มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (NTHU) ใช้บิ๊กดาต้าสู้กับไวรัสโคโรนา

Logo

ซินจู๋, ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–20 พฤษภาคม 2563

เมื่อไม่นานมานี้ มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (NTHU) ได้ริเริ่มความร่วมมือกับ Facebook และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพื่อนำข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊กดาต้ามาใช้เพื่อศึกษาการแพร่กระจายที่เป็นไปได้ของไวรัสโคโรนาในไต้หวัน ความร่วมมือในระดับนานาชาตินี้นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ Hsiao-Han Chang จากสถาบันชีวสารสนเทศและชีววิทยาโครงสร้างแห่งมหาวิทยาลัยชิงหวา ผลการศึกษาในเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงของการแพร่ระบาดภายในประเทศมีมากกว่าการแพร่ระบาดระยะไกลระหว่างประเทศและเมืองต่าง ๆ โดย Chang ได้แนะนำให้ประชาชนอยู่บ้านและหลีกเลี้ยงพื้นที่ที่มีการชุมนุมของผู้คนในช่วงเทศกาลวันหยุดที่กำลังจะมาถึงนี้

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200519005046/en/

A research team led by Assistant Professor Hsiao-Han Chang of the Institute of Bioinformatics and Structural Biology has collaborated with Facebook and Harvard T.H. Chan School of Public Health to study the spread of the coronavirus. (Photo: National Tsing Hua University)

ทีมวิจัยที่นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ Hsiao-Han Chang แห่งสถาบันชีวสารสนเทศและชีววิทยาโครงสร้าง ได้ร่วมกับ Facebook และ Harvard T.H. Chan School of Public Health เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา (รูปภาพ: National Tsing Hua University)

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยังได้ต่อยอดผลการศึกษาชิ้นหนึ่ง โดยนำโมเดลทางคณิตศาสตร์มาใช้วัดผลจากการสวมใส่หน้ากาก โดย Chang สนับสนุนการตัดสินใจของศูนย์บัญชาการกลางป้องกันโรคระบาด (CECC) อย่างหนักแน่นในการจัดตั้งระบบแจกจ่ายหน้ากาก เนื่องจากการป้องกันการกักตุนหน้ากากมีส่วนสำคัญในการช่วงป้องกันการระบาดของไวรัส

การใช้บิ๊กดาต้าของ Facebook กับการเคลื่อนที่ของผู้คน

ในช่วงปลายเดือนมกราคม Facebook ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดของโลก ได้เริ่มให้ข้อมูลการเคลื่อนที่ของคนเพื่อใช้ในการศึกษาร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยชิงหวาและวิทยาลัยสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยข้อมูลดังกล่าวประกอบด้วยประมาณการณ์ตัวเลขของผู้คนที่มีการเคลื่อนที่ระหว่างเมือง

การชุมนุมที่มีความเสี่ยงสูง

ทีมวิจัยของ Chang ยังพบว่าการเคลื่อนที่ภายในประเทศมีส่วนสำคัญต่อโอกาสในการระบาดของไวรัสโคโรนามากกว่าการเคลื่อนที่ระยะไกล ซึ่งขัดแย้งกับความเข้าใจในวงกว้างว่าการเดินทางระยะไกลเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่ทำให้เกิดการระบาด ซึ่งอันที่จริงแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจำนวนของผู้ติดเชื้อและระยะเวลาในการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น ดังนั้น การไปตามสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมากที่อยู่ใกล้บริเวณที่พักอาศัยจึงไม่ได้ปลอดภัยไปกว่าการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม สำหรับ Chang แล้ว สิ่งที่น่ากังวลมากกว่า คือ แม้ว่าจะมีการประกาศเตือนจาก CECC เป็นระยะ ๆ นับตั้งแต่เริ่มมีโรคระบาด การเดินทางในไต้หวันกลับไม่ได้ลดลง

ทีมวิจัยยังได้ใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์เพื่อกระตุ้นผลจากการสวมใส่หน้ากาก โดย Chang ได้เผยว่ามีการพบว่าการแพร่กระจาย การสวมใส่หน้ากากอย่างถูกวิธี และการลดลงของจำนวนผู้ติดเชื้อมีความสัมพันธ์กันอย่างเห็นได้ชัด ขณะนี้ในไต้หวันมีการผลิตหน้ากากออกมาหลายล้านชิ้นและเพื่อนำไปแจกจ่าย และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ประเทศรอดพ้นจากการระบาดโดยแทบไม่ได้รับความเสียหาย

การแจกจ่ายหน้ากากตามลำดับความสำคัญ

การศึกษาโดย Chang และ Colin Worby นักชีววิทยาด้านการคำนวณจาก Broad Institute of MIT and Harvard แสดงให้เห็นว่าการสวมใส่หน้ากากอย่างถูกวิธีของคนส่วนใหญ่ช่วยลดทั้งจำนวนของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตได้อย่างมาก

พวกเขายังพบว่าเมื่อหน้ากากมีจำนวนจำกัด การแจกจ่ายให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงก่อนช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตโดยรวม Chang กล่าวในช่วงต้นของการระบาดว่า CECC ได้เข้าควบคุมโรงงานผลิตหน้ากากในไต้หวันและจัดตั้งระบบกระจายหน้ากากเพื่อป้องกันการกว้านซื้อและกักตุน ซึ่งเป็นสองมาตรการหลักที่ช่วยให้ประเทศอยู่ในกลุ่มผู้นำในการป้องกันการระบาด

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200519005046/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh
NTHU
(886)3-516-2006
hoyu@mx.nthu.edu.tw

Mary Kay Inc. ยังทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการเสริมสร้างพลังสตรีผ่านการประชุมออนไลน์เสมือนจริง TIME’S UP ของ International Women’s Forum

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–19 พ.ค. 2563

Mary Kay Inc. ทำงานต่อเนื่องในการสนับสนุนผู้ประกอบการหญิง และการเสริมสร้างพลังอำนาจและความเป็นผู้นำทางความคิด ในฐานะผู้สนับสนุนชั้นนำสำหรับการประชุมฟอรัมสตรีสากล หรือ International Women's Forum (IWF) Virtual Cornerstone Conference 2020 โดยกำหนดดั้งเดิมจะถูกจัดขึ้นในวันที่ 13-15 พฤษภาคมในกรุงลอนดอน แต่มีเหตุให้การประชุมถูกเปลี่ยนเป็นรูปแบบดิจิทัลเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้เนื้อหาและวิทยากรที่เปี่ยมประสบการณ์ที่แทบจะเหมือนของกำหนดการเดิมจะถูกออกอากาศไปทั่วโลกในรูปแบบเซสชันเสมือนที่จะได้รับการแชร์ทุกสัปดาห์ที่ https://www.iwforum.org/.

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคุณสมบัติเป็นมัลติมีเดีย ดูข่าวฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200519005709/en/

Carolyn Passey, General Manager, Mary Kay United Kingdom & Ireland (Photo: Mary Kay Inc.)

Carolyn Passey, ผู้จัดการทั่วไป, Mary Kay สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ (ภาพ: Mary Kay Inc.)

ในวันที่ 21 พฤษภาคม Mary Kay จะเข้าร่วมในเซสชันออนไลน์เสมือนจริง (virtual session)ในหัวข้อ“ สนทนากับ TIME'S UP UK หรือ Conversation with TIME’S UP UK ” เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นสำคัญ เช่น #MeToo และการเคลื่อนไหวของ TIME'S UP ที่มานำไปสู่การเปลี่ยนความคิดในเรื่องความปลอดภัยของผู้หญิงในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ ตลอดจนถึงในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั่วโลก โดย Carolyn Passey ผู้จัดการทั่วไปของ Mary Kay สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์จะเป็นผู้เปิดเซสชันที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งนี้ TIME'S UP UK กำลังค้นหาวิธีเข้าไปทำงานในเรื่องนี้โดยคำนึงถึงเส้นแบ่งบาง ๆของเรื่องส่วนบุคคลและความเป็นมืออาชีพ พร้อม ๆ ไปกับการช่วยเหลือผู้ที่ค้นพบว่าตนเองมีความเสี่ยงและมีโอกาสในการถูกละเมิดในกองถ่าย

“ที่ Mary Kay เราสนับสนุนให้เกิดการเสริมสร้างพลังอำนาจและความเท่าเทียมทางเพศของผู้หญิง และเราได้ร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ที่มีภารกิจแบบเดียวกัน” Passey กล่าว “ในวันนี้ เนื่องจากวิกฤต COVID-19 ทำให้โอกาสเผชิญความเสี่ยงของผู้หญิงและความไม่เท่าเทียมทางเพศทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น1 เราตระหนักได้ว่าความเชื่อมั่นและความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่เป็นมาสำหรับผู้หญิงในการเติบโตในการงานของพวกเขา สถานที่ทำงานควรเป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัยและมีเกียรติสำหรับเราทุกคน เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะสามารถทำให้สิ่งนี้หรือเรียกร้องให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ ฉันตั้งตารอที่จะได้อภิปรายในหัวข้อนี้กับผู้นำทางความคิดจากทั่วโลก”

วิทยากรในเซสชั่นนี้ยังรวมถึง:

  • Dame Heather Rabbatts ประธาน TIME'S UP UK กรรมการผู้จัดการของ Cove Pictures; ประธานของโรงละครโซโหและกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหารของ Arts Alliance
  • Ita O’Brien ผู้ประสานงานชั้นนำของสหราชอาณาจักรและผู้ก่อตั้ง Intimacy on Set ซึ่งเป็น บริษัทของเธอซึ่งเธอได้พัฒนาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับความใกล้ชิดและการเปลือยในภาพยนตร์ โทรทัศน์ และในโรงละคร นอกจากนี้เธอยังทำงานผ่าน Intimacy on Set เพื่อฝึกอบรมผู้ประสานงานด้านความใกล้ชิด หรือ Intimacy Coordinators ทั่วโลก อีกด้วย

“เป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นกว่าเดิมที่จะต้องดำเนินการสนทนาเกี่ยวกับสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและความเท่าเทียมกันสำหรับผู้หญิงในอุตสาหกรรมบันเทิงและอีกมากมาย ” Stephanie O'Keefe ซีอีโอของ IWF กล่าว “ในขณะที่โลกพัฒนาวิธีใหม่ ๆ ในการทำงานในบริบทที่คำนึงถึง COVID-19 ฉันหวังว่าจะมีกลยุทธ์ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้หญิงจะสามารถกลับเข้าสู่สถานที่ทำงานได้อีกครั้งด้วยความมั่นใจว่าพวกเธอจะปลอดภัยและได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม Mary Kay เป็นผู้สนับสนุนความเสมอภาคทางเพศมาเป็นเวลานาน และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะต่อสู้กับพวกเขาต่อไปเพื่อทำให้แน่ใจว่าโลกจะมีความเท่าเทียมกันทางเพศมากกว่านี้”

ลิงค์สำหรับดูงานกิจกรรมจะมีอยู่ในเว็บไซต์ IWF และบนหน้า YouTube ในวันที่ 26 พฤษภาคม: https://www.youtube.com/channel/UCdLPNS7ai1_XHaqgEnhEjtg

1 บทสรุปนโยบายของเลขาธิการสหประชาชาติเกี่ยวกับผลกระทบของ COVID-19 ต่อสตรีวันที่ 9 เมษายน 2563

https://www.un.org/sites/un2.un.org/files/policy_brief_on_covid_impact_on_women_9_apr_2020_updated.pdf

พร้อมกับ บทความจากบล็อกโดย United Nations Foundation บทความบล็อกโดย Michelle Milford Morse กับGrace Anderson วันที่ 14 เมษายน 2563

https://unfoundation.org/blog/post/shadow-pandemic-how-covid19-crisis-exacerbating-gender-inequality/

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฉีกกฎเกณฑ์แบบเดิมได้ก่อตั้งบริษัทด้านความงามของเธอมานานกว่า 56 ปี โดยมีเป้าหมายสามประการ คือ มอบโอกาสที่คุ้มค่าสำหรับผู้หญิง ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อาจต้านทานได้ และการทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น ความฝันดังกล่าวได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์โดยมีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการค้นคว้าวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัยเครื่องสำอางค์สี น้ำหอม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงและครอบครัวด้วยการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ จากทั่วโลกโดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง การปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงภายในครัวเรือน การทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และการส่งเสริมเด็ก ๆให้ทำตามความฝันของตน ดังนั้นวิสัยทัศน์อันดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ในคอนเซปท์ ก้าวไปด้วยกันทีละลิปสติกยังคงส่องสว่างนำทางต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่  MaryKay.com.

เกี่ยวกับ International Women’s Forum (IWF) and the Leadership Foundation

IWF เป็นองค์กรที่ผู้ที่เป็นสมาชิกต้องได้รับเชิญเท่านั้น เป็นองค์กรที่มีผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จและที่มีความหลากหลายจำนวนกว่า 7,000 คน จาก 33 ประเทศในหกทวีป IWF ส่งเสริมความเป็นผู้นำของผู้หญิงและความเท่าเทียมกันทั่วโลกโดยการเชื่อมโยงผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จทั้งในระดับโลกและในระดับท้องถิ่นเข้าไว้ด้วยกัน สมาชิกขององค์กรประกอบด้วยผู้บริหารที่ติดอันดับใน Fortune 500 ผู้นำรัฐบาลจากท้องถิ่นสู่ระดับผู้นำสูงสุด ผู้นำขององค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรระดับนานาชาติและผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันการศึกษา และจากผลงานด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม www.iwforum.org.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200519005709/en/

ติดต่อ:

ฝ่ายการสื่อสารองค์กร Mary Kay Inc.

marykay.com/newsroom

972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com


MHPS เป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดกังหันก๊าซทั่วโลกอีกครั้ง

Logo

– อุปสงค์สำหรับกังหันก๊าซระดับคุณภาพทะยานสูงขึ้น –

โยโกฮามา ญี่ปุ่น–(บิสิเนสไวร์)–19 พฤษภาคม 2563

Mitsubishi Hitachi Power Systems (MHPS) คว้าลำดับแรกในด้านส่วนแบ่งตลาดโดยเมกะวัตต์ของการสั่งซื้อกังหันก๊าซในปี 2563 ตามข้อมูลจากรายงาน McCoy Power Reports  ยอดสั่งซื้อทั่วโลกในไตรมาสแรกรวม 2,638 เมกะวัตต์ทำให้ MHPS มีส่วนแบ่งของตลาดอยู่ที่ 28.5 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลก  ส่วนแบ่งตลาดกังหันแก๊สที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนใหญ่มาจากการสั่งจองทั่วโลกเพิ่มขึ้น 19.7% ในช่วงปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 ของ MHPS

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200519005485/en/

MHPS M501JAC gas turbine being manufactured at Takasago Works in Hyogo Prefecture, Japan. (Photo: Business Wire)

กังหันก๊าซ MHPS M501JAC ที่กำลังผลิตที่ Takasago Works ในจังหวัดเฮียวโกะ ประเทศญี่ปุ่น (ภาพ: บิสิเนสไวร์)

“ตลาดกังหันก๊าซทั่วโลกที่มีการแข่งขันสูงได้เคลื่อนตัวไปในทิศทางของเราด้วยความต้องการที่ชัดเจนสำหรับกังหันก๊าซ JAC ของเราซึ่งมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากังหันก๊าซของคู่แข่ง โดยทำสถิติใหม่ด้านการประหยัดพลังงานและการผลิตไฟฟ้า Ken Kawai ประธานและซีอีโอของ MHPS กล่าว “ยอดขายของกังหันก๊าซของ MHPS ทั้งในกลุ่มคุณภาพสูงและกลุ่มอนุพันธ์ทางอากาศได้รับแรงผลักดันจากกลุ่มสาธารณูปโภค ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ และเทศบาลทั่วโลกที่พยายามลดต้นทุนค่าไฟฟ้าด้วยการผสมผสานความเสถียรและประสิทธิภาพระดับโลกเข้าด้วยกัน”

กังหันก๊าซ J-Series ของ MHPS เข้าสู่การดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในปี 2554 และครองสถิติโลกด้านความเสถียรที่ 99.5%  นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพของวงจรรวมมากกว่า 64%  กลุ่มกังหันก๊าซ J-Series ดำเนินงานเชิงพาณิชย์ทั่วโลกรวมหนึ่งล้านชั่วโมงซึ่งสูงกว่ากังหันก๊าซที่มีขนาดใกล้เคียงกันเกือบสองเท่า

คำสั่งซื้อกังหันก๊าซ JAC ที่สามารถใช้หมุนเวียนไฮโดรเจน 2 เครื่องแรกสำหรับสำนักงาน Intermountain Power Agencyในเดลต้า รัฐยูทาห์ได้เพิ่มส่วนแบ่งตลาดในไตรมาสแรกของ MHPS ในปี 2563  Dan Eldredge แห่ง Intermountain Power Agency กล่าวว่า "เราเลือกเครื่องผลิตไฟฟ้า JAC ของ MHPS เพราะพวกเขาสามารถตอบโจทย์ด้านความต้องการอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าของเราได้ดีที่สุด ซึ่งได้แก่ความต้องการด้านความยืดหยุ่นของเชื้อเพลิงที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายสู่การผลิตไฟฟ้าปลอดคาร์บอน ​​100% ในปี 2045  ด้วยเครื่องมือและการสนับสนุนของ MHPS เราคาดว่าจะให้พลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้นสำหรับทศวรรษต่อๆ ไป"

กังหันก๊าซ J-Series ที่กำลังดำเนินการเชิงพาณิชย์อยู่มีจำนวนรวมสี่สิบห้าเครื่องและมีกำลังการผลิตรวมเกินกว่า 25 กิกะวัตต์ทั่วโลก  หนึ่งร้อยสี่หน่วยได้รับการคัดเลือกทางเทคนิคในบราซิล แคนาดา ญี่ปุ่น เม็กซิโก เปรู เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และสหรัฐอเมริกา

“ตลาดได้รับรู้ถึงความพยายามของเรา โดยเห็นได้จากการเลือกทางเทคนิคและคำสั่งซื้อที่วางไว้” Junichiro Masada รองประธานอาวุโสหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีร่วมและรองหัวหน้าสำนักงานใหญ่โรงกังหันของ MHPS กล่าว “และเรายังคงพัฒนาเทคโนโลยีของเราต่อไป ตัวอย่างเช่นเมื่อเร็วๆ นี้เราได้ผสานกับกริดไฟฟ้าใน Takasago ประเทศญี่ปุ่นและได้บรรลุโหลดเต็มรูปแบบด้วยการปรับปรุง JAC เป็น 60 Hz ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกำลังผลิตและประสิทธิภาพของวงจรรวมที่สูงเป็นสถิติใหม่  คู่แข่งของเรายังต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการผลิตกังหันก๊าซที่มีขนาดหรือประสิทธิภาพเท่าของเรา นอกจากนี้เราได้แสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญของ FT4000 ที่ศูนย์ทดสอบของเราในเวส ปาล์ม บีช ฟลอริดา”

กังหันก๊าซอนุพันธ์อากาศ FT4000 ซึ่งมีโครงการที่ใช้งานอยู่หลายแห่งในอเมริกาเหนือและทั่วโลก ได้เพิ่มกำลังผลิตขึ้นเป็นสามเท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาและได้ครองส่วนแบ่งการตลาดที่สำคัญในระดับเดียวกันนับตั้งแต่การซื้อ PW Power Systems (PWPS) ในปี 2556  เครื่อง PWPS FT4000 เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในปี 2558 และมอบประสิทธิภาพวงจร เวลาในการเปิดใช้งาน และอัตราการเร่งที่เป็นชั้นนำของอุตสาหกรรม

“เราภูมิใจที่เทคโนโลยีของเราได้ทำให้เราก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับโลกในตลาดกังหันก๊าซ” Ken Kawai ประธานและซีอีโอกล่าว “เราให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของพนักงานของเราทั่วโลกที่มุ่งนำเสนอเทคโนโลยีขั้นสูงและโซลูชั่นพลังงานให้กับตลาดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ราคาไม่แพงและเชื่อถือได้  เรายังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่เศรษฐกิจที่ไร้คาร์บอนและช่วยแก้ไขความท้าทายที่สังคมโลกของเราต้องเผชิญ”

เกี่ยวกับ Mitsubishi Hitachi Power Systems, Ltd.

Mitsubishi Hitachi Power Systems, Ltd. (MHPS) ที่มีสำนักงานใหญ่ในโยโกฮาม่าประเทศญี่ปุ่น เป็นบริษัทร่วมทุนที่ก่อตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 โดย Mitsubishi Heavy Industries, Ltd. and Hitachi, Ltd. ที่เป็นการผสานกิจการระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง  MHPS เพิ่งประกาศว่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น Mitsubishi Power ในไม่ช้า  MHPS ในวันนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ชั้นนำของโลกด้านอุปกรณ์และบริการตลาดผลิตไฟฟ้า โดยได้รับการสนับสนุนจากเงินทุน 100 พันล้านเยนและพนักงานประมาณ 20,000 คนทั่วโลก  ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้แก่ GTCC (กังหันก๊าซวงจรรวม) และโรงไฟฟ้า IGCC (การแปรสภาพเป็นแก๊สถ่านหินแบบรวมวงจรรวม) โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ/ถ่านหิน/ น้ำมันเชื้อเพลิง (ไอน้ำ) หม้อไอน้ำ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า กังหันก๊าซ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพ, AQCS (ระบบควบคุมคุณภาพอากาศ) อุปกรณ์ต่อพ่วงของโรงไฟฟ้าและเซลล์เชื้อเพลิงโซลิดออกไซด์ (SOFC) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทที่ https://www.mhps.com

ติดตามเราได้ที่
https://twitter.com/MHPS_Global หรือ http://www.linkedin.com/showcase/mhps

อ่านเวอร์ชั่นที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200519005485/en/

ติดต่อ:

Naoya Kanamura
Deputy Manager (รองผู้จัดการ)
Corporate Communications Group (ฝ่ายสื่อสารองค์กร)
Mitsubishi Hitachi Power Systems, Ltd.
เบอร์มือถือ: +81-(0)80-9592-0069
อีเมล: naoya_kanamura@mhps.com

กสิกรไทยเพิ่มโอนเงินต่างประเทศผ่าน K PLUS เป็น 12 สกุล ใน 30 ประเทศ ตั้งเป้าโอนได้ทั่วโลกในสิ้นปีนี้

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–20 พฤษภาคม 2563

imgธนาคารกสิกรไทยผนึกพันธมิตร NIUM ผู้ให้บริการโอนเงินข้ามประเทศชั้นนำจากสิงคโปร์ พัฒนาเทคโนโลยีการโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน Application Programming Interface (API) ขยายสกุลโอนเงินไปต่างประเทศผ่านแอป K PLUS เพิ่มอีก 6 สกุลเงิน เป็น 12 สกุลเงิน ครอบคลุม 30 ประเทศทั่วโลก โดยไม่ต้องใช้เอกสาร ทำรายการได้เองผ่าน K PLUS  ตั้งเป้าโอนไปทุกประเทศทั่วโลกภายในสิ้นปี 63     

นายศีลวัต สันติวิสัฏฐ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังจากเปิดให้บริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป K PLUS (Outward Remittance on K PLUS) ในเดือนพฤษภาคม 2562 เป็นเวลากว่า 1 ปี    ปรากฏว่ามีลูกค้ารายใหม่ ที่ยังไม่เคยใช้บริการเงินโอนต่างประเทศเข้ามาใช้งานเป็นจำนวนมาก มีการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีจากมูลค่าการโอนมากกว่า 4,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะโอนเงินไปต่างประเทศเพื่อการศึกษา ชำระค่าสินค้า แรงงานต่างชาติที่โอนเงินกลับบ้าน โอนให้ครอบครัวที่อยู่ต่างประเทศ โดยปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีมูลค่าในตลาดการโอนเงินต่างประเทศกลุ่มลูกค้ารายย่อยวงเงินโอนต่อรายการต่ำหรือ Low Value ในปี 2562 คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดกว่า 25% ของมูลค่ารวมของตลาด

จากการที่ธนาคารกสิกรไทยจับมือเป็นพันธมิตรกับ NIUM ฟินเทคที่เติบโตเร็วที่สุดในอาเซียน ซึ่ง Beacon VC บริษัทร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมลงทุนกับ NIUM เมื่อปี 2561 จากความร่วมมือในครั้งนั้นทำให้ธนาคารกสิกรไทยสามารถพัฒนาคุณภาพการให้บริการโอนเงินข้ามประเทศแก่ลูกค้ารายย่อย จนมีปริมาณธุรกรรมและมูลค่าธุรกรรมการโอนเงินต่างประเทศเติบโตแบบก้าวกระโดด และล่าสุดสามารถต่อยอดด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีการโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน Application Programming Interface (API) ทำให้สามารถโอนเงินไปต่างประเทศได้เพิ่มอีก 6 สกุลเงิน รวมเป็น 12 สกุลเงิน  ประกอบด้วย เงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ฮ่องกง เงินปอนด์ ยูโร เปโซฟิลิปปินส์ รูปีอินเดีย รูเปียอินโดนีเซีย ดองเวียดนาม วอนเกาหลีใต้ และริงกิตของมาเลเซีย ครอบคลุมถึง 30 ประเทศ จากเดิม 24 ประเทศ

ธนาคารกสิกรไทยมีเป้าหมายภายในสิ้นปี 2563 ที่จะพัฒนาบริการให้ลูกค้าสามารถโอนไปทุกประเทศทั่วโลกผ่าน K PLUS และตั้งเป้าจะมียอดธุรกรรมมากกว่า 60,000 รายการต่อปี มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2568

             

นายโรฮิต บาม์มี่  Global Head of Institution Business, NIUM กล่าวว่า เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมพัฒนานวัตกรรมการให้บริการเงินโอนต่างประเทศบนแอปพลิเคชันของธนาคารกสิกรไทยด้วยสกุลเงินที่หลากหลายขึ้น  ในฐานะฟินเทคผู้เชี่ยวชาญด้านบริการเงินโอนข้ามประเทศ เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านการเงินดิจิทัลที่ง่าย สะดวกสบาย รวดเร็ว ในราคาที่เหมาะสม  ซึ่งเห็นได้ชัดจากการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรอย่างธนาคารกสิกรไทยเพื่อให้บริการเงินโอนต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในครั้งนี้  โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการโอนเงินต่างประเทศแบบเรียลไทม์ ทั้งนี้เรามุ่งหวังที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับธนาคารกสิกรไทยต่อไปเพื่อส่งมอบประสบการณ์ด้านการชำระเงินข้ามประเทศที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของธนาคาร

นายศีลวัตกล่าวในตอนท้ายว่า บริการโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป K PLUS เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับช่วงนี้สถานการณ์โควิด-19 ที่ควรหลีกเลี่ยงการไปอยู่ในที่ชุมชน รวมทั้งการสัมผัสเงินสด  การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะลูกค้าสามารถทำธุรกรรมจากที่บ้าน หรือจากทุกที่ได้โดยไม่ต้องเดินทางมาสาขาธนาคาร นับว่าเป็นทางเลือกของการโอนเงินต่างประเทศที่สะดวก ง่าย ปลอดภัย ได้รับเงินเต็มจำนวน และไม่ต้องแนบเอกสารประกอบ ด้วยค่าธรรมเรียมที่ถูก สามารถโอนเงินได้เองมากถึง 12 สกุลเงิน ครอบคลุม 30 ประเทศทั่วโลก

ทั้งนี้ ธนาคารจัดโปรโมชั่นคิดค่าธรรมเนียมราคาพิเศษ 250 บาทต่อรายการ จากปกติ 450 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2563 นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นเพิ่มเติมสำหรับลูกค้าใหม่ที่โอนเงินไปยังต่างประเทศผ่าน K PLUS ครั้งแรกตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไปต่อรายการ ได้รับ e-Gift Card Starbucks มูลค่า 150 บาท   ตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2563

นูทานิคซ์ใช้ระบบอัตโนมัติลดความซับซ้อน ในการรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ

Logo

คุณสมบัติใหม่ในแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จช่วยลดความซับซ้อนในการกู้คืนข้อมูลและระบบ เพื่อปกป้องแอปพลิเคชั่นสำคัญในช่วงเวลาที่องค์กรต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับความเป็นจริงใหม่ทางธุรกิจ

กรุงเทพฯ – 19 พฤษภาคม 2563 – นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX)

ผู้นำด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง ระดับองค์กรประกาศคุณสมบัติใหม่หลายข้อของซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) และอะโครโพลิสไฮเปอร์ไวเซอร์ (AHV) ที่ใช้ในการปกป้องแอปพลิเคชั่นสำคัญ และคงความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจในภาวะที่ต้องเผชิญกับการหยุดชะงักของระบบหรือภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดมาก่อน ประสิทธิภาพใหม่เหล่านี้ประกอบด้วยระบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพล้ำหน้า เพื่อใช้ในการกู้คืนแอปพลิเคชั่นและข้อมูล รองรับการกู้คืนข้อมูลและระบบจากดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีอยู่ หลายแห่งได้อย่างราบรื่น โดยทำการสำเนาชุดข้อมูลของเวิร์กโหลดที่ทำงานบน AHV ด้วยการทำสำเนาข้อมูลแบบ “near sync” ช่วยให้ข้อมูลที่สูญหายแทบไม่มี โดยใช้เวลาประมาณ 20 วินาที ในการกู้คืนข้อมูลนับจากเวลาที่เกิดเหตุจนกลับสู่การทำงานได้ตามปกติ (RPO) 

ในช่วงเวลาที่ความอยู่รอดและความต่อเนื่องทางธุรกิจมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อน นโยบาย และขั้นตอนการกู้คืนระบบที่ต้องแน่ใจว่ามีความเข้มงวดจะไม่เป็นเพียงแค่การ "มีไว้ก็ดี" อีกต่อไป องค์กรจะต้องใช้ และมีแผน DR ที่แข็งแกร่งสำหรับแอปพลิเคชั่นสำคัญ ๆ เช่น แอปพลิเคชั่นที่รองรับ การให้บริการฉุกเฉิน แอปพลิเคชั่นที่มีตัวเลือกน้อยแต่ซับซ้อนเวลาปรับใช้ และแตกต่างจากเทคโนโลยีอื่นที่ต้องการการบริหารจัดการที่เจาะจงและต่อเนื่อง

imgคุณสมบัติใหม่ ๆ ที่เพิ่มอยู่ในซอฟต์แวร์ HCI และ AHV ของนูทานิคซ์นี้ ช่วยให้ลูกค้าสามารถให้บริการ แอปพลิเคชั่นสำคัญ ๆ ได้อย่างมั่นใจ มีความซับซ้อนน้อยที่สุดและค่าใช้จ่ายในการจัดการลดน้อยลง

นายเกร็ก สมิธ รองประธานฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของนูทานิคซ์กล่าวว่า “การคงความต่อเนื่องของการดำเนินธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ของบริษัทและองค์กรทุกประเภท อย่างไรก็ตาม ธุรกิจส่วนใหญ่ลงมือทำ DR เพื่อป้องกันการล้มเหลวของระบบไอทีทั้งหมดด้วยตนเอง แต่วันนี้นูทานิคซ์นำเสนอ โซลูชั่นการกู้คืนข้อมูลและระบบแบบอัตโนมัติที่ใช้งานง่าย เพื่อรองรับแอปพลิเคชั่นที่ต้องพร้อมใช้งานอยู่เสมอ”

คุณสมบัติใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การกู้คืนข้อมูลทำได้ง่ายและเป็นแบบอัตโนมัติ มีดังนี้:

  • การกู้คืนข้อมูลและระบบจากดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีหลายแห่ง:  คุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นนี้ รองรับการกู้คืนข้อมูลที่เกิดขึ้นพร้อมกันในศูนย์ข้อมูลมากกว่าหนึ่งแห่งนั้นได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ผู้ใช้งานยังคงใช้แอปพลิเคชั่นและข้อมูลต่าง ๆ ได้ตามปกติ ระบบ DR ของนูทานิคซ์ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพล้ำหน้า เพื่อขจัดความยุ่งยากในการติดตั้ง DR และการผสานการทำงานที่มีอยู่เข้าด้วยกันให้กับองค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบควบคุม เช่น บริการด้านการเงิน การดูแลสุขภาพ และบริการฉุกเฉินที่องค์กรต้องให้บริการต่อเนื่องแบบไม่มีการหยุดชะงัก ทีมที่ดูแลเรื่องแอปพลิเคชั่นจะสามารถกู้คืนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วทั้งจากการหยุดทำงานที่ไม่ได้วางแผนไว้ หรือความเสียหายของข้อมูล และการกำหนดค่าให้สอดคล้องกับข้อกำหนดที่เข้มงวดต่าง ๆ
  • การกู้คืนข้อมูลและระบบแบบ Near Sync ที่ไม่มีใครเทียบได้:  ปัจจุบันนูทานิคซ์รองรับการทำสำเนาแบบ near sync ทำให้ RPO ใช้เวลาประมาณ 20 วินาที ซึ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากเทคโนโลยีชั้นนำที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมด้านนี้ นูทานิคซ์เป็นผู้จัดจำหน่าย HCI ชั้นนำเพียงรายเดียวที่นำเสนอ RPO ในเวลาเพียง 20 วินาที
  • AHV ของนูทานิคซ์ กับการทำสำเนาข้อมูลพร้อมกัน: Nutanix AHV hypervisor ขณะนี้สามารถรองรับการทำสำเนาข้อมูลแบบ Synchronous หรือการทำสำเนาข้อมูลระหว่างดาต้าเซ็นเตอร์หลายแห่งแบบเกือบจะทันทีได้ ลูกค้าสามารถใช้ AHV เพื่อให้บริการที่มีความพร้อมสูงกับเวิร์กโหลดที่สำคัญที่สุดของตน เช่น โครงสร้างพื้นฐานเวอร์ชวลเดสก์ท็อป ดาต้าเบส และเซิร์ฟเวอร์เวอร์ชวลไลเซชั่นทั่วไป
  • การผสานการทำงานของ DR กับเวิร์กโฟลว์ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างระบบอัตโนมัติ: ประสิทธิภาพที่เพิ่มเข้ามาใหม่นี้ช่วยให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นและสามารถควบคุมกระบวนการกู้คืนข้อมูลตั้งแต่ต้นจนจบได้มากขึ้น ด้วยการควบคุมการใช้ทรัพยากร DR กับแอปพลิเคชั่นที่ต้องการได้ละเอียดมากขึ้น

นายเดลฟิม ดา คอสต้า ผู้จัดการฝ่ายระบบและโครงสร้างพื้นฐานของ Infomil ซึ่งเป็นบริษัทไอทีที่แตกตัวมาจากบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ในยุโรป และเป็นลูกค้านูทานิคซ์ตั้งแต่ปี 2558 กล่าวว่า “ลูกค้าของเราคาดหวังว่า RPO ต้องเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นการรับประกันว่าข้อมูลของเขาจะไม่สูญหายเมื่อเกิดความล้มเหลวที่เกิดจากการชะงักงันของศูนย์ข้อมูล เรายินดีมากที่ได้ใช้ AHV เวอร์ชวลไลเซชั่นของนูทานิคซ์ เพื่อรักษาข้อตกลงในการให้บริการ (SLA) ของเวิร์กโหลดด้านการผลิตของเราให้อยู่ในระดับสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ 

ความสามารถใหม่ด้าน DR เหล่านี้มีอยู่ในซอฟต์แวร์ HCI ของนูทานิคซ์ และมีวางจำหน่ายแล้ว กรุณาเยี่ยมชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่นด้านความต่อเนื่องทางธุรกิจและการกู้คืนข้อมูลและระบบหลังจากภัยพิบัติของนูทานิคซ์ได้ที่นี่

###

เกี่ยวกับนูทานิคซ์

นูทานิคซ์เป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ ช่วยให้การประมวลผลทางคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นได้ทุกที่ บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกใช้ซอฟต์แวร์ของนูทานิคซ์ เพื่อใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มเพียงแพลตฟอร์มเดียว ในการบริหารจัดการแอปพลิเคชั่นได้ทุกแอป ทุกที่ และทุกขนาด ไม่ว่าแอปพลิเคชั่นนั้นจะอยู่บนสภาพแวดล้อมแบบไพรเวท ไฮบริด และมัลติคลาวด์ก็ตาม เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับนูทานิคซ์ได้ที่ www.nutanix.com หรือติดตามทางทวิตเตอร์ที่ @nutanix

© 2020 Nutanix, Inc. All rights reserved. Nutanix, the Nutanix logo and all Nutanix product and service names mentioned herein are registered trademarks or trademarks of Nutanix, Inc. in the United States and other countries. All other brand names mentioned herein are for identification purposes only and may be the trademarks of their respective holder(s). This release may contain links to external websites that are not part of Nutanix.com. Nutanix does not control these sites and disclaims all responsibility for the content or accuracy of any external site. Our decision to link to an external site should not be considered an endorsement of any content on such a site.

ข้อมูลสำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ

นภา สุทธิญาณโสภณ

บริษัท เอฟเอคิว จำกัด

โทรศัพท์ 02 970 6051

อีเมล: napa@pc-a.co.th

พันธมิตรทั้งจากแอฟริกาและทั่วโลกประกาศเปิดตัว 2Africa: โครงการเคเบิลใต้ทะเลครั้งสำคัญ เพื่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแห่งอนาคตในแอฟริกา

Logo

2Africa เป็นหนึ่งในโครงการเคเบิลใต้ทะเลที่ใหญ่ที่สุดของโลก เชื่อมต่อ 23 ประเทศในแอฟริกา ตะวันออกกลาง และยุโรป พร้อมขยายการเชื่อมต่อไปถึงเอเชียผ่านโครงการเคเบิลใต้ทะเลเส้นหลักที่เชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชีย

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–20 พฤษภาคม 2563

วันนี้ China Mobile International, Facebook, MTN GlobalConnect, Orange, stc, Telecom Egypt, Vodafone และ WIOCC ประกาศการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อพัฒนาโครงการ 2Africa ซึ่งจะกลายเป็นโครงการเคเบิลใต้ทะเลที่มีความครอบคลุมมากที่สุดที่ให้บริการในทวีปแอฟริกาและภูมิภาคตะวันออกกลาง และเชื่อมโยงกับสายเคเบิลใต้ทะเลอื่น ๆ ผ่านทางแอฟริกาตะวันออกเพื่อขยายการเชื่อมต่อกับภูมิภาคเอเชีย คณะพันธมิตรได้แต่งตั้ง Alcatel Submarine Networks (“ASN”) เป็นผู้ติดตั้งสายเคเบิลภายใต้โครงการที่มีการลงทุนอย่างเต็มรูปแบบนี้ ซึ่งจะยกระดับการเชื่อมต่อระหว่างแอฟริกาและตะวันออกกลางเป็นอย่างมาก

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200514005389/en/

Map of 2Africa landing countries. (Photo: Business Wire)

แผนที่ประเทศภายที่มีสถานีภาคพื้นในโครงการ 2Africa (รูปภาพ: Business Wire)

ด้วยความยาว 37,000 กิโลเมตร โครงการ 2Africa จะกลายเป็นหนึ่งในโครงการเคเบิลใต้ทะเลที่ใหญ่ที่สุดของโลก และจะเชื่อมกับทวีปยุโรป (ทางตะวันออกผ่านอียิปต์) เชื่อมกับตะวันออกกลาง (ผ่านทางซาอุดิอาระเบีย) และมีสถานีภาคพื้น 21 สถานีใน 16 ประเทศของทวีปแอฟริกา คาดว่าระบบนี้จะสามารถเริ่มให้บริการได้ในปี 2566/2567 และจะเพิ่มความสามารถในการรองรับการใช้งานในแอฟริกาได้มากกว่าในปัจจุบันอย่างมากด้วยกําลังการผลิตตามแผนในส่วนหลักของระบบที่สูงสุด 180Tbps โครงการ 2Africa จะสามารถรองรับการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่มีความเสถียรและเป็นที่ต้องการอย่างมากได้ทั่วทั้งแอฟริกา เสริมการรองรับความต้องการอินเตอร์เน็ตที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตะวันออกกลาง และสนับสนุนการเติบโตของเครือข่าย 4G, 5G และอินเตอร์เน็ตแบบประจำที่ (fixed broadband access) ให้กับผู้คนหลายร้อยล้านคน

ในประเทศที่มีสถานีภาคพื้นดินของโครงการ 2Africa ผู้ให้บริการจะได้รับอินเตอร์เน็ตจากดาต้าเซ็นเตอร์ที่อิสระและเป็นกลาง หรือสถานีภาคพื้นดินที่เปิดให้ใช้ฟรีบนพื้นฐานความเสมอภาคและยุติธรรม ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาระบบนิเวศอินเตอร์เน็ตที่สมบูรณ์ ด้วยการอำนวยความสะดวกให้เกิดการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ได้รับการปรับปรุงอย่างมากสำหรับธุรกิจและผู้บริโภค

โครงการเคเบิลใต้ทะเล 2Africa ได้รับการออกแบบมาเพื่อพัฒนาความสามารถในการกลับสู่สภาวะปกติ (resilience) และเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงสุด รวมถึงเป็นช่องทางการส่งข้อมูลผ่านเส้นใยนำแสงระหว่างแอฟริกาตะวันออกและยุโรปที่ไร้รอยต่อ คณะพันธมิตรโครงการ 2Africa และ Airtel ได้ลงนามในข้อตกลงกับ Telecom Egypt เพื่อจัดหาการเชื่อมต่อใหม่ที่เชื่อมทะเลแดงและทะเลเมดิเตอเรเนียนเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ ซึ่งรวมถึงสถานีภาคพื้นดินแห่งใหม่ และการติดตั้งใยแก้วนำแสงภาคพื้นดินเจเนอเรชันใหม่บนสองเส้นทางใหม่ขนาบคลองสุเอซจากราซแยเรบไปยังพอร์ตซาอิด และจุดเชื่อมเคเบิลใต้น้ำใหม่ที่จะกลายเป็นเส้นทางที่สามระหว่างราซแยเรบและสุเอซ

โครงการเคเบิล 2Africa จะนำเทคโนโลยี SDM1 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่จาก ASN มาใช้ ทำให้สามารถติดตั้งใยแก้วนำแสงได้สูงสุด 16 คู่ เพิ่มจากการใช้เทคโนโลยีรุ่นเก่าที่สามารถติดตั้งได้เพียง 8 คู่ ทำให้สามารถส่งอินเตอร์เน็ตได้มากขึ้นและคุ้มค่ากว่าเดิมมาก สายเคเบิลจะประกอบด้วยเทคโนโลยีออปติคอลสวิตช์ชิงที่ทำให้การจัดการอัตราการส่งถ่ายข้อมูล (Bandwidth) มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จำนวนสายเคเบิลที่ถูกฝังในระดับลึกจะเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับระบบเก่า และการเดินสายเคเบิลจะหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่พบว่ามีคลื่นรบกวนใต้ทะเล ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจในการส่งอินเตอร์เน็ตในระดับสูงสุด

“โครงการ 2Africa จะทำให้เราสามารถให้บริการลูกค้าผ่านการเชื่อมต่อระหว่างแอฟริกาและยุโรปอย่างไร้รอยต่อ ไปพร้อมกับความร่วมมือจากศูนย์ทรัพยากรเคเบิลใต้ทะเล SEA-ME-WE 5 และ AAE-1 ของเราที่ขยายการเชื่อมต่อไปยังเอเชีย ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์ด้านการพัฒนาทั่วโลก” Jessica Gu ผู้อำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีแห่ง China Mobile International กล่าว “ความสามารถในการส่งข้อมูลสูงสุดและการส่งข้อมูลได้รวดเร็วขึ้นทำให้เราสามารถตอบสนองความต้องการของประเทศในแอฟริกาได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และเป็นการสะท้อนถึงความตั้งใจที่หนักแน่นของเราที่จะพัฒนาการใช้ชีวิตดิจิทัลทั่วโลก”

“เราตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรภายใต้โครงการ 2Africa ในโครงการเคเบิลใต้ทะเลที่มีความครอบคลุมมากที่สุดสำหรับทวีปนี้” Najam Ahmad รองประธานฝ่ายโครงสร้างเครือข่ายพื้นฐานของ Facebook กล่าว “2Africa เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการลงทุนในปัจจุบันของเราในแอฟริกาที่จะให้ผู้คนอีกหลายคนเข้าสู่โลกออนไลน์และได้ใช้อินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วมากขึ้น ประสบการณ์ตรงที่เราได้รับทำให้เราเห็นผลกระทบในเชิงบวกต่อชุมชนที่เกิดจากการเชื่อมต่อที่มากขึ้น ทั้งด้านการศึกษาไปจนถึงการดูแลสุขภาพ เราทราบว่าเศรษฐกิจเจริญขึ้นมากเมื่อธุรกิจสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ในวงกว้างมากขึ้น โครงการ 2Africa เป็นเสาหลักที่สนับสนุนการขยายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตครั้งสำคัญนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดของแอฟริกา”

Frédéric Schepens ซีอีโอฝ่ายค้าส่งของ MTN GlobalConnect ภายใต้ MTN Group เผยว่า “MTN GlobalConnect มีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเคเบิลใต้ทะเล 2Africa นี้ โครงการนี้จะเข้ามาเติมเต็มกลยุทธ์สายใยแก้วนำแสงภาคพื้นดินของ MTN GlobalConnect เพื่อเชื่อมประเทศภายในทวีปแอฟริกาเองและประเทศในทวีปต่าง ๆ ทั่วโลก พวกเราภูมิใจที่ได้มีบทบาทสำคัญในการมอบสิ่งที่เป็นประโยชน์จากชีวิตที่ทันสมัยจากการเชื่อมต่อถึงกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ MTN เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่”

Alioune Ndiaye ซีอีโอของ Orange ประจำภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา กล่าวว่า “ในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคมรูปแบบต่าง ๆ ชั้นนำของโลก และดำเนินกิจการอยู่ใน 18 ประเทศทั่วทั้งแอฟริกาและตะวันออกกลาง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Orange จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 2Africa การลงทุนครั้งสำคัญนี้จะทำให้โครงการเคเบิลใต้ทะเลและโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดินที่เชื่อมต่อกับทวีปแอฟริกาในปัจจุบันของเราสมบูรณ์แบบ เพื่อให้มีช่องทางเข้าถึงการเชื่อมต่อระหว่างประเทศครอบคลุมทั้งชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกา สิ่งนี้จะทำให้ Orange สามารถตอบสนองความต้องการแบนด์วิธที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อการพัฒนาทางดิจิทัลในภูมิภาคที่มีความต่อเนื่องทั่วทั้งระบบ 2Africa”

Mohammed A. Alabbadi รองประธานฝ่ายค้าส่งของ stc กล่าวว่า “stc มีความยินดีที่ได้เป็นพันธมิตรในโครงการ 2Africa สายเคเบิลโครงการ 2Africa จะถูกรวมกับดาต้าเซ็นเตอร์ MENA Gateway (MG1) ของ stc ที่อยู่ในเมืองเจดดาห์ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงเนื้อหาจากประเทศต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างมหาศาล และขยายการเชื่อมโยงในภูมิภาคผ่านเครือข่าย geo-mesh ทางบกของ stc ซึ่งขยายครอบคลุมประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้จะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการยกระดับความสามารถเครือข่ายระหว่างประเทศของ stc ไปพร้อมกับยกระดับสถานะของ stc ให้เป็นบริษัทด้านดิจิทัลชั้นนำของภูมิภาค MENA ความเป็นพันธมิตรนี้แสดงถึงความตั้งใจของ stc ที่สอดคล้องกับนโยบาย Saudi Vision 2030 เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่มีประโยชน์และสร้างสังคมดิจิทัลสำหรับทุกคน”

Adel Hamed กรรมการผู้จัดการและประธานกรรมการบริหาร Telecom Egypt กล่าว่า “การสนับสนุนของ Telecom Egypt ต่อโครงการ 2Africa เป็นก้าวสำคัญในความพยายามของเราที่จะเป็นส่วนสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในแอฟริกา ความสัมพันธ์ของอียิปต์กับรัฐต่าง ๆ ในแอฟริกาเป็นหนึ่งในสิ่งที่อียิปต์ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ มาตลอดและจะยังเป็นเช่นนี้ต่อไป และความสัมพันธ์นี้จะขยายออกไปเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของอียิปต์ที่จะสนับสนุนการพัฒนาในปัจจุบันในทวีปแอฟริกา เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้เคียงข้างพันธมิตรที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในแอฟริกาและทั่วโลก ตลอดเวลาหลายปี เรามีความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมในการพลิกโฉมระบบโครงสร้างพื้นฐานระหว่างประเทศของเรา และเพิ่มความหลากหลายทางธรณีวิทยาให้กับสินทรัพย์ของเรา เพื่อไล่ตามความต้องการแบนด์วิธขนาดใหญ่และการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกให้ทัน เราเชื่อมั่นว่าโครงการ 2Africa จะเข้ามาเติมเต็มการลงทุนที่มีความหลากหลายของเราในอุตสาหกรรมเคเบิลใต้ทะเลได้อย่างดี”

“การปรับปรุงการเชื่อมต่อในแอฟริกาเป็นก้าวที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจะวางรากฐานให้กับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งทวีป” Vinod Kumar ซีอีโอของ Vodafone Business กล่าว “2Africa จะช่วยให้ธุรกิจและผู้บริโภคในท้องถิ่นได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีขึ้น ขณะที่การเชื่อมต่อระหว่างแอฟริกากับยุโรปและตะวันออกกลางที่มากขึ้นจะช่วยให้สามารถสร้างสังคมดิจิทัลได้ในวงกว้างและครอบคลุมมากขึ้นทั่วโลก เรามีความยินดีที่จะเป็นร่วมงานกับพันธมิตรของเราในโครงการนี้เพื่อช่วยกันทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ”

Chris Wood ซีอีโอของ WIOCC กล่าวว่า “เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้วที่ WIOCC เป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตที่สามารถขยายให้รองรับกับความต้องการในแอฟริกา ตามกลยุทธ์การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในปัจจุบันในโครงสร้างพื้นฐานเคเบิลใต้ทะเลและภาคพื้นดินหลัก การเข้าร่วมโครงการ 2Africa จะสานต่อความมุ่งมั่นในการให้บริการผู้ใช้กลุ่มใหญ่ด้วยเครือข่ายที่สามารถกลับมาทำงานปกติได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการแบนด์วิธที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่องของลูกค้า การลงทุนของเราเป็นเครื่องการันตีความสามารถเครือข่ายของเราในอนาคต และสร้างความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้สามารถเพิ่มช่วงเวลาในการใช้งานให้สูงสุดสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ของเรา”

Alain Biston ประธาน Alcatel Submarine Networks กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรของเรา และภูมิใจที่ได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรโครงการนี้ ด้วยระบบเคเบิลใต้ทะเลที่ทันสมัย แอฟริกาจะก้าวกระโดดสู่ยุคดิจิทัลเพราะเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มี ณ ตอนนี้ แอฟริกามีประวัติที่ยาวนานร่วมกับ ASN เราได้ติดตั้งโครงการเคเบิลใต้ทะเลที่สำคัญ ๆ หลายโครงการทั่วทั้งทวีป 2Africa จะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ยิ่งใหญ่!”

ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของ 2Africa ได้ที่ www.2AfricaCable.com

(โปรดทราบ: อาจใช้เวลาสูงสุด 48 ชั่วโมงหลังจากเอกสารประชาสัมพันธ์นี้เผยแพร่ จึงจะได้รับการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ ระหว่างนี้ โปรดติดต่อ contact@2AfricaCable.com หากมีคำถามเพิ่มเติม)

ดูเนื้อหาต้นฉบับ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200514005389/en/

สื่อ:
Yan Cheng
contact@2AfricaCable.com

“เครือสหพัฒน์” ระดมความช่วยเหลือ สนับสนุนกว่า 100 ล้านบาท กู้วิกฤตโควิด-19

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–19 พฤษภาคม 2563

imgด้วยแนวคิดของเครือสหพัฒน์ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคม “คนดี สินค้าดี สังคมดี” เครือสหพัฒน์จึงได้ร่วมใจกันระดมความช่วยเหลือสังคมในช่วงที่เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คิดเป็นเงินสนับสนุนกว่า 100 ล้านบาท

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า “คนดี สินค้าดี สังคมดี เป็นแนวคิดที่เครือสหพัฒน์ยึดมั่นและมุ่งหวังเป็นองค์กรที่หล่อหลอมคนดี คนเก่ง ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์สินค้าดี มีคุณภาพ ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างสังคมดี ด้วยการดูแลสภาพแวดล้อมของพนักงาน ดูแลชุมชนบริเวณโดยรอบ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เมื่อประเทศมีวิกฤตโควิด-19 เครือสหพัฒน์จึงต้องการให้คนไทยและประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปโดยเร็ว โดยบริษัทต่าง ๆ ในเครือสหพัฒน์ ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งที่อยู่ในชุมชนรอบบริษัท และสังคมโดยรวม”

สำหรับโครงการต่าง ๆ ที่จัดทำขึ้นมีกว่า 30 โครงการ ประกอบด้วย   

๏ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) มอบหน้ากากอนามัยผ้าให้คนไทยผ่านกระทรวงมหาดไทย จำนวน 1 ล้านชิ้น มูลค่า 30 ล้านบาท, มอบหน้ากากอนามัยผ้าให้ศาลยุติธรรมเพื่อนำไปมอบให้บุคลากรของศาลยุติธรรม ประชาชน คู่ความ และพยาน จำนวน 1 หมื่นชิ้น มูลค่า 3 แสนบาท, มอบชุด ISOLATION GOWN ให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 2 พันชุด มูลค่า 1 ล้านบาท, มอบบะหมี่ซื่อสัตย์ ให้ประชาชน จำนวน 1 ล้านซอง มูลค่า 12 ล้านบาท, มอบชุดผลิตภัณฑ์ซื่อสัตย์ให้ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 3 หมื่นชุด มูลค่า 2.16 ล้านบาท และมอบผลิตภัณฑ์มาม่า ข้าวโพดหวานกระป๋อง KC เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของกรมกิจการพลเรือนทหารบก

๏ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด มอบเงินให้โรงพยาบาล 8 แห่ง จำนวน 4.1 ล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์ป้องกันและเครื่องมือแพทย์ในการคัดกรองและรักษาผู้ป่วย, มอบผลิตภัณฑ์โฟมล้างมือและเจลอนามัยคิเรอิคิเรอิ ผลิตภัณฑ์ล้างจานไลปอนเอฟ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นลุค ให้กรมอนามัย มูลค่า 1.03 ล้านบาท และมอบผลิตภัณฑ์โฟมล้างมือและเจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ ให้บุคลากรของศาลยุติธรรม คู่ความ และประชาชน จำนวน 7.2 พันขวด/หลอด มูลค่า 6.96 แสนบาท

๏ บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด มอบน้ำดื่ม เครื่องดื่มให้พลังงาน หน้ากากอนามัยผ้า และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ให้หน่วยงานในจังหวัดชลบุรี ลำพูน และกำแพงเพชร มูลค่า 5 แสนบาท

            ๏ บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) มอบหน้ากากผ้าสเปเซอร์ให้หน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 2 แสนชิ้น, มอบหน้ากากอนามัยให้ชุมชนรอบบริษัท จำนวน 5 พันชิ้น และมอบหน้ากากอนามัยผ้าให้ศาลยุติธรรม จำนวน 1 หมื่นชิ้น

๏ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท อีสเทิร์นไทยคอนซัลติ้ง 1992 จำกัด มอบเครื่องพ่นหมอกฆ่าเชื้อให้เทศบาลนครแหลมฉบัง เทศบาลนครเจ้าพระยาสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา โรงพยาบาลแหลมฉบัง โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา และสถานีตำรวจภูธรหนองขาม มูลค่า 1 ล้านบาท และดำเนินการอบโอโซนพ่นฆ่าเชื้อที่ศาลากลางจังหวัดชลบุรี, มอบหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลผ่านสำนักงานสาธารณสุขอำเภอศรีราชา และมอบหน้ากากอนามัยให้กับโรงพยาบาลแหลมฉบัง จ.ชลบุรี โรงพยาบาลบ้านโป่ง จ.ราชบุรี โรงพยาบาลยะรัง จ.ปัตตานี และโรงพยาบาลเกาะลันตา จ.กระบี่

๏ บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) มอบหน้ากากอนามัยผ้านาโนซิงค์ให้ชุมชน จำนวน 5 พันชิ้น, มอบหน้ากากอนามัยผ้าให้สำนักงานเขตยานนาวา จำนวน 1 พันชิ้น และแบรนด์เสื้อผ้าเด็ก Absorba มอบหน้ากากนาโนซิงค์ให้โรงพยาบาลเด็ก และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จำนวน 2 พันชิ้น

๏ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) โดยแบรนด์ LACOSTE ร่วมกับอาสาสมัคร ผลิตหน้ากากอนามัย ณ โรงงานต้นกำเนิดลาคอสท์ ในเมืองทรัวส์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อนำไปมอบให้บุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศ จำนวน 2 แสนชิ้น

๏ บริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) มอบเงินให้โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ศรีราชา จ.ชลบุรี จำนวน 9.67 แสนบาท เพื่อสมทบทุนปรับปรุงห้องฉุกเฉินรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19, มอบเจลล้างมืออนามัยแบรนด์ St.Edwards ให้เทศบาลนครแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จำนวน 1 พันขวด, มอบเงินช่วยเหลือเป็นค่าอาหารช้างในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 2 แสนบาท, มอบเงินให้โรงพยาบาลชุมชน 14 แห่ง จำนวน 9.95 แสนบาท เพื่อช่วยเหลือสถานการณ์โควิด-19 และมอบเงินให้มูลนิธิคุณพ่อเรย์ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 5 หมื่นบาท

๏ บริษัท เท็กซ์ไทล์เพรสทีจ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับมูลนิธิก้าวคนละก้าวมอบหน้ากากอนามัยแบรนด์ Welcare ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ จำนวน 1 แสนชิ้น

๏ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) มอบผลิตภัณฑ์ให้สถาบันบำราศนราดูร วันละ 200 ชิ้น รวมกว่า 14,000 ชิ้น

๏ บริษัท ไหมทอง จำกัด และบริษัท เอราวัณสิ่งทอ จำกัด มอบหน้ากากอนามัยผ้าเพื่อใช้ในกิจการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี

บริษัท คิวพี (ประเทศไทย) จำกัด มอบเงินให้มูลนิธิรามาธิบดี  โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลราชวิถีและ จำนวน 2 ล้านบาท และมอบ Face Shield ให้กับโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลสิรินธร โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ และโรงพยาบาลกลาง

๏ บริษัท เส-นอร์สห โลจิสติกส์ จำกัด ให้บริการขนส่งโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแก่โครงการผู้ประกอบการพลาสติกรวมใจ เคียงข้างคนไทย ฝ่าวิกฤติ COVID-19 ซึ่งได้มีการบริจาคม้วนฟิล์มพลาสติกให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศ และให้บริการขนส่งสินค้าจากบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) มอบให้กับศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

สื่อมวลชนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์ โทร.081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

โควิด-19 ยังไม่ทันจางหาย เข้าสู่หน้าฝน ก็อย่าประมาท “ไข้หวัดใหญ่-ไข้เลือดออก” เด็กเล็กกลุ่มเสี่ยง อัตราป่วยทำสถิติสูงสุด

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–19 พฤษภาคม 2563

imgเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว ช่วงนี้ต้องระมัดระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่อาจจะกลับมาระบาดระลอก 2  เนื่องจากสภาพอากาศที่เริ่มเย็นลงและมีความชื้นสูง  เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสเป็นอย่างมาก  

นอกจากเรายังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ เพื่อร่วมลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด  เรียกตามภาษาที่เข้าใจกันว่า “การ์ดอย่าตก” แล้ว    อีกทางนึงก็อย่าประมาทกับโรคระบาดที่มักจะมาเยี่ยมเยียนตามฤดูกาลด้วย โรคที่ว่านี้คือ ไข้หวัดใหญ่ ที่มาจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา และ ไข้เลือดออก  ที่มาจากการเพาะพันธุ์ของยุงลายตัวพาหะของโรค  โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มเด็กเล็ก  ทั้ง 2 โรคสามารถติดได้พร้อมกันอีกด้วย

 ซึ่งในเรื่องนี้ แพทย์หญิงนลินรัตน์ รักแดง กุมารแพทย์ประจำโรงพยาบาลวิรัชศิลป์ จังหวัดชุมพร  โรงพยาบาลในเครือ “พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์” จะมาให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับทั้ง 2 โรคนี้ เพื่อจะได้รู้เท่าทันและเฝ้าระวังเพื่อให้ห่างไกลจากโรคนี้กัน 

“ไข้หวัดใหญ่” ศัตรูตัวฉกาจของลูกน้อย

โรคไข้หวัดใหญ่ จัดเป็นโรคระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) อาการของโรคคือ มีไข้สูง ไอ มีน้ำมูก อ่อนเพลียเฉียบพลัน เบื่ออาหาร คลื่นไส้ เจ็บคอ คอแดง สามารถติดต่อกันได้จากการหายใจ  ไอ และจาม  โดยประเทศไทยนั้นมีสถิติการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ค่อนข้างสูง มีข้อมูลจากกรมควบคุมโรคพบว่า เพียง 5 เดือนแรกของปี 2563 นี้  มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เกือบ 100,000 ราย โดยเด็กอายุ  0 – 9 ปี นับว่ามีอัตราป่วยสูงสุด  

ฉีดวัคซีน ช่วยความเสี่ยงการติดเชื้อ

แม้ว่าในแต่ละปีจะพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เป็นจำนวนมาก  แต่โรคนี้มีวัคซีนป้องกัน ซึ่งสามารถลดโอกาสการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้สูงสุดถึง 60% และลดความรุนแรงของอาการ การเกิดภาวะแทรกซ้อน โอกาสในการเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล และการเสียชีวิตลงได้ นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย ดังนั้น เราจึงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากเชื้อไวรัสมีการปรับเปลี่ยนสายพันธุ์อยู่เสมอ

“ไข้เลือดออก” ภัยร้ายหน้าฝน

โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) มียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรค      ซึ่งมักจะไปวางไข่ในที่ ๆ มีน้ำขังนิ่ง หากเราโดนยุงลายตัวร้ายที่มีเชื้อมากัดเข้า เชื้อก็จะเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอาจทำให้มีอาการไข้เฉียบพลันและไข้สูงลอยเกินกว่า 2 วัน มีอาการอ่อนเพลีย อาจมีอาการผื่น หน้าแดง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องร่วมด้วย  

แม้ว่าผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่เคยได้รับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งมาแล้วจะมีภูมิคุ้มกัน  แต่หากได้รับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่ต่างออกไปจากครั้งแรก ก็ยังสามารถป่วยเป็นโรคนี้ได้เช่นเดิม และโดยทั่วไปอาการของโรคครั้งที่สองมักรุนแรงมากกว่าครั้งแรกอีกด้วย

เนื่องจากเด็กเล็กเป็นกลุ่มเสี่ยง ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรระมัดระวังบุตรหลานและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด หากมีอาการดังกล่าวข้างต้น  รีบนำบุตรหลานเข้าพบแพทย์โดยด่วน  หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้เลือดออก หรือเรื่องสุขภาพอื่น ๆ สามารถขอคำปรึกษาจาก ทีมแพทย์โรงพยาบาลในเครือบริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด  ได้ทั้ง 9 แห่ง ใน 8 จังหวัด ได้แก่ โรงพยาบาล พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ  จังหวัดสมุทรปราการ  โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 1  และโรงพยาบาล พริ้นซ์ ปากน้ำโพ 2จังหวัดนครสวรรค์  โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี  โรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดพิษณุโลก โรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์   โรงพยาบาลพิษณุเวช พิจิตร จังหวัดพิจิตร โรงพยาบาลศิริเวชลำพูน จังหวัดลำพูน  และโรงพยาบาลวิรัชศิลป์ จังหวัดชุมพร  และสามารถติดตามสาระดี ๆ เกี่ยวกับการแพทย์ได้ที่เฟซบุ๊ก: Principal Healthcare Company

………………………………………

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร.081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

“ไลอ้อน” ร่วมสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันผ่าน “ตู้พระโพธิสัตว์”

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–19 พฤษภาคม 2563

imgบริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ด้วยการจัดทำตู้ปันสุข ที่ใช้ชื่อว่า “ตู้พระโพธิสัตว์” โดยของในตู้นั้นพนักงานและผู้ใจบุญต่างช่วยกันนำของมาเติม เพื่อแบ่งปันให้กับคนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย อาทิ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แป้ง สบู่ ผงซักฟอก อาหารสด อาหารแห้ง ข้าวสาร น้ำดื่ม ขนมขบเคี้ยว หนังสือธรรมะ เป็นต้น โดยตู้พระโพธิสัตว์ ได้จัดตั้งอยู่ 3 จุด คือ หน้าบริษัทไลอ้อน ถนนพระราม 3 กรุงเทพฯ ใกล้กับป้อมรักษาความปลอดภัย และไลอ้อน ศรีราชา อีก 2 จุด ที่โรงอาหาร และหน้าร้าน Love & Care

สื่อมวลชนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร. 081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

Interactive Brokers เปิดตัวตลาดกองทุนรวมที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหน่วยลงทุน (no load) ที่ใหญ่ที่สุด*

Logo

กองทุนรวมขนาดใหญ่ในราคาที่ต่ำหรือไม่มีค่าใช้จ่ายเลย พร้อมให้ประชาชนทั่วโลกเลือกหา

กรีนิช คอนเนคติกัต.–(BUSINESS WIRE)–19 พ.ค. 2563

Interactive Brokers Group, Inc. (Nasdaq: IBKR) ประกาศในวันนี้ ว่าด้วยการเปิดตัวกองทุนรวมตลาดเงินกองทุนใหม่ หรือ  Mutual Fund Marketplace ซึ่งให้บริการกองทุนรวมมากกว่า 25,000 กองทุน ซึ่งรวมถึงกองทุนกว่า 21,000 กองทุนที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหน่วยลงทุน (no load) และอีกกว่า 8,300 กองทุนที่ไม่คิดค่าธรรมเนียมธุรกรรม โดยมีให้เลือกจากกว่า 290 กลุ่มกองทุน (fund families) ท่านสามารถเข้าชม marketplace ได้ที่ ibkr.com/funds โดยจะเปิดบริการให้เลือกหาสำหรับผู้อยู่อาศัยในกว่า 200 ประเทศและเขตแดน

Steve Sanders รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์กล่าวว่า“ Interactive Brokers Mutual Fund Marketplace กลายเป็นแหล่งซื้อขายหน่วยลงทุนแห่งเดียวและแห่งที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันนี้ในด้านกองทุนรวมที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหน่วยลงทุน (no load) “ นอกจากนี้ marketplace ที่มีตัวเลือกด้านกองทุนรวมอย่างมากมายของเรา ยังมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า หรืออาจจะต่ำที่สุดเสียด้วยซ้ำ”

ลูกค้าสามารถเลือกซื้อกองทุนได้จากกองทุนรวมหลายพันรายการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือหากมีก็จ่ายเพียงแค่ 4.95 ยูโร (หรือเทียบเท่า) ต่อการซื้อขายหนึ่งครั้ง ** Sanders ยังกล่าวอีกว่า Interactive Brokers ต่างจากคู่แข่งหลายราย ตรงที่ไม่เคยคิดค่าดูแลและเก็บรักษาหลักทรัพย์ นอกจากนี้ Interactive Brokers’ Mutual Funds Marketplace ยังมีบริการผลิตภัณฑ์ exclusive เฉพาะจากบริษัทภายนอกต่าง ๆ อีกด้วย

“แทนที่จะผลักดันกองทุนที่เป็นกรรมสิทธิ์ หรือ  proprietary funds แบบที่ Fidelity, Vanguard, Schwab และที่บริษัทอื่น ๆ ทำ ทาง Interactive Brokers เป็นกลางต่อทุกผลิตภัณฑ์” Sanders กล่าว “ เรามีกลุ่มกองทุนหรือ fund families ที่หลากหลายบน marketplace ที่เปิดกว้างของเรา”

เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหาใน marketplace ที่มีขนาดใหญ่ ในสัปดาห์นี้ Interactive Brokers จึงได้แนะนำเครื่องมือค้นหากองทุนรวมเพื่อให้ลูกค้าและผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้าสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์และเลือกหาได้ตามหมวดประเทศที่พำนัก ค่าคอมมิชชั่น ประเภทกองทุน และกลุ่มกองทุน (family fund)

นอกเหนือจากกองทุนรวมแล้ว ลูกค้าของ Interactive Brokers ยังสามารถลงทุนในหุ้น หุ้นออปชั่น หุ้นฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ พันธบัตรและอีทีเอฟในตลาด 135 แห่งใน 31 ประเทศ จากบัญชีที่รวมทุกอย่างเอาไว้ในบัญชีเดียว

“Interactive Brokers ให้ความสำคัญกับการจัดหาเทคโนโลยีขั้นสูง การกำหนดราคาที่ดีกว่า และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ทั่วโลก ขณะนี้เราได้สร้างตลาดกองทุนรวมที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหน่วยลงทุนที่ใหญ่ที่สุด เพื่อช่วยให้นักลงทุนเพลิดเพลินกับการเข้าถึงตลาดโลกและการกระจายความเสี่ยงที่ดีมากยิ่งขึ้น” Sanders กล่าว

ผู้อยู่อาศัยในออสเตรเลีย ฮ่องกง อิสราเอล ญี่ปุ่น และสิงคโปร์จะยังไม่สามารถเข้าถึงตลาด marketplace ได้ทันที แต่ควรหมั่นตรวจสอบความพร้อมด้านการใช้งาน (availability) อยู่เรื่อย ๆ สำหรับผู้อยู่อาศัยในประเทศหรือดินแดนที่ถูกแบน (sanctioned) จะไม่สามารถใช้งานได้

เกี่ยวกับ Interactive Brokers Group, Inc.

บริษัทในเครือ Interactive Brokers Group ให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ สินค้า และการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแบบอัตโนมัติตลอดเวลา ในตลาดกว่า 135 ตลาดในหลายประเทศและหลายสกุลเงิน ตั้งแต่บัญชีการลงทุนแบบบูรณาการ IBKR ไปจนถึงลูกค้าทั่วโลก เราให้บริการนักลงทุนรายย่อย กองทุนเฮดจ์ฟันด์ กลุ่มการค้าที่เป็นกรรมสิทธิ์ ที่ปรึกษาทางการเงิน และด้านการแนะนำจัดหาโบรกเกอร์ สี่ทศวรรษที่เราให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติทำให้เราสามารถจัดหาแพลตฟอร์มที่มีความซับซ้อนและไม่ซ้ำใครให้กับลูกค้าเพื่อจัดการพอร์ตการลงทุนของพวกเขา เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการลูกค้าด้วยราคาการดำเนินการที่คุ้มค่า และเครื่องมือการจัดการความเสี่ยงและการลงทุน พอร์ตการวิจัยและผลิตภัณฑ์การลงทุนทั้งหมดในราคาที่ต่ำหรือที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อทำให้ลูกค้าได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด Interactive Brokers ติดอันดับ 1 ของ Barron โดยได้รับ 5 ดาวเต็ม ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 จากการรีวิวเกี่ยวกับโบรกเกอร์ออนไลน์ที่ดีที่สุด หรือ Best Online Broker Review

*จำนวนกองทุนที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหน่วยลงทุน และที่ไม่มีค่าธรรมเนียม ได้มาจาก การรีวิวโบรกเกอร์ออนไลน์ที่ดีที่สุดที่ตีพิมพ์ใน the Investopedia หรือ  the Investopedia – Best Online Brokers 2020 review วันที่ 31 มีนาคม 2563 การบริการจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัท บริษัทบางแห่งที่อยู่ในรีวิวอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมหรือมีการลดค่าคอมมิชชั่นหรือค่าธรรมเนียม ขึ้นอยู่กับกิจกรรมหรือมูลค่าของบัญชี เอกสารประกอบเพิ่มเติมสำหรับการเคลมเรียกร้องและข้อมูลทางสถิติ จะถูกจัดให้เมื่อมีการร้องขอ

**นอกจากนี้บริษัทยังเสนอกองทุนประมาณ 400 กองทุนพร้อมค่าคอมมิชชั่นที่สูงขึ้น

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200518005698/en/

ติดต่อสำหรับ Interactive Brokers Group, Inc.

ติดต่อสำหรับนักลงทุน: Nancy Stuebe, 203-618-4070

ติดต่อสำหรับสื่อ: Kalen Holliday, 203-913-1369 หรือ media@ibkr.com

The Bangkok Reporter