแพลตฟอร์ม Entravision จะเพิ่มความเป็นผู้นำ การดำเนินการขาย และข้อเสนอดิจิทัลที่จะขับเคลื่อนความเป้าหมายด้านดิจิทัลของเราต่อไป"

การเข้าซื้อกิจการ MediaDonuts ของ Entravision เป็นก้าวสำคัญในแผนของบริษัทในการก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีการตลาดชั้นนำในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก  เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตัวแทนของความสำเร็จครั้งสำคัญของบริษัท  เนื่องจาก Entravision จะเจาะตลาดผู้บริโภคใหม่ที่เป็นตัวแทนของผู้คนเกือบ 700 ล้านคน โดย 400 ล้านคนในจำนวนนั้นเชื่อมต่อกันผ่านทางดิจิทัล

“เมื่อเราก่อตั้ง MediaDonuts เราต้องการสร้างองค์กรการตลาดดิจิทัลและบริการด้านประสิทธิภาพที่สามารถเชื่อมต่อผู้โฆษณาและเอเจนซีกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างราบรื่น เราสามารถบรรลุเป้าหมายนี้และอีกมากมายด้วยการสร้างการผสมผสานที่ลงตัวของพันธมิตร ซึ่งรวมถึงเครือข่ายโซเชียลและความบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก” Pieter-Jan de Kroon ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ MediaDonuts กล่าว “เมื่อธุรกิจของเราประสบความสำเร็จ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ตอนนี้มีโอกาสเข้าร่วมแพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลกที่ Entravision สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผมเชื่อมั่นในการผนึกกำลังทางการค้า เทคโนโลยี และการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากมายที่จะทำให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จในอนาคตในฐานะนิติบุคคลที่รวมกัน”

"เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ต้อนรับ Pieter-Jan และทีม MediaDonuts ทั้งหมดเข้าสู่ครอบครัว Entravision" Juan Saldívar หัวหน้าฝ่ายดิจิทัล ฝ่ายกลยุทธ์และความรับผิดชอบของ Entravision กล่าว “การขยายธุรกิจดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญของแผนการเติบโตโดยรวมของเรา และหลังจากการลงทุนส่วนใหญ่ใน Cisneros Interactive เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธุรกิจดิจิทัลคิดเป็นกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดของเรา  ด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลกในขณะนี้ที่พร้อมจะเข้าถึงและให้บริการลูกค้าใน 32 ประเทศ เรามั่นใจว่าการเพิ่ม MediaDonuts จะช่วยปรับปรุงการนำเสนอบริการของเราและช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเราทั่วโลก”

เมื่อปิดธุรกรรมนี้ พนักงาน MediaDonuts ทั้งหมดจะยังคงอยู่กับบริษัท และ Pieter-Jan de Kroon จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของธุรกิจซึ่งตั้งอยู่นอกสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ MediaDonuts มีทีมงานมากกว่า 80 คนในสิงคโปร์ ไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และอินเดีย นักนวัตกรรมด้านการขายและสื่อของ MediaDonuts นำเสนอบริการโปรแกรมการซื้อ เทคโนโลยีและข้อมูลเชิงลึก และการวางแผนสื่อที่ช่วยให้แบรนด์ชั้นนำเปลี่ยนกลยุทธ์การมีส่วนร่วมกับลูกค้าดิจิทัลได้ บริษัทยังได้สร้างหน่วยงานตัวแทนสื่อที่สนับสนุนบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสื่อและเทคโนโลยีทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านองค์กรการขายที่กว้างขวาง

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำธุรกรรม โปรดตรวจสอบเอกสารล่าสุดที่บริษัทยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในแบบฟอร์ม 8-K

เกี่ยวกับ Entravision Communications Corporation

Entravision เป็นบริษัทด้านสื่อ การตลาด และเทคโนโลยีระดับโลกที่มีความหลากหลายที่ให้บริการลูกค้าทั่วสหรัฐอเมริกาและในกว่า 20 ประเทศทั่วละตินอเมริกา ยุโรป และเอเชีย  Entravision มีสถานีโทรทัศน์ 54 สถานีและเป็นเครือที่ใหญ่ที่สุดของเครือข่ายโทรทัศน์ Univision และ UniMás และสถานีวิทยุภาษาสเปน 48 สถานีที่ได้รับรางวัลและมีความสามารถระดับประเทศ  พอร์ตโฟลิโอดิจิทัลของเราประกอบด้วย Entravision Digital ซึ่งให้บริการ SMB ในตลาดลาตินอเมริกาที่มีความหนาแน่นสูง และให้บริการโซลูชันโปรแกรมสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ล้ำสมัยและแพลตฟอร์มฝั่งดีมานด์ที่ให้ผู้ลงโฆษณาดำเนินการแคมเปญด้านประสิทธิภาพโดยใช้อัลกอริธึมการเสนอราคาที่เรียนรู้ด้วยเครื่องกล  โดยร่วมกับ Cisneros Interactive ผู้นำด้านโซลูชันการโฆษณาดิจิทัลในตลาดละตินอเมริกาและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตัวแทนของแพลตฟอร์มเทคโนโลยีหลัก หุ้นสามัญของ Entravision Class A ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กภายใต้สัญลักษณ์: EVC  เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทุกสื่อการตลาดและการให้บริการด้านเทคโนโลยีของเราที่ entravision.com หรือเชื่อมต่อกับเราใน LinkedIn และ Facebook

เกี่ยวกับ MediaDonuts

MediaDonuts เป็นบริษัทโฆษณาและเทคโนโลยีออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้โฆษณาบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพและการสร้างแบรนด์ผ่านช่องทางสื่อดิจิทัล  MediaDonuts เชื่อมโยงแบรนด์ต่างๆ เข้ากับกลุ่มเป้าหมายผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับแพลตฟอร์มสื่อและเทคโนโลยีระดับโลกที่สำคัญ  MediaDonuts มีสำนักงานใน 7 ประเทศทั่ว APAC โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม https://mediadonuts.com/

แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ความคาดหวังและความตั้งใจในปัจจุบันของบริษัทเกี่ยวกับการยื่นแบบฟอร์ม 10-K แถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ ซึ่งรวมอยู่ในข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของกฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี 2538 อาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่นๆ ที่ทราบและไม่ทราบที่อาจส่งผลให้ผลประกอบการและผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัทในอนาคตแตกต่างอย่างมากจากผลลัพธ์หรือผลดำเนินการในอนาคตที่คาดการณ์โดยข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ แม้ว่าบริษัทเชื่อว่าความคาดหวังในแถลงการณ์นี้เกิดจากการตั้งสมมติฐานที่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงจะไม่แตกต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้ และบริษัทขอปฏิเสธหน้าที่ในการปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่ทำโดยบริษัท  ในบางครั้ง ความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่นๆ เหล่านี้จะมีการกล่าวถึงในเอกสารที่บริษัทยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210609005862/en/

ติดต่อ:

Entravision:
Christopher T. Young
Chief Financial Officer (เจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน)
310-447-3870

Kimberly Esterkin
ADDO Investor Relations (ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์)
310-829-5400
evc@addo.com 

MediaDonuts:
Pieter-Jan de Kroon
Chief Executive Officer (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร)
pieterjan@mediadonuts.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

default icon laptop-3196481_640_1.jpg.crdownload

Mary Kay Inc. ผู้อำนวยการสร้างสารคดีเจ้าของรางวัล“Guardians of the Gulf” เข้าร่วมโครงการ CEO Water Mandate และหลักการฟื้นฟูมหาสมุทรอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–08 มิถุนายน 2564

เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันมหาสมุทรโลก วันนี้ Mary Kay Inc. ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบขององค์กรในระดับโลก ได้ประกาศพันสัญญาต่อการอนุรักษ์แม่น้ำสายต่าง ๆ ของโลกผ่านสองหลักการหลั ได้แก่ CEO Water Mandate และ United Nations Global Compact’s Sustainable Ocean Principles หรือ หลักการฟื้นฟูมหาสมุทรอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ การประกาศนี้เกิดขึ้นระหว่างการออกฉายในเทศกาลต่าง ๆ ทั่วประเทศของสารคดีที่ผลิตโดย Mary Kayชื่อ Guardians of the Gulf ซึ่งช่วยเปิดมุมมองผ่านความสัมพันธ์ที่แสนจะอลวนระหว่างอ่าวเม็กซิโกกับนักอนุรักษ์ผู้มุ่งมั่นต่อการปกป้องอ่าวแห่งนี้

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่https://www.businesswire.com/news/home/20210608005357/en/

The Sustainable Ocean Principles of the United Nations Global Compact are a framework for responsible business practices in the Ocean across sectors and geographies. (Photo: Mary Kay Inc.)

หลักการฟื้นฟูมหาสมุทรอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ เป็นกรอบแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อมหาสมุทรในทุกภาคส่วนและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

CEO Water Mandate เป็นโครงการพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติและกรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Global Compact) ก่อตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับสถาปันแปซิฟก โครงการดังกล่าวเป็นระดมผู้นำธุรกิจจำนวนมากให้มาร่วมกันจัดการกับปัญหาความท้าทายเรื่องน้ำในระดับโลกผ่านการบริหารจัดการน้ำภายในองค์กร ภายใต้ความร่วมมือกับสหประชาชาติ หน่วยงานราชการ องค์กรภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ โดยบริษัทที่เข้าร่วมนั้นจะต้องยึดหลักปฏิบัติด้านต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยหองค์ประกอบหลักและรายงานความก้าวหน้าในแต่ละปี

หลักการฟื้นฟูมหาสมุทรอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยผ่านการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกว่า 300 ราย ประกอบด้วยกรอบแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อมหาสมุทรในทุกภาคส่วนและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ หลักการดังกล่าวเป็นการต่อยอดและส่วนเสริมของหลักการสากลสิบประการ (Ten Principles) ของกรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติทางด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อมและการต่อต้านการคอรัปชัน การสนับสนุนหลักการฟื้นฟูมหาสมุทรอย่างยั่งยืนเป็นปณิธานอันมุ่งมั่นซึ่งร่วมดำเนินการโดยบริษัททั้งเล็กและใหญ่ ภาคส่วนต่าง ๆ และผู้ที่เชี่ยวชาญงานด้านการอนุรักษ์มหาสมุทรในทุกระดับ สำหรับการประกาศครั้งนี้ Mary Kay ได้ร่วมกับผู้นำธุรกิจจากทั่วโลกในการกำหนดความคาดหวังร่วมกันอย่างชัดเจนทั่วทั้งอุตสาหกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร

ความสมบูรณ์ของมหาสมุทรเป็นตัวกำหนดความสมบูรณ์ของโลก” Deborah Gibbins ประธานฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay Inc กล่าว น้ำเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดบนโลก เราจึงจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์น้ำอย่างมุ่งมั่น เราได้ผลิตสารคดีเรื่อง Guardians of the Gulf และลงนามในพันธสัญญาเหล่านี้ร่วมกับบริษัทอื่น ๆ อีกหลายร้อยแห่ง เพราะเรามุ่งมั่นที่จะสร้างความตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามต่อแหล่งน้ำของเรา Mary Kay ยังวางแผนที่จะพัฒนาระบบนิเวศและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในทุกกิจกรรมผ่านความพยายามอันสำคัญเหล่านี้

สารคดี Guardians of the Gulf  ซึ่งถ่ายทำ กำกับ และผลิตโดยทีมงานที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด ถูกนำไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ หลายแห่ง และเมื่อเร็ว ๆ นี้ยังคว้าสองรางวัลจาก Telly Awards ในสาขา Non-Broadcast General-Nature/Wildlife และ Non-Broadcast General-Doc

Mary Kay ซึ่งเตรียมประกาศกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนทั่วโลกในปีนี้ จะร่วมกับโครงการ CEO Water Mandate และหลักการฟื้นฟูมหาสมุทรอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ เพื่อสานต่อความมุ่งมั่นในการดูแลน้ำต่อไป

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay Ash คือหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่มองไม่เห็น และก่อตั้งบริษัทความงามของตัวเองขึ้นเมื่อ 57 ปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมาย ข้อได้แก่ มอบโอกาสให้กับผู้หญิง ผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการ และสร้างโลกให้น่าอยู่ ความฝันของเธอได้เบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทที่เติบโตทางการเงินมูลค่าหลายพันล้าน พร้อมพนักงานขายอิสระกว่าล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงาม และผลิตสินค้าบำรุงผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและน้ำหอมมากมาย และยังทุ่มเทกับการช่วยให้ผู้หญิงและครอบครัวของพวกเขามีพลังด้วยการร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญและสนับสนุนกับการวิจัยด้านมะเร็ง ปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำตามความฝัน วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ยังคงเปล่งประกายและพาเธอสู่ความสำเร็จไปทีละขั้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่ MaryKay.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210608005357/en/

ติดต่อ:

ฝ่ายสื่อสารองค์กร Mary Kay Inc.
marykay.com/newsroom
(+1) 972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com


The Bangkok Reporter