NIPPON Platform และ Global Loyalty Network (GLN) โดย Hana Bank ประกาศความเป็นพันธมิตรทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–17 กุมภาพันธ์ 2563

NIPPON Platform Co., Ltd. (สำนักงานใหญ่: โตเกียว ญี่ปุ่น, ผู้ก่อตั้งและซีอีโอธุรกิจต่างประเทศ: Jun Takagi) และ Hana Bank (สำนักงานใหญ่: โซล สาธารณรัฐเกาหลี, ประธานและซีอีโอ: Ji Sung-Kyu) ได้บรรลุข้อตกลงด้านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อขยาย Global Loyalty Network (GLN) ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นศูนย์รวมระบบชำระเงินทางเลือกระดับโลกของ Hana Financial Group

เกี่ยวกับ GLN Services

GLN เป็นศูนย์รวมระบบชำระเงินทางเลือกโดยบริษัทต่าง ๆ ทั้งหมด 58 บริษัทจาก 14 ประเทศทั่วโลก

บริษัทให้บริการแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่เชื่อมโยงสถาบันการเงิน บริษัทค้าปลีก และผู้ให้บริการโปรแกรมสะสมแต้มสำหรับสมาชิกทั่วโลกไว้ในเครือข่ายเดียวกัน เพื่อให้พวกเขาสามารถโอนสินทรัพย์ดิจิทัลและเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างอิสระทั่วโลก
GLN ให้บริการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือทั้งผ่านระบบออนไลน์และหน้าร้าน รวมถึงบริการโอนเงินและถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มผ่านโทรศัพท์มือถือโดยไม่มีข้อจำกัดการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
ที่พิเศษคือ GLN ใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นปัจจุบันในขณะนั้นในการทำธรุกรรมแต่ละครั้ง ซึ่งช่วยให้สามารถชำระเงินล่วงหน้าและชำระเงินด้วยบัตรเดบิตทั่วโลกได้สะดวก

ที่มาและเป้าหมาย

นอกจากแอปพลิเคชันของธนาคาร แอปพลิเคชัน 1Q และโปรแกรมสะสมแต้มสำหรับสมาชิก/กระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์อย่าง HanaMembers แล้ว GLN ยังได้ร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้เล่นที่สำคัญ ๆ ในอุตสาหกรรมรับชำระเงินของเกาหลีรายอื่น ๆ

ตัวอย่างเช่น ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกอย่าง Shinsegae Group (SSG Pay) บริษัทรับโอนเงินแบบ P2P ที่ใหญ่ที่สุด (TOSS) และระบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของ SK Telecom (SK Pay) และเมื่อรวมลูกค้าสถาบันการเงินของไต้หวันและไทยแล้ว GLN มีผู้ใช้มากกว่า 85 ล้านคน

ญี่ปุ่นเตรียมเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน 2020 โอลิมปิกและพาราลิมปิกเกมส์ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ และแน่นอนว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นในระหว่างนั้น NIPPON Platform และ GLN ต้องการให้ผู้ที่กำลังจะเดินทางมาเยือนได้รับ “ประสบการณ์การชำระเงินระหว่างประเทศที่ราบรื่นไร้รอยต่อและราคาไม่แพง”
เราประมาณการว่าการใช้อี-วอลเล็ต ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดเก็บเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการทำธรุกรรมทางออนไลน์หรือหน้าร้านผ่านคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนกำลังเพิ่มขึ้น และคาดว่าระบบนี้จะกลายมาเป็นตัวเลือกการชำระเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดควบคู่กับการใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิต
GLN จะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มที่เป็นศูนย์รวมแบบครบวงจรสำหรับชำระเงินระหว่างประเทศและให้บริการอื่น ๆ กับผู้ใช้และบริษัททั่วโลก
GLN Coupon Mall เป็นผู้ให้บริการคูปอง คูปองส่วนลดและข้อเสนอต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่เฉพาะชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางมาเยือนญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
Nippon Platform ได้รวมบริการต่าง ๆ ของ GLN เข้ากับบริการของตนและแนะนำระบบของ GLN ให้กับผู้ค้าราว 100,000 ราย (จำนวนทั้งหมดของจุดให้บริการ) ในญี่ปุ่น บริษัทจะส่งเสริมบริการชำระเงินทางเลือกให้กับชาวต่างชาติในญี่ปุ่น ซึ่งจะเพิ่มปริมาณการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือให้กับร้านค้าพันธมิตร

เกี่ยวกับ GLN

GLN เกิดขึ้นจากความคิดของ Kim Jung-Tai ประธานและซีอีโอแห่ง Hana Financial Group ด้วยความคิดริเริ่มที่จะสร้างเครือข่ายสินทรัพย์ดิจิทัลและได้รับการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2560 ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน มีการจัดงาน GLN Consortium ขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงโซล ประเทศเกาหลีและมี
สมาชิกกว่า 100 รายจาก 36 บริษัทใน 11 ประเทศเข้าร่วมงานประชุมครั้งนั้น โดยเป็นสมาชิกของธนาคารและบริษัทค้าปลีกระดับโลกจากญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน ไทย รัสเซีย สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
ประเทศสมาชิก GLN Consortium ประกอบด้วยธนาคารตัวแทน บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ และบริษัทธุรกิจจากญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน ไทย รัสเซีย และตุรกี นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันให้เกิดการเพิ่มจำนวนสมาชิกของ GLN ในอินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์และแคนาดา

Hana Bank

Hana Financial Group เป็นกลุ่มการเงินชั้นนำของเกาหลีใต้ที่ให้บริการแบบครบวงจรผ่านบริษัทย่อยซึ่งรวมถึง Hana Bank

ข้อมูลบริษัท Hana Bank

สำนักงานใหญ่:

Euljiro 35, Jung-gu, Seoul, KOREA

ประวัติ:

Seoul Bank ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2502 Korea Exchange Bank ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2510 Hana Bank ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2534

ยอดขาย:

26,003,753,000,000 วอน (ข้อมูลเมื่อ 2561)

รายได้สุทธิ:

2,092,800,000,000 วอน (ข้อมูลเมื่อ 2561)

สินทรัพย์รวม:

421,115,600,000,000 วอน (ข้อมูลเมื่อกันยายน 2562)

URL:

http://www.kebhana.com

เกี่ยวกับ NIPPON Platform

NIPPON Platform เป็นผู้ให้บริการ “แพลตฟอร์มรับชำระเงิน” “บริการที่เกี่ยวกับธรุกิจสำหรับผู้เดินทางมาเยือนญี่ปุ่น” และ “บริการสำหรับผู้ค้าปลีกขนาดเล็กและขนาดกลาง”

รายชื่อแบรนด์ระบบชำระเงินที่ให้บริการบน NIPPON Platform (ข้อมูลเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2563)

Amazon Pay, d payment (d Pay®), pring, atone, PAY ID, WeChat Pay, NETSPay, DBS PayLah!, OCBC Pay Anyone, UOB Mighty, Global Loyalty Network (GLN)

NIPPON Platform Co., Ltd.

สำนักงานใหญ่:

2-14-5-3F Kamiosaki, Shinagawa-ku, Tokyo, Japan

URL:

https://nippon-platform.co.jp/en/

ผู้อำนวยการ:

Jun Takagi ผู้ก่อตั้งและซีอีโอธุรกิจต่างประเทศ

Shinsuke Hishiki, ประธานและซีอีโอธุรกิจในประเทศ

ปีก่อตั้ง:

กันยายน 2559

เงินทุน:

502,487,400 เยน (รวมเงินทุนสำรอง)

ธุรกิจ:

บริการแพลตฟอร์มชำระเงิน บริการสำหรับผู้ค้าปลีกขนาดเล็กและขนาดกลาง

ที่ปรึกษา:

Koiti Hashida (ศาสตราจารย์ ณ University of Tokyo)

ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคนิค PLR

PLR หรือ Personal Life Repository เป็นระบบ PDS (การจับเก็บข้อมูลส่วนบุคคล) รูปแบบหนึ่ง

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200216005008/en/

ติดต่อ & ข้อมูลเพิ่มเติม
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ NIPPON Platform Co., Ltd.
Rie Masui โทร: +81-34546-1766 / อีเมล: pr@nippon-g.jp

แมรี่เคย์เข้าร่วมสัมมนาโรคผิวหนังช่วงวัยที่ปาล์มสปริงส์

Logo

แดลลัส–(บิสิเนสไวร์)–14 ก.พ. 2563

Mary Kay Inc., บริษัทความงามระดับโลกและผู้นำนวัตกรรมการดูแลผิวได้สืบสานการสนับสนุนชุมชนความงามและวิทยาศาสตร์ของตนผ่านงานสัมมนาโรคผิวหนังช่วงวัย 2020 Generational Dermatology Palm Springs Symposium ในวันที่ 14-16 กุมภาพันธ์

ประชาสัมพันธ์นี้มีมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200214005108/en/

Dr. Lucy Gildea, Chief Scientific Officer of Mary Kay Inc. (Photo: Mary Kay Inc.)

Dr. Lucy Gildea หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของแมรี่เคย์อิงค์ (ภาพ: แมรี่เคย์อิงค์)

โรคผิวหนังช่วงวัย (Generational Dermatology) ที่ก่อตั้งโดย Dr. Wendy E. Roberts นั้นเป็นหลักการข้ามทศวรรษในการรักษาผู้ป่วยสูงอายุที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องที่ควบรวมวิชาผิวหนังทั้งด้านการแพทย์ ศัลยกรรม และความงาม  การประชุมสัมมนานี้มุ่งเน้นไปที่แพทย์ผิวหนังและผู้เชี่ยวชาญแขนงอื่นๆ ในทุกขั้นตอนของอาชีพ  ผู้เข้าร่วมจะได้พบกับนักวิชาการและผู้นำทางความคิดชื่อดังที่ Omni Rancho Las Palmas, Rancho Mirage

“ความมุ่งมั่นในด้านวิทยาศาสตร์การดูแลผิวหนังของเราไม่ใช่แค่การสร้างผลิตภัณฑ์ Mary Kay ใหม่ๆ” ดร. Dr. Lucy Gildea หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของแมรี่ เคย์กล่าว  “การที่เรามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เช่น Generational Dermatology ช่วยให้เราสามารถแลกเปลี่ยนความคิดและนวัตกรรมใหม่กับแพทย์ผิวหนังและร่วมพัฒนาการดูแลสุขภาพผิวต่อไป  การประชุมครั้งนี้พิเศษสำหรับเราเพราะเป็นการเสริมสร้างเพื่อนร่วมงานด้านผิวหนังตลอดวิชาชีพของพวกเขา”

ฝ่ายการวิจัยและพัฒนาของแมรี่เคย์มุ่งมั่นที่จะค้นพบเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่อาจห้ามใจได้ที่ให้นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ด้านความงามแก่ผู้บริโภค  ทีมวิจัยและพัฒนานำโดย Dr. Lucy และประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นจากทั่วโลกที่มีปริญญาเอกและปริญญาขั้นสูงต่างๆ เช่น ชีววิทยาผิวหนัง ชีววิทยาของเซลล์ เคมี ชีวเคมี และอีกมากมาย

Generational Dermatology เป็นเพียงกิจกรรมล่าสุดที่แมรี่ เคย์ให้การสนับสนุนในปี 2563 ร่วมกับกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ โดยเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นที่ยาวนานของแบรนด์ในการพัฒนาการวิจัยและพัฒนาสุขภาพผิว  ทุกๆ ปีแมรี่เคย์ทำการทดสอบทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และส่วนผสมหลายแสนรายการเพื่อให้มั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิภาพสูงสุด  แมรี่เคย์ถือครองสิทธิบัตรมากกว่า 1,500 รายการสำหรับผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ทั่วโลก  ในปี 2561 ทางบริษัทได้เปิดตัว โรงงานผลิตและวิจัยและพัฒนาที่ทันสมัย ที่มีมูลค่ากว่า $100 ล้านดอลลาร์ในลูอิสวิลล์ รัฐเท็กซัส

เกี่ยวกับแมรี่เคย์

โดยเป็นหนึ่งในผู้ที่ก้าวผ่านเพดานสังคมรายแรก แมรี่ เคย์ แอชได้ก่อตั้งบริษัทด้านความงามของเธอเมื่อ 56 ปีก่อนโดยมีเป้าหมาย 3 ประการคือ: มอบโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้หญิง สร้างผลิตผลิตภัณฑ์มีเสน่ห์ที่ไม่อาจห้ามใจได้  และทำให้โลกดียิ่งขึ้น   ความฝันดังกล่าวได้งอกงามเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์โดยมีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ   แมรี่ เคย์ลงทุนกับการค้นคว้าวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ล้ำสมัย เครื่องสำอางสี และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและน้ำหอม   แมรี่ เคย์มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงและครอบครัวด้วยการร่วมมือกับองค์กรต่างๆ จากทั่วโลกโดยมุ่งเน้นที่การสนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง การปกป้องเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว การสร้างความสวยงามให้กับชุมชนต่างๆ และการกระตุ้นให้เด็กๆ ทำตามความฝัน  วิสัยทัศน์ของแมรี่ เคย์ แอชยังคงส่องประกาย – ในลิปสติกทุกแท่ง  เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ MaryKay.com

ดูเวอร์ชั่นต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200214005108/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. Corporate Communications (แมรี่ เคย์อิงค์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร)
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

Tommy Hilfiger ฉลองภูมิทัศน์แฟชั่นที่มีความครอบคลุมกลุ่มคนต่าง ๆมากขึ้นในการแข่งขัน Tommy Hilfiger Fashion Frontier Challenge รุ่นที่สอง

Logo

ผู้ชนะสองคนได้รับการคัดเลือกมาจากคณะผู้เชี่ยวชาญซึ่งรวมถึง คุณ Tommy Hilfiger คุณ Daniel Grieder ซึ่งเป็น CEO ของTommy Hilfiger Global และ PVH Europe และ Noor Tagouri ซึ่งเป็น นักข่าว นักกิจกรรมด้านสิทธิ และวิทยากร

อัมสเตอร์ดัม–(BUSINESS WIRE)– 14 กุมภาพันธ์  2563

Tommy Hilfiger ซึ่งมี PVH Corp.  [NYSE: PVH] เป็นเจ้าของ ได้ประกาศ ว่า Apon Wellbeing และ A Beautiful Mess เป็นผู้ชนะการประกวด Tommy Hilfiger Fashion Frontier Challenge ปี 2562 โดยมีผู้สมัครแข่งขันมากกว่า 400 รายการสำหรับโครงการระดับโลกครั้งที่สองนี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ตอัพและธุรกิจขนาดขั้นตอนการพัฒนา หรือ scale-up stage ที่จัดหาโซลูชั่นที่ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่มและที่เป็นบวกในด้านแฟชั่น

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีคุณสมบัติเป็นมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200213005895/en/

Shannon Keith (Sudara), Lisa Flynn (Sudara), Katrin Ley, Yasir Arafat (Apon Wellbeing), Steven Serneels, Saif Rashid (Apon Wellbeing), Daniel Grieder, Tommy Hilfiger, Martijn Hagman, Naz Kawan (A Beautiful Mess), Fleur Bakker (A Beautiful Mess) and Noor Tagouri (Photo: Business Wire)

Shannon Keith (ทีม Sudara), Lisa Flynn (ทีม Sudara), Katrin Ley, Yasir Arafat (ทีม Apon Wellbeing), Steven Serneels, Saif Rashid (ทีมApon Wellbeing), Daniel Grieder, Tommy Hilfiger, Martijn Hagman, Naz Kawan (ทีม A Beautiful Mess), Fleur Bakker (ทีม A Beautiful Mess) และ Noor Tagouri (ภาพ Business Wire)

“ที่ Tommy Hilfiger เรามุ่งมั่นที่จะไม่ทิ้งใครไปและจะต้อนรับทุกคน  ผมได้รับแรงบันดาลใจตั้งแต่เริ่มต้นจนจบมาจากกลุ่มผู้ประกอบการทางสังคมที่มีความสามารถที่มีนวัตกรรมที่กำลังทำให้ภูมิทัศน์แฟชั่นยั่งยืนและครอบคลุมคนกลุ่มต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น” Tommy Hilfiger กล่าว “ ผมภูมิใจที่ได้แสดงความยินดีกับผู้ชนะซึ่งได้แก่ Apon Wellbeing และ A Beautiful Mess นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นสำหรับบริษัทสตาร์ตอัพกลุ่มนี้และเราจะยังคงให้คำปรึกษาและส่งเสริมผู้ประกอบการเหล่านี้ที่มุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกในอุตสาหกรรมของเรา”

“ผู้ชนะของการแข่งขัน Tommy Hilfiger Fashion Frontier Challenge ครั้งที่สอง เป็นตัวแทนอนาคตของอุตสาหกรรมแฟชั่น” Daniel Grieder ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Tommy Hilfiger Global และ PVH Europe กล่าว “ ในขณะที่อุตสาหกรรมของเรายังคงพัฒนาอย่างรวดเร็วจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องร่วมมือกันทั้งในและนอกวงการแฟชั่น และนำนวัตกรรมที่มีความสามารถในการเปลี่ยนธุรกิจของเราให้ดีขึ้นมาใช้ ขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะและผู้เข้ารอบสุดท้ายทุกคน”

Apon Wellbeing ได้รับรางวัล 75,000 ยูโร การขยายขนาดจากบังคลาเทศเปิดก่อให้เกิดร้านค้าราคายุติธรรมซึ่งมีของใช้จำเป็นภายในโรงงานทุกวันพร้อมผลิตภัณฑ์ที่มอบส่วนลด 10% จากราคาภายนอก และโครงการให้แต้มที่คนงานเก็บเอาไว้เพื่อรับประกันสุขภาพและบริการด้านสุขภาพฟรี

Saif Rashid ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ Apon Wellbeing ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการกล่าวว่า“ เมื่อคุณกำลังก่อร่างสร้างบริษัทในห่วงโซ่คุณค่าแฟชั่น การได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์อย่าง TOMMY HILFIGER ช่วยให้สตาร์ตอัพและสเกลอัพเติบโตและสร้างผลกระทบเชิงบวกได้มากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสนับสนุนเชิงกลยุทธ์และการเป็นที่ปรึกษาของ Tommy Hilfiger Fashion Frontier Challenge ตอบโจทย์นั้น การสนับสนุนของ TOMMY HILFIGER นั้นช่วยสร้างรูปร่างให้แก่ธุรกิจ กลยุทธ์ การสื่อสาร และวิธีคิดเกี่ยวกับอนาคตของเรา”

A Beautiful Mess สตาร์ตอัพสัญชาติเนเธอร์แลนด์  ได้รับรางวัล 75,000 ยูโร โดย Beautiful Mess ใช้พื้นที่สร้างสรรค์เพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในการสร้างความเป็นอิสระทางสังคมและเศรษฐกิจโดยการใช้การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายที่ยั่งยืน

“เราต้องการผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมแฟชั่นเพื่อจุดประเด็นการขยายการผลิตแบบหมุนเวียน หรือ scale-up circular production initiatives และนั่นคือสิ่งที่ Tommy Hilfiger Fashion Frontier Challenge ได้นำเสนอ” Naz Kawan ผู้อำนวยการ Beautiful Mess Makerspace กล่าว “ วิธีการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการเป็นสิ่งจำเป็นหากเราต้องการเปลี่ยนอุตสาหกรรมซัพพลายเชน เรากำลังทำงานในแนวแฟชั่นแนวหมุนเวียนที่โปร่งใสและครอบคลุมยิ่งขึ้น ด้วยการสนับสนุนของโครงการระดับโลกนี้”

ผู้ชนะยังได้รับการให้คำปรึกษาเป็นเวลาหนึ่งปีกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลกของ Tommy Hilfiger และ INSEAD รวมถึงสถานที่ในโครงการ INSEAD Social Entrepreneurship Program (ISEP)

Sudara เป็นสตาร์ตอัพลำดับที่สามที่ได้รับโหวตให้เป็น "ขวัญใจผู้ชม" และได้รับรางวัล 10,000 ยูโร ทั้งนี้ Sudara ตั้งอยู่ในประเทศอินเดียและสหรัฐอเมริกา และเป็นบริษัท scale-up ชุดนอนและชุดลำลองที่พัฒนาทักษะระดับมืออาชีพด้านการเย็บผ้าสำหรับผู้หญิงที่หนีออกจากการค้ามนุษย์ได้ หรือที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกค้ามนุษย์ทางเพศ

“การแข่งขัน Tommy Hilfiger Fashion Frontier Challenge คือการใช้แฟชั่นเป็นแรงผลักดันในเชิงบวก ซึ่งพูดถึงวัตถุประสงค์ของแบรนด์ของเราโดยตรง” Shannon Keith ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Sudara Inc. กล่าว “ เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล 'ขวัญใจผู้ชม' เพราะมันแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรากำลังทำเป็นไปในทิศทางเดียวกับของทีมที่ TOMMY HILFIGER ซึ่งมุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างในอุตสาหกรรมแฟชั่น”

ในกระบวนการหลายขั้นตอนที่ใช้เวลาหลายเดือนซึ่งเริ่มในเดือนพฤษภาคม 2562 ผู้สมัครกว่า 420 ราย ถูกลดจำนวนให้เข้ารอบแค่ 6 รายในรอบสุดท้าย ซึ่งได้รับเชิญให้พัฒนาและปรับปรุงแผนธุรกิจด้วยการสนับสนุนจากทีมผู้เชี่ยวชาญด้านผู้ประกอบการทางสังคม โดยเฉพาะ ในช่วงกิจกรรมรอบชิงชนะเลิศของโครงการซึ่งจัดขึ้นที่ Campus of the Future ของ Tommy Hilfiger ในเมืองอัมสเตอร์ดัม Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้งหกทีมได้ส่งแนวคิดของตนไปยังคณะลูกขุนที่มีชื่อเสียงซึ่งรวมถึง Mr. Tommy Hilfiger, Daniel Grieder ซึ่งเป็น CEO ของ Tommy Hilfiger Global และ PVH Europe, Noor Tagouri นักข่าว นักกิจกรรมและนักพูด, Martijn Hagman ซึ่งเป็น CFO ของ Tommy Hilfiger Global & COO, Tommy Hilfiger Global และ PVH Europe, Willemijn Verloop, ผู้ร่วมก่อตั้ง Social Impact Venture, Steven Serneels, ซีอีโอและสมาชิกคณะกรรมการ EVPA และ Katrin Ley กรรมการผู้จัดการ Fashion for Good

วิสัยทัศน์ของ Tommy Hilfiger คือการสร้างแฟชั่นที่ไม่ปล่อยให้ใครถูกทอดทิ้งและยินดีต้อนรับทุกคน ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพยายามในการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวของแบรนด์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการเข้าถึงทุกคนและวัฏจักรของแบรนด์ ที่ https://global.tommy.com/en_int/about-us-corporate-sustainability.

ขอเชิญเพื่อน ๆ และผู้ติดตามของแบรนด์ทุกคนร่วมการสนทนาบนโซเชียลมีเดียโดยใช้ #TommyHilfiger และ @TommyHilfiger.

เกี่ยวกับ Tommy Hilfiger

ด้วยพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ที่มีทั้ง TOMMY HILFIGER และ TOMMY JEANS จึงทำให้ TOMMY HILFIGER เป็นหนึ่งในแบรนด์ดีไซเนอร์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก โดยมุ่งเน้นการออกแบบและการตลาดเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายสำหรับบุรุษ เสื้อผ้าสตรี ชุดกีฬา เสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้าคอลเล็คชั่น ผ้ายีนส์ ชุดชั้นใน (รวมถึงชุดคลุม ชุดนอน และชุดลำลอง) รองเท้าและอุปกรณ์เสริม ที่มีคุณภาพสูง โดย Tommy Hilfiger นำเสนอผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์เสริม เช่น แว่นตา นาฬิกา น้ำหอม เครื่องแต่งกายกีฬา ชุดกอล์ฟและชุดว่ายน้ำ) ถุงเท้า เครื่องหนังชิ้นเล็ก ๆ สินค้าไลฟ์สไตล์ และกระเป๋าเดินทาง สายผลิตภัณฑ์ TOMMY JEANS ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ยีนส์และรองเท้าสำหรับผู้ชายและผู้หญิง เครื่องประดับ และน้ำหอม สินค้าภายใต้แบรนด์ TOMMY HILFIGER และ TOMMY JEANS มีให้บริการสำหรับผู้บริโภคทั่วโลกผ่านเครือข่ายร้านค้าปลีกของ TOMMY HILFIGER และ TOMMY JEANS ตามห้างร้าน ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกออนไลน์บน tommy.com.

เกี่ยวกับ PVH Corp.

PVH ได้สร้างมาตรฐานของสไตล์ในฐานะหนึ่งในบริษัทแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เราเป็นแบรนด์ที่ขับเคลื่อนแฟชั่นไปข้างหน้ามาโดยตลอด ผลงานที่โดดเด่นของเรารวมถึงTOMMY HILFIGER, CALVIN KLEIN, Van Heusen, IZOD, ARROW, Speedo*, Warner’s, Olga และ Geoffrey Beene, ตลอดไปจนถึงแบรนด์ชุดชั้นใน True & Co. ที่มีความเป็นดิจิตอลสูง เราทำการตลาดสินค้าที่หลากหลายภายใต้แบรนด์เหล่านี้และเป็นที่รู้จักในระดับประเทศและต่างประเทศและเป็นแบรนด์ที่ได้รับอนุญาตลิขสิทธิ์ของตนเอง PVH มีพนักงานมากกว่า 38,000 คนในกว่า 40 ประเทศและมีรายรับต่อปีเกือบ 9,700 ล้านดอลลาร์ ทั้งหมดนี้คือพลังของ PVH

* Speedo เป็นแบรนด์ได้รับใบอนุญาตสำหรับอเมริกาเหนือและแคริบเบียนแบบถาวรจาก Speedo International Limited

ดูเวอร์ชั่นต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200213005895/en/

ติดต่อ:

Tommy Hilfiger

Baptiste Blanc

Sr. Director, Communications and Earned Media

อีเมล: Baptiste.Blanc@tommy.com

โทร: +31 62904 2334



KBank Private Banking เผยโฉมเลาจน์ใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)– 14 กุมภาพันธ์ 2563

img

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย  นางสุวดี และนายพิชิต จงสถิตย์วัฒนา ประธานกลุ่มบริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด ร่วมงานเปิด KBank Private Banking Lounge แห่งแรก ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงของธนาคาร ในการเป็นจุดนัดพบกับไพรเวทแบงเกอร์  พร้อมด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยเปิดให้บริการทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 10.30 – 20.00 น. วันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 10.30 – 19.30 น. ที่ชั้น 3 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

“ซิตี้แบงก์” พาส่องความหวานให้โลกอิจฉากับ 10 ร้านขนม บรรยากาศอบอุ่นเหมือนอยู่ในอ้อมกอดตลอดเวลา

กุมภาพันธ์เดือนแห่งความรัก ไม่ว่ามองไปทางไหนบรรยากาศก็อบอวนเต็มไปด้วยความรัก ไม่ว่าจะรักแบบคู่รัก รักแบบเพื่อน รักแบบพี่น้อง รักครอบครัว หรือรักตัวเอง ไม่ว่าจะรักแบบไหน เชื่อว่าทุกคนก็ต่างต้องการความหวานเพื่อมาเติมเต็มหัวใจด้วยกันทั้งนั้น แน่นอนว่าเป็นเดือนแห่งความรักทั้งที ซิตี้แบงก์ ก็ไม่พลาด ที่จะพาทุกคนไปเติมความหวานให้ใจเต็มอิ่มกับ 10 ร้านขนมชื่อดัง ตลอดเดือนแห่งความรักนี้ จะมีร้านไหนให้ไปเช็คอินบ้างนั้น ไปชมกันเลย 

เริ่มต้นที่ใครอยากจะพาคนที่เรารักไปจิบชา ทานขนม ต้องไม่พลาดกับร้าน ทไวนิงส์ ที บูติก (Twinings Tea Boutique) ร้านชาชื่อดังที่อิมพอร์ตตรงจากประเทศอังกฤษ ถือเป็นอีกหนึ่งร้านที่สายดื่มชาต้องไม่พลาด สามารถพาคนที่รักไปสัมผัสประสบการณ์พิเศษวัฒนธรรมการดื่มชาตามแบบฉบับของชาวอังกฤษ ด้วยเครื่องดื่มพิเศษที่ผ่านการคัดสรร และปรุงด้วยความพิถีพิถัน รวมถึงเบเกอรี่และอาหารว่างเลิศรสที่จะสร้างความประทับใจได้อย่างแน่นอน โดยร้านตั้งอยู่ที่บริเวณชั้น 1 โซนเอเทรี่ยม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

         Divana ForRest Cafe คาเฟ่ที่มาในธีมธรรมชาติ ท่ามกลางแมกไม้ นานาพันธุ์ พร้อมลิ้มรสอาหารไทยง่ายๆ สไตล์ลักซ์ชัวรี เพิ่มเติมลูกเล่นเข้าไปในอาหารให้มีความน่าสนใจ และน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งร้านที่คอนเซ็ปต์มีความชัดเจน หากใครต้องการสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ อิ่มทั้งท้อง และยังอิ่มเอมกับความผ่อนคลายของบรรยากาศภายในร้านที่ต้องมาลองสักครั้ง โดยร้านตั้งอยู่บริเวณ ชั้น 1 โซนเอเทรี่ยม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

            Divana Signature Café คาเฟ่ที่ยกสวนดอกไม้นานาชนิดมาวางไว้กลางห้าง ที่รอต้อนรับลูกค้าให้ได้เข้ามาสัมผัสกลิ่นธรรมชาติและดอกไม้ ไปพร้อมการลิ้มรสเมนูอาหาร ขนม เครื่องดื่มที่แสนอร่อย อีกทั้งแปลกใหม่ไม่เหมือนใครเพราะเป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน อีกทั้งสามารถเดินดูผลิตภัณฑ์สปาที่มีให้เลือกมากมาย เรียกได้ว่าหากใครต้องการพาคนที่รักไปสัมผัสบรรยากาศอันแสนอบอุ่นต้องแวะเวียนไป โดยร้านตั้งอยู่บริเวณ ชั้น 2 โซนเอเทรี่ยม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ร้านอาหารฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงด้าน Crepes อย่างร้าน Crepes & Co โดยร้านนี้เป็นการผสมผสานอาหารจากหลากหลายสัญชาติ แน่นอนว่าเมนูของร้านเด่น คือเมนู Crepe ทั้งคาวและหวาน รวมถึงอาหารที่มีให้เลือกหลากหลายตามใจชอบ เป็นอีกร้านที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมาะพาคนที่เรารักไปรับประทาน เพราะมีทั้งมุมโซฟาให้เลือกนั่งสบาย ๆ อีกทั้งมุมข้างนอกให้เลือกนั่งในช่วงเย็นๆ สัมผัสความร่มรื่นของต้นไม้รอบร้าน ที่ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในการทานอาหารให้ดียิ่งขึ้นไปอีก โดยมีสาขาหลังสวน และทองหล่อ ให้คุณพาคนที่รักไปเติมความหวานได้ตามสะดวก

           Chu Chocolate Bar & Cafe ร้านที่เต็มไปด้วยอาหาร และขนมอร่อย ๆ รวมถึงเครื่องดื่มสุดฟินมากมาย ภายใต้บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง เหมาะที่จะพาคนรัก เพื่อน หรือครอบครัว ไปนั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่มให้เพลิดเพลินได้เป็นอย่างดี โดยร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณตึก Exchange Tower อโศกนั่นเอง

           อีกหนึ่งร้านอาหารและเบเกอรี่สไตล์ฝรั่งเศสในตำนานอย่างร้าน Paul ที่พร้อมเชิญชวนให้ทุกคนได้พาคนที่รักไปลิ้มลองรสชาติ อาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ที่ผ่านการคัดสรรและนำเข้าวัตถุดิบอย่างพิถีพิถันจากประเทศฝรั่งเศส ไปพร้อมกับเสน่ห์ของความคลาสสิกภายใต้บรรยากาศร้านที่ดูหรูหรา

         Bar Storia Del Caffe คาเฟ่ที่เต็มไปด้วยความลงตัวทั้งสถานที่ รสชาติอาหาร รวมถึงสไตล์การตกแต่งที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศคลาสสิกแบบยุโรป หากใครชื่นชอบคาเฟ่สไตล์นี้ต้องไม่พลาด โดยสามารถเลือกนั่งได้ทั้งด้านในและด้านนอก ในส่วนของเมนูก็มีทั้งอาคารคาวหวาน รวมถึงเครื่องดื่มสุดแสนอร่อยที่รอต้อนรับผู้มาเยือนให้ไปลิ้มลองทั้งที่สาขาอารีย์ เพลินจิต และสุขุมวิท 57

         IHOP Mega Bangna ร้านอาหารที่เสิร์ฟแพนเค้กชื่อดังจากอเมริกา โดยร้านนี้ตกแต่งในบรรยากาศแบบแคลิฟอร์เนีย ที่ให้ความรู้สึกสดใสของแสงอาทิตย์และชายหาด สามารถไปพาคนที่รักไปลิ้มลองรสชาติทั้งอาหารคาวหวาน และเครื่องดื่มสุดแสนอร่อยได้

           ร้าน Soft bee สาขาเซ็นทรัล แกรนด์ พระราม 9 เป็นร้าน soft ice cream สัญชาติเกาหลี แต่ไม่ได้ขายแค่ไอศกรีมเท่านั้น ยังมีขนมหวานยอดฮิตอย่างบิงซูหลากหลายรสชาติ รวมถึงเครื่องดื่มมากมายที่รอต้อนรับ เป็นอีกหนึ่งร้านที่เหมาะจะพาคนที่เรารักไปเติมความหวานกันให้เต็มอิ่มหัวใจแถมยังอิ่มท้องอีกด้วย

         Kad Kokoa (กาด โกโก้) คาเฟ่ที่คนรักโกโก้หรือช็อกโกแลตไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง โดยร้านนี้ทุกคนจะได้ดื่มด่ำไปกับเมนูขนมหวาน เครื่องดื่มมากมาย ที่ใช้ส่วนผสมจากเมล็ดโกโก้ที่ปลูกในเมืองไทย ที่สำคัญทุกคนยังจะได้เห็นขั้นตอนการผลิตช็อกโกแลตและจำหน่ายช็อกโกแลตแท่งที่ทำสดๆ ภายในร้านนี้อีกด้วย เรียกได้ว่าหากใครเป็นสายช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ต้องไปลอง โดยร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณซอยนราธิวาสฯ 17

         เป็นอย่างไรบ้างกับ 10 ร้านขนมชั้นนำที่ ซิตี้แบงก์ พาทุกคนไปเติมความหวานกัน โดยทั้ง 10 ร้านนี้ สำหรับลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สามารถรับสิทธิพิเศษ อาทิ ส่วนลดค่าอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม หรือแลกรับขนม เครื่องดื่ม ฟรี ฯลฯ เป็นต้นได้ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ยังพบกับสิทธิประโยชน์พิเศษอื่น ๆ อีกมากมายที่คัดสรรเพื่อลูกค้าทุกคน โดยสามารถดูรายละเอียดได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน “ซิตี้ โมบายล์ แอปพลิเคชัน” (Citi Mobile® Application) อีกด้วย

           สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย หรือที่ www.citibank.co.th

###

หมายเหตุถึงกองบรรณาธิการ

เกี่ยวกับ “ซิตี้”

ธนาคารชั้นนำของโลก ที่ให้บริการแก่ลูกค้ากว่า 200 ล้านราย ในกว่า 160 ประเทศและเขตปกครองทั่วโลก ซิตี้นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายให้กับลูกค้าบุคคล องค์กร ภาครัฐและสถาบันต่างๆ โดยธุรกิจหลักครอบคลุมการธนาคารและสินเชื่อเพื่อลูกค้าบุคคล (สายบุคคลธนกิจ) ธนาคารเพื่อองค์กรและการลงทุน (สายสถาบันธนกิจและวาณิชธนกิจ) ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ บริการธุรกรรมทางการเงินต่างๆ รวมถึงบริการบริหารความมั่งคั่ง ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.citigroup.com | ทวิตเตอร์: @Citi | ยูทูป: www.youtube.com/citi | บล็อก: http://new.citi.com | เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/citi | ลิงก์อิน: www.linkedin.com/company/citi

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน ติดต่อ

ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย

วันวิสาข์ โคมินทร์

+662 079 3251

wanvisa.komindr@citi.com

เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์  JC&CO PUBLIC RELATIONS

ณภัทร กาญจนะจัย / +668 1355 9221 / napatk@jcpr.co.th

นิกรณ์กานต์ วิจักษณ์ไพศาล / +669 7230 0528 / nikornkarnw@jcpr.co.th

MEDIA HOTLINE : 02-634-4557 / 6681-486-3407 (ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์)

MoEngage ระดมทุน 25 ล้านดอลลาร์ฯ ในรอบ Series C Investment ที่มี Eight Roads Ventures เป็นผู้นำ

Logo

ร่วมด้วยตัวแทนจาก F-Prime Capital, Matrix Partners India และ Ventureast

จาการ์ตา, อินโดนีเซีย–(BUSINESS WIRE)–12 กุมภาพันธ์ 2563

หลังได้รับการรับรองสถานะ Retail Competency จาก Amazon Web Services (AWS) ไปเมื่อไม่นานมานี้ MoEngage เครื่องมือวิเคราะห์ลูกค้าอัจฉริยะและแพลตฟอร์มสร้างการมีส่วนร่วมหลายช่องทาง สามารถระดมทุนได้ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในรอบ Series C โดยมี Eight Roads Ventures เป็นผู้นำการระดมทุนในรอบนี้ และมีตัวแทนจาก F-Prime Capital บริษัทกองทุนในเครือซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ Matrix Partners India และ Ventureast เข้าร่วม การระดมทุนรอบใหม่นี้มีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้สร้างความสัมพันธ์กับตลาดเอเชียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น บูรณาการความสามารถที่รุดหน้าเข้ากับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ และขยายการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นสองตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดของ MoEngage

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย ดูเนื้อหาอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200211005891/en/

MoEngage Team (Photo: Business Wire)

ทีม MoEngage (รูปภาพ: Business Wire)

“การระดมทุนรอบล่าสุดจะช่วยให้เราเข้าถึงแบรนด์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น และช่วยให้พวกเขามีแพลตฟอร์มที่ทันสมัยสำหรับสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า ซึ่งพัฒนาขึ้นสำหรับโลกที่ทุกอย่างถูกนำมาไว้บนมือถือ และออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น มีความครบครันและชาญฉลาด” Raviteja Dodda ผู้ก่อตั้งและซีอีโอแห่ง MoEngage Inc. กล่าว

“เรายังได้ใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างมากจาก Eight Roads Ventures และ F-Prime Capital ที่ได้นำมาสู่ห้องประชุมคณะกรรมการในการลงทุนครั้งนี้”

MoEngage นำเอาเครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค ข้อมูล และการทำการตลาดอัตโนมัติมารวมไว้ที่แดชบอร์ดหลัก ที่แบรนด์สามารถมีส่วนร่วมกับลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงรูปแบบการสื่อสารเฉพาะของแต่ละบริการ

“การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของโทรศัพท์มือถือทำให้การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับธุรกิจประเภทที่เน้นเรื่องดิจิทัลและลูกค้าเป็นอันดับหนึ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น นักการตลาดในปัจจุบันจำเป็นต้องสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างไร้รอยต่อ ในรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะคนได้แบบเรียลไทม์ผ่านทุกช่องทางการสื่อสาร” Shweta Bhatia หุ้นส่วนจาก Eight Roads Ventures กล่าว

“สิ่งที่ทำให้ MoEngage แตกต่างจากแพลตฟอร์มสร้างการมีส่วนร่วมอื่น ๆ ก็คือ ความสามารถในการสื่อสารกับลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนตัดสินใจซื้อที่ทำงานด้วยระบบ AI ซึ่งมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรวมเข้ากับความสามารถในการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางที่ดีที่สุดของอุตสาหกรรม และระบบช่วยเหลือลูกค้าที่ยอดเยี่ยม พวกเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ Raviteja และทีมของเขาซึ่งกำลังขยายการเติบโตไปทั่วโลก”

“MoEngage ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าองค์กรทั่วโลก และได้เสริมความแข็งแกร่งของพวกเขาในฐานะผู้นำด้านการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าในยุค mobile-first และยุคแห่งการวิเคราะห์ข้อมูลให้แข็งแรงยิ่งขึ้น พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ Raviteja และทีมตั้งแต่เริ่มต้น และได้เฝ้ามองการเติบโตของพวกเขาอย่างใกล้ชิด เราขอต้อนรับ Eight Roads และ F-Prime สู่ความเป็นพันธมิตรครั้งนี้” Tarun Davda กรรมการผู้จัดการ Matrix India กล่าว

เทคโนโลยี AI และแพลตฟอร์มอัตโนมัติของ MoEngage จะสร้างแผนที่การเดินทางของลูกค้าและพัฒนาข้อเสนอ อัปเดต การแนะนำและการสื่อสารต่าง ๆ ของแต่ละคน เพื่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งโทรศัพท์มือถือ เว็บไซต์ อีเมล และข้อความเอสเอ็มเอส แบรนด์ระดับโลกหลายร้อยแบรนด์จาก 35 ประเทศ ใช้ MoEngage เชื่อมต่อกับผู้ใช้งานมากกว่า 400 ล้านรายในแต่ละเดือน มีการสื่อสารกันมากกว่า 6.5 หมื่นล้านครั้ง และมีการส่งข้อความมากกว่า 4 หมื่นล้านข้อความในแต่ละเดือน

MoEngage ได้รับการยกย่องจาก Gartner Magic Quadrant ให้เป็นแพลตฟอร์มการตลาดสำหรับมือถือยอดเยี่ยมสองปีซ้อน และได้รับคะแนนความพึงพอใจของลูกค้าโดยรวมสูงสุด (4.6 จาก 5 คะแนน) ในรายงาน Gartner Peer Insights ‘Voice of the Customer’ ประจำปี 2562 ซึ่งบริษัทได้รวมธุรกิจสตาร์ทอัพและแบรนด์ระดับองค์กรหลายแห่งเป็นกลุ่มลูกค้าด้วย เช่น Deutsche Telekom, CIMB Bank, Travelodge, Samsung, McAfee, Vodafone, Future Retail, Landmark Group และ Mashreq Bank รวมถึงแบรนด์ด้านอินเทอร์เน็ตอย่าง Ola, OYO, Bigbasket และ Tokopedia ปัจจุบัน ลูกค้าองค์กรเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ให้กับ MoEngage เกือบ 50% ของรายได้ทั้งหมด

"ที่ Kredivo พันธกิจของเราคือการพัฒนาการเข้าถึงเครดิตให้กับชาวมิลเลนเนียลที่ยังไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้ ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เครดิตที่สามาถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและในราคาที่สามารถจับต้องได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ MoEngage เป็นพันธมิตรที่สำคัญที่ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าของเรา และพัฒนาการรักษาและการมีส่วนร่วมของลูกค้าด้วยการมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลผ่านช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย"

– Akshay Garg ซีอีโอแห่ง FinAccel (powers Kredivo แพลตฟอร์มให้บริการเครดิตทันใจชั้นนำของอินโดนีเซีย)

เกี่ยวกับ MoEngage

MoEngage เป็นแพลตฟอร์มสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าอัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นสำหรับโลกในยุคที่ทุกอย่างสามารถทำได้ผ่านมือถือ ด้วยระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงสุด และระบบวิเคราะห์ที่ติดตั้งมาในตัว MoEngage จึงสามารถให้บริการที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างดี ผ่านการสื่อสารหลากหลายช่องทาง เช่น ระบบแจ้งเตือน push notification ผ่านมือถือ อีเมล ระบบ in-app ข้อความแจ้งเตือนบนเว็บ การส่งข้อความบนเว็บและข้อความ SMS แบรนด์ระดับ Fortune 500 จากกว่า 35 ประเทศ อย่างเช่น Deutsche Telekom, Samsung, Vodafone และ McAfee รวมถึงแบรนด์ด้านอินเทอร์เน็ตอย่าง Ola, OYO, Bigbasket และ Tokopedia ต่างใช้ MoEngage ในการจัดการแคมเปญผ่านช่องทางต่าง ๆ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของผู้ใช้การสื่อสารแบบ omnichannel กับ MoEngage ได้ที่เว็บไซต์ของเรา www.moengage.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200211005891/en/

ติดต่อ:

MoEngage | Suraj Dubey | +91 9036324705 | suraj@moengage.com

Milrem Robotics เปิดตัวยานพาหนะไร้คนขับที่ผ่านภารกิจจริงมาแล้วที่งาน “สิงคโปร์แอร์โชว์”

Logo

สิงคโปร์–(บิสิเนสไวร์)–11 ก.พ. 2563

Milrem Robotics หนึ่งในผู้ผลิตยานพาหนะไร้คนขับ (UGV) ชั้นนำได้เปิดตัว THEMIS UGV รุ่นที่ห้าที่ผ่านภารกิจจริงมาแล้วที่งาน Singapore Airshow 2020.  THEMIS UGV ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ให้กับทหารในสมรภูมิ

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200210005048/en/

The THeMIS UGV has been deployed to Mali since early 2019. (Photo: Business Wire)

THeMIS UGV ได้ปฏิบัติภารกิจที่ประเทศมาลีตั้งแต่ต้นปี 2562 (รูปภาพ: บิสิเนสไวร์)

THeMIS ได้ถูกใช้โดยกองกำลังนำโดยฝรั่งเศสในภารกิจต่อต้านการก่อการร้าย Barkhaneในมาลี แอฟริกาตั้งแต่ต้นปี 2562 โดยรุ่นที่ห้านี้ได้รวมรวมข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับระหว่างการทดสอบอย่างเข้มงวดในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และสิงคโปร์ 

ในระหว่างภารกิจในสมรภูมิจริง UGV ได้ถูกใช้งานโดยกองทัพอังกฤษ นาวิกโยธินสหรัฐฯ กองทัพเนเธอร์แลนด์ ลัตเวีย และเอสโตเนีย โดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศของไทยจะประเมินความเหมาะสมของ THEMIS ในเร็วๆ นี้

“เรายินดีที่ได้กลับมาที่สิงคโปร์อีกครั้งหลักจากเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ได้ทดสอบต้นแบบของยานพาหนะไร้คนขับของเราเพื่อความทนทานในสมรภูมิท้องถิ่น  วันนี้เราจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพที่ลูกค้าของเราคาดว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการสู้รบได้อย่างสูง” Kuldar Väärsi ซีอีโอของ Milrem Robotics กล่าว

THEMIS UGV มีการผลิตอย่างต่อเนื่องและได้ส่งมอบให้กับอินโดนีเซีย เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรแล้วในรูปแบบโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนการต่อสู้และบรรทุกเสบียง โดยมีตัวเลือกในการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมสำหรับภารกิจต่อสู้

UGV อเนกประสงค์ที่ติดตามได้นี้สามารถติดตั้งระบบอาวุธระยะไกล โดรน โซลูชั่น C-IED และเซ็นเซอร์ ISR  นอกจากนี้ ความสามารถในการติดตั้งอุปกรณ์หลากหลายทำให้ UGV นี้สามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้อย่างทวีคูณ

“THeMIS ได้กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม UGV สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์หลายรูปแบบ  เมื่อรวมกับพันธมิตรอย่าง ST Engineering, EOS, Kongsberg, FN Herstal และ MBDA แล้วทำให้มีระบบอุปกรณ์มากมาย” คุณ Väärsi กล่าว  THeMIS ได้ทดสอบการยิงกับอาวุธห้าระบบ รวมถึงจรวดต่อต้านรถถัง JAVELIN

THeMIS รุ่นที่ห้าได้รวมเอามาตรฐานของ NATO STANAG ไว้ในสถาปัตยกรรม ความปลอดภัย ความสามารถในการขนส่งทางอากาศ การจ่ายพลังงาน และอื่นๆ

นอกจากนี้ UGV ยังมีฟังก์ชั่นอัตโนมัติ ได้แก่ การนำทางแบบจุดต่อจุด ระบบตรวจจับและการหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง ทำให้สามารถติดตามกองทหารบนพื้น ลาดตระเวน จัดหาเสบียงให้กับแนวหน้า และอพยพผู้บาดเจ็บล้มตาย โดยมีการแทรกแซงน้อยที่สุด

ชมการทำงานของ THISMIS ได้ที่ – https://www.youtube.com/watch?v=2j2Sbn7Pvts

อ่านฉบับที่มาบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200210005048/en/

ติดต่อ:

Gert Hankewitz
Export Director (ผู้อำนวยการฝ่ายส่งออก)
gert.hankewitz@milrem.com

Aptorum Group ประกาศข้อมูลในทิศทางบวกเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ALS-4 โมเลกุลขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นยาและไม่ก่อปัจจัยที่ทําให้เกิดโรคของเชื้อ (Non-bactericidal) สำหรับรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส และเตรียมยื่น IND ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ตามที่ตั้งเป้าไว้

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–10 กุมภาพันธ์ 2563

Aptorum Group Limited (NASDAQ: APM) (“Aptorum Group”) บริษัทผลิตชีวเภสัชภัณฑ์ที่เน้นการพัฒนายารักษาโรคชนิดใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ประกาศพบข้อมูลที่เป็นบวกเพิ่มเติมจากการศึกษาปัจจุบันเกี่ยวกับสารที่อาจนำมาพัฒนาเป็นยา (IND) ของ ALS-4 โมเลกุลขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการเป็นยาสำหรับรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียสแตฟีโลคอกคัส ออเรียส (หรือ “S. aureus”) รวมถึงแบคทีเรียสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสที่ดื้อยาเมธิซิลิน (หรือ MRSA หนึ่งในแบคทีเรียที่ถูกเรียกว่า “ซูเปอร์บั๊ก”) ด้วยวิธีที่ไม่ทำให้เกิดปัจจัยที่ทำให้เกิดเชื้อโรค( anti-virulence) และไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (non-bactericidal) เมื่อการศึกษานี้เสร็จสิ้น Aptorum Group ตั้งเป้าที่จะยื่น IND ของ ALS-4 ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 และเริ่มต้นการทดลองระยะที่ 1 ในอเมริกาเหนือ

ALS-4 เป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ dehydrosqualene desaturase ของแบคทีเรียสแตฟีโลคอกคัส ออเรียส (รวมทั้ง MRSA) และเป็นเอนไซม์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในกระบวนการสังเคราะห์สารชีวโมเลกุลของ staphyloxanthin “รงควัตถุสีเหลืองทอง” ที่มักพบในแบคทีเรีย เชื่อกันว่า Staphyloxanthin เป็นสาเหตุหลักของกลไกป้องกันตัวเองของแบคทีเรียต่อการโจมตีจากอนุมูลอิสระ (ROS) จากโกไซติกเซลล์และเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล1

ด้วยการยับยั้งการผลิต staphyloxanthin เราเชื่อว่า ALS-4 ทำให้การต่อต้านของเชื้อ S. aureus ต่อการป้องกันในระบบภูมิคุ้มกันของโฮสต์ลดลงอย่างมาก (ดูข้อมูลการทดลองในสิ่งมีชีวิตและโครงร่างการทดลองด้านล่าง) กลไกที่แปลกใหม่นี้มีความแตกต่างอย่างมากจากวิธีฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่พบในยาปฏิชีวนะที่วางขายในตลาดปัจจุบัน ที่ใช้ในการรักษา S. aureus ซึ่งกำลังประสบปัญหาการดื้อยาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง2 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การติดเชื้อ MRSA ในมนุษย์ มักมีอัตราป่วยและเสียชีวิตในระดับสูง และอาจทำให้เกิดการแพร่กระจายหรือการติดเชื้อที่มีความซับซ้อน เช่น  การติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจหรือการติดเชื้อในกระแสเลือด พร้อมมีอาการกำเริบของโรคและกลับเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้งหลังจากที่พบว่าแบคทีเรีย S. aureus เข้าสู่เลือดกลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยและมีค่าใช้จ่ายแพงในการรักษา3

จากการทดลองของเรากับหนูทดลองที่รอดชีวิตจากแบคทีเรีย MRSA (USA300-LAC) ในปริมาณที่อาจส่งผลต่อชีวิต (109 CFU) ถูกนำเข้าผ่านทางเส้นเลือดทางหาง ขณะที่ ALS-4 ถูกนำเข้าผ่านทางช่องปากในปริมาณ 10มก./กก. ต่อสัตว์หนึ่งตัว 30 นาทีหลังการติดเชื้อ สองครั้งต่อวันหลังจากนั้น (N=9) กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการรักษาได้รับ sterile vehicle solution (N=9) มีการเฝ้าดูการรอดชีวิตเป็นเวลา 7 วัน พบว่าสัตว์ 0 จาก 9 ตัว (0%) ในกลุ่มมีชีวิตรอดหลังจากวันที่ 4 ในทางตรงข้าม สัตว์ 5 ตัวจากทั้งหมด 9 ตัว (56%) ที่ได้รับการรักษาโดย ALS-4 มีชีวิตรอดหลังจากวันที่ 7 ซึ่งมีนัยสำคัญเชิงสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีการควบคุม (p=0.013)

นอกจากนี้ เรายังได้ทำการศึกษากับหนูทดลองที่ติดเชื้อแบคทีเรีย โดยใช้ยาในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต สัตว์ทดลองได้รับ MRSA (USA300-LAC) ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต (107 CFU) ผ่านทางเส้นเลือดที่หาง เพื่อกระตุ้นให้เกิดสถานการณ์จำลองทางคลินิกที่สมจริงมากขึ้น การรักษาจึงใช้เวลา 14 วันหลังจากได้สัตว์ทดลองมา ซึ่งมีการให้ ALS-4 ผ่านทางช่องปากวันละสองครั้งในปริมาณ 10มก./กก. ต่อสัตว์ (N=8) กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการรักษาได้รับ sterile vehicle solution (N=8) หลังจาก 7 วันที่ได้รับการรักษาโดย ALS-4 มีการเก็บไตเพื่อนำไปตรวจหาค่า titer ของแบคทีเรีย เป็นที่น่าสังเกตว่า ALS-4 ลดปริมาณแบคทีเรียในอวัยวะได้ถึง 99.5% จาก 63,096±18 CFU/กรัม ในกลุ่มควบคุม ถึง 316±49 CFU/กรัม ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย ALS-4 ซึ่งพิจารณาว่ามีนัยสำคัญเชิงสถิติ (p=0.01)

ALS-4 สามารถยับยั้งการผลิต staphyloxanthin ได้สำเร็จใน S. aureus ทั้งหมด 11 สายพันธุ์ ซึ่งเป็น Methicillin-sensitive S. aureus (MSSA) 5 สายพันธุ์ ได้แก่: SH1000, HG003, USA300-JE2, Newman และ ATCC29213 ซึ่งมีค่า IC50 อยู่ที่ 70.5±6nM, 54.4±4nM, 37.7±4nM, 23.7±1nM และ 30.02±5nM ตามลำดับ เป็น Methicillin-resistant S. aureus (MRSA) 5 สายพันธุ์ ได้แก่: USA300, USA300-3, USA300-LAC, ST239III และ COL ซึ่งมีค่า IC50 อยู่ที่ 30.8±5nM, 42.8±6nM, 43.6±5nM, 16.3±8nM และ 0.9±1nM ตามลำดับ และเป็น vancomycin-intermediate S. aureus (VISA) 1 สายพันธุ์ ได้แก่ Mu3 ซึ่งมีค่า IC50 อยู่ที่ 2.6±1nM

จากการทดลองของเรา เราเชื่อว่า ALS-4 สามารถเพิ่มภูมิไวรับ (susceptibility) ของ S. aureus รวมถึง MRSA ต่อความเสียหายที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันด้วยการยับยั้งการผลิต staphyloxanthin ในการทดสอบการยับยั้งไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ หลังจากที่มีการเติม 1.5% H2O2 แล้ว ALS-4 แสดงให้เห็นว่าสามารถลดค่า CFU ของแบคทีเรียได้มากขึ้นที่ 93.5% จาก 61,600±6437 CFU/มล. ในกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษา เป็น 4,000±230 CFU/มล. ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย ALS-4 ซึ่งพิจารณาว่ามีนัยสำคัญเชิงสถิติ (p=0.003)

จากการศึกษาเพื่อสืบหาความสามารถของ ALS-4 ในการทำให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะในเชื้อ S. aureus หลังจากที่ได้รับเป็นเวลานาน USA300-LAC ถูกเพาะเลี้ยงขึ้นในห้องทดลองที่มีสภาพแตกต่างกัน 3 ห้องเป็นเวลา 10 วัน สำหรับกลุ่มที่ได้รับการรักษา มีการเพิ่ม ALS-4 ไป 1 ไมโครเมตร สำหรับกลุ่มควบคุมที่ให้ผลเชิงบวก มีการให้คลินดามัยซินในปริมาณ 0.12 ไมโครกรัม/มล. และอิริโทรมัยซินในปริมาณ 16 ไมโครกรัม/มล. ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 4 หลังจากนั้นได้มีการถอนคลินดามัยซินออกไป สำหรับกลุ่มควบคุมที่ให้ผลเชิงลบ ได้มีการเพิ่มไดเมทิลซัลโฟไซด์ (DMSO) เข้าไป ในวันที่ 11 มีการเก็บแบคทีเรียและนำไปเพาะเป็นเวลา 16 ชั่วโมง เพื่อหาค่า MIC ของคลินดามัยซินการได้รับ ALS-4 หรือ DMSO เป็นเวลานานไม่ส่งผลต่อค่า MIC ของคลินดามัยซิน (0.12 ไมโครกรัม/มล.) ขณะที่การได้รับคลินดามัยซินบวกกับอิริโทรมัยซินเป็นเวลานานกระตุ้นให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะเร็วขึ้น โดยค่า MIC เพิ่มขึ้นจาก 0.12 ไมโครกรัม/มล. เป็นสูงกว่า 5 ไมโครกรัม/มล.

จากการศึกษาของเรา เราเชื่อว่า ALS-4 ไม่มีแนวโน้มที่จะดื้อยาเนื่องจากไม่มีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย มีการศึกษาเกี่ยวกับการยับยั้งการเจริญของเชื้อ S. aureus สายพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงแบคทีเรียชนิดอื่น รวมถึง MSSA 3 สายพันธุ์ (ATCC29212, SH1000 และ HG003) MRSA 1 สายพันธุ์ (USA300) VISA (ATCC700698 Mu3) 1 สายพันธุ์ รวมถึงแบคทีเรีย 6 ชนิด (E. coli, A. baumannii, S. cerevisiae, B. subtilis, E. faecalis และ K. pneumoniae) แบคทีเรียทุกสายพันธุ์ที่นำมาทดสอบ พบว่าไม่มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตเมื่อทดสอบด้วย ALS-4 ที่มีความเข้มข้นสูงสุด (250uM) ดังนั้นจึงไม่ปรากฏว่า ALS-4 มีฤทธิ์โดยตรงในการยับยั้งการเจริญเติบโตหรือฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยในหลายชนิด จึงลดการคัดเลือกจากแรงกดดัน (selection pressure) สำหรับการดื้อยาที่ยังไม่ปรากฏได้อย่างมาก

เรายังได้ประเมินผลกระทบที่เป็นไปได้ต่อประสิทธิภาพของแวนโคมัยซิน ซึ่งเป็นยารักษาหลักสำหรับการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย MRSA เมื่อใช้ร่วมกับ ALS-4. โดยมีการใช้ S. aureus ทั้งหมด 8 สายพันธุ์ (USA300 FPR3757, USA300-3, USA300-LAC, USA300-JE2, Mu3, HG003, ATCC29213 และ clinical isolate ST239III) ในการศึกษานี้ ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าไม่พบผลกระทบต่อ MIC ของแวนโคมัยซินเมื่อความเข้มข้นของ ALS-4 ต่ำกว่า 25 ไมโครเมตร ดังนั้น เราเชื่อว่า ALS-4 จะไม่ส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของแวนโคมัยซิน

นอกจากนั้น เมื่อเทียบกับยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อจาก S. aureus ในปัจจุบัน เช่น แวนโคมัยซิน หรือ เดปโตมัยซิน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะให้ยาโดยการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ (ยกเว้นการให้ยาแวนโคมัยซินผ่านทางช่องปากสำหรับการรักษาอาการท้องเสียที่เกิดจากการตืดเชื้อคลอสตริเดียมดิฟฟิไซล์และโรคลำไส้อักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น) ยาที่ออกฤทธิ์ในช่องปากจะช่วยให้สามารถเข้าถึงตลาดได้กว้างขึ้น โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ป่วยนอกและตลาดผลิตภัณฑ์ป้องกันโรค

ข้อมูลความเป็นพิษ GLP

ปัจจุบัน ALS-4 อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อนำมาพัฒนาเป็นยา (IND) และที่ผ่านมาให้ผลด้านความปลอดภัยในเชิงบวก ตามที่ได้อธิบายในเอกสารประชาสัมพันธ์ที่เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562 ALS-4 ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการกลายพันธุ์ในการทดสอบเอมส์ในหลอดทดลองก่อนหน้านี้ ผลการทดสอบไมโครนิวเคลียในหลอดทดลองขณะนี้แสดงให้เห็นว่า ALS-4 ไม่เป็นพิษต่อหน่วยพันธุกรรม ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่กลายพันธุ์ของยา นอกจากนี้ ผลจากการศึกษาที่ได้จากทดสอบ hERG ในหลอดทดลอง คาดว่า ALS-4 มีความเสี่ยงต่ำที่จะทำให้เกิดอาการที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจมีระยะคิวทียาว (QT prolongation)

สำหรับการนำเสนอแบบทั่วไป โปรดชมที่: http://ir.aptorumgroup.com/static-files/bcf77574-7bd6-4b9d-8110-d53837238f16

สำหรับการนำเสนอทางเทคนิค โปรดชมที่: http://ir.aptorumgroup.com/static-files/66346f79-7a03-474a-89be-0eaafaa00d9d

เกี่ยวกับ Aptorum Group Limited

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM) คือบริษัทเวชภัณฑ์ที่อุทิศตนในการพัฒนาและทำธุรกิจการรักษาโรคแบบใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์และไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก Aptorum Group ยังเดินหน้าคิดค้นโปรแกรมการรักษาโรคต่าง ๆ เช่นโรคประสาท โรคติดเชื้อ โรคเกี่ยวกับทางเกินอาหาร โรคเนื้องอก และโรคอื่น ๆ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Aptorum Group โปรดดูที่ www.aptorumgroup.com.

คำจำกัดสิทธิ์ความรับผิดชอบและข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Aptorum Group Limited และความคาดหวังในอนาคต แผน และโอกาสในอนาคตซึ่งเป็น “แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า” ภายใต้ความหมายของพระราชบัญญัติปฏิรูปกฎหมายฟ้องร้องหลักทรัพย์เอกชนปี พ.ศ. 2538 ข้อความที่มีอยู่ในเอกสารฉบับนี้ซึ่งไม่ใช่แถลงการณ์ของข้อเท็จจริงในอดีตอาจถือเป็นข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ในบางกรณีคุณสามารถระบุข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าโดยใช้คำเช่น“ อาจ” “ควร” “คาดว่า” “มีแผนจะ” “คาดการณ์” “อาจจะทำได้” “ตั้งใจว่า” “มีเป้าหมายว่า” “มีโครงการว่า" "พิจารณาจะ" "เชื่อว่า" "ประเมินว่า" "พยากรณ์" "มีศักยภาพจะ" หรือ "จะดำเนินการต่อ"  หรือคำตรงข้ามของคำเหล่านี้หรือสำนวนอื่น ๆ ที่คล้ายกัน กลุ่ม Aptorum ได้ใช้แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้โดยส่วนใหญ่มาจากความคาดหวังและการคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์และแนวโน้มในอนาคตซึ่งบริษัท เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้พูดเฉพาะวันที่ของเอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้และอยู่ภายใต้ความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และข้อสันนิษฐาน รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ประกาศไว้และการเปลี่ยนแปลงองค์กร การให้บริการอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการขยายการจัดประเภทผลิตภัณฑ์โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมสำหรับกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มเติม กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทที่คาดการณ์ไว้ แนวโน้มและความท้าทายที่คาดการณ์ไว้ในธุรกิจของบริษัท และความคาดหวังเกี่ยวกับเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและความเสี่ยงอย่างเต็มที่อธิบายไว้ในแบบฟอร์ม 20-F ของกลุ่ม Aptorum และเอกสารอื่น ๆ ที่กลุ่ม Aptorum อาจทำกับ กลต. ในอนาคต ซึ่งเป็นผลให้การคาดคะเนต่าง ๆ ในข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง กลุ่ม Aptorum ไม่มีข้อผูกมัดในการปรับปรุงแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าที่มีอยู่ในเอกสารประชาสัมพันธ์นี้อันเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่น ๆ


1 mBio 2017 8(5): e01224-17
2 Microbiol Spectr. 2019 Mar;7(2)
3 Clin Infect Dis. 2019 Nov 27;69(12):2112-2118

ติดต่อ:

นักลงทุน:
โทร: +852 2117 6611
อีเมล: investor.relations@aptorumgroup.com

สื่อ:
โทร: + 852 2117 6611
อีเมล: info@aptorumgroup.com

Aptorum Group ประกาศความก้าวหน้าครั้งสำคัญของการนำ SACT-1 ที่มีศักยภาพเป็นตัวยามารักษานิวโรบลาสโตมา ตั้งเป้ายื่น IND ช่วงครึ่งหลังของปี 2563

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–10 กุมภาพันธ์ 2563

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM) (“Aptorum Group”) บริษัทผลิตชีวเภสัชภัณฑ์ที่เน้นการพัฒนายารักษาโรคชนิดใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ประกาศถึงข้อมูลและการพัฒนาในทิศทางบวกเกี่ยวกับการนำสารที่มีศักยภาพเป็นตัวยา (drug candidate) อย่าง SACT-1 มาใช้ในการรักษานิวโรบลาสโตมา มะเร็งชนิดที่พบได้ยากซึ่งมักเกิดในเด็กทารกและเด็กเล็ก เมื่อการศึกษาเพื่อทดสอบความใช้ได้นี้เสร็จสิ้น Aptorum Group วางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากคำขอขึ้นทะเบียนตำรับยาตามมาตร 505(b)(2) และยื่นขอ IND กับองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับ SACT-1 ในครึ่งหลังของปี 25631

SACT-1 เป็นสารที่มีศักยภาพทางตัวยาที่ถูกนำมาใช้กับการรักษาโรคอื่นตัวแรกที่จะถูกพัฒนาภายใต้แพลตฟอร์มการค้นคว้ายา Smart-ACTTM ซึ่งใช้วิธีที่มีระบบเป็นขั้นเป็นตอนในการระบุและนำยาที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในปัจจุบันมาพัฒนาเพื่อใช้กับโรคหายาก2 ที่มีมากกว่า 7000 โรค (และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง)

Aptorum Group มีความตั้งใจใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวเร่งและเป็นทางลัดในการนำสารที่มีศักยภาพทางตัวยามาใช้กับการรักษาโรคอื่น ซึ่งมีการจัดทำข้อมูลความปลอดภัยและความเป็นพิษต่อมนุษย์ไว้อยู่แล้ว ผ่านการพัฒนาและขั้นตอนทางคลิกนิกเพื่อระบุตลาดโรคหายากที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว Aptorum Group ตั้งเป้าที่จะคัดกรองโรคหายากในกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัด โรคมะเร็ง โรคภูมิต้านตนเอง และโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก

ผ่านแพลตฟอร์ม Smart-ACTTM Aptorum ประสบความสำเร็จในการค้นพบประสิทธิภาพที่มีศักยภาพของ SACT-1  และพัฒนาสารชนิดนี้เพื่อนำไปรักษานิวโรบลาสโตมา ซึ่งเป็นการรักษาด้านใหม่ที่แตกต่างจากข้อบ่งชี้ที่ได้รับการอนุมัติอย่างสิ้นเชิง ในการศึกษาของเราเมื่อไม่นานมานี้ พบว่า SACT-1 มีประสิทธิภาพต่อเซลล์ไลน์ของนิวโรบลาสโตมาหลายเซลล์ โดยมี 2 เซลล์ที่เป็นเซลล์แบบ MYCN-amplified ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงสูงในกลุ่มผู้ป่วยนิวโรบลาสโตมา นอกจากนี้ จากการใช้ดัชนีหลายแบบเป็นตัวชี้วัดเชิงปริมาณระดับของการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา Aptorum Group พบความเข้ากันได้และประสิทธิภาพระหว่าง SACT-1 กับยาเคมีบำบัดที่ใช้ในการรักษาทั่วไปในหลอดทดลองในระดับสูง ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มประสิทธิภาพศักยภาพ/การลดปริมาณของยาเคมีบำบัด นอกจากนี้ ในการศึกษาล่าสุดของเรายังพบว่าค่าขนาดยาสูงสุดที่สามารถทนได้ (MTD) ของ SACT-1 ในสัตว์ทดลองวัดได้สูงกว่า 400มก./กก. เมื่อเทียบกับค่า MTD ของการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแบบมาตรฐาน เช่น แพคลิแทกเซล (20-30มก./กก.)3 และซิสพลาติน (6มก./กก.) 4 พบว่าความปลอดภัยของ SACT-1 ให้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก

การนำสูตร SACT-1 มาพัฒนาใหม่เป็นสูตรสำหรับเด็ก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยนิวโรบลาสโตมาโดยเฉพาะที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีได้ดียิ่งขึ้น จากการสังเกตการณ์ข้อมูลที่มีอยู่ก่อนหน้านี้จากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอนุมัติ5 ซึ่งเป็นการสังเกตการณ์ภายใน พบว่า SACT-1 มีความปลอดภัย เมื่อใช้ในปริมาณ 150มก./วัน อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 0% ในการศึกษาทางคลินิกก่อนหน้านี้) โดยไม่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวกับขนาดยาแต่อย่างใด

เกี่ยวกับนิวโรบลาสโตมา (neuroblastoma)

นิวโรบลาสโตมาเป็นโรคมะเร็งชนิดที่พบได้ยากและได้รับการจัดให้เป็นโรคหายาก โรคนี้จะก่อตัวในเนื้อเยื่อประสาทบางประเภทและส่วนใหญ่พบในต่อมหมวกไต รวมถึงกระดูกสันหลัง หน้าอก ช่องท้องหรือคอ และพบบ่อยในเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีลงไป สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีจำนวนเกือบ 20%6 ของประชากรผู้ป่วยใหม่รวมต่อปี อัตราการรอดชีวิตในระยะ 5 ปีของโรคนี้อยู่ที่ประมาณ 40-50% ตามที่สังเกตการณ์โดยสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา7 ปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายสำหรับยารักษาที่สูงสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงอยู่ที่เฉลี่ย 200,000 ดอลลาร์ต่อการให้ยาแต่ละครั้ง (ทั้งหมด 6 ครั้ง)8 นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นเด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถทนต่อการรักษาหรือรอดชีวิตในระยะการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดที่เกี่ยวข้อง อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามการศึกษาทางคลีนิกในอนาคต ซึ่งข้อมูลนี้อาจเปลี่ยนให้เป็นในทิศทางบวกได้ด้วย SACT-1 เนื่องจากมีการเสริมฤทธิ์กันอย่างมีศักยภาพเมื่อใช้กับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแบบมาตรฐานตามที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น

สำหรับการนำเสนอแบบทั่วไป โปรดดูที่: http://ir.aptorumgroup.com/static-files/bcf77574-7bd6-4b9d-8110-d53837238f16

สำหรับการนำเสนอทางเทคนิค โปรดดูที่: http://ir.aptorumgroup.com/static-files/66346f79-7a03-474a-89be-0eaafaa00d9d

เกี่ยวกับ Aptorum Group Limited

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM) คือบริษัทเวชภัณฑ์ที่อุทิศตนในการพัฒนาและทำธุรกิจการรักษาโรคแบบใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์และไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก Aptorum Group ยังเดินหน้าคิดค้นโปรแกรมการรักษาโรคต่าง ๆ เช่นโรคประสาท โรคติดเชื้อ โรคเกี่ยวกับทางเกินอาหาร โรคเนื้องอก และโรคอื่น ๆ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Aptorum Group โปรดดูที่ www.aptorumgroup.com.

เกี่ยวกับ Smart Pharma Group

Smart Pharma Group เป็นบริษัทในครอบครองของ Aptorum Group Limited เน้นการนำยารักษาโรคที่ผ่านการรับรองมาใช้ใหม่อย่างเป็นระบบเพื่อการรักษาโรคหายากต่าง ๆ Smart Pharma Group ทำการสกรีนและคิดค้นวินิจฉัยผ่านระบบคอมพิวเตอร์เพื่อพัฒนาตัวยาให้มีความทันสมัย

คำจำกัดสิทธิ์ความรับผิดชอบและข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Aptorum Group Limited และความคาดหวังในอนาคต แผน และโอกาสในอนาคตซึ่งเป็น “แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า” ภายใต้ความหมายของพระราชบัญญัติปฏิรูปกฎหมายฟ้องร้องหลักทรัพย์เอกชนปี พ.ศ. 2538 ข้อความที่มีอยู่ในเอกสารฉบับนี้ซึ่งไม่ใช่แถลงการณ์ของข้อเท็จจริงในอดีตอาจถือเป็นข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ในบางกรณีคุณสามารถระบุข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าโดยใช้คำเช่น“ อาจ” “ควร” “คาดว่า” “มีแผนจะ” “คาดการณ์” “อาจจะทำได้” “ตั้งใจว่า” “มีเป้าหมายว่า” “มีโครงการว่า" "พิจารณาจะ" "เชื่อว่า" "ประเมินว่า" "พยากรณ์" "มีศักยภาพจะ" หรือ "จะดำเนินการต่อ"  หรือคำตรงข้ามของคำเหล่านี้หรือสำนวนอื่น ๆ ที่คล้ายกัน กลุ่ม Aptorum ได้ใช้แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้โดยส่วนใหญ่มาจากความคาดหวังและการคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์และแนวโน้มในอนาคตซึ่งบริษัท เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้พูดเฉพาะวันที่ของเอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้และอยู่ภายใต้ความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และข้อสันนิษฐาน รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ประกาศไว้และการเปลี่ยนแปลงองค์กร การให้บริการอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการขยายการจัดประเภทผลิตภัณฑ์โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมสำหรับกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มเติม กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทที่คาดการณ์ไว้ แนวโน้มและความท้าทายที่คาดการณ์ไว้ในธุรกิจของบริษัท และความคาดหวังเกี่ยวกับเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและความเสี่ยงอย่างเต็มที่อธิบายไว้ในแบบฟอร์ม 20-F ของกลุ่ม Aptorum และเอกสารอื่น ๆ ที่กลุ่ม Aptorum อาจทำกับ กลต. ในอนาคต ซึ่งเป็นผลให้การคาดคะเนต่าง ๆ ในข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง กลุ่ม Aptorum ไม่มีข้อผูกมัดในการปรับปรุงแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าที่มีอยู่ในเอกสารประชาสัมพันธ์นี้อันเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่น ๆ


1 หาก FDA ยอมรับให้ใช้คำขอขึ้นทะเบียนตำรับยาตามมาตร 505(b)(2) เป็นช่องทางสำหรับการอนุมัติ SACT-1 บริษัทจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลทางคลินิกและข้อมูลที่ไม่ใช้ข้อมูลทางคลินิกที่มีอยู่ปัจจุบันควบคู่กับการศึกษาที่ทำโดยผู้ให้การสนับสนุน เพื่อเร่งการพัฒนาและการอนุมัติของ SACT-1
2 ดู https://rarediseases.info.nih.gov/diseases/pages/31/faqs-about-rare-diseases
3 Clin Cancer Res. 5(11):3632-8.
4 BMC Cancer 17: 684 (2017).
5 ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของ FDA และแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี ขอขึ้นทะเบียนตำรับยาตามมาตร 505(b)(2) อาจขึ้นอยู่กับข้อมูลปัจจุบันจากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอนุมัติแล้ว (เช่น การค้นพบของ FDA ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพ) หรือผลิตภัณฑ์ในวรรณกรรม (เช่น ข้อมูลที่มีอยู่) อย่างไรก็ตาม ตามที่มีการกล่าวโดยทั่วไป การยื่นขอขึ้นทะเบียนจำเป็นต้องมีการดำเนินการศึกษาเชื่อมโยงในระยะที่ 1 เพื่อเปรียบเทียบกับยาต้นแบบและอ้างอิงข้อมูลความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่กำหนด
6 Annu Rev Med. 2015; 66: 49–63.
7www.cancer.org/cancer/neuroblastoma/detection-diagnosis-staging/survival-rates.html
www.cadth.ca/sites/default/files/pcodr/Reviews2019/10154DinutuximabNeuroblastoma_fnEGR_NOREDACT-ABBREV_Post_26Mar2019_final.pdf

ติดต่อนักลงทุน:
โทร: +852 2117 6611
อีเมล: investor.relations@aptorumgroup.com 

สื่อ:
โทร: + 852 2117 6611
อีเมล: info@aptorumgroup.com

ประกาศตัวแทนแบรนด์เกาหลียอดเยี่ยมปี 2563 ที่คัดเลือกโดย BRANDSTARS

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)– 10 กุมภาพันธ์ 2563

คณะกรรมการคัดเลือกของ BRANDSTARS ประกาศรายชื่อแบรนด์อุตสาหกรรมที่ดีที่สุดของประเทศเกาหลีประจำปี 2563

แบรนด์ที่ได้รับเลือก อาทิ เช่น Samsung Electronics’ Samsung Galaxy (สมาร์ทโฟน), Hyundai Motors’ Hyundai Grandeur (รถยนต์), LG Electronics’ Whisen (เครื่องปรับอากาศ), Shinsegae Department Store (ช้อปปิง), SKT5GX (5G), Dong-A Pharm’s Bacchus·D (เครื่องดื่มบำรุงกำลัง), Agabang & Company’s agabang (เสื้อผ้าเด็ก), HITEJINRO Co., Ltd.’s Terra (เบียร์) และ Starbucks (Koreanization ตามแบบสไตล์เกาหลี) ส่วนในด้านของสื่อความบันเทิง ได้เลือก Parasite (ภาพบนตร์) และ BTS (กลุ่ม K-pop)

ในสาขา K-beauty คณะกรรมการคัดเลือก LG Household and Health Care’s The History of Whoo (เครื่องสำอาง), Amorepacific’s Laneige (เครื่องสำอาง), Olive Young (ร้านขายยา), CGbio’s GISELLELIGNE (ฟิลเลอร์ผิวหนัง), Grand Plastic Surgery (ศัลยกรรมพลาสติก), and WIBE ECO FACE (อุปกรณ์ดูแลผิวหนัง).

แบรนด์อาหาร K-food ที่ดีที่สุดที่ได้รับเลือกคือ Paris Baguette (เบเกอรี่), bibigo (อาหารพร้อมทาน), Binggrae Banana Flavored milk (นม), Buldak-bokkeum-myeon (ราเม็นเผ็ด), Jejudoolrecooks (ก๋วยเตี๋ยว), MAMACOOK (ร้านขาย side dish) และ Baunenajoogomtang (ซุปกระดูกเนื้อ).

FILA (เสื้อผ้าลำลอง) และ Kumkang Shoe (รองเท้า)ได้รับเลือกเป็นแบรนด์ที่เป็นตัวแทนของเกาหลีในหมวดหมู่ของ K-fashion; ASAN Medical Center (การตรวจสุขภาพ), CheongKwanJang (โสมแดง), และ Well-Being Health Pharm’s Goun-bal (ผลิตภัณฑ์ดูแลเท้า) ได้รับการคัดเลือกในหมวดหมู่ของการดูแลสุขภาพ ในขณะที่ Jeju (เมือง) และ Gyeongbokgung Palace (สมบัติทางวัฒนธรรม) ถูกเลือกในด้านการท่องเที่ยว.

Samsung Electronics’ Samsung Galaxy, Bacchus·D, agabang, BTS, LG Household and Health Care, Amorepacific, Olive Young, GISELLELIGNE, bibigo, Buldak-bokkeum-myeon, Baunenajoogomtang, CheongKwanJang, Goun-bal, และ Jeju ถูกเลือกสองปีติดต่อกัน

แบรนด์ตัวแทนเกาหลีปี 2020 ไม่เพียง แต่ให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อการเลือกใช้อย่างมีเหตุผลเท่านั้น แต่ยังเพื่อเพิ่มมูลค่าแบรนด์องค์กรของบริษัทที่เกี่ยวข้องด้วยการเลือกแบรนด์เกาหลีที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่ยอดเยี่ยม รายชื่อนี้ถูกปล่อยสู่สื่อในประเทศจีนและประเทศในแถบเอเชียอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน

คณะกรรมการคัดเลือก BRANDSTARS

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

BRANDSTARS Selection Committee

Ki-joo Kim +82-2-544-0153

http://brandstars.kr/

The Bangkok Reporter